วันนี้นำบทกลอนเก่าๆของคุณจินตนา ปิ่นเฉลียวมาฝากครับ ให้ข้อคิดดีมากๆเลย แล้วก็เพราะมากเช่นเดียวกันครับ จึงฝากคำย้ำไว้ให้เตือนจิต เพื่อนเคยมีใจคิดสักนิดไหม ชีพเกี่ยวเส้นเป็นข่ายทอสายใจ สอดสายใยร้อยผสมสังคมคน ด้วยสายจิตพิศวาสวิลาศนี้ ถักชีวีเป้นข่ายรายทั่วหน ข่ายใจจักถักจนแกร่งด้วยแรงชน แต่จะป่นถ้าแยก...แตกสามัคคี เรามีรัก ภักดิ์ อภัย เป็นใยเหนียว พันเป็นเกลียวก่อกมลจนสุขศรี ตราบความรัก ภักดิ์ หวัง เรายังมี สังคมชีวิตไม่ประลัยลาญ แต่ถ้าแม้นมนุษย์ชาติที่กาจกล้า มุ่งมาฆ่ากันก็เห็นเป็นวิตถาร เหมือนแหกข่ายสายรักให้หักราน ซึ่งเหมือนการฆ่าตัวของตัวเอง นานเท่าใด...ตราบใยรักถักข่ายชีพ เหนียวจนบีบคั้นปรามทรามข่มเหง นานเท่านั้น...โลกสุขสันต์สิ้นหวั่งเกรง เพราะละเลงด้วยรักไม่ใช่เลือดคน
ให้รักรักจะตอบความชอบให้ หากผลักไสรักจะเมินแล้วเดินหนี จะร้อยพันวาจาที่ว่าดี มิอาจมีคุณค่าเท่าท่าทาง คนพูดจาโผงผางใช่ร้างรัก ต่างประจักษ์มีหวานใจไว้แนบข้าง ถึงปากร้ายอ้อมใจมีให้นาง รักไม่จางเคียงคู่อยู่ถมไป ค่าของรักอยู่ที่ใจใช่คำพูด นี่คือสูตรแบ่งห่างต่างจากใคร่ กิริยาท่าทางก็ห่างไกล ใช่มิใช่ตรองดูจะรู้ดี ให้ความรักต่อกันนั้นดีแน่ เป็นทางแก้ความวุ่นวายในวิถี เปลี่ยนเรื่องร้ายหลากหลายให้กลายดี จึงควรมีรักไว้มอบให้กัน
ได้ยินถ้อยแม้น้อยคำชุ่มฉ่ำนัก หวานคำรักซึ้งสลักปักใจฉัน ฟังกี่ครั้งยังเพราะดีทุกวี่วัน หากเธอนั้นเอ่ยทุกวันฉันสุขใจ กลัวแต่ว่าวาจานั้นพาฉันเศร้า เพราะคงเขลาไม่เข้าใจถ้อยคำไหน คำพูดจริงคำพูดเท็จเด็ดจากใจ พูดอย่างไรพูดไปได้ไม่ต้องตรอง หากถ้อยคำหวานฉ่ำเลอล้ำนั้น ถูกกรองกลั่นคั้นจากใจมอบไว้สนอง ฉันยินดีมีสุขใจใคร่ใฝ่ปอง เฉลิมฉลองจองเธอไว้มิให้ใคร ถ้าถ้อยคำพลอดพร่ำจนฉ่ำหวาน ในวันวานวันนี้หรือวันไหน เป็นกลอนสดเธอเขียนบทเพื่อเล่นไป ฉันตัดใจลาจากไปให้ไกลเธอ ถ้อยคำนั้นสรรค์สร้างหนทางสวรรค์ ทุกคนนั้นต่างพากันใฝ่ฝันเสมอ หรือเสกสรรปั้นแต่งไว้ให้พร่ำเพ้อ เพียงแค่เผลอพาลงไปในอเวจี
อาณาเขตโรงงานโอฬารล้ำ ถนนทำเลียบตึกลึกสุดแสน ด้านหนึ่งเป็นกระจกป้องปกแทน ล้วนหนาแน่นลำบากยากกล้ำกราย ทางคดเคี้ยวยิ่งนักสุดจักหยั่ง มีผนังหลังคามาสุดสาย หน้าประตูสู่ตึกลึกเบื้องปลาย คือจุดหมายปลายทางต่างรุดไป ถึงประตูเข้าตึกผนึกแน่น กระจกแผ่นบานหนึ่งซึ่งสวยใส คนภายนอกห้ามผ่านทำการใด คนภายในรู้รหัสสลัดกลอน บานประตูจะเปิดเกิดเพียงครู่ เพียงพอผู้หนึ่งผ่านดาลไถ่ถอน วันหนึ่งนกหลงทางหว่างสัญจร มันบินร่อนพลัดมาฝ่าเผชิญ นกคู่สองลืมตัวมัวพร่ำพรอด หมายหลุดรอดทางกระจกระหกระเหิน พบประตูทางเข้าที่เขาเดิน มันบินเพลินชนกระจกตกมาตาย คู่รักมันตามมาหาจนพบ เห็นซากศพนอนนิ่งยิ่งใจหาย พลันร้องเรียกฉุดดึงตัวพึ่งตาย แต่ร่างกายแน่นิ่งยิ่งร้อนรน คนผ่านมาพอดีที่เกิดเหตุ สุดสังเวชเหตุการณ์พานฉงน กระจกใสลวงตาพานกชน ส่วนอีกตนบินหายกับสายตา เปรียบโลกนี้มีชีวิตให้คิดนัก ชนจมปลักภาพลวงล่วงสังขาร์ ล้วนวุ่นวายหลายหลากมากมายา จนชีวาล่วงลับอัประมาณ เห็นกงจักรเป็นบัวมัวคว้าไขว่ แต่สิ่งใดได้ไปในสงสาร ตกบ่วงบุญบ่วงบาปตราบเท่านาน ยากก้าวผ่านเวรกรรมที่ทำมา พระสุคตศรีมุนีพลีชีวิต ทรงอุทิศเทิดธรรมย่ำตัณหา แหวกข้ามพ้นสงสารด่านกามา ด้วยปัญญารู้แจ้งสำแดงองค์ เผยนิพพานพ้นทุกข์คือสุขเลิศ หยุดการเกิดการตายมากมายหลง สุขอื่นใดไม่เที่ยงเพียงปลดปลง อย่างายงงไตรภพเป็นศพนอง. ..
เศรษฐีคนหนึ่งถามคนตกปลา ทำไมท่านไม่หาเรือมาช่วย ถ้าคิดอยากจะเป็นคนร่ำรวย ท่านต้องหาเรือสวยสวยช่วยผ่อนแรง คนตกปลา ถามได้เรือมาแล้วเป็นไง เศรษฐีตอบ ออกเรือไปเผื่อขันแข่ง สู่ทะเลลึกเพื่อหาปลาแพงแพง คนตกปลา แย้งถ้าได้ปลาแล้วจะทำไม ท่านก็ต้องเอาปลานั้นไปหาขาย พอได้เงินมากมายก็เก็บไว้ พอท่านร่ำรวยขึ้นแล้วจะทำอะไร ก็มานั่งตกปลาไง...ไร้กังวล... คนตกปลา ขอโทษทีเถอะนะท่าน สาธยายเสียร้อยพันแบ่งโภคผล กะแค่เพิ่ม...คนตกปลา...อีกหนึ่งคน ข้าไม่เห็นต้องดิ้นรน...ก็ตกเป็น
๏ เห็นเถรท่านส่องบาตรจริยวัตร-บท ใครไหนนำกำหนดสะกดก่อ- การเพ่งพิศพินิจละเอียดลออ หรือเพียงบาตรสะอาดล้อ-ยอตะวัน ๚ะ๛ ๏ เถรท่านส่องบาตรชี้ ..... ปุจฉา พระใหม่พบสบครา .... ล่วงเช้า มิตรึกนึกเหตุหา ..... โดยเหตุ แท้เฮย มองส่องตามพระเจ้า .... เช่นคล้ายได้เห็น ๏ เถรท่านมิใช่ชั้น ..... ตาเถน สื่อพระวินัยเกณฑ์ ..... ปฏิบัติไว้ บาตรแตกแยกโหว่เบน....อาบัติ เพียงแค่นิ้วสอดได้.... รั่วด้วยประดัง ๏ ฟังรู้หูรับพร้อง .... พึงสดับ จริยาวัตรรับ .... จึ่งรู้ คลี่กระจ่างความจับ ....ถามเถิด ท่านฮา ถึงแก่นแกนหลักผู้.... สำเร็จแล้วถึงสถาน ๏ อย่าเลียนเยี่ยงอย่างผู้ .... เลียนนำ ตามนา เลียนอย่างมิรู้สำ- .... เร็จแท้ จงคิดก่อนเถิดทำ .... ประพฤติ ตามนอ เลียนเช่นริเรียนแล้.... จักรู้ความคราว ๏ เราโง่หรือไม่รู้ .... ริถาม อย่าอวดโอ่โง่หาม .... แห่ห้อม เช่นเถรส่องบาตรยาม....พินิจ บาตรแฮ เถิดเถอะถ้วนสิ่งพร้อม .... บอกด้วยเหตุผล ๚ะ๛ + กิ่งโศก + ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ สดุดคำ เถรส่องพระ เลยอยากรู้...แล้วก็รู้.. เรื่องเถรส่องบาตรนี่ มีนิทานในพระพุทธศาสนาจะเล่าให้ฟังสักนิด ตามธรรมดา เถร มีอยู่ ๒ เถร เถร แปลว่า ท่านผู้ใหญ่ เถน แปลว่า หัวขโมย ตามภาษาบาลีแปลไม่เหมือนกัน สำหรับเรื่องเถรส่องบาตร เป็นเถรผู้ใหญ่ เพราะบาตรท่านแตกอยู่นิดหนึ่ง ตามธรรมดาในพระวินัย ถ้าบาตรแตกพอนิ้วลอดได้ต้องเปลี่ยนบาตรใหม
สถานการณ์ยากยั้ง ใจคน ด้วยหลายหลากคละปน แผกบ้าง คิดเห็นต่าง จำนน ย่อหยุด เถิดพ่อ ใช่คิดแต่ จะล้าง ต่างล้วน เป็นไท กติกามีอยู่นั้น ควรมอง มิใช่คิดยึดครอง บ่นบ้า มัวเมามิไตร่ตรอง ผลส่ง วิบัตินา พาประเทศอ่อนล้า ยากก้าว เดินไกล เขียนมาก็ใคร่ร้อง เชิงเรียน ด้วยศักดิ์ของผู้เขียน ยังต่ำต้อย หากเพราะห่วงจึงเพียร ประดิษฐ์ หาถ้อยคำมาอ้าง ฝากไว้ ให้ตรอง
วัวลืมตีนคนโบราณท่านกล่าวไว้ ถ้าเมื่อใด ได้มา จงหย่าหลง อย่าลืมถิ่นกำเนิดเกิดเป็นคน คิดว่าตนยิ่งใหญ่เหนื่อใครๆ หากลืมสิ้นแม้ถิ่นกำเนิดแล้ว ไม่คาดแคล้วจะวิบัติเป็นไหนๆ จะเป็นเพียงเถ่าถ่านในกองไฟ ไม่มีค่าอะไรให้จดจำ คนบางคนลืมว่าตนเคยลำบาก จ้องสร้างฉากบังหน้าอันเลิศล้ำ ทำให้ดูมีค่าดั่งทองคำ กำเอ๋ยกรรม ลืมค่าความเป็นคน ลืมหมดสิ้นสัญญาที่ว่าไว้ ความไว้ใจที่ให้ไปไม่มีผล ช่วยทุกอย่าง ให้ทุกอย่าง อย่างอดทน ช่วยให้คน คนหนึ่ง จนได้ดี ช่างเขาเถอะคิดเสียว่าเป็นเวณกรรม ใครกระทำอย่างไรจะเกิดผล เวณกรรมนั้นติดจรวด ตามตัวตน ให้ทุกคนชดใช้กรรมที่ทำมา เรามีบุญร่วมกันเพียงเท่านี้ ได้แค่นี้ก็ดีเป็นหนักหนา เมื่อหมดบุญหมดเวรกรรมที่ทำมา ต้องจากลา เสมือนว่า ทางใครทางมัน....
๏ กว่าจะแกร่งแข็งได้ในวันนี้ ก็หลายทีทำพลาดอาจถลา แม้เจ็บจุกปลุกใจให้ลุกมา อย่ายอมล้ารอนลดหมดแรงใจ ผิดคือครูดูเห็นเป็นตัวอย่าง คำกล่าวอ้างเอ่ยไว้ได้ยินไหม ที่พลั้งพลาดพลาดแล้วแล้วเลยไป เรียนรู้ไว้สังวรสั่งสอนตน เยี่ยงอย่างดีมีไว้ให้เอาเยี่ยง หนทางเพลี่ยงพล้ำเตือนเลื่อนหลงหน ทนทำดีดีทรงอยู่คงทน จงเป็นคนมีค่าพาเจตน์จง เมื่อกล้าแกร่งแข็งได้ในวันนี้ ใช่ไม่มีมองผิดจิตเลอะหลง ควรพินิจคิดบั่นปัญหาปลง เพื่อธำรงความแข็งแกร่งปัญญา ๚
ขอร่ายพจน์บทกวีที่อ่อนหวาน แทนสุมาลย์ลบขมอารมณ์หมอง จงสุนทรียรสรื่นชื่นทำนอง บทลบองสวยสมภิรมยา ปวงความสุขสรวลสันต์พลันรุ่งรุจ เพื่อช่วยจุดชีวันให้หรรษา รอยยิ้มเพราพรรณรายเต็มสายตา มอบไมตรีเป็นพลาอันอารี ให้หวานเพลงคนธรรพ์อันเพราะพริ้ง รินน้ำใสใจจริงไม่วิ่งหนี ความซื่อสัตย์ซื่อตรงจงมากมี ทั้งความดีอย่าร้างจางหายไป เมื่อเดี๋ยวนี้เพลงทุกข์รุกเร้าเร่ง ร้อนก็เปล่งเสียงกร้าวรุมเผาไหม้ น้ำใจเริ่มน้อยเนื้อเหลือแต่ไฟ คนตัวใครตัวมันกันกว่าเดิม มีความเครียดเกาะกุมสุมชีวาตม์ เป็นอำนาจผนวกผนึกให้ฮึกเหิม ความเห็นแก่ตัวเองเร่งเพิ่มเติม แล้วก็เริ่มหันมาฆ่ากันเอง จึงร้อยพจน์บทกวีที่หวานแว่ว ลงลบแววตาหมองจ้องข่มเหง ลบระทดท้อสรรพ์น่าหวั่นเกรง ด้วยบทเพลงโหมโรงจรรโลงใจ ท้ายที่สุดคือบรรดามนุษยชาติ รวมอำนาจร่วมบรรเลงเพลงขานไข เปลี่ยนความเศร้าเร่าร้อนรอนฤทัย เป็นเพลงชัยชนะอันอนันตกาล
กลิ่นกุหลาบแรกแย้มแต้มสีสัน ให้โลกนั้นน่าอยู่ดูสดสวย เป็นความหอมหวานชื่นรื่นระรวย คล้ายหนทางวางด้วยกุหลาบพรม เพราะสิบสี่กุมภาฯนั้นมาถึง เป็นอีกหนึ่งวันรักจักสุขสม คือเรื่องจริงหญิงชายในสังคม เฝ้าภิรมย์ชมรักสมัครใจ คล้ายวันเกิดเปิดรักสมัครเล่น จึงได้เห็นหนุ่มสาวเมาหวั่นไหว ตระกองกอดฟัดเหวี่ยงเรียงกันไป วาเลนไทน์ทุกปีมีให้ดู ชายบอกหญิงจริงแท้แน่ในรัก จึงตวงตักเก็บไว้ไม่อดสู เหมือนบทเรียนเขียนอ่านผ่านมือครู ให้โลกรู้ว่าโก้โอ้อวดตาม หญิงเชื่อใจยินยอมพร้อมมอบให้ ทั้งคุณค่ากายใจเกินไถ่ถาม ด้วยความรักคำนี้ในนิยาม หลงวาบหวามความสุขแฝงทุกข์ตรม วาเลนไทน์สอนรักประจักษ์แล้ว เห็นวี่แววล้มครืนต้องขื่นขม เพียงชั่วครู่ชั่วยามตามอารมณ์ เขาเพาะบ่มแล้วพรากเอาจากไป กลีบกุหลาบบอบช้ำมีซ้ำซาก ง่ายหรือยากแน่แท้เร่งแก้ไข ค่านิยมความหวังสังคมไทย สลดใจรักแท้แค่เสียตัว
เป็นหัวหมาหัวหนึ่งถึงค่าน้อย ดีกว่าร้อยหางทาสราชสีห์ ไล่กัดแขกแปลกด่านต้านไพรี ก็ยังดีกว่าหมื่นค่ามหาโจร เป็นหมาไทยต้ององอาจสมชาติหมา ใช่ด้านหน้าหลอกตัวสวมหัวโขน ความเป็นไทยทุกขณะถูกจะโคน ถึงไม่ต้องร้องตะโกนก็เป็น ไท ประชาชนจ้างเราไว้เห่าหอน ขุดสันดอนพวกชั่วช้า - ท้าทายสมัย หมาจะต้องรู้ลีลาว่าหมาใคร ใช่เห่าใบตองแห้งแสร้งประจาน เกิดเป็นหมาต้องรู้ดีหน้าที่หมา ปวงประชาขุนเราไว้เฝ้าบ้าน เลือดของหมาที่รินหลั่งต้องหลังอาน พร้อมต่อต้านปรปักษ์หนักแผ่นดิน หมาต้องไม่โต้ตอบเข้าลอบกัด ทำตัวเป็นจรจัดหิวทรัพย์สิน หมาต้องไม่ใช่หมาหมู่รู้จักกิน แต่ต้องดิ้นรนสู้รู้จักพอ หมาจะต้ององอาจสมชาติหมา อย่าให้ใครก่นด่าถึงโคตรพ่อ ต้องจำจดรสอาหารและการรอ ซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์งานของตัว แผ่นดินนี้ชื่อว่าไทยให้ที่เกิด ภูมิใจเถิดแม้นไพรีจะมีทั่ว คุ้มเจ้าของป้องผองภัยไยต้องกลัว ดีกว่าชั่วราชสีห์...วิถีโจร 5 มีนาคม 2541 ที่ระลึกวันนักข่าวและสื่อมวลชน ลพบุรีสาร ................................................. หวัดดีครับ วันนี้กระบี่ใบไม้ขอเอาบทกลอนเก่า ๆ สมัยเรียนปี 1 ในรั้ววิทยาลัยมาฝาก บังเอิญไปรื้อตู้หนังสือมา แล้วดันไปเจองานเขียนของตัวเองสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ (ซึ่งงานเขียนเหล่านี้ ผมลืมไปหมดแล้วว่าตัวเองเคยแต่งมา) บอกตรง ๆ พออ่านปุ๊บแล้วขนลุกเลย ที่ขนลุกนี่ไม่ใช่เพราะเก่ง หรือแต่งไพเราะอะไรนะ แต่ขนลุกเพรา
เปิดภาคเรียน ครั้งใด ใจก็กลุ้ม ความเครียดเริ่ม เข้ารุม สุมสมอง ก็ไอ้เรื่อง จับจ่าย ใช้เงินทอง ที่จะต้อง เตรียมการ วันเปิดเรียน ลูกสองคน หวังไว้ ให้ศึกษา เพราะเห็นว่า สำคัญ เรื่องอ่านเขียน เขาก็ดี ขยัน หมั่นพากเพียร เพื่อจะเปลี่ยน วิถี ชีวีเรา เงินของรัฐ จัดสรร แบ่งปันให้ แต่ต้องเพิ่ม เรื่องจ่าย อีกหลายเท่า รีบวางแผน จัดการ พลิกผันเอา อย่างเสื้อผ้า ใช้ของเก่า ก็เบาไป เงินสะสม เอาไว้ พอไหมหนอ มิมัวรอ เตรียมการ รีบแก้ไข ทองสลึง จำนำ ด้วยจำใจ แม้เพิ่งไถ่ เมื่อเดือนก่อน ตอนพอมี ถ้าไม่พอ ก็ต้อง ลองไปกู้ หาคุณครู ถามเขา เท่าไรนี่ ขอให้ช่วย ผ่อนผัน กันอีกที สิ้นเดือนนี้ เบิกนาย ให้หมดเลย ทำงานหนัก หวังให้ลูก ได้สุขสม แม้ทุกข์ตรม ลำบาก ยากเหลือเอ่ย จงตั้งใจ ศึกษา เถอะทรามเชย ไร้ความรู้ นะลูกเอ๋ย พ่อเคยมา
พ่อตื่นก่อนไก่ขันประชันเสียง ก่อนนกบินเรื่อยเรียงเป็นทิวแถว พ่อตื่นก่อนอาทิตย์เคลื่อนพ้นแนว พ้นทิวแถวต้นไม้ไล่มืดมน ฉันเดินตามรอยเท้าพ่อเมื่อตอนสาย เพื่อจะไปยังทุ่งมุ่งฝึกฝน ทำไร่นาตามประสาผู้ทุกข์ทน กรำแดดฝนเหนื่อยยากลำบากกาย พ่อจ๋า ..ลูกไส้กิ่วหิวข้าว เลือดไหลยาวเป็นทางเจ็บเหลือหลาย โดนหญ้าบาดปานจะขาดใจตาย กลัวเหลือหลาย งูเงี้ยวเขี้ยวขบเอา ลูกเอ๋ย..ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอก พ่อจะบอกความสบายให้กับเจ้า ความรื่นรมย์สุดสวยสำหรับเรา มิได้เอาดอกไม้มาปูทาง แม้ว่ามันบีบคั้นหัวใจเจ้า หนามทิ่มเอาที่เท้าต้องถากถาง เลือดของเจ้าที่ไหลมาเป็นทาง เปรียบเป็นดั่งทับทิมบนหญ้างาม น้ำตาเจ้าที่ไหลลงใบไม้ เปรียบได้ดั่งหยาดเพชรน่าเกรงขาม เพื่อมนุษยชาติจงเด่นงาม อย่าละความกล้าหาญและอดทน เมื่อจะต้องเผชิญกับความทุกข์ จงสุขในอุดมอารณ์ที่ฝึกฝน จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน ขอจงเดินดั้นด้นตาม..พ่อ..มา ......เด็กเมืองยศ....
เราต่างคนต่างเกิด ต่างเตลิดเวียนว่ายบ่ายถลำ ในวังวนว้างเวิ้งแห่งเพิงกรรม ดีชั่วนำสืบขันธสันดาน กรรมสืบต่อสืบกอแห่งกิเลส ล้วนอาเพศรวนรุมให้รุ่มร่าน วิบากซ้ำกรรมซัดวิบัติปาน อยู่ตราบกาลเนิ่นนานกี่กาลกัลป์ เราต่างตนต่างแก่ ต่างย่ำแย่ย่อยยับอยู่อย่างนั้น ในความหนุ่มความสาวอันพราวพรรณ ชะราคอยโรมรันร่ายริ้วรอย ชะรารับประทับรอยชะราแล้ว ไร้วี่แววหนุ่มสาวก็เศร้าสร้อย อีกฟากฝั่งมรณาชะราคอย สืบเท้าค่อยเคียงคู่อยู่เป็นเงา เราต่างคนต่างตาย ต่างทอดกายก่ายกองล้วนของเน่า ไหนละเพื่อนญาติมิตรสนิทเรา นอนเงียบเหงาซบดินอยู่เดียวดาย เห็นแต่หนอนชอนเจาะเข้าเกาะกลุ่ม แล้วรื้อรุมเนื้อหนังพังสลาย สู่ที่พักพึ่งพิงทุกหญิงชาย นอนแทรกกายซบร่างกลางผืนดิน เราต่างคนต่างต่าง เพราะกรรมจัดสรรสร้างมิสร้างสิ้น กรรมใดใครก่อก็รอริน ผลอาจิณแจกจ่ายตามสายกรรม จึงต่างคนต่างจิตต่างคิดต่าง วัฏฏะทางต่างคนต่างด้นย่ำ ต่างเกิดแก่เจ็บตายวอดวายยำ อยู่ซ้ำซ้ำแทรกซบทุกภพภูมิ....