ถึงเกลอแก้ว เราเลิกแล้วเลิกหวังสิ้นทั้งหมด เรายอมแพ้ยอมพ่ายให้คนคด ที่คอยซดเลือดเนื้อเถือหนังเรา เราบ้านนอกคอกนามาแต่เกิด ใครจะเทิดศักดิ์ศรีเรานี้เล่า เราไร้ซึ่งเงินตรามาบรรเทา เพื่อรับเอาการศึกษายกค่าตน เราไม่มีเส้นสายที่ใดหรอก มีแต่ดอกแต่หนี้มีเงินต้น เราได้ชื่อลือชาว่าคนจน จึงต้องทนรับกรรมทำกันไป เขาทำงานบนตึกสูงละลิ่วฟ้า เราแบกหามทำนาเยี่ยงข้าไพร่ หยาดเหงื่อเราหมดสิ้นที่รินไป คงจะใช้อาบแทนน้ำได้สามปี เราเลี้ยงชีพไม่ร่ำรวยด้วยสุจริต เขายังคิดอำนวยช่วยกดขี่ เราอดอยากตลอดมาทั้งตาปี เขาเร็วรี่กอบกินบินขึ้นฟ้า เกลอแก้วเหอ น้ำตาเราล้นเอ่อแล้วเกลอจ๋า แม้เรารู้เราเห็นเป็นธรรมดา ด้วยโลกบ้าเราจึงอยากมาระบาย แต่ไม่ว่าเกิดชาติหน้ากี่คราหน เราขอเกิดเป็นคนจนอีก, สหาย ดีกว่ารวยเพราะโกงเมืองที่เรืองราย คงอับอายขายหน้ายิ่งกว่าจน
เสียงโทรศัพท์ดังกริ๊ง กริ๊ง เป็นกริ่งเรียก เสียงสำเนียกเข้ามาน่าใจหาย เฮ้ย มึงดูรึเปล่าเล่าโขนควาย มันเล่นร้ายแหมถึงใจได้ลุ้นกัน พ่อพระเอกนั่งแท่นเป็นพระยา ด้านล่างเป็นบรรดาเสนานั่น มีประเด็นถกเถียงเกี่ยงงอนกัน เลยประชันน้ำลายร้ายซะจริง ไอ้ตัวดำตัวด่างขออ้างสิทธิ์ ป้ายความผิดความชั่วมั่วทุกสิ่ง ไร้เหตุผลไร้หลักฐานด้านอ้างอิง แต่ยังตื๊อท้วงติงทุกสิ่งอัน ไอ้ตัวแดงตัวขาวราวก้อนหิน ไม่มียินดีร้ายอะไรนั่น ใครจะทำอะไรใช่ตัวมัน อยากประชันก็เชิญมั่วชั่วกันเอง เบื่อก็ลุกเดินออกไปมิได้สน จะกังวลทำไมใครจะเบ่ง พ่อพระยาจะชี้หน้ามิยำเกรง ปล่อยให้เคว้งสภาล่มจมน้ำลาย มึงรู้ไหมจะบรรลัยทั้งโรงโขน พวกมันโค่นเสาหลักหักจำหน่าย โรงโขนยุบหักพับทับควายตาย เสียงโวยวายดังก้องถึงท้องนา เลยโทรมาบอกข่าวมาเล่าเรื่อง คนในเมืองอย่างมึงได้รู้ว่า คนบ้านนอกอย่างกูนั้นระอา ขอร้องอย่าเล่นโขนควายให้ควายดู ควายอย่างกูโง่เง่าแต่ซื่อตรง และมั่นคงต่อคนดีที่มีอยู่ ใช่เป็นเพียงอ้าปากอยากมุดรู ทั้งที่รู้ว่าขุดล่อด้วยบ่อเงิน
+++++++++++++++++++++ เคยถาม ตัวเอง บ้างรึเปล่า ว่าชีวิต คนเรา จะยืนยาวแค่ไหน หากเวลา ของวันนี้ หมดลงไป เช้าวันใหม่ ยังเหลือไหม วันเวลา เคยทำ อะไร ผิดไว้กับใคร กล้าขอโทษ เขาไหม หรือไม่กล้า เก็บคำขอโทษไว้ ผ่านไปกับเวลา จนวันหนึ่ง คงหมดปัญญา ไปขอโทษใคร ++++++++++++++++++++++
คิดทบทวนหนทางตนย่างก้าว จิตปวดร้าวกับใจอันไหวอ่อน ตกหลุมรอยบ่วงกรรมทำแต่ก่อน หนาวรานรอนทุกข์ตรมจมน้ำตา... จะกี่ครั้งพลั้งพลาดเจ็บหวาดหวั่น พ่วงด้วยทัณฑ์กรรมเก่าโหมเข้าหา ก้าวซ้ำรอยตามครรลองหมองชีวา สุดปัญญา...เห็นทางสว่างใส... หรือเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต ทางชีวิตผกผันพาหวั่นไหว เลือกเส้นทางมืดมัวหลวมตัวไป จิตเอื่อยไหลลงต่ำต้องกล้ำกลืน... ทำได้เพียงยอมรับความสับสน เฝ้าเตือนตน เป็น-อยู่ อย่างรู้ตื่น ทบทวนซ้ำ ถูก-ผิด อย่าคิดฝืน เลือนวันคืน "เห็นจริง" ทุกสิ่งลวง...
"ล้ำเส้นไม่เป็นไร ถ้ารู้จักการถอยออกมา ความสนิทกัน นำเรื่องดีๆมาสู่ชีวิตเราหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใด เมื่อสนิทก็เกิดความไว้ใจความเชื่อใจ และความสบายใจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันและแชร์หลายๆอย่างร่วมกัน แต่ก็เป็นเพราะ ความสนิทเดียวกันนี้แหละ ที่เหรียญอีกด้านหนึ่งคือ...สามารถทำร้ายกันได้ง่ายขึ้น... เหมือนลิ้นกับฟัน เหมือนช้อนกับส้อม ที่พอใกล้ก็ง่ายที่จะกระทบ เปรียบเช่นวงกลมสองวง เป็นไปได้เสมอที่จะเคลื่อนมาล้ำเส้นกันเอง ด้วยบางทีต่างคนก็ต่างลืมว่าในความสนิทนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราควรก้าวก่ายทุกเรื่องในชีวิต ถามไถ่ ต่างจาก การสอบปากคำ โทรหาต่างจากโทรจิกโทรตาม และเมื่อเหตุการณ์ ล้ำเส้นเกิดขึ้น ก็จะเกิดความอึดอัด ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ความไม่เข้าใจ และบางทีก็ก่อให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์นั้นๆ แต่ถ้าถามว่า...นี่คือเรื่องร้ายแรงที่สุดไหม? คำตอบคือไม่ ซ้ำยังถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ช้อนกับส้อมย่อมเผลอกระทบกระทั่งกันได้ แม้เราจะระมัดระวังเพียงใดก็ตาม ประเด็นที่สำคัญคือทันทีที่ฝ่ายหนึ่งล้ำเส้น ต้องรู้จักการขยับก้าวถอยออกมา รู้จักที่จะขอโทษและพร้อมจะคืนพื้นที่ให้ ส่วนตัวอย่างเคารพ ไม่ใช่ดึงดันที่จะล้ำเส้นยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยไม่ว่าจะเป็นความรักแบบใด ความรักที่แท้จริงย่อมไม่ใช่การยึดครองโลกทั้งใบของอีกคน
เวลา มิอาจ ย้อนหลัง หลายอย่าง จึงน่า เสียดาย หลายเรื่อง หลายราว มากมาย เสียดาย ที่ไม่ ได้ทำ เวลา มิอาจ หวนคืน ขมขื่น และเจ็บ ชอกช้ำ เลวร้าย เคยได้ กระทำ ตอกย้ำ ช้ำจิต ชีวิตตรม เวลา มีแต่ ผ่านเลย มิควร เพิกเฉย ฝึกข่ม กิเลส ตัณหา โสมม ก่อทุกข์ ระทม ขมขื่นใจ เวลา มีแต่ ผ่านเลย มนุษย์เอ๋ย พึงเอา ใจใส่ สะสม กรรมดี ให้มากมาย ดั่งฝาก ทรัพย์ไว้ ธนาคาร สัจจะ แห่งกาล เวลา นำพา เสื่อมถอย สังขาร เติบโต เต่งตึง หย่อนยาน วายปราณ มอดไหม้ ในกองเพลิง สุขกาย หาใช่ สุขแท้ ไตร่ตรอง ให้แน่ อย่าเหลิง ใครเล่า กายตน พ้นเพลิง อย่ามัว ระเริง สุขมายา ครั้นถึง ซึ่งวัน ดับดิ้น สุดสิ้น แห่งร่าง สังขาร์ อิสระ จากกาย คือวิญญาณ์ ผ่องผุด โสภา สู่สวรรค์
น้ำมาปลากินมด
น้ำลดมดกินปลา
น้ำฝนล้นไหลบ่า
น้ำตานองหน้าใคร
น้ำมาทำเขื่อนกั้น
น้ำตาบั่นใครกั้นไหว
ความทุกข์คนทั่วไป เขื่อนแบบใดกันกั้นอยู่
ไม่ต้องการ แหวนเพชร เม็ดโตใหญ่ มิกลัวว่า มีใคร ไหนเหยียดหยาม การตัดสิน ดูที่ ความดีงาม มิครั่นคร้าม ขยัน สร้างสรรตน กำหนดมา หมั้นหมาย ปลายเดือนสี่ ได้ฤกษ์ดี ที่ตอน ก่อนหน้าฝน จะเร่งรีบ จัดการ งานมงคล พิมฯหน้ามล จะรอ นะพ่อพลายฯหากเก็บเกี่ยว เที่ยวนี้ หมดหนี้สิน พลิกผืนดิน อีกครั้ง ยังไม่สาย ธรรมชาติ เหมือนว่า จะท้าทาย กับแรงใจ แรงกาย จรดปลายทางแม้มีแหวน สามสลึง สร้อยหนึ่งบาท ก็มิอาจ ทำให้ ใจเมินหมาง ถ้ามีคน ลือไกล ไปทั้งบาง ถือว่าช่าง ประไร ใครอยากคิด
หยุดสะอื้น ขืนขม ระทมเศร้า ลืมเรื่องเก่า วันวาน ที่ผ่านพ้น ยิ้มสู้กับ ชะตา ฟ้าบันดล มาตั้งต้น ฝ่าฟัน กันอีกที ชีวิตเรา ยังอยู่ ต้องสู้ต่อ อย่ามัวงอ มือเท้า เฝ้าหลีกหนี อนาคต ความหวัง เรายังมี แผ่นดินนี้ ยังมีทาง ให้สร้างตน เมื่อล้มได้ ก็ลุกได้ ถ้าใจสู้ เปิดประตู ใจรับ อย่าสับสน ยึดมั่นใน บริบท ความอดทน คงหลุดพ้น ความจนไป ได้สักวัน หนึ่งสมอง สองมือ คืออาวุธ หัวใจจุด ประกายกล้า ท้าความฝัน วางเป้าหมาย ชีวิต เป็นเดิมพัน แล้วมุ่งมั่น ตามทาง ที่วางไว้ ความสำเร็จ คงเห็นได้ ในไม่ช้า ชีวิตคง มีค่า ขึ้นมาใหม่ ตื่นจากความ เหนื่อยล้า ความปราชัย ประกาศให้ รู้ทั่ว ไม่กลัวจน นี่ คือหนึ่ง กำลังใจ ในวันนี้ จากคนที่ ประสบภัย มาหลายหน อวยพรให้ ประสบสุข กันทุกคน ทิ้งความหม่น หมองช้ำ จมน้ำไปฯ สมยศ เปียสนิท
เชิญมาฟังปรัชญาแฝงแห่งวงเล่า ว่าด้วยเรื่องความเมา และความรัก ประสบการณ์ผ่านประสบ พบประจักษ์ หน่วงใจนักไม่พักเก็บ เจ็บไว้จำ ค่ำคืนคลื่นความจำคว่ำเรือใจ ใครนะใคร บอกรักเราทุกเช้าค่ำ เหมือนแสงวับแล้วกลับวาย กลายกลับคำ ปล่อยคนช้ำร่ำสุราน้ำตาริน .. เราร่ำดื่มให้ลืมค่ำที่ร่ำดื่ม เศร้าเพื่อลืม ดื่มให้คล้ายลืมได้สิ้น แต่ยังย้ำคำที่เอ่ยให้เคยชิน ยังได้ยินที่ตอกตำย้ำตัวตน เป็นคนเมาก็อยู่ส่วนที่ล้วนเมา เป็นคนเศร้าก็จงเศร้าอย่าสับสน หากข้ามเส้นจะผิดหวังในวังวน อย่าหวังพ้นจากพ่ายแพ้แม้เมามาย คนไหนเมา.. เขาคนไหน.. ใครคนเมา.. ดื่มความเศร้าเคล้าสุราคว้าความหมาย คงความจำย้ำเย้ยหยันอันตราย เจ็บเจียนตายแต่คล้ายเหมือนจะเตือนตน ว่าถ้าอยากลืมรักสิ้นอย่ารินเหล้า เมื่อใดเมา อาจลืมรักได้สักหน แต่เมื่อตื่นลืมตามาพบตน คงไม่พ้น เห็นคนเศร้าเข้าเต็มตา เมื่ออยากจำกลับลืมไปไม่อาจจำ แต่เรื่องช้ำเหมือนย้ำใจไปชาติหน้า ยิ่งอยากลืมเธอเท่าไหร่ในอุรา ยิ่งชัดว่า ..หัวใจมันไม่ลืม
เถาวัลย์พันกิ่งต้น......พึงยล ปีนป่ายไม้เลื้อยวน.....สิ่งนั้น คบหาแต่ปราชญ์ชน......อบร่ำ ..ปัญญา เกลือกชั่วเกลอดื้อรั้น.......ต่ำช้า...กุมใจ
ชีวิตต้องสู้ รู้ปล่อยวาง สาวร้อยเอ็ดสำเร็จการศึกษา(ปี 2526) ปริญญาตรีอังกฤษจิตแจ่มใส สอบบรรจุเป็นครูอยู่พนมไพร (โรงเรียนพนมไพรวิทยาคาร ร้อยเอ็ด) โรงเรียนในบ้านเกิดเทิดแทนคุณ พี่ชายชวนไปนอกนิวยอร์คดู ได้เรียนรู้โลกกว้างทางเกื้อหนุน จากอายุยี่สิบห้าหน้าละมุน เก้าปีหมุนทางสู่คู่เมืองไทย ใช้เวลาสิบปีที่รักษา เทิดมารดาด้วยรักไม่ผลักไส มะเร็งร้ายพ่ายแพ้จากแม่ไป ครอบครัวให้เดินต่อขอลูกเรียน รอบที่สองกลับมาหานิวยอร์ค งานเมืองนอกลำบากหากผันเปลี่ยน อดทนสู้เพื่อลูกปลูกพากเพียร เก้าปีเรียนไม่หยุดรุดเร่งไป จากม.สองลูกเรียนเพียรศึกษา จบปริญญาสาวน้อยพลอยสดใส ได้ทุนเรียนต่อโทโอ้ดีใจ ทำงานไปเรียนให้ได้วิชา อยากเรียนแพทย์สอบต่อรอฟังผล ขออดทนต่อไปไม่หยุดหนา นำความรู้กลับบ้านงานพัฒนา ขอลูกยาก้าวไปใฝ่กรรมดี สิบแปดปีมีทุกข์สุขไม่ท้อ นิวยอร์คหนอชะตามารศรี มีงานทำมั่นคงทรงความดี พรุ่งนี้มีอะไรไม่หวั่นครวญ คู่ชีวิตไปไหนขอไปด้วย หน้าที่ช่วยกันไปไม่กำสรวล เกิดแก่เจ็บตายไปไม่รัญจวน ชีวิตล้วนกฏแห่งกรรมทำกันมา ชีวิตนี้ลิขิตเองไม่โทษใครหรือสิ่งใด ถ้าไม่ลาออกจากครูที่ได้บรรจุครั้งแรกตอนอายุ 24 ป่านนี้คงได้ดีเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ถ้าไม่ลาออกจากกสท. ป่านนี้คงอยู่ในกทม. มีบ้านในซอยวัชรพล ถ้าไม่ลาออกจากชีวิตครูรอบสอง ป่านนี้คงได้เป็นแม่บ้านปลัดอบต.กับเป็นข้าราชการครู เพราะเป็นคนที่เบื่อง่าย ไม่อดทน หรือเพราะคงมีกร
พ่อบอกว่าย่าจำวันเกิดไม่ได้ ไม่เป็นไรพ่อรู้ปีเพราะมี พ.ศ. เพราะพี่น้องเยอะแยะเหมือนมะละกอ ทำให้พ่อไม่มีวันเกิดเหมือนใครใคร แม้แต่เดือนก็ไม่รู้จริงจริง พ่อบอกสิ่งเหล่านั้นหาสำคัญไม่ แค่รู้ว่าเราเป็นใคร และได้ทำตนเป็นคนดีหรือยัง วันเกิดแม่ฉันซื้อชุดนอนให้ วันเกิดพี่ชายก็ซื้อบ้าง วันเกิดน้องชายมีของขวัญทุกครั้ง แต่วันเกิดพ่อยังไม่เคยให้อะไร นึกทบทวนอย่างลึกซึ้ง จะเข้าใจถึงความรู้สึกพ่อได้ แม้ไม่ต้องการสิ่งของแต่คงน้อยใจ จากนี้ไปจะไม่ให้พ่อเสียใจอีก ขอใช้วันพ่อแห่งชาตินี้ล่ะกัน แบ่งใจฉันออกเป็นสองซีก อีกใจให้พระองค์ท่านและแบ่งปันให้พ่อ แม้จะชดใช้ที่ผ่านมาไม่พอ แต่จะก่อจากนี้..และมีให้พ่อตลอดไป
ความรู้สึกของใจในตัวฉัน หากเปรียบเป็นสีสันคงหลายสี มีทั้งสุขสดใสในชีวี อีกทั้งมีหมองหม่นทนระทม มีคนผ่านเข้ามาหลายประเภท แล้วแต่เหตุแต่ผลคนประสงค์ องค์ประกอบชั่วดีมีดำรง ตามแต่ตรงต้องการอ่านใจเอา หลายคนผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งความคิดจิตใจ ยากใครเหมือน บางคนให้ข้อคิด ติดตรึงเตือน บ้างเป็นเพื่อน เป็นมิตร ชิดเชยชม แต่ยังมีอีกสองท่านฉันรู้จัก ท่านมอบแต่ความรักที่สดใส ให้ทุกสิ่งที่ไม่เคยได้จากใคร ท่านเป็นแต่ผู้ให้ไม่เคยทวง ไม่เคยมีผลประโยชน์ร่วมกับฉัน ท่านเป็นแต่ผู้สร้างสรรค์ไม่ห่างหาย ไม่เคยทิ้งให้ฉันเดินเดียวดาย ทั้งใจกายบอก แม่-พ่อ ขอเทิดทูน
เสียงโทรศัพท์ค่อยๆดังมาตามสาย ทั้งหลานชายหลานสาวให้พาไปดูหนัง เรื่องที่จะดูนั้นก็สุดแสนจะดัง ชื่อของหนังก็คืออยากรักก็รักเลย เลยต้องพาวัยรุ่นไปดูทั้งสองคน คน 3 คนหมดเงินไป สองร้อยสิบ เสียเท่านี้ไม่เป็นไรเรื่องจื๊บจิ๊บ แค่เจ็ดสิบมันก็คุ้มดูหนังไทย ใครรู้สึกอย่างไรผมไม่รู้ เพราะผมดูด้วยสติไม่ไหลหลง ดูแล้วก็คิดสุดท้ายก็คือปลง แล้วก็คงนำมาไว้เพื่อสอนตน คนเรามีรักได้ทั้งชายหญิง เป็นเรื่องจริงที่รับได้ในวันนี้ ขอแค่เพียงความเข้าใจนำชีวี รักที่มีก็คงมีทางที่ให้เดิน
๑.หยดน้ำตาไหลนองเปื้อนสองแก้ม เกินจักแย้ม...สดับยอมรับผล กอรปด้วยเหตุผลักไสเพื่อไกลตน มิอยากยลรอยหมองเข้าครองใจ... ขอผลบุญเคยสร้างทุกปางบรรพ์ คุ้มครองขวัญจงปราศจากหวาดไหว พ้นแคล้วคลาดจากบ่วงผลาญทรวงใน หยุดอาลัย...รอยเกลียวร่วมเกี่ยวพัน... ๒.เนิ่นนานนับกี่กาลขับขานถ้อย ร่วมเรียงร้อยผ่านเพรงบรรเลงฝัน คล้องสายใยจากปี-เดือนเลื่อนสู่วัน กลับแปรผันเคลื่อนคล้อยไร้รอยจำ... ภาพมองเห็นซ่อนเล่ห์ด้วยเสน่หา ม่านพรางตาย้อนยอกหลอกให้หนำ สลับสร้างปราดเปรื่องเพียงเรื่องขำ คิดว่ากรรม...เผาหลอมพร้อมรับมา... ด้วยตราตรึงคำหวานฝากผ่านพจน์ เพียรจารจรดคำโปรยคล้อยโหยหา หยาดน้ำผึ้งประสานพิษเจือฤทธิ์ยา เปรียบหมายฆ่าพร่าผลาญให้ราญรอน... เขาปราศจิตเมตตาปรานีดอก ลอบเวียนป้อนคำหยอกเพียงหลอกหลอน หลอมรสหวานตรึงแน่นสิ้นแคลนคลอน เทียวปลิ้นปล้อนพร่างคำคล้ายย้ำยี... ๓.หัวใจหนึ่งรานแหลกร่วงแตกแล้ว เคยเพริศแพร้วรักหวงเก็บทรวงนี้ อยากเกี่ยวคล้องป้องไว้..ด้วยไมตรี พร้อมยอมพลีด้วยศักดิ์...จำหลักคอย... ดำเนินเรื่องเลือนลางจริงหว่างฝัน ร้าวเคียงขวัญจิตเศร้าปนเหงาหงอย ตระหนักรู้...ใช่เพชรเพียงเกล็ดพลอย จึ่งควรปล่อยคลายเกลียวสิ้นเกี่ยวใด... ตระหนักแน่ "เพียงพบพานเพื่อผ่านภพ" เกินบรรจบ...ร่วมสายลมหายใจ "วาสนา" แนบเคียงเพียงไกลไกล ปราศบ่วงทัณฑ์พันไว้ให้อยู่ครอง... ประจักษ์แล้ว "พบ-พราก" ไม่อยากฝืน ปล่อยวัน-คืน เลือนลับ ยอมรับหมอ
การศึกษาพัฒนาไม่หยุดยั้ง ส่งเสริมพลังก้าวไปไม่ขัดขวาง ไม่แบ่งแยกสัญชาติที่วาดวาง สนับสนุนอย่างเป็นธรรมผลกรรมดี ความขยันหมั่นเพียรเรียนเพื่อสร้าง สังคมกว้างโลกนี้มีศักดิ์ศรี อุตสาหะละชั่วตัวราคี บาปกรรมมีอยู่จริงทุกสิ่งไป นำความรู้มาใช้ให้ประโยชน์ ไม่ก่ิอโทษทำร้ายได้สดใส ช่วยสังคมสากลหนหางไกล เผื่อแผ่ใจให้กว้างอย่างเมตตา ลูกผู้พี่ผู้น้องเราต้องสู้ เกิดมารู้หน้าที่มีมากหนา ก้าวตามไม่หลงผิดคิดเสพยา ความชั่วอย่าข้องเกี่ยวไม่เหลียวแล พ่อแม่นั้นรากเหง้าเราอิสาน แม้ห่างบ้านจากทุ่งมุ่งกระแส ส่งลูกหลานด้วยใจไม่เชือนแช ไม่ยอมแพ้อุปสรรคที่ทักทาย วันนี้ยังไม่พ้นบนหน้าที่ ทุกคนมีความฝันอย่าพลันหาย แม้เหนื่อยยากสู้ต่อไม่ท้อกาย ตราบวันตายกุศลผลบุญมี ลูกสาวคนโตมีจุดมุ่งหมายในชีวิต เหมือนกับลูกผู้พี่(ลูกชายของพี่ชายอนงค์นาง)ที่เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง ลูกฝันที่จะเรียนต่อแพทย์ในปีหน้าให้ได้ อยากเดินทางไปช่วยผู้คนทั้งเมืองไทยและนานาชาติเพื่อการกุศล พ่อแม่ขออวยพรให้ลูกประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนา เราจะก้าวไปด้วยกันเป็นทีมที่ต้องทำฝันให้เป็นจริง ลูกผู้พี่ G.. K..... M.D. is a CHOC Children’s Specialists Hospitalist who completed his residency training and currenlty serves as Chief Resident Liaison and Clinical Instructor at UC Irvine, California. He attended medical school at SUNY Downstate Co