กลอนให้ข้อคิด

ไม่รู้กวีบทนี้ จะมีชื่ออย่างไร

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ไม่รู้กวีบทนี้ จะมีชื่ออย่างไร
เพียงเดือนต่ำย่ำรุ่งฟุ้งสายหยุด
อุษารุดล้ำฟ้ามาแสงสาง
ขลิบขอบดินไกลโพ้นโค้งโนนลาง
ความสลัวจากจางหว่างเวลา
เพลงไก่แก้วแซวศัพท์สดับรุ่ง
จากชานยุ้งฉางข้าวหนาวอุษา
ตุบกระตุ๊บครกกระเดื่องกระเตื้องมา
จากควบขาโยกย้ำกระหน่ำตำ
ลิ่มกระคอกตอกออกคอกปล่องเปิด
เชือกสายเชิดสนตะพายอ้ายทุยหนำ
เพลงกระโหร่งกระดิ่งส่ายก็ร่ายรำ
ขับลำนำมนต์พระพายสายหญ้ายวง
ลมหนาวปรายชายทุงปรุงมนต์แล้ง
หยอกช่อแดงกลางนาสะแบงหลวง
ชวาลาแดนอีสานตระกานรวง
หมุนโรยร่วงกอดเกี้ยวเกลียวสายลม
พรมหมอกขาวลาดระบำปูน้ำคลอง
อาบผ้าทองแสงฟ้ามาคลี่ห่ม
บางเบียดไหวขยับม้วนกอดนวลลม
เคลียคลอชมน้ำหนาวหลายเช้ามา
บุญพระแม่โพสพบ่จบสิ้น
สืบชีวินควายทุยลุยทุ่งท่า
ให้ข้าวซังจากตอต่อชีวา
เลี้ยงบรรดาวัวควายในลานทอง
เห็นร่อยรอยท้วงเท้าคราวก้าวดำ
ครั้งกอดกำมัดกล้าท้าผยอง
เสียงเวิ้งน้ำรี่ไหลตามไหล่คลอง
ยังทำนองทรงจำนาจำนรรจ์
ริ้วฤดูหนาวนั้นตระการนัก
คลอผ้าถักจากกี่มัดหมี่สาน
ซับน้ำค้างยอดหญ้าคันนาพันธุ์
รอเหมันต์ผันสายในเพลา
ปล่อยไอ้ทุยลุยปรักแต่งสาบกลิ่น
ก่อนไอดินเคยหอมย้อมพรรษา
จัดสำรับข้าวเหนียวเคี้ยวป่นปลา
ปล่อยเวลาเคลื่อนคล้อยคอยค่ำแลง
ไว้ยามย่ำสนธาลาสายหยุด
ขอบดินโพ้นโนนกุดรุดหนีแสง
เมื่อหรีดหริ่งร่ายร้องก้องสำแดง
จึงค่อยแจงควายจรคอนคืนเรือน
เสียงตอกลิ่มกระคอกจะออกดัง
จนกระทั่งฟ้าหนาวมีดาวเปื้อน
ความสลัวมัวคล้อยทยอยเยื

ร่มธรรม

ศรีสมภพ


ร่มกาง.. ทางนำจะย่ำย่าง
หมายทางย่างสู่รู้แล้วหนอ
พลบค่ำยามนั้นตะวันทอ
รู้พอรู้พัก..รู้หักใจ
สะพานไม้ไต่ข้ามห้วงความทุกข์
หลงสุขคลุกโลกีย์อยู่ไฉน ?
เห็นธรรมเห็นทางรีบย่างไป
ตะวันใหม่ใสรุ่งพรุ่งนี้รอ..
ห้วงแห่งโอฆะวัฏสงสาร
รีบข้ามผ่าน มั่นใจใช่แน่หนอ
กิเลสมารอันโหดร้ายไม่ยอมรอ
พร้อมจะคลอพะนอจิต พิชิตชัย
ร่มกาง.. ทางเดินอย่าเพลินย่ำ
อาจถลำข้ามไม่พ้นห้วงเหวใหญ่
น้อยนัก ผ่านแล้วก็ผ่านไป
อีกมากมายอ้างอวดตน ไม่พ้นเลย !

หลงทาง

กวีปกรณ์


ฉันกำลังเดินทางไปให้ไกลห่าง
โลกใบกว้างแสนเศร้าเขม่าไอเสีย
จัดกระเป๋าเดินทางอย่างอ่อนเพลีย
คว้าขวดเบียร์ดื่มยกกระดกกิน
กุญแจรถบิดสตาร์ท ปาดน้ำตา
กางแผนที่นำพาคนพลัดถิ่น
อพยพปลีกใจให้โบยบิน
หลีกผู้คนให้สิ้นอย่างยินดี
สุดถนนเกินกว่าพารถเคลื่อน
ขยับปลายเท้าเขยื้อนเหมือนหลบหนี
ทิ้งเรื่องราวความหลังครั้งยังมี
จุดไฟเผาไดอารี่เพื่อส่องทาง
ในความมืดผืนป่าพาใจหวั่น
กางเตนท์พลันหยุดพอรอสว่าง
เรื่องความหลังเผาไฟอุ่นใจพลาง
กอดตัวเองอย่างอ้างว้างกลางวนา
จั๊กจั่นร่ำน้ำค้างอย่างสุนทรีย์
นกกลางคืนร่ำกวีไร้ภาษา
หิ่งห้อยหายไปไม่พบหน้า
ดอกพุดช่างหอมกว่าคราค่ำคืน
ในความมืดแห่งราตรียังตื่นอยู่
กางแผนที่ออกดูแล้วสะอื้น
จากจุดเริ่มจนจุดนี้ที่กล้ำกลืน
ความเดียวดายนับหมื่นยังอยู่มี
ฉันจึงเผาแผนที่ที่กางนั่น
จะหลงทางช่างมันในวันนี้
หากดวงดาวดวงใดใคร่ปราณี
บอกหนทางฉันทีให้หนีไป
แดดเช้ากำลังอุ่นโอบสายหมอก
นกกลางวันย้อหยอกอย่างแจ่มใส
ไม่อาจรู้เลยว่าเวลาใด
ฉันพลัดหลงอยู่ไหนในเวลา
ยังเห็นรอยย่ำอยู่เมื่อครู่เดิน
ตัดสินใจเผชิญแม้ปวดปร่า
เพราะอดีตยังคอยตามเรามา
จึงพบว่าหลงทางมาตั้งไกล
ท่ามปัญหามายมายไร้ทางออก
ฉันขยอกกลืนแต่ความสงสัย
แล้วทับถมความทุกข์ท้นทรวงนัย
ลืมต้องแก้ปัญหาไปในทันที
แต่ละก้าวที่ย่างอย่างทบทวน
บางปัญหาคร่ำครวญก็ใช่ที่
เพียงวูบหนึ่งอารมณ์สร้างก็มี
จนใจนี้เหนื่อยหนักไม่พักวาง
บิดกุญแจสตาร์ทผงาดสู้
ก

ฟ้าหลังฝน คน กับพายุ

อินทนนท์(คนเชียงใหม่)


สายสุรีย์สีแสดเป็นแดดเผา
คีรีเขามืดดับทับเวหน
ฟ้าตะบันดันกระแทกแยกสกล
กระแสชลทนท่าชลาลัย
คึกคะนองก้องกึกระทึกเดช
อาณาเขตเหตุหนโจนสลาย
พังพินาศดาระดาดขาดกระจาย
สิ้นสลายย้ายขยับนับคณา
แสงสุรีย์สีอ่อนๆในตอนใหม่
อุ่นละมัยไพรสว่างกลางเวหา
หมู่วิหกผกผันจำนรรจา
หมู่พฤษาดาระดับขยับใบ
ผีเสื้อน้อยคอยนับขยับปีก
ที่หลบหลีกออกรับขยับสาย
กระจงไพรใบข้าวดาวกระจาย
ตะแบกไผ่ไทรสนต้นกระวาน
ก็พร้อมรับขับขานประสานสรรพ
ดาระดับจับเสียงสำเนียงหวาน
เป็นพฤกษ์ใหญ่ใบหญ้าสุทธาธาร
เมื่อวันวานผ่านลับไม่กลับมอง
เปรียบคล้ายเช่นเป็นอยู่ในหมู่ปราชญ์
มิสามารถข่มเขาคราวผยอง
เวลาโทษโกรธศึกคึกคะนอง
ส่งทำนองกระบวนท่าภาษาไป
จึงเปรียบกลอนย้อนท่าเวลาโกรธ
ยิ่งกว่าฟ้าคราพิโรธเป็นไหนๆ
สิ่งควรนึกและฝึกปรือคือจิตใจ
หากข่มได้ใจก็สุขทุกเชื่อวัน
ฝากเป็นกลอนสอนตัวยังมัวหม่น
ว่าใจคนนั้นยากท่าอย่าไปฝัน
มิอาจเปลี่ยนเขียนให้ได้เหมือนกัน
ง่ายกว่านั้นเราเปลี่ยนขั้วตัวเราเอง
หากเปลี่ยนได้ใจตนก็พ้นบาป
เมื่อเราทราบจึงหลุดพ้นคนข่มเหง
เปรียบเหมือนฟ้าหลังฝนฝึกตนเอง
ฝึกเพื่อเก่งแร่งแรงฉุดพุทธคุณ
อินทนนท์

นิพพาน

กวีปกรณ์


เกินกว่ากฎเกณฑ์ศาสน์ศีลธรรม
อำนาจแห่งถ้อยคำพิพากษา
ยิ่งกว่าการขันแข่งแห่งอัตตา
ต่างค้นหากล่าวอ้างอย่างชอบธรรม
โลกล้วนซึ่งความต่างกลับสร้างกรอบ
แบ่งชนชั้นตามชอบใครสูงต่ำ
ใช้ชีวิตเวียนว่ายไปตามกรรม
ให้ศรัทธาน้อมนำกำลังใจ
แดนใด...นรกหรือสวรรค์
ท่ามหมอกควันหมองหม่นหรือสดใส
ตื่นจากความทุกข์ทนที่พ้นไป
นรกไซร้เพียงน้ำตาความอาวรณ์
หนึ่งชีวิตลิขิตเองตามเพรงกรรม
อดีตจำจดต่างอย่างคำสอน
ผิดหรือถูกถามตนบนทางจร
ชั่งน้ำหนักดูก่อนย้อนทบทวน
บางครั้งผิดพลาดพลั้งหวังแก้ไข
อยากย้อนกาลกลับไปอย่างไห้หวน
เกิดด่างพร้อยรอยบาปกำซาบครวญ
ดุจโซ่ตรวนตรึงตรากว่าสิ้นลม
ตั้งสติเตือนตนบนทางเถื่อน
ทุกข์สุขอาจเยี่ยมเยือนตามเหมาะสม
ผ่านมาแล้วผ่านไปเพียงใจชม
อย่ายึดติดตรอมตรมจมอาจิณ
ไม่มีพิษใดร้ายทำลายขวัญ
ไหนนรก/สวรรค์ล้างให้สิ้น
ทั้งหมดล้วนสร้างกิเลสแก่ชีวิน
ประคองตนสู่แดนดินถิ่นนิพพาน

ในวิถีชีวิตวิถีนี้

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ในวิถีชีวิตวิถีนี้
ฟ้าเอิ้นสั่งร่ำร้องฮำฮอนฮัก
ควายนอนปรักฮักแพงแห่งเขตถิ่น
เย็นหยาดนุ่มลุ่มอยู่อณูดิน
หอมหวนกลิ่นสาบกล้าสุดนาไกล
เถียงนาน้อยคอยฮักคนจากบ้าน
มัดคันเบ็ดเสร็จงานข้างคันไถ
น้ำข่อนแห้งจวนขอดกู้ลอบไซ
ระวางไว้เก็บฝันเป็นตำนาน
หอมตอกไผ่สานชะลอมย้อมแววคิด
จุดประกายชีวิตได้ขิดสาน
สืบภูมิรู้ปัญญาแต่บุราณ
เริ่มเกิดงานถักทอรอเหมันต์
เมื่อเริ่มห่างจากฝนหล่นทิ้งช่วง
ฟ้ากว่ากว้างบอกลาหน้าวสันต์
การเก็บเกี่ยวเติบตื่นฟื้นทวงงาน
ฤดูกาลสอนเยาว์จวบเฒ่าวัย
หาปูปลาเลี้ยงตัวพอตัวรอด
สวิงกอดข้างแขนพอควงได้
แล้วชีวิตก็ระบำร่ำคลองไกล
เลือกปลาใหญ่เลี้ยงครัวพอตัวกิน
เก็บตำลึงทอดยอดอวบกอดรั้ว
เร่งคนครัวโหมไฟอุไอกลิ่น
รินน้ำข้าวซาวเกลือพอเผื่อกิน
รองท้องสิ้นหิวหน่อยค่อยเร่งมือ
ตำน้ำพริกปลาต้มสักหนึ่งครก
สำรับวางขันโตกพอยกถือ
เรียกครอบครัวร่วมสันต์อีกวันมื้อ
ล้วนก็คือวิถีชีวิตเรา
เปิดนีออนแทนไฟไต้ตะเกียง
นั่งล้อมเรียงพึงพักพนักเสา
ฟังผญาจ่ายขับค่อยรับเอา
จากตายายแก่เฒ่าท่านเฝ้าสอน
แล้วค่อยเข้าในมุ้งมุ่งผ่อนพัก
ซบแก้มรักวางเฉยเกยเหนือหมอน
เก็บเรื่องราวหว่างวันที่สัญจร
จวบอุษามาย้อนต้อนออกงาน
ในวิถีชีวิตวิถีนี้
คือวิถีสืบไว้ให้ลูกลาน
เหลือพอเพียงเลี้ยงกายกรำลายงาน
ทุกเฮือนบ้านล้วนเช่นนี้มานานแล้ว
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

หว่านเมล็ดพันธุ์ให้หัวใจ

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


หว่านเมล็ดพันธุ์ให้หัวใจ
ห้วงหัวใจสานฝันวันระวี
เกิดก่อมีรักใหม่ใจเรียกหา
สานสิ่งเอื้อเกื้อหนุนเจือจุนมา
บ่มเวลาด้วยรักจักงดงาม
รดน้ำใจรินน้ำใจให้เต็มใจ
ทุกข์สุขอยู่อย่างไรได้ไต่ถาม
เฝ้าคิดถึงห่วงใยในทุกยาม
เติมเต็มความรักแท้ให้แก่กัน
แล้วจงมอบเมล็ดพันธุ์สรรค์ความสุข
เพื่อลดเลือนความทุกข์กระตุกขวัญ
รอดอกรักเบิกบานระหว่างวัน
ปล่อยดวงใจดวงนั้นละวางตน
จะได้อยู่กับตัวเมื่อมัวหมอง
อยู่กับห้องหัวใจในบางหน
เฝ้าดูแลเมล็ดพันธุ์หว่านใจตน
เพียรขุดก่นพรวนดินถิ่นหัวใจ
และจะได้รดน้ำใจให้ต้นรัก
สานทอถักกิ่งต้นจนใบใหม่
รอดอกบานผลิผลล้นหัวใจ
รู้ความหมายดอกผลรักตนเอง
เพื่อจะได้ยืนได้เมื่อไร้รัก
เหลือดอกบานทักทายไล่ข่มเหง
เมื่อกลับมาคนเดียวเปลี่ยววังเวง
ฮำบทเพลงส่งท้ายในความหลัง
ในตอนนั้นแผ่นดินใจอุดมแล้ว
ด้วยหน่อแนวเมล็ดพันธุ์สรรค์ความหวัง
เติมน้ำใจเต็มใจได้พลัง
เฝ้าฝากฝังพันธุ์ไว้ในเวลา
และจะได้รู้จักรักที่แท้
ใจแน่วแน่รื้อพังข้อกังขา
วันทุกข์เกี่ยวเกาะรั้งพันธนา
เมล็ดกล้าจะเติบโตมาคุ้มครอง
โรยละอองเกสรให้หัวใจ
อ่อนละมุนกรุ่นละไมขับไล่หมอง
วันความเหงาตรวนปักตอกหลักจอง
แต่ได้มองและยิ้มให้ไม้ต้นงาม
..................
วันความเหงาตรวนปักตอกหลักจอง
ยังได้มองเห็นว่ารักตัวเอง
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

มนุษย์เอย

Lunatic


สิ่งที่ฉันแปลกใจในมนุษย์
มากที่สุดเลยนั้นฉันตอบว่า
เขายอมเสียสุขภาพอาบเหงื่อมา
เพื่อยอมเสียเงินตรารักษาตัว
เฝ้ากังวลห่วงหาอนาคต
ลืมเสียหมดความชื่นบานสำราญหัว
ทำงานหนักเหนื่อยนับเหมือนกับวัว
ฤๅเขากลัวความเป็นอยู่ปัจจุบัน
แท้แล้วนั้นเขานี้อยู่ที่ไหน
"อนาคต" ก็มิใช่ไกลเกินฝัน
"ปัจจุบัน" ก็ไม่ใช่อยู่ไหนกัน
สารพันในมนุษย์สุดจะเปรย
เหมือนเขาตรองครวญคิดชีวิตนี้
จะไม่มีวันตายหรือไรเหวย
เขาต้องสิ้นชีพวายตายเปล่าเลย
อย่างไม่เคยมีชีพชูอยู่แท้จริง

กรรม

ศรีสมภพ


“ กรรม “ คือกระทำที่ย้ำชัด
มิอาจปัดเป็นอื่นฝืนไปได้
ทำอย่างไรผลอย่างนั้นแม้นานไกล
อยู่ที่ใครจะกระทำกรรมชั่วดี
กรรมคือ..การกระทำย้ำเจตนา
ใจตนหนากระทำไปในวิถี
บันทึกไว้ในใจนั้นขึ้นบัญชี
ชั่วหรือดี มากน้อยแน่มิแปรไป
ขว้างลูกบอลเข้าผนังยังสะท้อน
หวนกลับสู่ผู้ขว้างบอลย้อนคืนใส่
เปรียบแรงขว้างอย่างแรงกรรมที่ทำไป
แรงเท่าไหร่สะท้อนออกบอกแรงกรรม
วิทยาศาสตร์ฉลาดสุด.. แต่พุทธแจ้ง
ยังกล้าแกร่งพร้อมพิสูจน์ขุดมาย้ำ
เหตุแห่งผลชวนค้นคว้าหาเรื่องกรรม
นั่นคือธรรม พุทธองค์ทรงวิชชา..
หงายของคว่ำ ย้ำให้เห็นเฉกเช่นนั้น
ทุกสิ่งอันพลันชัดใสไม่กังขา
แค่เรื่องกรรมนำเหตุผลมาค้นคว้า
พุทธศาสตร์แจ้งชัดกว่าวิชาใด
“ กรรม ” คือกระทำ ย่อมย้ำชัด
เกินเป่าปัดวิบากกรรมที่ทำไว้
พุทธองค์รู้แจ้งหมดกำหนดนัย
อยู่ที่ใครจะกระทำ ..เป็นกรรมตน !

ประวัติศาสตร์

เชษฐภัทร วิสัยจร


ประวัติศาสตร์เขียนเชียร์ผู้ชนะ
เพื่อที่จะหาผู้รับสนับสนุน
เลือกเรื่องดีตัวมาอ้างสร้างบุญคุณ
เรื่องสถุลของตัวคิดแต่ปิดบัง
คนไม่รู้ประวัติศาสตร์ที่ชาติสร้าง
คล้ายตาบอดหนึ่งข้างแล้วคลุ้มคลั่ง
แต่คนตาบอดสองข้างสร้างเกลียดชัง
คือคนฟังประวัติศาสตร์แค่ข้างเดียว

แด่...เจ้า

เปลวเพลิง


เมื่อพ่อแม่ยังกรำทำนาไร่
เจ้าผลาญใช้เงินทองถูกต้องหรือ
พ่อแม่ถอนกล้า ดำ ด้วยกำมือ
ซ้ำยังถือคมเคียวเกี่ยวรวงทองเจ้าอาจบ่นว่ากรำร่ำเรียนหนัก
แทบกระอักกับวิชาตำราผอง
ที่บ้านเจ้าพ่อปรุงทุ่งลำยอง
แม่ประคองร่างระหงเดินลงนาแต่เช้าตรู่คู้หลังกระทั่งค่ำ
แม้ยามย่ำกายเหนื่อยเมื่อยนักหนา
มีความหวังแจ่มใสในแววตา
เพื่อลูกยาสู่ฝันแสนไกลเจ้าจึงควรรู้คิดสักนิดว่า
พ่อแม่หาเงินลำบากยากแค่ไหน
ค่าต่างต่างวันนี้ที่จ่ายไป
อย่าคิดให้หมดเกลี้ยงเพียงวันวัน“พ่อเกิดมาจนยิ่งจริงที่รัก
แต่เจ้าจักต้องไม่มีใครหยัน
ด้วยวิชาไม่ร้างเหมือนทางตัน
นำชีพนั้นจำเริญอีกเนิ่นนานแม่ก็ไร้เงินทองมากองให้
ทั้งยังไร้สมบัติพัสถาน
มีก็เพียงกายแกร่งกับแรงงาน
พอเป็นทานส่งให้เจ้าได้เรียน”เจ้าจึงควรมุ่งงานการศึกษา
แก้วปัญญาพิรามงามเสถียร
อาวุธซึ่งเกิดจากความพากเพียร
กำจัดเสี้ยน หนามไหน่ ไกลจากตัวเงินวันนี้อย่าใคร่ใช้ถนัด
มัธยัสถ์เพิ่มพูนนะทูนหัว
พ่อแม่สวมเสื้อจนหม่นมัวซัว
ด้วยเพราะกลัวเงินร่อยถอยกำลังนี่คือคำฝากไว้ให้พินิจ
เป็นข้อคิดชำเลืองดูเบื้องหลัง
เจ้าทำทุกนาทีดีหรือยัง?
หรือมัวนั่งโชว์ของในห้องเรียน?
..................................................
ด้วยความปรารถนาดี

"ค่อยพบกันใหม่พรุ่งนี้"

เปลวเพลิง


หญ้าหยัดยอดเรียวเขียวรื่น
ฟ้าชื่นเมฆขาวพราวใส
แม่น้ำลึกลุ่มชุ่มใจ
ภูไพรแผ่พรมร่มเย็น
ลมพัดปัดร้อนผ่อนรุ่ม
ไฟสุมคลายหนาวร้าวเข็ญ
เด่นดาวสุกปลั่งดั่งเป็น-
เพื่อนเพ็ญสาดแสงแจรงทรวง
สูรย์ส่องก่องฟ้าคราสาง
น้ำค้างผุดผาดหยาดสรวง
ผึ้งบินว่อนหาผกาพวง
ดอกดวงสุมาลย์บานพบู
ยลความงามล้ำธรรมชาติ
สะอาดดาษตาน่าอยู่
เปิดตัวหัวใจไปดู
ดำรูรุ่งฟ้าธาตรี
งามเอยงามเหลือลึกล้ำ
หลังกรำงานตามหน้าที่
ปล่อยจินต์ว่ายวนชลธี
โดยมีปลาเหมือนเพื่อนมาน
พบแล้วที่นี่ที่รัก
สุขนัก-หย่อนใจเมื่อไกลบ้าน
ไม่ต้องมากมีพิธีการ
สงบสบศานต์สราญใจ
สัมผัสหญ้าเรียวเขียวรื่น
ฟ้าชื่นเมฆขาวพราวใส
สบตากันก่อนจรไกล
"ค่อยพบกันใหม่พรุ่งนี้"

คืนนี้ไร้ข่าวดาวหนึ่ง

บุญเพิ่ม


คืนนี้ไร้ข่าวดาวหนึ่ง
(กลอน ๖)
มืดมน หนทาง ข้างหน้า
ดั่งมา เดินเดี่ยว เปลี่ยวจิต
เป็นห่วง อย่างยิ่ง มิ่งมิตร
อยู่ทิศ ทางใด ไร้เงา
เงียบงัน วันคืน ขื่นขม
ตรอมตรม สิ้นหวัง นั่งเศร้า
จันทร์ใส คล้ายครึ้ม ทึมเทา
หรือเขา ลืมเลือน เพื่อนกัน
เห็นดาว ร่วงฟ้า คราดึก
วาบลึก ทรวงใน ไหวหวั่น
เคยเขียน ถ้อยคำ รำพัน
แบ่งปัน น้ำใจ ไมตรี
คืนนี้ ไร้ข่าว ดาวหนึ่ง
ผู้ซึ่ง เคยส่อง ผ่องศรี
แต่งคำ โบยบิน ยินดี
เป็นที่ สรวลเส เฮฮา
หรือต้อง สิ้นแล้ว แววฝัน
ปล่อยฉัน เฝ้าตาม ถามหา
คอยหวัง กลืนกล้ำ น้ำตา
มองฟ้า ไร้ข่าว เปล่าดาย
เพียงนิด ส่งข่าว คราวบ้าง
อย่าร้าง เลือนให้ ใจหาย
โปรดเปล่ง แสงดาว พราวพราย
ทักทาย ฉันเถิด เปิดทาง!ฯ
อริญชย์
๑๖/๗/๒๕๕๕

วิถี

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


วิถี
หริ่งเรไรกล่อมแล้วทั่วแนวทุ่ง
ไปสุดคุ้งลำธารละหารห้วย
น้ำยอดคามาโหนหล่นระนวย
ย้อยหยาดสวยรินหยดจรดธารา
ริ้วสายสรวงแดดอุษาขอบฟ้าสาง
ความสลัวจากจางหว่างเวหา
เกล็ดน้ำค้างวางดอกยอดใบคา
โกกิลาพร่ำเพลงบรรเลงไพร
ดอกไม้บานรับอรุณกรุ่นช่วงเช้า
เกสรเร้าหมู่ภมรโอนอ่อนไหว
หญ้าเขียวคลี่หมอกแต้มลงแซมใบ
คลุมลานไพรเขียวสะพรั่งไปทั้งลาน
พะเนินหินแก่งพลาญข้างธารฉ่ำ
นกเป็ดน้ำบินลงสรงสนาน
ตะไคร่เขียวเห็นระเรื่อพอเจือจาน
ประหนึ่งลานอัญมณีขจีดิน
ครวญเสียงลมแผ่วร่ำมารำพัน
กล่อมเงียบงันหลับใหลในซอกหิน
หอบกลิ่นหอมสายป่ามาหลั่งริน
ชโลมดินงดงามหอมดำรง
หนทางกว้างเลาะนาป่าไศล
อาบวินัยองค์พุทธวิมุตติสงค์
ดอกหญ้างามบานเกลื่อนรายเถื่อนดง
ลูบสบงสีเหลืองเรืองมรรคา
คือสายทางจุนเจือเนื้อนาบุญ
องค์อุ้มบุญทรงบาตรศาสนา
ดำเนินผ่านลานไพรสายธารา
งามอากัปกิริยาสง่างาม
เหลืองจีวรพลิ้ววีบ้างสีครั่ง
สองฝั่งทางพุทธชนอยู่ล้นหลาม
พราวดอกไม้สวยสดสีงดงาม
ปลั่งอยู่ท่ามถาดข้าวขาวอวลไอ
หอมเอยหอมกลิ่นข้าวถึงดาวดึงส์
ใส่บาตรซึ้งโลกธรรมสว่างไสว
ผลบุญแผ่แล้วแก้วคลาไคล
ฝุ้งไปไกลทั่วโลกธาตุธรรม
งามวิถีพุทธธรรมค้ำดงดอน
ทานขจรค้ำพุทธอุปถัมภ์
แม้นโลกจมติดหน่วงด้วยบ่วงกาม
ยังเหลือธรรมปลอดปล่อยสร้อยตรวนตรึง
จะยังงามวิถีทางอย่างเช่นนี้
ตราบว่ามีศาสดาใหม่มาถึง
แม้นหลงเหลือเศษธรรมไว้คำนึง
คงจะซึ้งจวบกาลพุทธันดร
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

ฤามนต์สายรกสิ้น?

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ฤามนต์สายรกสิ้น?
โอม...วันเดือนไหนปีไหนให้ฮำฮอน
โคกดินดอกฮูกกี่ที่นาไร่
สืบเทือกท้าวข้าวเหลืองมาเรืองใจ
เต็มยุ้งใหญ่ทั้งปีกสิกรรม
อดีตกาล...
ย่ำบาดาลดินชุ่มนาลุ่มต่ำ
กลิ่นไอกล้าทายทักทุกปักดำ
มือเท้าย่ำในตมโลมวิญญา
ครัวไม้ไผ่เตาตั้งควันรันเตา
ต้ำน้ำร้อนตอนเช้าหนาวพฤษา
เตรียมผ้าอ้อมรับขวัญหลานเกิดมา
ตามประสาความรักฮักแพงกัน
ฝังสายรกกลบไว้ใต้กระได
ฝากแผ่นดินผืนใหญ่ไว้รับขวัญ
เป็นมนต์คล้องสายใยใจผูกพัน
หมายสำคัญสำนึกบุญคุณแผ่นดิน
แม้นพลัดพรากจากไปไกลลิบลิ่ว
ร้างทุ่งทิวไร่นาธารพลาญหิน
หวนคิดถึงถิ่นที่มีทำกิน
ด้วยมนต์ดินกลบรกปกสายแนน
สำนึกรักมรดกแม่ยกให้
ทุ่งนาใหญ่ไรกว้างเฝ้าหวงแหน
สืบเทือกท้าวข้าวเหลืองเรืองดินแดน
หุงทดแทนบุญถนอมกล่อมเลี้ยงมา
ปัจจุบันกาล...
สาวไทบ้านหนีทุ่งไปมุ่งหา
อยู่เมืองหลวงเย็นฉ่ำน้ำประปา
ล้างไอกล้าหอมจางลางเลือนไป
ประเพณีสู่ขอก็เป็นหมัน
ส่งลูกหลานคือคนผลผลิตใหม่
ฝากถนอมเลี้ยงจักจากตายาย
ลูกเลยได้พ่อแม่แก่ชรา
ทิ้งท้องทุ่งนาไรให้รุงรก
ทุ่งโสโครกมูลมังร้างหนักหนา
โอ้ละหนอพระคุณบุญท้องนา
ปลูกหญ้าคางามเรียวเขียวขจี
ทั้งเสื้อผ้าค่านมขนมหลาน
มือเหี่ยวนั้นควานหาตามหน้าที่
ไร่นาขาดข้าวร้างอยู่ค้างปี
ข้าวเคยมีลดน้อยคอยเศร้าใจ
โอม...วันเดือนไหนปีไหนให้ฮำฮอน
โคกดินดอนฮูกกี่ที่นาไร่
ดูปลูกหญ้าแทนเข้าลูกเต้าใคร?
หรือมนต์รกใต้กระไดคลายเสียแล้ว!?
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

ธรรมฤดู

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ธรรมฤดู
หริ่งเรไรย่ำรุ่งกล่อมทุ่งนา
พิรุณฟ้าอุ้มสรวงปวงสรรค์
พร้อมหล่อเลี้ยงนาข้าวคราวตั้งครรภ์
ลมจำนรรจ์ผ่านทุ่งปรุงท้องนา
ริ้วเมฆฝนค้างฟ้าเวลารุ่ง
สลัวทุ่งครองทางหว่างอุษา
แผ่วเสียงเพลงโพระดกโฮกป๊กมา
ปลุกนิทรางัวเงียเพลียอรุณ
ค่อยค่อยลืมเปลือกตาลอดคาแฝก
เค้าฝนแรกครองฟ้าตั้งท่าหนุน
เบียดเรือนกายกอดหมอนอ่อนละมุน
เสพสมดุลบุญวสันต์รับขวัญไพร
ลุกขึ้นห่มแพรไสบลายดอกขิด
มาจุ่มพิตดวงหน้าแววตาใส
หอมหมอกซึมลอดด้ายสายแพรไพร
ชื่นหัวใจชื่นเช้าพอหนาวเจือ
กระบวยน้อยจ้วงน้ำล้างใบหน้า
ซึ้งฝนฟ้าพระพิรุณเป็นบุญเหลือ
หนาวหน่วงร่างซ่านขวัญจนสั่นเครือ
หนาวนวลเนื้อลมลูบจูบเรือนกาย
ให้หวั่นยิ่งกริ่งกมลองค์สมภาร
ผู้สร้างทานผ่านยุคทุกสมัย
เมื่อลมฝนตั้งท่ามาโปรยปราย
ทำฉันใดกันเล่าเหล่าพุทธชน
จักรั้งรอไหมนั้นธรรมทายาท
ฤาเพียรทานใส่บาตรกลางหยาดฝน
วงกระเพื้อมเลื่อมน้ำทั้งลำชล
กระแซะเซ็นกระเด็นโจนฝนลงไพร
แม้นข้าวขาวสุขสวยนองด้วยน้ำ
สมภารธรรมตักฉันไม่หวั่นไหว
มิหมายลิ้มชิมซดในรสใด
หมายแรงกายปฏิบัติเพรียขัดเกลา
กระแสฝนหล่นหลั่งอยู่พรั่งพราย
กระแสธรรมอวลอายอุ่นในหนาว
เติมธาราห้วยหานลำธารยาว
เติมธาราสุขสกาวพราวนิพาน
หอมแสนหอมกลิ่นบุหงาระดาไม้
คราวลมไล้ลมลิ่วลอยผิวผ่าน
หลังเค้าฝนเผยฟ้ามาตระกาน
ธรรมชาติไขลานเผยกาลบุญ
ฝนเกิดก่อสะกิจใจให้ได้คิด
เฉกชีวิตเกิดนับและดับสูญ
ผู้สดับรับค่าพุทธาคุณ
เห็นต้นทุนธรรมสร้างหว่างฤดู

หุงตำนาน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


หุงตำนาน
งามพรรษาฟ้ารุ่งลุกหุงข้าว
ผมดำยาวตัดสีขี้เถ้าหอม
เรียงเศษฟืนหลั่นแถวเป็นแนวดอม
บิดกระลอมตอกเก่าเผาเชื้อไฟ
จิบน้ำข้าวซาวเกลือเจือรองท้อง
หวานน้ำรองชายคาแฝกแรกฝนใหม่
โอ้ละหนอบุญฟ้ามาจากใด
โพสพใยเลี้ยงคนแต่บุราณ
สืบครองสงฆ์องค์ล้ำธรรมสาวก
อุปถัมภกหุงหาภัตตาหาร
ใส่บาตรเอื้อเกื้อหนุนสืบบุญทาน
สืบวิญญาณธรรมพุทธวิมุติไกล
อุษาโยคย่ำรุ่งปรุงวสันต์
ห้วยเถื่อนหนองคลองธารยังซ่านไหล
เปรียบเวลาผ่านเคลื่อนเลื่อนครรไล
คู่กันไปกับสัทธรรมพระสัมมาฯ
ชื้นละอองเรือนกายไสบบาง
เย็นบ่สร่างกายนักตรึงหนักหนา
เย็นน้ำค้างวางดอกยอดใบคา
น้ำค้างนาวางดอกข้าวยอดนั้น
เจ้าพายุดับแล้วแก้วตะเกียง
ห้อยเสาเอียงเถียงนาดูน่าขัน
ผ่านหลายฝนเติมต่อทอตำนาน
เหงื่อแรงงานเติมยุ้งจากทุ่งทอง
เติมเต็มเม็ดทุกเม็ดของเม็ดข้าว
ทุกคำคราวรวยจนคนทั้งผอง
อิ่มพระคุณบุญแม่โพสพทอง
อิ่มเอมท้องอิ่มหนำทุกคำเคี้ยว
ความอุดมห่มโลกวิโยคอุษา
สายคันนารายทางยังแน่นเหนียว
ตราบท้องนาทั่วถิ่นแผ่นดินเดียว
จะยังเขียวความขจีตราบตรีกาล
งามพรรษาฟ้ารุ่งลุกหุงข้าว
ผมหงอกขาวเท่าสีขี้เถ้าถ่าน
หุงชีวิตหุงข้าวหุงตำนาน
ล้วนสืบสานต่อยุคทุกรุ่นไป
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
หน้า / 16  
ทั้งหมด 262 กลอน