กลอนข้อคิด

...ฉันยังเฝ้าดูเธอเสมอ...

dark side of mind


   เธอไม่เคยเลยนะ...จะหยุดนิ่ง
พาฉันวิ่งพล่านไปไม่หยุดหย่อน
เธอยิ่งรีบเร่งรุดไม่หยุดจร
จนฉันอ่อนล้าเกินจะเดินตาม
   ทิ้งฉันไว้ตรงนี้เถอะที่รัก
ฉันขอพักผ่อนใจที่ไหวหวาม
หยุดทะยานอยากใคร่ในรูปนาม
ปล่อยใจชมความงามในยามเย็น
   ดูตะวันตกดินสิ้นกำแหง
มอบสีแสงสุดท้ายก่อนวายเว้น
ฉันจะจูงหัวใจที่ไหวเอน
ไปเดินเล่นเพื่อยลแสงสนธยา
   ผืนฟ้าเริ่มหมองคลำ้ดำมืดมิด
ไม่มืดเท่าดวงจิตแห่งมิจฉา
ฉันจะหลับเพื่อตื่นจากอัตตา
ทิ้งเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ฝังใจ
   เธอผู้ยังรีบรุดไม่หยุดวิ่ง
ฉันจะนิ่งมองเธอมิเผลอไผล
เพียรเฝ้าดูรู้ละทุกขณะไป
เพราะสุขใดไหนเล่า...เท่าปล่อยวาง

ยิ้มสู้คน

แค่ปลายปากกา


ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม กับรอยน้ำตา
ดูเหมือนไม่มีค่าเสียสุดแสน
ยิ้มบางๆ ให้คนที่ดูแคลน
อย่าไปแค้นโกรธเคืองให้เปลืองใจ
หากใจเราไม่สนไม่ได้แคร์
เค้าก็แค่ต้นไม้ที่พริ้วไหว
ไม่กระทบกระเทือนถึงทรวงใน
จะสนใจอะไรกับใจคน
อย่าเอาทุกข์มาเพิ่มทุกข์
หัดที่จะสุขบ้างในบางหน
อย่าลืมว่าเราเองแค่เป็นคน
เขาก็คนสนอะไรให้มากมาย
(ไม่ใช่คูโบต้า หรือสี อ่ะ ถึงทนได้อิๆๆ อย่าได้แคร์)

*นกเขาพ่อ*

บนข.


พ่อเราชอบนกเขามานานนัก
ว่างจากงานพ่อไม่พักดักนกเขา
กรงมากมายรายเรียงเคียงบ้านเรา
พ่อไม่เหงานกเขาขันสนั่นไป
นกเขาขันพ่อเรานั้นมีความสุข
จู้ฮุกกรู  กุกๆ  ได้ยินไหม
พ่อดีดมือนกเขาคูเหมือนรู้ใจ
นกเขาใครไม่เทียบเท่า...นกเขากู
พ่อเคยเลี้ยงไก่ชนชอบชนไก่
อีกวัวชนนั่นก็ใช่เลี้ยงไว้สู้
ทั้งบ่อนวัวบ่อนไก่พ่อไปดู
เกมส์กีฬาของคู่นักสู้คน
มาบัดนี้ไก่ชนวัวชนนั้น
พ่อเลิกมันเด็ดขาดไม่อาจสน
แต่นกเขาขังกรงคงมีมนต์
จู้ฮุกกรู...พ่อดั้นด้นเสาะหามา
พ่อเราชอบนกเขามานานเนิ่น
พ่อย่ำเดินไม่ท้อต่อนกป่า
นกเขาใดส่งเสียงในวนา
พลาดเสียท่านกต่อล่อติดกรง
นางนกต่อล่อนกป่ามาติดกับ
เสรีภาพย่อยยับเพราะลุ่มหลง
รูปและเสียงนางนกต่อ...พ่อบรรจง
จับขังกรงกลับบ้านสำราญใจ
จู้ฮุกกรู  กุกๆ  จู้ฮุกกรู
นกเขาคูส่งเสียงสำเนียงใส
นกเขาขันมันคงฝันถึงพงไพร
เสรีภาพยิ่งใหญ่ไพรพนา
มันขันอยู่ในกรงคงมีสุข
หรือมีทุกข์ท่วมท้นจนผวา
นกเขาไพรอยู่ในดงติดกรงมา
พ่อยิ้มร่าเริงเร่า...นกเขากู...

สึนามิอวิชชา..สิถาโถม !

ศรีสมภพ


มนุษย์โลก.. ยังโศกสุขทุกถิ่นที่
อาจเหลื่อมล้ำตามวิถี ที่หลากหลาย
ธรรมชาติ จัดวางต่างกันไป
ดีหรือร้าย ภัยย่อมมี ..ไม่หนีกัน
พิศวง “ วงแหวนแห่งไฟ ” ในแปซิฟิก
แผ่นพื้นพลิก คลาดเคลื่อนสะเทือนลั่น
มีรอยปริเปลือกโลกโยกเหลื่อมกัน
แผ่นหินเลื่อน เคลื่อนสนั่น สะท้านปฐพี !
วงแหวนแห่งไฟ..  ในรูปเกือกม้า
ชนผู้กล้า “ซามูไร” ไม่คิดหนี
แขวนชีวิตบนเส้นด้ายไม่หลีกลี้
คงชีวี.. มีวินัยไม่เหลิงตน
สึนามิ ..แผ่นดินไหวภัยมหันต์
หัวใจแกร่งร่วมแรงกันเพื่อผ่านพ้น
ใครเข้มแข็งเข้าอาสา เสนอตน
เป็นเผ่าชนที่ทนสู้ ..อย่างผู้กล้า
มนุษย์โลก.. แม้โศกสุขทุกถิ่นที่
ร่วมผืนผองรวมน้องพี่กันดีกว่า
ลูกพระอาทิตย์คิดได้ไร้ปัญหา
อุ้มชาติฝ่าให้ยังยง.. ยอมปลงตน !
เมืองฟูกุชิมะ .. อาการหนัก
นิวเคลียร์ร้ายไหลทะลัก ทะลุล้น
ด้วยหัวใจวินัยแกร่งแห่งชาติชน
จึงผ่านพ้นวิบัติภัยอันใหญ่หลวง
มองเราบ้าง ช่างโชคดีมีถิ่นฐาน
จากเก่ากาลห่างพาลภัยไม่มีห่วง
หลงระเริง เหลิงใจข้างในกลวง
ต่างก้าวล่วง.. โต้ตีกันสนั่นโลกา
สึนามิอวิชชา ..ถาโถมหนัก
เลวทะลัก ผลักชาติล้มจมปัญหา
มองญี่ปุ่น มองตัวเราเท่ากันนี่หว่า
แต่ใจต่างห่างนักหนา.. น่าอายจัง !
อุทาหรณ์สอนใจ.. เผื่อได้คิด
เดินทางผิด คิดกันใหม่ใช่หมดหวัง
เลิกยุแยกแตกฝักฝ่าย  ระไวระวัง
เอาญี่ปุ่น ..เป็นแบบอย่างสร้างวินัย !
***************************************************************
๑๑ มี.ค. ๕๕
รำลึก คร

ยอดหญ้าเบนเอนไหวในความว่าง..

ประภัสสุทธ


๏ สงบเย็นเห็นโลกโบกศานติ
ชั่วขณะสมาธิสติตั้ง
ละเลื่อมเงาเทาแสงแสดงพลัง
ฉายมนต์ขลังหยั่งยอดหญ้าระย้างาม
 
๏ สดใหม่ใสกระจ่างสว่างจิต
ความคิดดิ้นติดกับกับคำถาม
จะหยุดยื้ออย่างไรไว้ในความงาม
ทุกโมงยามยอดหญ้ายังงามอยู่
 
๏ ลองหยุดย้อนความถามตนก่อน
คำสอนเรื่องความงามตามความรู้
ถูกถกความตามสังคมชมเชิดชู
ต่างตีความตาม "ตัวกู" รู้ว่างาม
 
๏ งามงดหมดจดจิตบรรเจิด
พิเลิศเพลิดเพลินเกินมองข้าม
ขาวใสไร้ริ้วรอยพลอยเพ้อตาม
นี่คือความงดงามตาม "จิตกู"
 
๏ ลองหยุดย้อนความถามตนก่อน
กาพย์กลอนสอนใจใยถึงรู้
ดั่งภาษิต " กูคิด จึงมีอยู่ "
จิตจึ่งกระโจนสู่การยึดติด
 
๏ ชั่วขณะถนัดนึกตึกตรองชัด
กระบวนทัศน์สลัดทิ้งพึ่งพิงจิต
ปล่อยปลด ลด ละ วาง สางความคิด
สิ่งใดใดใช่ถูกผิดจิตปล่อยวาง
 
๏ ปล่อยวางว่างห่างจากตัวตน
เลิกหาล่าเหตุผลมาก่นอ้าง
เผชิญพบทบทวนด่วนปล่อยวาง
อย่าเก็บกักถักถ่างทางอารมณ์
 
๏ แล้วโลกจะสงบพบสันติ
ชั่วขณะสมาธิที่เหมาะสม
ผลิโผล่โตเติบจากเปือกตม
จักบานบ่มห่มโลกให้ร่มเย็น
 
๏ ยอดหญ้าอ้าบานเบ่งเร่งเหี่ยวเฉา
สีสันบั่นบรรเทาทุกสายเส้น
แตกตายสลายรวงร่วงกระเด็น
ความงามที่แลเล่นล้วนลวงเรา
 
๏ จึงจับจิตจดจ่อปัจจุบัน
สติสงบมั่นกลั่นความเขลา
สว่างสัจธรรมนำร่มเงา
เปิดม่านบ้านจิตเก่าเกิดสุขเย็น
 
๏ สงบเย็นเห็นโลกโบกศานติ
ชั่วขณะสมาธิจิตชัดเด่น
ละเลื่อมเงาเทาแสงแสดงเล่น
ยอดหญ้าเบนเอนไหวในความว่าง !!!

รัก จงรักอย่างมีสติ...!

ลานเทวา


บางรู้สึกอ่อนไหว ผ่านวัยเขลา
ดอกรักเจ้าผลิงาม บนความฝัน
เพียงครู่ใคร่ในชื่น พ้นคืนวัน
ใช่สำคัญในตระหนัก การถักทอ
ค่านิยมกลายกลับ ความรู้สึก
บางสิ่งเร้นซ่อนลึก มิอาจก่อ
สัมพันธ์รักชั่วครั้ง มิรั้งรอ
พาเริงร่านพล่านพะนอ พึงพอใจ
ผิวเผินเพียงพบพาน แล้วผ่านพ้น
รักเอย รักสับสน อยู่หนไหน
กามเทพล้อเล่น วาเลนไทน์
รักอย่างไร หรือเจ้า ที่เฝ้ารัก
อาจแปลกใหม่ วัยวันความฝันเจ้า
เจือด้วยความโง่เขลา ไม่รู้จัก
วาดความหมายหมดจด งดงามนัก
จึงมอบภักดิ์ หลงพลั้งทั้งใจกาย
จากเสี้ยวสุขสมหวัง เพียงครั้งครู่
สร้างความรักแปลกดู มีความหมาย
ข้ามอารมณ์ผ่านลับ รักกลับกลาย
โลกทั้งโลกปานทะลาย จมน้ำตา
แค่วัยวันผันผ่าน การลิ้มรส
กลีบกุหลาบงามหมดจด ปรารถนา
วันนี้รัก อาจรุ่งพรุ่งนี้ลา
เพราะความรักผ่านพา ไม่แน่นอน
…………………
โดยคำ ลานเทวา
เพราะความรัก มักเป็นทุกข์
อย่าหลงเพลินสนุก กับมันนัก....
แม้ค่านิยมอันเพี้ยนแผกจักคอยฉุดรั้งให้พลั้งพลาด
จากความไม่ฉลาดแห่งวัย
ก็ยังขอเป็นกำลังใจให้เด็กๆ รุ่นใหม่
ผ่านพ้นวันแห่งความรักด้วยใจที่เป็นสุข

แก่หนึ่งปีสั้นหนึ่งปี

สุนทรวิทย์


อีกหนึ่งปี  ล่วงไป  นึกใจหาย
ปีกลายคล้าย  พริบตา  พึ่งลาผ่าน
วัน,เวลา  ผาดผัง  ดังสายธาร
อายุกาล  ชรา  มาอีกปี
เด็กรุ่นเยาว์  เข้มแข็ง  แกร่งกว่าเก่า
ส่วนผู้เฒ่า  กลับร่วงโรย  โหยแทนที่
สังขารคน  เราหนอ  ก็เท่านี้
ทุกนาที  เปลี่ยนไป  ไม่คงทน
แก่หนึ่งปี  สั้นหนึ่งปี  ผองชีวิต
มิมีสิทธิ์  อุทธรณ์  วอนเหตุผล
เมื่อยังอยู่  กาลัญญู  รู้ผ่อนปรน
อย่าจำนน  พ่ายแพ้  แก่อามิส
ปีเก่าสร้าง  ประโยชน์  หรือโทษไว้
ลองถามใจ  ใคร่ครวญ  ทวนจริต
สิ่งใดพึง  แก้ไข  ใช่เพียงคิด
เร่งพินิจ  ขยับ  ปรับปรุงตน
ทำปีใหม่  ให้ดี  เหนือปีก่อน
บุญจะย้อน  ทำนุ  เกิดกุศล
ขอพรเทพ  เทวา  เมตตาดล
มอบปวงชน  พูนสุข  ทุกปีเทอญ

กลอนคำคม 2 ความรู้เหมือนชุดชั้นใน

พจนา


๐ อันความรู้ เปรียบเหมือน ชุดชั้นใน
ควรสวมใส่ แต่ว่า อย่าอวดเขา
อาจจะถูก ครหา ว่าโง่เง่า
ถ้าเจอะเข้า กับคน ที่รู้มากกว่า
เหมือนใส่ชั้นในโชว์ แล้วเจอคนหุ่นดีกว่า
คำคม : ความรู้เหมือนชุดชั้นใน
ควรสวมใส่แต่ไม่ควรโอ้อวด (ควรถ่อมตน)

สายเสียแล้วที่รัก

คนกรุงศรี


สุริยัน นั้นส่อง ต้องภิภพ
หมายจะลบ พวกเรา เผาให้หมด
แผ่รังสี สาดไป ไม่ละลด
กะกำหนด วันตาย ให้มนุษย์
ร้อนแรงพา ป่าไม้ ไฟท่วมลุก
กลียุค กล้ำกราย ใกล้ถึงจุด
แผ่นดินไกว ไหวถล่ม เมืองจมทรุด
กระชากฉุด ชีวา คนลาลับ
พายุพัด จัดจ้าน สะท้านทิศ
ฟ้ามัวมิด พิรุณ หมุนแปรปรับ
เทเป็นสาย ธารา คณานับ
ก็ถึงกับ ท่วมท้น จนจมมิด
ที่เมืองหนาว ร้าวนะ หิมะหมก
น่าวิตก ฤดูกาล มันผันผิด
ธรรมชาติ รุนแรง มันแผลงฤทธิ์
ไม่มีสิทธิ์ หยุดยั้ง นั่งทนทุกข์
เกิดอะไร ขึ้นเล่า โลกเราน่ะ
หรือว่าจะ สิ้นวัน สันติสุข
โลกยับเยิน มากมาย มาหลายยุค
ยากปรับปลุก พลิกฟื้น คืนให้ครบ
ทำโลกเลอะ เปรอะป่น คนลืมหลง
มินานคง ถึงขั้น เจอวันจบ
ถึงมีจิต คิดหวน นั่งทวนทบ
แม้บวกลบ คูณหาร ป่วยการคิด/font>

เราเรียนไปเพื่ออะไรใครบอกที ?

ประภัสสุทธ


๏ ฉันเป็นนักศึกษาปัญญาชน
ท่ามกลางทางสับสนคนแบ่งสี
หลอมหล่อและล่อหลอกหลายคัมภีร์
ถูกบ่มในเบ้านี้ "มหาลัย"
 
๏ "มหาลัย มหาหลอก" กลอกกลับคำ
จับจองจำกับตำราน่าสงสัย
ครุ่นคำถามนิยามตามจิตใจ
"
เราเรียนไปเพื่ออะไรใครบอกที ? "
 
๏ เพื่อก้าวผ่านประสบการณ์กร้านความคิด
เพื่อพ้นพรากจากชีวิตโง่งมนี้
เป็นนักปราชญ์ปราดเปรื่องปัญญาดี
แหละกดขี่คนโง่โตต่อไป
 
๏ เพื่อสำเร็จเสร็จได้ใบกระดาษ
ประกาศโชว์โอ่สังคมนิยมใหญ่
สมัครงานผ่านสบายหมายมั่นใจ
มีรายได้ใช้จ่ายถ่ายชีวิต
 
๏ เพื่อประโยชน์โพดโผยผลผู้เกื้อ
เพื่อเป็นเนื้อเชื้อเพลิงผู้ผลิต
เป็นแถวทาสนายทุนตุ๋นความคิด
สู่สายพานการผลิตติดกับดัก
 
๏  เพื่อรับใช้ไฟฝันฝั่งมวลชน
สละตนติดดินสิ้นยศศักดิ์
สานฝันอุดมการณ์ด้วยความรัก
ยืนปักหลักชัยใน
"หมู่บ้าน"
 
๏ หรือเรียนเพียรเขียนอ่านตามระบอบ
ท่องตำราบ้าสอบตอบโวหาร
จดบันทึกทุกคำจำหลักการ
จมปลักดักดานอ่านหนังสือ
 
๏ คำตอบมอบให้เธอบำเรอคิด
ค้นหาทั้งชีวิตที่เธอถือ
อีกทางคือวางปล่อยลอยตามสื่อ
"
คำตอบฉันชอบคือ จุด จุด จุด "
 
                                                      4
สิงหาคม 2556

แสงสว่างชีวิต

ยาแก้ปวด


อยู่บนดอยคอยฟ้ามาหุ้มห่ม
รอฟ้าลมสั่งมาพาถึงฝัน
ผีฟ้าเจ้าปัดเป่าหมู่เฮากัน
ผีฟ้านั้นสั่งสอนแต่ก่อนมา
ผูกวิญญานหมู่เฮากับต้นไม้
จะแตกหน่อก่อใบในภายหน้า
ทุกต้นไม้ที่เฮาปลูกฝังมา
คือวิญญาปลูกสร้างจากหัวใจ
หลับตาเถิดลองฟังเสียงของป่า
นกหริ่งหรีดแว่วมาได้ยินไหม
เสียงต้นไม้พัดหวิวปลิวลมไป
ได้ยินไหมธรรมชาติที่เราลืม
แสงเสียงสีเมืองกรุงรุ่งวิไล
นวัตกรรมไฉไลที่เขาปลื้ม
ความเจริญก้าวหน้าพากันลืม
มัวแต่ปลื้มสิ่งกรวงลวงหลอกมา
ไฟสว่างบางดวงอยู่บนดอย
เพียงต้นเดียวแม้น้อยก็มีค่า
เพราะอย่างน้อยส่องทางสว่างพา
แต่มีค่าส่องสว่างกลางฝูงชน
แล้วคุณหล่ะเจอไหมไฟสว่าง
ที่เปิดทางให้เห็นทุกแห่งหน
เปิดให้เห็นชีวิตค่าของคน
มีตัวตนบนโลก..เพื่ออะไร..!!
บทส่งใจ
" ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การเรียนรู้
แต่มันอยู่ที่เรานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับมวลมนุษย์ด้วยกัน"

"อย่าพูดไป"

กวีปกรณ์


อันนินทากาเลลิเกฉาว
ตอกไข่เขียนข่าวคอยใส่สี
มุสาวาทา เวรมณี
ท่องได้ถือว่าดีออกถมไป
ต่อความให้ยาวสาวก็ยืด
พอฟังชืดก็เพิ่มช่วยเติมให้
ความจริงบวกลบจบเข้าใจ
มันง่ายเกินไปให้หารคูณ
"จะดีเหรอ" "จริงไหม" "ใช่หรือเปล่า"
"เรื่องมันยาว..." แต่ก็เล่าเริ่มจากศูนย์
ปากจึงเริ่มปราศัยน้ำใจเพิ่มพูน
จนจบบริบูรณ์ "อย่าพูดไป"
แล้วเหล่าลูกขุนก็ขึ้นแท่น
ลงคะแนนถูกผิดเริ่มคิดให้
ศาลเตี้ยจึงตั้งระวังไว
พิพากษากันไปตามใจตัว
พอนักข่าวสมัครเล่นตกเป็นข่าว
เรื่องสั้นสั้นเล่ายาวจนปวดหัว
แท้จริงแค่น้ำกลิ้งบนใบบัว
น้ำก็วิ่งไปทั่วบนบัวใบ
พอไอแดดแผดแรงน้ำแห้งลง
ความเขียวกลับยังยงอย่าสงสัย
ธรรมดา ธรรมชาติ ช่วยสอนใจ
ยากคนใดหลีกพ้นเตือนตนเอง

๏ ผู้รอคอย ๚ะ๛

บินเดี่ยวหมื่นลี้


๏ ตาฝ้าฟางย่างย่ำก็ลำบาก
คราเจ้าจากเรือนเหย้าแม่เฝ้าหวัง
สักวันหนึ่งเจ้าย้อนมานอนรัง
สู้หน้าตั้งตาคอยเกินร้อยวาร
เจ้าเติบโตเติบใหญ่ในหน้าที่
เกียรติศักดิ์ศรีมากล้นหลากคนขาน
ห้อมล้อมด้วยเสพสิ่งศฤงคาร
บริวารคัดสรรให้บัญชา
ปฏิทินขีดฆ่าคราวันลับ
เฝ้านั่งนับเพ็ญแรมแกมเวหา
ไตรจีวรลริขารปีผ่านมา
ล่วงพรรษาอีกหนแม่ทนรอ
ไม้ไกล้ฝั่งจักยืนกี่หมื่นหน
ก้าวย่างบนวงกรรมซ้ำซ้ำหนอ
มีสิ่งเดียวน้อยหนึ่งก็พึงพอ
แม่เพียงขอเห็นสีชายจีวร
มิได้ทวงบุญคุณให้ขุ่นจิต
ก่อนชีวิตหยุดนิ่งท่ามสิงขร
เหลือซากเถ้าผุพังยังกองฟอน
แม่ขอวอนลูกคืนได้ชื่นชม
ทรัพย์สมบัติมรดกแม่ยกให้
ขอน้ำใจมิมากหากเหมาะสม
บวชแทนคุณมารดาค่าน้ำนม
ก่อนแม่ล้มร่างลับมิกลับมา
หากมิทันดูใจด้วยไกลห่าง
ยามซากร่างแม่รั้งเพียงมังสา
หมดสิ้นปราณลงโลงโยงศาลา
ขอสักครา...บทสวด.." บวชหน้าไฟ " ๚ะ๛

แด่...และด้วยรัก

เปลวเพลิง


วันนี้นำบทกลอนเก่าๆของคุณจินตนา  ปิ่นเฉลียวมาฝากครับ  ให้ข้อคิดดีมากๆเลย  แล้วก็เพราะมากเช่นเดียวกันครับ
จึงฝากคำย้ำไว้ให้เตือนจิต
เพื่อนเคยมีใจคิดสักนิดไหม
ชีพเกี่ยวเส้นเป็นข่ายทอสายใจ
สอดสายใยร้อยผสมสังคมคน
ด้วยสายจิตพิศวาสวิลาศนี้
ถักชีวีเป้นข่ายรายทั่วหน
ข่ายใจจักถักจนแกร่งด้วยแรงชน
แต่จะป่นถ้าแยก...แตกสามัคคี
เรามีรัก  ภักดิ์  อภัย  เป็นใยเหนียว
พันเป็นเกลียวก่อกมลจนสุขศรี
ตราบความรัก  ภักดิ์  หวัง  เรายังมี
สังคมชีวิตไม่ประลัยลาญ
แต่ถ้าแม้นมนุษย์ชาติที่กาจกล้า
มุ่งมาฆ่ากันก็เห็นเป็นวิตถาร
เหมือนแหกข่ายสายรักให้หักราน
ซึ่งเหมือนการฆ่าตัวของตัวเอง
นานเท่าใด...ตราบใยรักถักข่ายชีพ
เหนียวจนบีบคั้นปรามทรามข่มเหง
นานเท่านั้น...โลกสุขสันต์สิ้นหวั่งเกรง
เพราะละเลงด้วยรักไม่ใช่เลือดคน

ถิ่นกาขาว

สีเมจิก


อีกาดำ ธรรมดา ตามองเห็น
สิ่งนั้นเป็น ปกติ มิผิดเพี้ยน
กาลสมัย บรรจบ ครบรอบเวียน
สมเด็จฯ เขียน จารึกร้อย ฝากถ้อยความ
ช่วงเวลา ถิ่นกาขาว ในราวนี้
ผู้คนมี ความเห็นผิด น่าคิดถาม
มองอีกา ตัวมืดคล้ำ ดำวับวาม
พิศว่างาม ขาวดังหงส์ น่าปลงใจ
เห็นสีดำ เป็นขาว ราวสวรรค์
หมื่นร้อยพัน อวิชชา มาครอบไว้
กระเบื้องแผ่น ฟูฟ่อง ล่องลอยไป
น้ำเต้าไหล ถอยจมลง ในคงคา
ผีโขมด จากป่าวิ่ง สิงสู่เมือง
คนเล็กเขื่อง ทำโตใหญ่ ได้พรรษา
ปราชญ์บัณฑิต เดินถอยร้าง ห่างเมืองมา
มุ่งเข้าป่า หาธรรมะ ประดับตน

คน ช้าง ป่า

ป๋อง สหายปุถุชน


เวิ้งฟ้าตะวันฉายไกลสุดตา
พงพนากว้างใหญ่ส่องฉายแสง
พืชพันธุ์ไม้พงไพรฟ้านวลแดง
ทั่วทั้งแปลงเติบใหญ่ให้ร่มเงาแสงรำไรส่องผ่านลานโคนต้น
บ้างออกผลแตกหน่อริมโคนเขา
สัตว์น้อยใหญ่อาศัยนอนแนบเนา
มนุษย์เราทำลายป่าไม้งามทั้งไฟป่าเผาผานกันวอดวาย
ไม้ล้มตายสัตว์สูญหายดูรุกราม
ป่าไม้แห้งดินแล้งดูเสื่อมซาม
ก็เพราะความเห็นแก่ได้ของใครกันดูช้างป่าออกหากินพืชไร่
คนถางไถป่าไม้กันทุกวัน
ตัดเตียนโล่งทำลายใช้เลื่อยหั่น
ขุดโค้นฟันปลูกพืชไร่เลื่อนลอยจนมีข่าวอื้อฉาวคนกับช้าง
เดินสวนทางช้างป่าต้องล่าถอย
ต่างต้องกินต้องอยู่ป่าริมดอย
ป่าเหลือน้อยช้างป่าออกหากินรุกแนวป่าเข้าไปทำไร่สวน
ป่าไม้จวนสูญไปเหลือแต่ดิน
ช้างอดหิวต้องออกระลานถิ่น
ฝนหลั่งรินดินโคลนฟังทลาย

ขอโทษ..ประเทศไทย

ยาแก้ปวด


ประเทศไทย
สุดที่รักรวมหัวใจของไทยผอง
บัดนี้พี่น้องขาดปรองดอง
ละลืมผองเลือดไทยใจเดียวกัน
ประเทศไทย
บรรพบุรุษพลีชีพให้หลอมปลุกปั้น
บัดนี้ลืมเลือดหลั่งเพื่อใครกัน
ลืมสร้างฝันสร้างชาติเพื่อชาติไทย
ประเทศไทย
บอบช้ำเท่าไหร่ไทยรู้ไหม
ร่ำร้องค้นหาประชาธิปไตย
มีกี่ไทยที่เข้าใจใฝ่หามัน
ประเทศไทย
ไม่ใช่ของหนึ่งใครไล่ล่าฝัน
แต่เป็นของพวกเราจะสร้างวัน
ใยลืมฝันลืมบรรพบุรุษดุจไม่มี
ประเทศไทย
หยุดเถิดหยุดทำร้ายจากวันนี้
หยุดทะเลาะหยุดสู้หยุดซะที
หยุดทำร้ายธรณีที่เกิดมา
ประเทศไทย
คงไม่ไร้หมดสิ้นวาสนา
คงไม่ยอมให้อำนาจของเงินตรา
มีค่ากว่าสายเลือดไทยด้วยกัน ...(ใช่ไหม?)
MV โดนๆ
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=H-NySQl7VJ0