กลอนข้อคิด

* ต่างๆ *

บนข.


เราต่างคนต่างเกิด
ต่างเตลิดเวียนว่ายบ่ายถลำ
ในวังวนว้างเวิ้งแห่งเพิงกรรม
ดีชั่วนำสืบขันธสันดาน
กรรมสืบต่อสืบกอแห่งกิเลส
ล้วนอาเพศรวนรุมให้รุ่มร่าน
วิบากซ้ำกรรมซัดวิบัติปาน
อยู่ตราบกาลเนิ่นนานกี่กาลกัลป์
เราต่างตนต่างแก่
ต่างย่ำแย่ย่อยยับอยู่อย่างนั้น
ในความหนุ่มความสาวอันพราวพรรณ
ชะราคอยโรมรันร่ายริ้วรอย
ชะรารับประทับรอยชะราแล้ว
ไร้วี่แววหนุ่มสาวก็เศร้าสร้อย
อีกฟากฝั่งมรณาชะราคอย
สืบเท้าค่อยเคียงคู่อยู่เป็นเงา
เราต่างคนต่างตาย
ต่างทอดกายก่ายกองล้วนของเน่า
ไหนละเพื่อนญาติมิตรสนิทเรา
นอนเงียบเหงาซบดินอยู่เดียวดาย
เห็นแต่หนอนชอนเจาะเข้าเกาะกลุ่ม
แล้วรื้อรุมเนื้อหนังพังสลาย
สู่ที่พักพึ่งพิงทุกหญิงชาย
นอนแทรกกายซบร่างกลางผืนดิน
เราต่างคนต่างต่าง
เพราะกรรมจัดสรรสร้างมิสร้างสิ้น
กรรมใดใครก่อก็รอริน
ผลอาจิณแจกจ่ายตามสายกรรม
จึงต่างคนต่างจิตต่างคิดต่าง
วัฏฏะทางต่างคนต่างด้นย่ำ
ต่างเกิดแก่เจ็บตายวอดวายยำ
อยู่ซ้ำซ้ำแทรกซบทุกภพภูมิ....

ดีและร้าย

แก้วประภัสสร


เก็บอักษรทุกคำเรียงลำดับ
มานั่งนับเล่นเล่นเน้นความหมาย
ว่าคิดถึงซึ้งกันมันมากมาย
เป็นสหายมิตรรักของนักกลอน
มีข้อความแปะวางอย่างห่วงห่วง
หมดคำลวงอ่านได้ในอักษร
มีภาพกอดกันกลมพร้อมชมกลอน
บ้างอวยพรสุขขีจงมีชัย
มีรอยยิ้มเหยอกเย้ากระเซ้าแหย่
มีรักแท้ให้กันไม่หวั่นไหว
เหมือนหยุดโลกโศกห่างอย่างวางใจ
เกิดขึ้นในทุกครั้งที่นั่งมอง
แต่ละวันแสนดีเป็นที่สุด
ไม่อยากหยุดร่วมทางหรือห่างผอง
อยากเลือกลมหายใจตามใฝ่ปอง
เห็นเพื่อนพ้องพร้อมหน้าเฮฮากัน
เราไม่อาจเลือกได้แต่วันดี
กระโดดข้ามวันที่เลวร้ายนั้น
ลมหายใจเข้า้ออกแต่ละวัน
ดีไม่ดีปนกันเช่นนั้นไป
เมื่อไม่อาจเปลี่่ยนร้ายกลายเป็นดี
เราปรับตัวเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่
มองทุกอย่างง่ายง่ายสบายใจ
มีสติตั้งไว้เพื่อใช้งาน
แก้วประภัสสร

เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งควรพึงใจ

jojo24


สุนทรภู่ครูกวีมีคำกล่าว
ถึงเรื่องราวกิริยาอัชฌาสัย
“เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ
ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์”
เป็นครึ่งหญิงครึ่งชายต้องอายหรือ
หากยึดถือสร้างความดีที่เหมาะสม
ใช้ชีวิตอย่างภูมิใจในสังคม
ไม่ต่ำตมชายหญิงครึ่งควรพึงใจ

"ล้ำเส้น"

ลูกหว้า


"ล้ำเส้น”ไม่เป็นไร ถ้ารู้จักการถอยออกมา
ความสนิทกัน นำเรื่องดีๆมาสู่ชีวิตเราหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใด เมื่อสนิทก็เกิดความไว้ใจความเชื่อใจ
และความสบายใจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันและแชร์หลายๆอย่างร่วมกัน
แต่ก็เป็นเพราะ “ความสนิท”เดียวกันนี้แหละ
ที่เหรียญอีกด้านหนึ่งคือ...สามารถทำร้ายกันได้ง่ายขึ้น...
เหมือนลิ้นกับฟัน เหมือนช้อนกับส้อม
ที่พอใกล้ก็ง่ายที่จะกระทบ
เปรียบเช่นวงกลมสองวง
เป็นไปได้เสมอที่จะเคลื่อนมาล้ำเส้นกันเอง
ด้วยบางทีต่างคนก็ต่างลืมว่าในความสนิทนั้น
ไม่ได้หมายความว่าเราควรก้าวก่ายทุกเรื่องในชีวิต
ถามไถ่ ต่างจาก การสอบปากคำ
โทรหาต่างจากโทรจิกโทรตาม
และเมื่อเหตุการณ์ “ล้ำเส้น”เกิดขึ้น
ก็จะเกิดความอึดอัด ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ความไม่เข้าใจ
และบางทีก็ก่อให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์นั้นๆ
แต่ถ้าถามว่า...นี่คือเรื่องร้ายแรงที่สุดไหม?
คำตอบคือไม่
ซ้ำยังถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ช้อนกับส้อมย่อมเผลอกระทบกระทั่งกันได้
แม้เราจะระมัดระวังเพียงใดก็ตาม
ประเด็นที่สำคัญคือทันทีที่ฝ่ายหนึ่งล้ำเส้น
ต้องรู้จักการขยับก้าวถอยออกมา รู้จักที่จะขอโทษและพร้อมจะคืนพื้นที่ให้
ส่วนตัวอย่างเคารพ ไม่ใช่ดึงดันที่จะล้ำเส้นยิ่งขึ้นไปอีก
ด้วยไม่ว่าจะเป็นความรักแบบใด ความรักที่แท้จริงย่อมไม่ใช่การยึดครองโลกทั้งใบของอีกคน

หยกในหิน

อินทนนท์(คนเชียงใหม่)


หยกในหิน
มีก้อนหยกถือกำเนิดเกิดในหิน
เป็นก้อนดินสิ้นคุณค่าราคาของ
ไม่มีใครเอาใจใส่อยากได้ครอง
เพียงแค่มองของต่ำค่าราคาดิน
เมื่อทุบหินจึงจะเห็นเป็นก้อนหยก
เพราะดินรกปรกคุณค่าราคาหิน
พอหินแตกก็แยกหยกตกลงดิน
จึงเห็นหินกินก้อนหยกที่ตกตาม
ถึงแม้นเห็นว่าเป็นหยกตกตรงหน้า
แต่คุณค่าหาใช่เป็นเช่นคำถาม
หยกที่เปรอะเลอะด้วยดินสิ้นความงาม
ต้องใช้น้ำชำระล้างอีกทางทำ
เปรียบเช่นคน..ตนไหน…ดูคล้ายหิน
คล้ายก้อนดินสิ้นคุณค่าดูน่าขำ
โดนดูถูกว่ารูปชั่วเนื้อตัวดำ
ไม่อาจนำล้ำหน้ากว่าผู้ใด
เมื่อรู้ตนชนชาติปามาตรต่ำ
แต่เฝ้าทำตามจิตนิมิตรหมาย
พัฒนาตัวตนฝึกฝนไป
จึงเปรียบคล้ายสลายหินที่กินตน
ฝึกแค่ตนใช่หลุดหล่นพ้นไปหมด
จะหมดจดต้องฝึกจิตสัมฤทธิ์ผล
มีธรรมะคอยขัดถูคู่ใจตน
สิ้นกังวลว่าตนต่ำอย่างคำใคร
หินก็คล้ายอย่างกายนอกที่บอกเล่า
หยกคือใจข้างในกล่าวว่าเท่าไหน
หากกายนอกเป็นหยกทำตรงข้ามใจ
แต่ข้างในกลายเป็นหินก็สิ้นดี
จึงฝากกลอนก้อนหินที่กินหยก
เพื่อหยิบยกหยกคือใจในวิถี
หินอยู่นอกหยกอยู่ในไร้ราคี
คนจะดีหยกจะเด่นก็เช่นกัน
อินทนนท์
6 กุมภาพันธ์ 2555

เธออยู่ไหน

แย้ม ไกลวันเกิน


เธออยู่ไหน, ใครคนนั้น, ฉันอยู่นี่,..
เป็นวลีที่รำพันกันลับหลัง
เนิ่นนานปีไม่มีใครเคยได้ฟัง
เพียงลำพังรับรู้กันกับจันทรา
ฝากบอกใครคนนั้นนะจันทร์ไสว
เธออยู่ไหนใช่ถามเพื่อตามหา
ฉันอยู่นี่ก็ใช่อยากให้มา
คล้ายเป็นคำอำลาด้วยอาวรณ์
คงจะไม่มีวันพบกันแล้ว
ขอบคุณแววห่วงใยในวันก่อน
เธออยู่ไหนไม่สำคัญนิรันดร
เพราะทับซ้อนฉันอยู่นี่อยู่ที่เดิม

ว่าด้วยเรื่องสันทรายและสันดาน

ร้อยฝัน


กระเพื่อมไหววิบวับระยับแสง
อวดสำแดงหนึ่งว่าเพชรเกล็ดวาวใส
ยามพระพายพริ้วพรมโลมลงไป
น้ำผืนใหญ่กลับตื่นเป็นคลื่นพลัน
สาดกระเซ็นกระเด็นลู่เข้าสู่ฝั่ง
โถมถาถั่งเซาะหินดินทรายนั่น
พัดกัดเซาะกะเทาะร่อนกร่อนทุกวัน
กลับกลายพลันเป็นสันทรายในธารา
สรรพสิ่งเปลี่ยนผันในวันนี้
คุณความดีดุจเพชรใสนั้นไร้ค่า
ระลอกคลื่นแห่งความดีเคยมีมา
ไร้ราคาเป็นแค่ทรายในสายธาร
ไม่มีเหลือสิ่งใดให้ยึดถือ
ชีวิตคือสิ่งใดเจ้าจงเล่าขาน
ฤาเป็นเพียงเรื่องเก่าอันยาวนาน
เพียงเจือจานหล่อเลี้ยงไว้ในใจคน
ฤาสันดานคือสันทรายในใจนี้
พอน้ำมีกลับหายให้ฉงน
พอน้ำลดจึ่งเห็นเช่นเล่นกล
เหมือนใจคนเดี๋ยวร้ายดีมีหมุนเวียน

ความเชื่อ

แทนคุณแทนไท


แม้ไม่อาจทำดีได้ทั้งหมด
แต่ใจยังกำหนดบทบาทได้
ไม่อาจเปลี่ยนโลกนี้ได้ตามใจ
ใช่ข้ออ้างเพื่อปราชัยในความเลว
บางที ชีวิตก็เจ็บปวด
เหมือนถูกหวดด้วยลวดหนามยามล้มเหลว
ในฝุ่นควันของกองไฟยังมีเปลว
ในสังคมแสนเลวต้องมีดี
ในความคิดมีสิทธิ์ทำผิดบาป
เธอควรทราบความจริงคือสิ่งที่
ละเอียดอ่อน เกินปล่อยให้ใครย่ำยี
ผลกระทบนั้นมากมีทุกทีทำ
เราอาจไม่ทำดีได้ทั้งหมด
ไม่มีใครหมดจดฉันขอย้ำ
ก่อนเธอปล่อยให้เขามาเนาว์นำ
เธอควรทำให้เต็มสิทธิ์ชีวิตเธอ
ก่อนเรียกร้องให้ใครเสียสละ
เธอควรจะเสียสละอยู่เสมอ 
ก่อนมองหาความดีที่อยากเจอ
ขอเพียงเธอทำบ้างอย่างนั้นพอ
เหมือนที่เธอสอนฉันในวันเก่า
โลกสวยเริ่มที่เราเท่านั้นหนอ
และจะค่อย ขยายแยกก่อนแตกกอ
ผลิดอก ออกช่อ เป็นความดี
ถึงไม่อาจทำดีได้ทั้งหมด
และเมื่อคิดเป็นขบถ ต่อหน้าที่
ขอให้ได้ใช้ชีวิตตั้งจิตพลี
ศิโรราบ แด่ความดี เท่านั้นนะ
 บทส่งใจ..
การปรับดุลภาพทางความคิด ให้สมดุล 
เมื่อจุดศูนย์ถ่วงของความดี ถูกย่ำยี
การแหกปากเรียกร้อง หรือการตะโกนฟ้อง 
ไม่อาจทำให้คุณเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้นได้
ขอให้เธอทั้งหลาย ยึดมั่นในความดีที่แท้
โดยไม่จำเป็นว่าเป็นความดีที่มีรางวัลหรือไม่
ด้วยรัก / แทนคุณแทนไท

รับน้อง..ฉบับมองต่างมุม

ตะวัน


น้องของฉันฉันด่าเพราะว่ารัก
ให้แน่นหนักหนักแน่นดั่งแท่นผา
มหาลัยใช่มีแค่แต่ตำรา
รู้วิชาเอาตัวรอดคือยอดคน
ออกทำงานผ่านผู้คนหลายชนนัก
ใช่รู้จักเพียงถ้อยถักหลักเหตุผล
ต้องรู้ผ่อนอ่อนน้อมยอมถ่อมตน
คนเหนือคนใช่มือแข็งแต่แกร่งใจ
ให้รู้รักสามัคคีให้มีเพื่อน
ให้รู้เตือนใช่ขันแข่งแย่งกันใหญ่
ถึงพี่ด่าแต่ว่าเพื่อนจะเหมือนใจ
ประคองไปให้ถึงฝั่งดั่งพี่ทำ
ใครจะมองฟ้องสื่อไม่ถือเขา
หวังแค่เจ้าก้าวไปไม่ถลำ
ในเส้นทางกว้างใหญ่ไร้กรอบนำ
สมกับคำคนกล้าปัญญาชน

โลกของเรา(เพิ่มเติม)

โคลอน


โลกของเรายามนี้บอบช้ำแล้ว
แผลเป็นแนวยากเกินจะรักษา
แม้นพบพานกับหมอเทวดา
ก็ยากจักเยียวยาโดยลำพัง
น่าใจหายเมื่อเห็นโลกถูกเหวี่ยง
แกนเอนเอียงแผ่นดินที่เคยหวัง
มิอาจอยู่ยั่งยืนแลจีรัง
จะมีใครยอมฟังดังก่อนเคย
ใต้แผ่นฟ้ายังมีสิ่งงามงด
สวยเกินพจน์ของคนจักเอื้อนเอ่ย
โลกใบนี้เปราะบางเกินเปรียบเปรย
โอ้ใจเอยคิดแล้วน่าเสียดาย
ต่างคนต่างเกิดมาอยู่ร่วมโลก
เผชิญโศกเศร้าสุขทุกความหมาย
ก่อนจะลาจากกันด้วยความตาย
หวังเพียงหยดสุดท้ายหยาด"น้ำใจ"
ฉันและเธอ...เธอและฉันนับจากนี้
มาร่วมสร้างวันดีดีด้วยกันไหม
พกพาความรู้สึกเดินทางไกล
พร้อมรักษ์และห่วงใยโลกของเรา
หันกลับไปมองหลังระวังบ้าง
เว้นช่องว่างวันนี้กับวันเก่า
ปล่อยให้ความทรงจำเป็นสีเทา
ลางเลือนเบาบางไปกับสายลม
เริ่มต้นใหม่แต้มความบริสุทธิ์
หยุดเถิดหยุดหยิบยื่นความปร่าขม
โลกใบเล็กที่เห็นเป็นทรงกลม
คงน่าชมรื่นรมย์ดุจดังจินต์
ช่วยส่งลูกหลานเราสู่โลกกว้าง
ดั่งนกน้อยเริ่มกางปีกผกผิน
ด้วยหัวใจฝันใฝ่อยากยลยิน
พร้อมโผบินด้วยรักและศรัทธา
โลกของเราใช่เป็นโลกของใคร
อนาคตยาวไกลเถิดคนกล้า
ปฐมพยาบาลโลกขื่นชื้นน้ำตา
เพียงเอาใจใส่มาคนละดวง
เพลงขาดอะไรในใจคน - เจี๊ยบ วรรธนา
แผ่นฟ้าเบื้องบนเป็นผืนเดียวกัน
แผ่นน้ำก็คงเป็นผืนเดียวกัน
แผ่นดินรองรับเรื่องราวร้อยพัน
กับคนบนโลกที่ต่างสีกัน
ดอกไม้ดอกนี้จะบานเพื่อใคร
นกตัวน้อยๆจะทำรังที่ใด
ลมจะพัดพาสิ่งใดแกว่งไกว
หากโลกใบนี้ไ

วันแรก :The first day

Prayad


ฉันใคร่ครวญหวนถึงซึ่งแรกเริ่ม
ครั้งประเดิมชั่วโมงพบประสบขวัญ
ฟ้าสดใสหรือสลัวมัวตะวัน
อาจคิมหันต์หรือเหมันต์ฉันพอจำ                                
 
ขาดลิขิตย้ำเตือนจึงเลือนลบ
โง่บอดกลบทับอุราพาถลำ
ต้นรักผลิแต่เพิกเฉยละเลยคำ
พฤษภย้ำก็เพียงเพ่งไม่เบ่งบาน
 
หากสามารถคืนแก่แก้อดีต
จักเขียนขีดจำนรรจ์แห่งวันหวาน!
แต่ฉันปล่อยโอกาสพลาดแก่กาล
ไร้รอยผ่านดุจหิมะยามละลาย                    
 
มันอาจแฝงความนัยให้ฉุกคิด
ดูน้อยนิดแต่ค่างามสูงความหมาย
ได้แต่เพียงรำลึกนึกเสียดาย
มือสอดส่ายแรกสัมผัสยังมัดใจ
              The first day
I wish I could
remember the first day,
First hour, first
moment of your meeting me,
If bright or dim
the season, it might be
Summer or Winter
for aught I can say.
 
So unrecorded did
it slip away,
So blind was I to
see and foresee,
So dull to mark the
budding of my tree
That would not
blossom yet for many a May.
 
If only I could
recollect it, such
A day of days! I
let it come and go
As traceless as a
thaw of bygone snow;        
 
It seemed to mean
so little, meant so much;
If only now I could
recall that touch,
First touch of hand
in hand – Did one but know!
Christina G.Rossetti (1830-1894)

หรือเพราะ

มืดมิด..จนชิดเช้า


หรือเพราะความฝัน ไม่ได้ต้องการจะเกิดขึ้นจริง
แค่อยากมีไว้ ให้ใจพักพิง เวลาที่ ความเป็นจริง มันทำร้ายใจ 
หรือเพราะชีวิต ไม่ได้มีไว้ให้ก้าวเดินผ่าน
แต่มีไว้ให้เก็บเกี่ยว ประสบการณ์ เพื่อสาน ความฝันที่ตั้งใจ
หรือเพราะความจริง ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด 
หากเราแต่ยอมรับมันสักนิด มันก็จะกลายเป็นมิตรที่จริงใจ 
หรือเพราะความอดทน ไม่ได้จำเป็นต้องมีมาก เพียงแค่เรารักคนอื่น และไม่อยากเห็นเขาลำบาก
มันก็คงจะไม่ยาก ที่จะเสียสละเพื่อใคร 
หรือเพราะโลกนี้ ไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่เราเห็น เราจึงใช้ความคิดมาก เกินความจำเป็น 
เพื่อที่จะเป็นที่รักของใครๆ
หรือเพราะความจริง สิ่งที่ชีวิตต้องการ ไม่ได้มีมาก 
แค่ให้คนใกล้ตัวที่เรารักไม่ลาจาก ก็คงมากพอที่เราจะสุขใจ

สองท่าน ผู้ยิ่งใหญ่

คนธรรมดา


ความรู้สึกของใจในตัวฉัน
หากเปรียบเป็นสีสันคงหลายสี
มีทั้งสุขสดใสในชีวี
อีกทั้งมีหมองหม่นทนระทม
มีคนผ่านเข้ามาหลายประเภท
แล้วแต่เหตุแต่ผลคนประสงค์
องค์ประกอบชั่วดีมีดำรง
ตามแต่ตรงต้องการอ่านใจเอา
หลายคนผ่านเข้ามาในชีวิต
ทั้งความคิดจิตใจ ยากใครเหมือน
บางคนให้ข้อคิด ติดตรึงเตือน
บ้างเป็นเพื่อน เป็นมิตร ชิดเชยชม
แต่ยังมีอีกสองท่านฉันรู้จัก
ท่านมอบแต่ความรักที่สดใส
ให้ทุกสิ่งที่ไม่เคยได้จากใคร
ท่านเป็นแต่ผู้ให้ไม่เคยทวง
ไม่เคยมีผลประโยชน์ร่วมกับฉัน
ท่านเป็นแต่ผู้สร้างสรรค์ไม่ห่างหาย
ไม่เคยทิ้งให้ฉันเดินเดียวดาย
ทั้งใจกายบอก แม่-พ่อ ขอเทิดทูน

แสงสุรีย์

แก้วประเสริฐ


               สุรีย์แสง
๐ ม่านเมฆฟ้าคราตะวันพลันส่อง
ความหมายปองคนเราเฝ้าหวนหา
ชีวิตนั้นเปรียบไปคล้ายตำรา
ส่องสาดมาเพื่อชีพยั้งยืนยง
๐ ครั้นดำรงคงไว้ในความหมาย
ย่อมกลับกลายกาลมาคราประสงค์
บ้างเหลือไว้ในโลกโฉลกดำรง
ส่วนที่คงเหมือนเดิมย่อมเสริมเอา
๐ อันแปรเปลี่ยนเวียนวนปนดีชั่ว
ต่อเติมยั่วโลกีย์ที่ขลาดเขลา
เศร้าปนสุขมีไว้ไม่บรรเทา
ปวงชนเอาแต่ใจคล้ายปนเป
๐ สิ่งหัวร่อปนทุกข์ปลุกใจเข็ญ
แตกประเด็นมากมายคล้ายหวนเห
ดีหรือชั่วมิได้ให้มาคะเน
บ้างก็เซบ้างรุกปลุกหัวใจ
๐ ที่เกิดมายากแล้วมิแคล้วพราก
ดุจของฝากธรรมชาติสาดสิ่งไสว
รู้ทั้งรู้และทำซ้ำเติมไป
นี่แหละไซร้คนเอาเฝ้าคะนอง
๐ ดุจดั่งแสงตะวันอันสาดส่อง
ปะปนผองไสวสว่างบ้างมืดหมอง
ชีวิตคนทั้งหลายล้วนให้ลำพอง
มิได้สนองดำรงคงฝ่าฟัน
๐ หลงเมามัวความงามยามผ่องใส
กอร์ปคลั่งไคล้มืนเมาเฝ้าแต่ฝัน
ยากจำแนกดีงามหยามปนกัน
ดุจดั่งฟันกับลิ้นปลิ้นหลอกลวง
๐ คล้ายแสงของตะวันอันแจ่มใส
แต่ภายในปรวนเปเล่ห์ในหวง
ล้วนแตกไว้ต่อสิ่งอิงทั้งปวง
นั้นเป็นห่วงผูกมัดจัดคนปอง.
           แก้วประเสริฐ.

เงินกับเวลา สิ่งที่ล้ำค่าคืออะไร

อรุโณทัย


เพราะคิดว่าเงินคืองานบันดาลสุข
ช่วยคลายทุกข์เมื่อต้องการซึ่งสิ่งของ
ชายคนหนึ่งสูญสิ้นเมียที่เคยครอง
จิตหม่นหมองเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว
เฝ้าทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
เป็นประจำซ้ำทิ้งลูกอยู่โดดเดี่ยว
รอพ่อกลับจากงานนั่งแลเหลียว
ทางที่เลี้ยวเข้าบ้านพร้อมข้าวปลา
เห็นหน้าพ่อดีใจ รีบถามไถ่
ทำงานเหนื่อยบ้างไหม คุณพ่อจ๋า
ผู้เป็นพ่อตอบ เหนื่อยสิ ลูกยา
เสียงอ่อนล้าพร้อมเอ่ยถามด้วยความชิน
ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง
ลูกตอบมั่ง สำเร็จ ทั้งหมดสิ้น
อาบน้ำเถอะพ่อ ลูกรอกิน
ข้าวในปิ่นโตเก่า เฝ้ารอคอย
หลังอิ่มข้าวมื้อเย็นของลูกพ่อ
คุยกันต่อหลายเรื่องอยู่บ่อยบ่อย
มาวันนี้ลูกเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย
ขอถามหน่อยได้ค่าจ้างวันเท่าไร
พ่อหันมามองหน้าลูกขมวดคิ้ว
นั่งหน้านิ่วด้วยความสงสัย
แล้วตอบลูก เงินไม่มากเท่าใด
ทำงานได้เพียงวันละสี่ร้อย
ลูกขอยืมเงินสักสองร้อยได้ไหม
“หา ว่าไงน่ะ” เสียงพ่อฉุนขึ้นหน่อย
อารมณ์ขุ่นมัวต่อว่าลูกน้อย
พูดพล่อยพล่อยเงินหาง่ายนักหรือไง
เสียงสั่งสอนลูกรักให้หักจิต
ลูกนั่งคิดนั่งนิ่งน้ำตาไหล
พ่อทำงานเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ
ทำประโยชน์ใดให้พ่อจึงขอเงิน
เมื่อเวลาผ่านพ้นสักพักหนึ่ง
คิดคำนึงถึงความหลังให้เก้อเขิน
ลูก ไม่เกเร บุญเหลือเกิน
มาขอเงินเพิ่มหน่อย ไยต้องว่า
เมื่อคิดได้ไปหาลูกในห้อง
เห็นยังร้องน้ำตาไหลนองใบหน้า
ขอโทษลูก เอ่ยเสียงเครือในวาจา
ว่าแต่ว่า ไหนลองบอก ยืมทำไม
เสียงตอบ พร้อมสะอื้นจากลำ

ลิ้นคน ภาค 2

Sa


" ลิ้นคน " มันไม่มีกระดูก สร้างเรื่อง ผิดถูก ด้วยชิวหา..ลิ้นคน มันสร้างได้ แม้แต่ภาพมายา ทุกอย่างลวงหลอกตา ด้วยชิวหา " ลิ้นของคน "

เตโชวิปัสสนา... เปิดประตูนิพพาน

ลักษมณ์


Vorasak SagornMonday via mobile
"อาตาปี สัมปชาโณ สติมา"
พึงมีความเพียร และสติสัมปชัญญะ เผากิเลสให้เร่าร้อน
เตโชวิปัสสนา...
เปิดประตูนิพพาน
อัจฉราวดี วงศ์สกล
Unlike ·  · Share