28 พฤศจิกายน 2550 10:39 น.

อ้าววว...ซะงั้น

กชมนวรรณ

เสียงรองเท้าส้นสูง ดังกระทบพื้น เป็นระยะๆ เสียงบ่งบอกถึงความเป็นสาวมั่น ไม่มีทางที่เธอจะสะดุด สายไฟ หรือสาย ใดๆ ของอุปกรณ์ใน ออฟฟิต เป็นอันขาด นอกจากสายใจ ของหนุ่มๆ ทั้งโสดและไม่โสด เท่านั้น ฉันนึกยังไม่จบน้ำเสียงอันมั่นเกิน 100 ของเธอทักทายมาอย่างอ่อนหวาน
พี่พร ขา อรุณสวัสดิ์ เช้าวันสุดท้ายของวันทำงานในสัปดาห์ นี้ค่ะ พรุ่งนี้ จะพาครอบครัวเที่ยวที่ไหน กันค่ะ
คงไม่หรอก ค่ะ น้องชะเอม พอดีพี่ยัง ปิดงบไม่ลงตัว นะค่ะ ต้องปิดงบให้ทันวันสองวันนี้ค่ะ ถ้าน้องเอมว่าง ช่วยพี่ปิดงบหน่อยซิค่ะ ฉันแกลังพูดไปงั้น เพราะรู้ในคำตอบล่วงหน้าแล้ว แต่คำตอบกลับเกินคาดกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก    คงไม่ได้ หรอกค่ะพี่พร หนูต้องไปทำบุญค่ะ พรุ่งนี้วันเสาร์ ตรงกับวันพระด้วย หนูต้องรีบทำบุญเพื่อสะสมไว้ให้เยอะๆ ค่ะ ชาติหน้าหนูจะได้เกิดมาสวยผุดผ่อง มากกว่านี้ค่ะ พี่พรก็ควรหาเวลาไปทำบุญเสียบ้างนะค่ะ ชาติหน้าจะได้สวยเหมือนหนู ดูพี่ซิค่ะ ผิวพรรณไม่สดใสผุดผาด เหมือนหนูเลย ไม่ได้นะค่ะ พี่เรื่องอย่างนี้มีผลจริงๆ นะค่ะ 
จ๊ะ แล้วพี่จะหาเวลา นะจ๊ะ ฉันรีบตัดบทก่อนที่คุณเธอ จะเอ่ยคำเปรียบเทียบที่บาดใจฉันมากกว่านี้ โถ จะไม่ให้ต่างกันอย่างไร ฉันอายุ 49 จะ 50  เข้าไปแล้วส่วนเธอเพิ่งจะ 30 มามาดๆ ทั้งยังไม่แต่งงานด้วยเหตุผลที่เธอเคยบอกฉันว่า
ไม่รู้จะ เลือกใครดีค่ะ พี่พร มันเยอะเสียจนหนูเลือกไม่ถูก เลยค่ะแค่ควง กันไปศึกษานิสัยใจคอกันไปนะค่ะ
และยังการแต่งตัวของเธอกับฉันสิ ต่างกันหน้ามือกับหลังมือ ฉันขุดกรุมาเมื่อ 10 ปีทีแล้วที่เขานิยมกัน เธอล้ำแทบจะทันแฟชั่นเสียวันต่อวัน เฮ้อ ฉันคิดอย่างอิจฉา และหมั่นใส้หล่อนจริงๆ ให้ดิ้นตายซิเอ้า
หนู ขอตัวไปทำงานก่อนนะค่ะ พี่พร แล้วเจอกันตอนเที่ยง นะค่ะ
จ๊ะ
ขอให้มีความสุข กับงานทำงานวันนี้ นะค่ะพี่พร
นั่น ใช่แต่ความหมั่นไส้ ที่ฉันมีให้หล่อน หรอก ความปรารถนาดีเธอก็มีให้ฉัน  จนใกล้เที่ยงเธอเดิน มาพร้อมเสียงแสนหวาน
พี่พรขา ไปทานข้าวได้แล้วค่ะ วันนี้จะทานอะไรกันดีค่ะ
พี่อยากทานก๊วยเตี๋ยว เนื้อเปื่อย เจ้าอร่อย ข้างบริษัทจังเลยค่ะ เราไปทานกันไหมค่ะ
โอ๊ะ ไม่หรอกค่ะ ชะเอมไม่ทานเนื้อ พี่พรก็ทราบนี่ค่ะ มันไม่ดีกับสุขภาพ และมันเป็นการร่วมกันสร้างบาป โดยที่เราไม่รู้ตัว นะค่ะ พี่พร เรื่องอย่างนี้ก็มีผลกับผิวพรรณ รูปร่างหน้าตา สง่าราศรี ของเราเหมือนกันนะค่ะ ชะเอมว่าเราไปทานสลัดมังสวิรัติ กันดีกว่านะค่ะ
งั้นน้อง ชะเอมไปเถอะค่ะ พี่พรตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะทำบาป อีกสักวัน มันห้ามใจไม่ไหวค่ะ
งั้น ชะเอมขอตัวนะค่ะ พอดีธีระ นัดชะเอมไว้ด้วยนะค่ะ
จ๊ะ ตามสบายเถอะ ว่าแต่วันนี้ทำไม ถึงควงธีระ ได้ล่ะ ฉันถามด้วยความสงสัย(ปนอยากรู้)  เพราะเธอเคยบอกกับฉันว่าธีระ หาใช่สเปค ผู้ชายของเธอไม่
ชะเอม สงสารเค้า นะค่ะ หลงรักชะเอมเสียหัวปักหัวปำ วันนี้เลยรับนัด เค้าหน่อยค่ะ เนี่ย เป็นการทำบุญอย่างหนึ่งนะค่ะ พี่พร เราจะได้บุญสะสมไว้เป็นทางอ้อมนะค่ะ ดูความเชื่อเรื่องบุญ ของเธอซิค่ะ แต่ฉันไม่แปลกใจซะแล้ว ในเรื่องความเชื่อของเธอ เพราะเอกลักษณ์ของเธอ เป็นอย่างนี้ จนฉันชินไปแล้ว แต่เธอ จะเป็นคนที่มีความจริงใจในระดับหนึ่ง และจะน่าคบมากกว่านี้หากเธอจะลดความเป็นสาวมั่นลงเล็กน้อย และทิ้งมาดและคำพูดอันน่าหมั่นไส้ไปอีกสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอมักมาปรึกษาฉันในทุกๆ เรื่อง พร้อมกับขอความคิดเห็นไปงั้นๆ พอฉันเสนอความคิดเห็นไป เธอกลับไม่สนใจ และมีคำมายืนยันในความคิดเดิมของเธอทุกครั้ง (แล้วไม่รู้จะมาปรึกษาฉันทำไม)
เป็นอย่างนี้ เกือบจะทุกวัน ที่เราทำงานร่วมแผนกกันมา เกือบ 5 ปี ฉันรู้เรื่องราวต่างๆ ของเธอดีเพราะเธอจะมาเล่าให้ฟัง ทุกเรื่อง และทุกเรื่อง ที่เธอไม่สมหวัง เธอจะสรุปมันตรงคำตอบสุดท้าย ว่า ชะเอม กลัวบาปค่ะ
      มาสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ ฉันเห็นชะเอมควงกับ ธีระ ไปทานข้าวเที่ยงทุกวัน เห็นสีหน้า ปริ่มไปด้วยความสุขของทั้งสอง คน ฉันก็คิด ว่าทั้งคู่น่าจะลงเอยกันได้แน่นอน ทั้งอายุ เธอก็น่าที่จะมีครอบครัว ได้แล้วธีระเองก็ยังโสด ในความคิดฉันคิดว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันที่สุดแล้ว จนมาสัปดาห์ที่สาม วันศุกร์ ไกล้เที่ยงน้องชะเอมเดินเข้ามาหาฉันพร้อมเสียงอ่อนหวาน
พี่พร ขา วันนี้ไปทานข้าวกับชะเอม นะค่ะ ชะเอมมีเรื่องปรึกษา พี่ด้วยค่ะ
แต่พี่ว่าจะไป ทานเนื้อเปื่อย เจ้าเดิมอีก นี่จ๊ะ ชะเอมไม่ทานเนื้อไม่ใช่หรอ
ไม่เป็นไร ค่ะพี่วันนี้ ชะเอมจะทานสักวัน คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชะเอมสะสมบุญเอาไว้เยอะแล้ว  แค่มื้อเดียวเอง ไปค่ะ เก็บงาน ชะเอมมีเรื่องร้อนใจค่ะ
         เราเดินจนมาถึงร้านโปรดของฉัน คนยังไม่แน่นเพราะเราออกกันมาก่อนพักเที่ยงครึ่งชั่วโมง ฉันสั่ง เกาเหลาพร้อมข้าว ได้ยินเสียงชะเอมสั่ง 
ขอเกาเหลา ชามพิเศษนะ เอาเนื้อเปื่อย เยอะๆ ผักเยอะๆ จ๊ะ ข้าวสวยไม่ต้อง
ฉันแอบอมยิ้ม กับเมนูของเธอ พร้อมถาม ชะเอม มีเรื่องอะไร หรอจ๊ะ แล้ว วันนี้ธีระไปไหนเสียล่ะ ถึงไม่ไปทานข้าวด้วยกัน
ก็ เรื่องนี้แหละค่ะ พี่พร ขา ชะเอมละกุ้ม กุ้ม ถึงได้ชวนพี่พรมาทานข้าว ด้วยยังไงละค่ะ
คืองี้นะค่ะ เธอกำลังจะอ้าปากเล่าต่อ พอดีเด็กเสริฟ นำเกาเหลามาเสริฟเสียก่อน เราจึงหยุดการสนทนา และปรุงเกาเหลาชามใครชามมัน   คืองี้ นะค่ะ พี่พรขา ธีระนะ เค้าเป็นแฟนเก่าของ ซาร่าค่ะ
 หลังจากที่เราซัดเข้าปากกันไปคนละสี่ห้าคำเธอจึงพูดขึ้น  
เราสามคนเลยตกลงกันใหม่ ชะเอมขอเสียสละ คืนธีระให้เค้า ไปค่ะ ชะเอมสงสารเค้า ซาร่าไม่เคยมีผู้ชายมาจีบเลยนะค่ะ  ทีนี้พอธีระ ทำท่าว่าจะมาติด ชะเอมนะ ซาร่าเค้าเสียใจใหญ่เลยค่ะ พูดพลาง เธอโซ้ยเนื้อเปื่อยเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทั้งกินและพูด ฉันมองหน้าเธอด้วยความสงสัย 
เนี่ย นะค่ะ เห็นบอกว่าจะฆ่าตัวตายด้วย ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
ชะเอม เลยคิดว่าไหนๆ คนเค้าเคยรักกันมาตั้งนาน เลยคืนธีระให้เค้าไปดีกว่านะค่ะ ฉันไม่อยากเก็บความสงสัยอีกต่อไปแล้ว รีบถามเมื่อเห็นเธอกำลัง โซ้ย ตับสด เข้าปาก 
อ้าว แล้วหนูรู้ได้อย่างไรละจ๊ะ ว่าธีระนะเคยมีแฟนชื่อ ซาร่า.... 
  "อ้าว ก็ซาร่ากับหนูเป็นเพื่อนรักกันนิค่ะ เราคบกันตั้งแต่เรียน ม.1 แนะค่ะ อีกอย่าง ชะเอมกลัวบาป จริงๆ ค่ะที่ทำให้เพื่อนรัก ถึงกับคิดฆ่าตัวตาย เฮ้อ!!
ฉันก็พลอย เฮ้อ!!! ไปกับเธอด้วยอีกคน....

 

kapook43178rl8.gifkapook43178rl8.gifkapook43178rl8.gif

25 พฤศจิกายน 2550 10:23 น.

...พ่อจ๋า..กลับบ้านเราเถอะ..

กชมนวรรณ

ฝ้ายนั่งมองแม่ซึ่งนั่งชันเข่าแอบร้องไห้ อยู่คนเดียวเงียบๆ เด็กหญิง วัย 10 ขวบผิวน้ำตาลแดงค่อนข้างแห้ง รู้สึกสงสารแม่จับใจ แต่ไม่สามารถที่จะปลอบแม่ให้หายเศร้า หรือหายจากอารมณ์ใดๆ ที่ทำให้แม่ร้องไห้ได้ อย่างเดียวเด็กหญิงมั่นใจ ว่า การที่แม่ร้องไห้ครั้งนี้ต้องเกิดจากพ่ออีกแน่นอน เพราะมีแม่ที่อ่อนแอ ทำให้ฝ้ายเป็นเด็กที่กล้าหาญ หรือพ่อมักใช้คำว่าแก่แดด กับฝ้ายเสมอ พร้อมที่จะตัดสินใจเองในบางเรื่อง โดยไม่ถามความเห็นของแม่เพราะ เบื่อในความอ่อนแอ ไม่กล้าพูด หรือต่อว่าพ่อ ในสิ่งที่พ่อประพฤติ พ่อ ชอบเล่นการพนัน ทุกชนิด โดยเฉพาะ การตั้งวงเล่นไพ่ กับเพื่อนพ่อที่บ้าน ใกล้เคียงโดยเปิดเป็นบ่อนเล็กๆ แต่สามารถรีดเงินในกระเป๋าของพ่อจนเกลี้ยงกระเป๋า  ฝ้ายอายุ 10 ขวบแล้วแต่เพิ่งได้เรียนแค่ชั้น ป.2 นั่นเป็นเพราะความไม่เอาไหนของพ่อ และความอ่อนแอของแม่ วันนี้คงเป็นอีกวันที่ฝ้ายคิดว่าแม่ต้องกินข้าวเคล้าน้ำตา และฝ้ายกินข้าวคลุกน้ำปลา
มีอะไร กินมั่ง หิวโว้ย เสียงพ่อดังก่อนจะเข้าบ้านเหมือนส่งสัญณาณ การมีปากเสียง(จากพ่อ) มาก่อน แม่รีบเช็ดน้ำตาแต่ยังคงนั่งนิ่งเฉย ไม่ตอบคำถามพ่อ
โว้ย ถามว่ามีอะไรกินมั่ง ไม่ได้ยินรึไง นั่งทื่ออยู่ทำไม รีบไปยกสำรับมาหน่อย เฮ้ย ฝ้าย ได้ยินที่พ่อ สั่งไหม
ฝ้ายรีบเปิดตู้กับข้าว ไม่มีอะไรเหมือนที่ฝ้ายคิด ที่จริงฝ้ายไม่ต้องเปิดก็ได้ก็อยากเปิดนี่ ฝ้ายหยิบจานข้าวสังกะสี พร้อมช้อน ไปตักข้าวเย็น 2 จาน พร้อมหยิบขวดน้ำปลา ติดมือไปด้วย สองมือน้อยๆ ค่อยๆ ประคองจานข้าวและขวดน้ำปลา แล้วก้มวางตรงหน้าพ่อ พร้อมนั่งขัดสมาด และใช้น้ำปลาราดข้าว แล้วตักกินโดยไม่สนสายตาผู้เป็นพ่อ จนคนเป็นพ่อ ต้องเอ่ยปาก อะไรวะ มีกินแค่นี้หรอว่ะ กับข้าวบ้านนี้ทำไมมัน ห่วย สิ้นดี ข้าไม่กินก็ได้ว่ะ วันนี้ได้มาเยอะ โว้ย ข้าไปกิน ร้านไอ้โกก็ได้ ไม่เห็นจะง้อเลย
พ่อเล่นได้หรอ วันนี้ ฝ้ายถามด้วยเสียงแก่แดด และแก่นแก้ว
เออ
แล้ว ทำไมพ่อ ไม่ซื้อข้าวสาร กับข้าวกลับบ้าน บ้างล่ะจ๊ะ
โธ่โว้ย ข้าก็จะใช้ทำทุนใหม่ ซิโว้ย พอดีข้าหิว เลยกลับมาหาอะไรกินก่อน เดี๋ยวข้า จะกลับไปเล่นต่อโว้ย พ่อตะคอกด้วยเสียงอันดังและชัดเจน
แต่ พ่อจ๊ะ ข้าวสารหมด แล้วแม่ไม่มีเงิน เลยนะ กับข้าวเราก็ไม่มี พ่อแบ่งเงินให้หนูเอาไปให้แม่หน่อยนะ จะได้ซื้อ อะไรไว้กินนะจ๊ะ
เฮ้ย แกไม่ต้องพูดมาก ไอ้ฝ้าย ข้าไม่ให้แกให้เสียฤกษ์ เป็นเคล็ดโว้ย หากข้าให้แกไปซื้อของกินเท่ากับ เดี๋ยวพอข้าไปเล่นอีกก็โดนเจ้ามือ กินเรียบซิวะ
อ้าว แล้วเดี๋ยวพ่อ จะแวะกินที่ร้านอาโก ต้องจ่ายเงิน แล้วไม่เสียหรอจ๊ะ
เออ จริงวุ้ย งั้นข้าไม่กินดีกว่า ไปเล่นต่อดีกว่า โว้ย เดี๋ยววข้าต้องได้มากกว่าเดิมอีก ฮ่า ฮ่า เสียงหัวเราะของพ่อคงบาดเข้าไปในใจของแม่มาก ฝ้ายคิด พลางหันไปมองแม่ที่เริ่มน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ฝ้ายเบื่อสภาพบ้านตัวเองเต็มที แต่พอข้าวในจานหมด ฝ้ายเกิดความคิดว่าต้องไปเอาเงินมาจากพ่อก่อนสักส่วนก่อนที่พ่อ จะส่งให้เจ้ามือหมดโดยไม่เหลือกลับบ้านเลย ฝ้ายรีบกระโดดผลุง ลงจากบ้านรีบวิ่งไปบ้านลุงก้อน เพื่อนพ่อ
อ้าว อีฝ้าย มาทำอะไร ที่นี่วะ เสียงป้าสาร้องถามเมื่อเห็นหน้าฝ้าย
แม่ให้มาตามพ่อกลับบ้าน จ๊ะ ป้าสา
พ่อแก เค้าเข้าขา แล้วโว้ย มันไม่ลุกหร้อก เสียงป้าสาบอก อย่างกีดกันเพราะรายได้ส่วนหนึ่งของป้าสา คือค่าต๋ง
ที่คนมาเล่นไพ่ได้แล้วแกจะหักเปอร์เซ็นทุกครั้ง ซึ่งแต่ละวันจะมีรายได้ดีกว่า คนทำงานใช้แรงงานเยอะมาก
แต่ แม่ไม่สบายนะจ๊ะ หนูต้องไปตามพ่อ ป้าสาเปิดประตู ให้หนู หน่อย
อ้าว หรอ แล้วแม่แกเป็น รัยไปว่ะ
ไม่รู้จ๊ะ เห็นบอกเหมือนจะเป็นลม เด็กหญิงพูดปด นางสาเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงเปิดประตูให้เด็กน้อย เข้าปาตามพ่อ ฝ้ายเดินเข้าไปในห้องทึบๆ ที่ปิดหน้าต่างรอบบ้านให้การเปิดไฟ เพื่อนให้แสงสว่าง มีกลิ่นบุหรี่ คละคลุ้ง ฝ้ายเห็นพ่อแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อที่มีเงินวางกองอยู่ด้านหน้า หลายใบ  พร้อมบอก
พ่อ แม่ไม่สบายให้มาตามกลับบ้าน
อะไรว่ะ เมื่อกี้ข้ายังเห็นสบายดีอยู่ นี่หว่า แกไม่ต้องมาลูกไม้กับข้าเลยไอ้ฝ้าย ข้ารู้ทันแกหรอก ไป กลับบ้านไป๊ อย่ามาขัดลาภข้า เดี๋ยวจะโดน หนักนะโว๊ย
งั้น พ่อ เอาตังส์มาให้หนูก่อนซิจ๊ะ แล้วหนูจะไป
เอ๊ะ เด็กนี่ เอ้า เอ้าไป พรางยื่นเหรียญ 10 ให้เด็กหญิง ๆ รับมาอย่างเริ่มชัง นิสัยพ่อเต็มที
ไป ไป๊ ไป ไกลๆ ถ้ายังไม่ไปแกโดนแน่ ฝ้ายรีบถอยห่างเพราะยังจำรสมือพ่อ ได้ดี วันนั้นฝ้ายโดนเอาเลือดเกือบกลบปาก จีงค่อยๆ ถอยออกมาในมือกำเหรียญ สิบ ไว้แน่น ถึงตอนนี้ฝ้ายรู้สึกแล้วว่าความอ่อนแอ ของแม่เกิดจากสิ่งใด เด็กหญิง ค่อยๆ ก้าวออกจากบ้าน ด้วยความรู้สึกโกธรผู้เป็นพ่อ ก็ครูที่โรงเรียนสอนว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี แต่พ่อยังทำ แถบไม่ให้ซื้อกับข้าว ซื้อข้าวสาร ทำให้แม่ต้องร้องไห้ ทุกวัน และฝ้ายยังเห็นว่าพ่อมีเงินตั้งเยอะแต่กลับให้ฝ้ายมาแค่สิบบาท ฝ้ายเดินไปเรื่อยๆ	จนผ่านตู้โทรศัพท์สาธารณะ ฝ้ายหยุดกึกมีความคิดผุดขึ้นมาในสมองเล็กๆ เด็กหญิงรีบวิ่งกลับไปบ้านลุงก้อง 
อ้าว นังฝ้ายกลับมาทำไมอีกว่ะ เดี๋ยวเหอะ ข้าว่าได้โดนมือ พ่อแกแน่ๆ
ป้า จ๊ะบ้านป้า บ้านเลขที่เท่าไหร่ จ๊ะ
ปล่าวจ๊ะ พอดีคุณครูให้กรอก ชื่อเพื่อนข้างบ้าน ไว้ด้วยนะจ๊ะ ที่โรงเรียน ทีนี้ฉันคิดว่าจะเอา บ้านไอ้ต่อ ลูกป้านี่แหละเพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน เผื่อวันไหนคุณครูจะได้สอบถาม ได้เมื่อใครขาดโรงเรียนไปนะจ๊ะ
หรอ วะ ไม่เห็นไอ้ต่อมัน บอก
ต่อ มันคงเอาชื่อคนอื่นมั้ง จ๊ะ
เออ บ้านเลขที่ 20 โว้ย
ขอบคุณ จ๊ะป้า หนูไปล่ะ
ฝ้ายรีบวิ่งมาหยุดที่ตู้โทรศัพท์ หยอดเหรียญสิบในมือ พร้อมกดหมายเลขปลายทาง 191
สวัสดีค่ะ หนูต้องการแจ้งความค่ะ คือมีการเล่นการพนันกันที่บ้านเลขที่ 20 ถนน...........ค่ะ รีบมาเลยนะค่ะ บ้านนี้อยู่ใกล้ตู้โทรศัพท์สาธารณะด้วยค่ะ สังเกตง่ายค่ะ มีคนเล่นประมาณ 20 คนค่ะเตรียมเจ้าหน้าที่มาให้พร้อมนะค่ะ
ค่ะ สวัสดีค่ะ
ฝ้ายวางหู พร้อมยืนแอบตู้โทรศัพท์รอดูสถานการณ์ นานจนฝ้ายคิดว่าหมดหวังไปแล้ว จึงเห็นรถกะบะตราโล่แล่นเข้ามาในซอย พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นายนั่งท้ายรถกะบะ ฝ้ายรีบแอบตู้โทรศัพท์ เพื่อดูเหตุการณ์ต่อไป สักพักได้ยินเสียง โหวกเหวก ดังลั่น และได้ยินเสียงรถตำรวจเปิดหวอ เพื่อที่จะกลับโรงพัก
ฝ้ายรีบเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ มองหาพ่อบนท้ายรถกะบะ นั่นไงฝ้ายเห็นพ่อแล้วพร้อมกับพ่อ หันหน้ามามองฝ้ายตรงกันพอดี ฝ้ายได้แต่ยกมือขึ้น โบกมือให้ผู้เป็นพ่อ พลางคิดในใจ งานนี้ไม่รู้ว่าแม่จะร้องไห้หนักกว่าเดิมหรือว่า หยุดร้องไห้สักที่ เฮ้อ!!!!!~ เด็กหญิงถอนหายใจ.....
				
11 พฤศจิกายน 2550 10:52 น.

***ดาวกลางใจ***

กชมนวรรณ

 
kapook149082067rk6.jpg

kapook11709fe5.gif

 ขณะที่ นิภา นั่งก้มหน้าทำงาน เพลินๆ อยู่นั่นเอง รู้สึกเหมือนมีใครเปิดประตูห้องทำงาน แคบๆ เข้ามา จึงเงยหน้าขึ้นมองแต่ต้องตกใจ อย่างสุดขีด สิ่งที่นิภาเห็น คือ เด็กผู้หญิง หน้าตา ดูน่ากลัว ป้ำๆ เป๋อๆ ในความคิดของนิภา ด้วยความตกใจ เธอตะโกนว่า ใครให้คนบ้าเข้ามานะ แต่พอพิจารณาอีกทีเด็กผู้หญิงที่เกือบจะสาวเต็มตัวแล้ว แต่งตัว เรียบร้อย ถักเปียสองข้าง หากเป็นเด็กธรรมดาคงจะน่ารัก มากกว่านี้  เท่าที่นิภาสังเกต บ่ง บอกว่าได้ว่าไม่ใช่เด็กจรจัดอย่างแน่นอนเธอ ส่งยิ้มให้นิภา อย่างเต็มอกเต็มใจ พร้อมเข้าประชิดตัว เอื้อมมือมาจะจับมือนิภา แต่ด้วยความกลัวนิภารีบหดมือหนี เด็กผู้หญิงคนนั้นทำหน้างง  คล้ายตั้งคำถาม ว่า ฉันผิดอะไรหรอ พร้อมทำท่าขัดใจ จะดึงมือนิภาให้ได้ นิภายอมรับกับตัวเอง ว่าเธอกลัวเด็กสาวคนนี้ มาจากไหนไม่รู้ แล้ว ทำมือ แบะ แบะ พยามดึงมือนิภา ไปจับให้ได้ ทำให้นิภารู้ว่าเด็กพูดไม่ได้ มีความเอาแต่ใจตัวเองสูง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่นิภามองเห็นจากเด็กสาวคนนี้คือ เด็กต้องการเป็นเพื่อนกับเธอ มีความเป็นมิตรสูง เพียงแต่เธอสื่อออกมา ในแบบที่เด็กเป็นเท่านั้นเอง และมันเป็นการเจอกันครั้งแรกนิภาจึงยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้ ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะแสดงว่าเธอเป็นมิตรแค่ไหนก็ตาม ในตอนนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวนิภามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ  จะทำอย่างไร ให้เด็กคนนี้ออกไปจากห้อง ทำงานเธอ เพื่อที่เธอจะได้ ล๊อค ห้องแล้วไม่ให้เด็กคนนี้เข้ามาอีก ขณะที่นิภากำลังจะออกปากไล่ นั้นหูเธอพลันได้ยินเสียงเรียก
น้องเบน  ๆๆๆๆ อยู่หน้าห้องแถวที่เป็นตั้งสำนักงานของนิภา เด็กผู้หญิง คนนั้นหัน ตามเสียงเรียก พร้อมหันมาพูดด้วย เสียง อ้อ แอ้ และ มือเป็นระวิง แต่ที่ไม่จางหายไปเลยคือ รอยยิ้ม จากเด็กหญิงคนนั้น พร้อมกันนั้นยังพยายามเอื้อมมือมาเพื่อจะจับมือ เธอ ลากออกไปนอกห้อง แต่นิภารีบหดมือหนี และรีบเดินออกไปจากห้องทำงาน เธอคิดว่าหญิงกลางคนที่ส่งเสียงเรียกอยู่นั้น น่าจะมาหา เด็กสาวคนนี้แน่นอน สิ่งหนึ่งซึ่งวิภามั่นใจแน่นอนว่าไม่เคยเห็นทั้งสองคน นี้มาก่อน 
                          พอวิภาเปิดประตู ออกมาเด็กสาว ก็รีบเดินตามออกมา พอเห็นหญิงวัยกลางคน เด็กหญิงเดินแกมวิ่งไปเกาะแขน พร้อม ชี้บอกให้ เดินมาหานิภา หญิงวัยกลางคนเดินมาหานิภา พร้อมพูดว่า น้องเบน มากวนคุณ หรือ เปล่าค่ะ นิภาคิดในใจอยากจะบอกว่า กวน ซิค่ะ แล้วฉันก็กลัว เด็กนั่นด้วย แต่ปากบอกไปว่า 
แค่ตกใจ นะค่ะ จู่ๆ แกก็โผล่ เข้ามา    เออ น้องอายุเท่าไหร่ แล้วค่ะ  
14 ค่ะ พอดีฉันเผลอ ทำกับข้าวอยู่ในครัวนะค่ะ น้องเบน เดินออกมาเมื่อไหร่ ไม่รู้  ต้องขอโทษ จริงๆ นะค่ะ เธอทำให้คุณ กลัวหรือเปล่าค่ะ
 แกเป็น ดาวน์ซินโดมค่ะ พูดไม่ค่อยออกเป็นคำพูด หรอกค่ะ ถ้าไม่สนิท กันจะไม่รู้เรื่อง ก็พอสื่อกันได้ จะเข้าใจค่ะ เธอไม่เคยทำร้ายใครนะค่ะ แต่ คนมักตกใจ เมื่อเห็นท่าทางแกนะค่ะ ฉันส่งให้แกเรียนโรงเรียน เฉพาะ เด็กพวกนี้นะค่ะตอนนี้ปิดเทอมค่ะ อ้อ เราเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ค่ะ ร้านขายอะไหล่ รถยนต์ นะค่ะ เหมือนเธอจะนึกรู้ว่านิภากำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่
อ๋อ ค่ะ ยินดีที่รู้จักนะค่ะ นิภา ค่ะ ทำบัญชีอยู่บริษัท นี้นะค่ะ มิน่าว่าไม่เคย เห็นหน้ากัน พร้อมหันไปมองเด็กสาวอีกครั้งแต่ครั้งนี้นิภา มองด้วยความสงสาร เห็นเด็กหญิงทำท่าทางบอกผู้เป็นแม่บางอย่าง เธอ ให้ฉันบอกว่า อยากจะเล่นกับคุณ คุณ สวย ค่ะ เธอชอบคุณ ค่ะอยากมาหาคุณอีก ตอนแรกนิภายังลังเลแต่พอเห็นรอยยิ้มของเบนใจของนิภาอ่อนลงมานิดหนึ่ง พร้อมตอบไปว่า
ได้ ค่ะ แต่ภา ขอเป็นตอนเที่ยงนะค่ะ เพราะว่า ภาก็เป็นลูกจ้างเค้า คงไม่มีเวลาเล่นกับน้องเค้านานหรอกค่ะ คนเป็นแม่ยิ้ม ด้วยความยินดี ในตอนนั้นนิภา ไม่เข้าใจว่าทำไม แม่น้องเบนถึงได้ยิ้มอย่างยินดีมากขนาดนั้น  แค่เธอ ยอมให้น้องเบน มาเล่นกับเธอ บางวันในตอนเที่ยง  และเห็นผู้เป็นแม่ทำมือ ทำไม้และบางครั้งก็พูด บอกลูกสาว เห็นน้องเบนยิ้ม อย่างสดชื่น พร้อม เดินมาจับมือ เธอ มากุมพร้อม โยก ไป มา จนแม่ต้องมาดึงตัวน้องเบนออกมา และ ทำท่าทางเหมือนบอกอะไร กับน้องเบน  นิภาเห็น น้องเบน  พยักหน้า ตอบ ต้องขอตัว กลับก่อนนะค่ะ ขอโทษอีกครั้งค่ะ ที่น้องเบนทำให้คุณตกใจ ไม่เป็นไร ค่ะ พี่ นิภา ตอบผู้เป็นแม่ไป และ ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว และไม่ได้ใส่ใจ ในเรื่องนี้อีก จนมาวันหนึ่งนิภาต้องตกใจ อีกครั้ง ที่น้องเบนโผล่หน้า เข้ามาทักทายเธออีกครั้ง พร้อมท่าเหมือนเดิม คือ พยายามจับมือนิภาไปกุมไว้ เพื่อโยกไป โยกมา แต่ครั้งนี้ นิภา ยอมให้น้องเบนจับมือ น้องเบนพยายาม ที่จะพูด กับนิภา นิภาพอเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ที่นิภาเริ่มรำคาญ คือ น้องเบน จะพยายามรื้อ งานบนโต๊ะ ของเธอ หยิบปากกา มาขีดๆ เขียน ต้องคอยห้ามปรามกันตลอด แต่ไม่ว่าจะห้ามอย่างไร พอน้องเบนวางปากกา เธอก็คว้า ที่ปั๊มงาน ต่อ แล้วทำท่าถามเธอว่าใช้ทำอะไร นิภา ไม่ตอบแต่ขอคืน และเก็บเข้าลิ้นชัก ทุกอย่าง พร้อมบอกน้องเบน ว่า
พี่ภา จะไปทานข้าวแล้วค่ะ น้องเบนกลับบ้านนะค่ะ คุณ แม่ ทราบยังว่าน้องมาที่นี่ค่ะ
น้องเบนพยักหน้า และ ทำท่าเตรียมออกไปพร้อมกับนิภา โดยกุมมือนิภาไว้ แล้วจูงออกมาจากห้องเอง นิภา ล๊อกห้องทำงาน เดินออกมาพร้อมน้องเบนพร้อมคิดว่า จะพาน้องเบนเดินไปส่งบ้าน แล้วหาอะไรทานแถวนั้น ไม่ต้องไปไกล แต่พอถึงหน้าบ้านน้องเบน น้องเบนกลับลากนิภาเข้าไปในบ้าน เมือเข้าบ้านเจอกับแม่น้องเบนร้องทักว่า มากันแล้วหรอค่ะ แม้ น้องเบนไปเอาตัวน้อง มาทานข้าวเที่ยงกับเราจนได้นะค่ะ นิภางง
คือ แกขอให้ฉันทำกับข้าว ไว้บอกจะไปชวนคุณมาทานกับเราด้วยนะค่ะ
คะ นิภาอุทานซะมากกว่า จะหมายความว่าตกลง แต่สุดท้ายนิภา ต้องร่วมทานอาหารร่วมกับครอบครัวน้องเบนเพราะด้วยอาการดื้อ และ ตื้อ ของน้องเบน แต่ทำให้นิภา ได้รู้จักกับครอบครัวน้องเบนมากขึ้น พ่อน้องเบนที่แม่น้องเบนเรียก  เฮีย เป็นชายมีอายุมากแล้ว น่าจะ สัก เกือบ 60 แล้วแต่ท่าทางเป็นคนใจดี  น้องเบนมีพี่ชายอีกคน ชื่อ พี่โต อายุมากกว่าน้องเบนสองปี ตอนนี้ อายุ 16 กำลังเรียน อยู่ ม.6  เตรียมสอบเอ็นทราน แล้วพี่โตจะคอยตักอาหารให้น้องเบน และไม่มีอาการว่ารำคาญน้องเบน เลย ทั้งๆ ที่เด็กผู้ชายวัยนี้น่าจะ อายที่มีน้องสาว เป็นดาวน์ซินโดม หรือพูด ง่าย ๆ แต่ฟังแล้วมันเจ็บปวดสำหรับคนในครอบครัว คือ เด็กเอ๋อ นั่นเอง แม่น้องเบนเล่าว่าเธอมีน้องโต และ น้องเบน ตอนที่อายุมากแล้ว แต่น้องโตปกติ ดี ส่วนน้องเบนก็เป็นอย่างที่เห็นแต่ในครอบครัวสามารถยอมรับน้องเบนได้ เลยไม่มีปัญหาทุกคน จะรักและสงสารน้องเบนมาก พี่โตของน้องเบนจะคอยช่วยเหลือ น้องสาวทุกอย่าง หากพากันไปเที่ยวข้างนอกบ้าน พี่โตจะเป็นคนเดินจูงน้องเบน เพราะ หากไปไม่จูง น้องเบนก็จะเดินเรื่อยเปื่อย ไปเรื่อยๆ หากที่นั่นเป็นที่ที่น้องเบนไม่เคยชิน มากนักก็จะพลัดหลงต้องตามตัวกันให้ทั่ว ด้วยใจที่หวั่นกลัวไปหมด ว่าน้องจะเดินข้ามถนน หรือ มีใครมาจูงไปทางไหนเพราะสมัยนี้ไม่สามารถที่จะไว้ใจใครได้เลย และน้องเบนยังเป็นเด็กสาว ถึงแม้ว่าจะ เป็นเด็กดาวน์ แต่พวกทรชนมันกลับคิดว่าดีเสียอีกหากจะทำอะไร เด็กไม่สามารถ ที่จะชี้ตัวได้ ข้อนี้ครอบครัวน้องเบนกลัวกันเป็นที่สุด ซึ่งนิภาก็เห็นด้วยในข้อนี้ สังคมในปัจจุบัน มันสามารถที่จะเกิดได้ทุกขณะ หลังจากวันนั้น นิภาและน้องเบน สนิทกันมากยิ่งขึ้นเข้าใจกันมากยิ่งขี้นและสื่อสาร กันได้มากยิ่งขึ้น น้องเบนสามารถเรียก พ่อได้ ว่า  ป๊ะ  เรียกแม่ได้ว่า ม๊ะ
เรียกพี่ชายว่า   พี้ มาถึงตอนนี้นิภา คิดว่า ความรังเกียจ ความหวาดกลัวที่เธอมีต่อน้องเบน หายไปหมดแล้วเหลือไว้แต่เพียง ความสงสาร เห็นใจ ในโชคชะตา ของเด็กสาว แต่น้องเบนก็ไม่ได้มากวนนิภาบ่อยๆ นักและช่วงหลัง นิภาจะเตรียม ของที่ตัวเองไม่ใช้แล้วไว้บนโต๊ะ และเก็บงานที่สำคัญ ไว้ในลิ้นชัก เมื่อน้องเบนมาหาเธอ เธอจะจับให้น้องเบน นั่งตรงข้าม หากระดาษ เอ 4 พร้อมปากกามาให้ น้องเบนขีดเล่นแล้วเธอนั่งมอง เรื่องทำงานต่ออย่าหวังหากน้องเบน มา เพราะเธอจะ
พยายามรื้อ นั่นนี่ คอยถามนั่น นี่นิภาตลอด เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่งได้แต่บอกว่า นั่งลงๆ แล้วยัดปากกาใส่มือ แต่ขีดได้แป๊บเดียว คุณเธอก็จะ หาเรื่องถามนั่นนี่ แบ๊ะ แบะ ทำไม้ทำมืออีก จนแม่น้องเบนมาตามตัวกลับ นั่นแหละนิภาถึงได้ทำงานต่อ แต่ไม่เกิน ครึ่งชั่วโมงแม่น้องเบนจะมาตามกลับแล้วเพราะรู้ว่านิภาต้องทำงาน ในขณะเดียวกันก็อยากปล่อยลูกสาวออกมาหาประสบการณ์ที่เธอเชื่อว่ามันปลอดภัยกับลูกสาว ของเธอ และวันหนึ่ง นิภายิ้มกับน้องเบนเมื่อ น้องเบนเรียกนิภา ว่า พิภะ คำๆ นี้ มันทำให้นิภา รู้สึกเอ็นดูน้องเบนมากยิ่งขี้น เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้วน้องเบนจะไม่เรียกใครอีกเลย แสดงว่าเพราะน้องเบนรักเธอ นั่นเองจึงพยายามเรียกชื่อของเธอ  ตอนนี้น้องเบนมาเล่นซนนิภาเริ่มทำใจได้มากยิ่งขึ้นแล้ว   เป็นอย่างนี้จน พี่โตของน้องเบน เอ็นทรานติดต้องไปอยู่หอ ขาดคนคอยดูแล ไปหนึ่งคนและมันเป็นงานที่หนักมากสำหรับคนวัยพ่อ แม่ น้องเบนที่ต้องดูแลลูกสาวที่เป็นดาวน์ และไหนต้องทำงานหน้าร้านอีก ทั้งส่งของ ขายของ สองคนผัวเมียอีกอย่างน้องเบนเป็นสาวเพิ่มขึ้นอีก เริ่มมีประจำเดือน  จึงตัดสินใจ ที่จะพาน้องเบน เข้าโรงพยาบาล เพื่อ ทำหมัน ด้วยความกลัว ว่าหากเกิดอะไรขึ้น น้องเบนจะปลอดภัย ในชั้นหนึ่งนั่นคือ จะไม่ท้องขึ้นมาเพื่อเป็นภาระของครอบครัวและสังคม 
                    ส่วนนิภา ช่วงนั้นก็ยุ่ง ๆ อยู่กับการเตรียมตัวแต่งงาน กับคนรักที่ดูใจกันมานานแล้ว จนวันหนึ่งโตเดินหน้าเศร้า มาบอกกับนิภา ว่า น้องเบนเสียชีวิตแล้ว นิภาตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้นนี้มาก เย็นวันนั้นนิภากับคนรักได้ไปร่วมงานศพน้องเบน นิภามองรูปถ่ายน้องเบน น้ำตาไหลอาบแก้ม ภาพที่น้องเบนยิ้ม สู้กล้อง ด้วยท่าที่น้องเบนคิดว่า เธอจะสวยที่สุด ในวันนั้น ชุดสีฟ้า สดใส ที่น้องเบน สวมในรูปถ่าย ช่วยเน้นความสดใส ของน้องเบนมากยิ่งขึ้น แม้หน้าตาน้องเบนจะ บ่งบอกว่า เป็นดาวซินโดม ก็ตาม
                         แม่น้องเบนเล่าว่า น้องเบนหลังจากทำหมัน แล้วจะเจ็บออด ๆ แอดๆ เป็นประจำ จากที่เคยเข้าโรงพยาบาลเป็นปกติ ของเด็กดาว แล้ว ทีนี่เกือบจะต้อง ย้ายครอบครัวไปอยู่โรงพยาบาลกันหมดเพราะน้องเบนเกิดติดเชื้อ ในกระแสเลือด ขึ้นมา หลังจากทำหมัน สักเดือน ภูมิต้านทานที่ต่ำอยู่แล้ว ทำให้น้องเบนไม่สามารถที่จะทนต่อ สภาพความเจ็บปวด ได้อีก เธอจึงเลือกที่จะ ไม่หายใจ นิภาคิดอย่างนั้น
             หลังจากนั้นอีก เดือน นิภาแต่งงานกับดนัย คนรัก เธออยากมีลูกทันทีจึงปล่อยให้ท้อง และสมใจเธอหลังจากแต่งงานได้ห้าเดือนนิภา ก็ท้อง เธอไม่มีอาการแพ้ท้องเลย สามารถทำงานได้ตามปกติ จนทำให้ลืมไปฝากครรภ์ จนเวลาล่วง มา 4 เดือน ท้องนิภาเริ่มโตขึ้น เธอจึงไปฝากครรภ์กับคุณหมอที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งคุณหมอ เจาะเลือด สืบประวัติ พันธุกรรม ทั้งทางสามี และ เธออย่างละเอียด สุดท้ายคุณหมอบอกว่า
เราจะเจาะ เลือดคุณ เพื่อ หาความเสี่ยงนะครับ หาเชื้อ เอดส์ กรุ๊ปเลือด และเพื่อดูโซโมโซม ว่าเด็กปกติหรือเปล่า ซึ่งความผิดปกตินี้ มีอยู่สองคือ ธาธัสซีเมีย และ ดาวน์ซินโดม   ดาวน์ซินโดม มันกระตุกใจนิภา ให้คิดถึงน้องเบนขึ้นมาทันทีทันใด คุณหมอ บอกให้มาฟังผลเลือดอีกหนึ่งอาทิตย์ถัด มา และท้วงว่า ทำไมคุณถึง ไม่มาฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มรู้ว่าท้องครับ 
 พอดี ช่วงนั้นงานมันยุ่งนะค่ะ นิภาอ้างเหตุผลกับหมอ 
            เมื่อถึงวันหมอนัด นิภาและสามี ไปฟังผลเลือด พร้อมกันคุณหมอเรียกทั้งสองคนเข้าไปคุยในห้อง พร้อมคำถาม  คุณรู้จัก คำว่า ดาวน์ซินโดม มากแค่ไหนครับ นิภาตะลึงในคำถามหมอ ตอบไปเหมือนคนเพ้อ ว่า ค่ะ พอรู้จัก ขณะทีสามีมีสีหน้า งงๆ นิภาได้ยินเสียงคุณหมออธิบายอย่างชัดเจนว่า
ผลการตรวจ เลือดคุณนิภา ออกมาว่าเด็กในท้องคุณ เป็นดาวน์ซินโดมครับ พร้อมบอกต่อว่า
หากคุณมาฝาก ครรภ์เมื่ออายุครรภ์ยังน้อย หาเราตรวจพบ คุณสามารถที่จะเลือกทำแท้งได้ โดยที่คุณจะไม่เสี่ยงเท่าอายุครรภ์ ขนาด 5 เดือนแล้วนะครับ และคำพูดอีกมากมายของหมอที่นิภา ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว
ในตอนนั้นมันมีแต่เสียงก้องในใจ ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ น้องเบน เธอเล่นตลกอะไรกับฉัน ฉันไปทำอะไรให้เธอ เธอถึงทำกับฉันอย่างนี้ นิภาโยนเรื่องนี้ให้เป็นความผิดของ น้องเบนไปเสียหมด โดยไม่สามารถหาเหตุผลใดมาบอกได้ว่าเพราะอะไรเธอจึงได้คิดอย่างนั้น ตอนนั้น เธอ
โกธรน้องเบน เกลียดน้องเบน ข้อกล่าวหาที่เธอตั้งขึ้นมีน้องเบนเป็นผู้ต้องหาทั้งหมดในใจเธอ    หนึ่งสัปดาห์ที่ นิภา ให้เวลาตัวเอง ตัดสินใจ ว่าจะทำอย่างไรกับเด็กในท้อง สามียกให้เป็นหน้าที่ที่เธอต้องตัดสินใจเอง เพราะเธอเป็นคนอุ้มท้อง ในที่สุด นิภาตัดสินใจ ที่จะเอาเด็กไว้ โดยคิดยอมรับสภาพทั้งหมด 
              ณ วันนี้ นิภายืนมองน้องก้อง  ด.ช.เกริกก้อง วัย 6 ขวบ พยายามที่จะลุกเดินเป๋ไปเป๋มาในสนามหน้าบ้าน พร้อมหันมายิ้มกับแม่ ด้วยรอยยิ้มของน้องเบน ที่นิภาเคยเห็นมาแล้ว และในตอนนี้นิภารู้แล้วว่าน้องเบนไม่ได้เป็นศัตรูกับเธอแต่ฟ้าได้ส่งน้องเบน มาเพื่อให้รู้จักกับเธอ เพื่อให้เธอเตรียมพร้อมที่จะเป็นแม่ของ น้องก้องนั่นเอง วันนี้เธอขอบคุณน้องเบน ในใจ และยิ้มตอบลูกชาย ที่พยายามลุกยืน เพื่อเดินมาหามือของแม่มาจับกุมยึดเหนี่ยวไว้เหมือนที่ครั้งแรกน้องเบนได้พยายามทำกับกับเธอ เมื่อเจอกันในวันแรก.......

    กลุ่มอาการดาวน์  (Down's syndrome)  
มีสาเหตุจากการที่โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 โครโมโซม ทำให้มีสภาพของนิวเคลียสหรือคารีโอไทป์ (karyotype) เป็นแบ บ 47, XX สำหรับเพศหญิง หรือ 47 , XY สำหรับเพศชาย ซึ่งสังเกตได้จากการนำภาพถ่ายของโครโมโซมมาจัดเรียงเป็นกลุ่มตามลำดับความยาวและตำแหน่งของเซนโทรเมียร์ (Centromere) ดังภาพ 
ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มี I.Q. ประมาณ 20-50 นอกจากมีภาวะปัญญาอ่อนแล้วผู้ป่วยยังมีลักษณะลำตัวนิ่ม มีหน้าตาแปลกจากลูกคนอื่นๆ กล่าวคือ มีศีรษะเล็กกลม ท้ายทอยแบน ลิ้นใหญ่จุกปาก ริมฝีปากบนโค้งขึ้น ใบหูต่ำกว่าปกติ หางตาชี้ขึ้น เป็นเด็กที่นอนหลับเก่ง ไม่ค่อยร้องกวน เจริญเติบโตช้า เช่น ผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งคว่ำได้เมื่ออายุ 8 เดือน คลานได้เมื่ออายุ 11 เดือน เดินได้เมื่ออายุ 23 เดือน พูดได้คำแรกได้เมื่ออายุ 27 เดือน มีประจำเดือนเมื่ออายุ 16 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก   http://www.bangkokhealth.com/consult_htdoc/Question.asp?GID=8820

 
kapook41147nt9.gif

				
15 ตุลาคม 2550 01:09 น.

อีนี่...มันเค็ม..

กชมนวรรณ

 
kapook42950ch2.gif

 วันหนึ่งเจ้าเพื่อนรักซึ่งเรียน กันมาตั้งแต่อนุบาล ยันเรียนจบ แล้วทำงาน ยื่นบัตรเลี้ยงรุ่น (ม. 3) ให้ฉันพร้อมบอก ปีก่อนแกไม่ได้ไป เพื่อนห้องแกถามหากัน จนชั้นขี้เกียจตอบแล้วปีนี้แกว่างใช่ไหมไม่ต้องมาอ้างเลย ชั้นรู้หรอกว่าแกไม่อยากไปนะ แต่ปีนี้แกต้องไปนะ ชั้นจะได้มีเพื่อนด้วย เสียงเพื่อนบังคับแบบกลายๆ 
             ตอนแรกฉันก็กะจะไม่ไปอีกปีนี้เพราะ ไม่อยากเสียเงิน หนึ่งละ แล้วไม่รู้ว่าเพื่อนในห้องสมัย ม.3 คิดดูว่าห่างกันประมาณ 25 ปีแล้วเพื่อนที่สนิทกันในสมัยนั้น คิดในใจคงไม่สนิทกันเหมือนเก่าแล้ว ล่ะ แต่สิ่งที่สะกิดใจคือ กิ๊กเก่าสมัยม. 3 ที่ไม่ได้เจอกันนานมากจะมีหน้าตาอย่างไรหนอ  นึกแล้วมันขำตัวเอง ทุกครั้ง ที่โดนหนุ่มส่งจดหมายจีบครั้งแรกในตอน ม.1 ทำเป็นจรวดร่อนใส่ แล้วเขียนว่า ชอบเรา แค่นั้นแหละ ร้องไห้ เลย (ฮาฮา) มาถึงตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าร้องทำไม มันเป็นความทรงจำที่พอนึกขึ้นมาครั้งไหนอมยิ้มกับตัวเองทุกครั้ง แล้วก็ หาคำตอบให้ตัวเองยังไม่ได้สักที
              วันงานสักบ่ายสามโมง ฉันนั่งรีดชุดที่เตรียมจะใส่คืนนั้นอยู่โทรศัพท์ดังขึ้น พอรับปรากฏว่าเป็นเพื่อนดา  เพื่อนสนิทคนหนึ่งในห้องโทรมา ไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน จอย เหรอ นี่ดานะ คืนนี้จอยไปไหม งานเลี้ยงน่ะ 
  โห อารมณ์ดีใจที่เพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกัน 20 กว่าปีโทรมา แล้วเราจะเจอกันคืนนี้แล้วด้วย  ไปซิ ดา นี่ จอย กำลังรีดชุดอยู่นะ แล้วนา ล่ะ ดา เจอมันหรือเปล่ามันไปไหม
ไปซิ ตอนนี้ดา อยู่บ้านนานะ เอ้า พูดกับนานะ แหม เพื่อนรักสองคนอยู่ด้วยกัน
บ้านเพื่อนสองคนนี้อยู่ในอำเภอเดียวกันแต่ไม่ใกล้กันมากนัก ได้ยินเสียงเพื่อนนา
 ฮัลโหล จอย ปีนี้ไปให้ได้นะจ๊ะ ปีก่อนเรารอตัวอยู่ ตัวไม่ไป แต่เข้าใจสุมันบอกแล้วว่าลูกป่วย
จ้า คืนนี้แน่นอน เจอกันนะเพื่อน เราจะเอากล้องไปถ่ายกลุ่มเราเก็บไว้ด้วย จะดูใครแก่กว่ากัน น้า  
จ้า เพื่อน เดี๋ยวเจอกันนะ บายจ้า 
         ฉันยิ่งตื่นเต้นใหญ่ว่าจะเจอเพื่อนรักทั้งสอง   พอไปถึงในงานฉันบอกตามตรงฉันจำเพื่อนๆ ได้ไม่กี่คนเอง ทั้งๆที่ตอนนั้นสนิทกันนะ แต่จำไม่ได้จริงๆ นี่แหละที่เค้าบอกสังขารมันไม่เที่ยงฉันเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้แล้วล่ะ แต่ก็สนุกนะ อำกัน ทักกัน ให้วุ่นวายไปหมด
ทำเป็นวัยรุ่น ขาเมาท์ยังไง ยังงั้น  แต่เราจะนั่งกันแบบใครอยู่ห้องไหน จะนั่งกับเพื่อนห้องนั้น คิดแต่จะคุยกันเอง ทำให้งานจะสนุกเฉพาะห้อง แต่มันเป็นงานเลี้ยงรุ่นต้องทำความรู้จักกันให้หมดทั้งรุ่นซิ ทั้งที่สมัยนั้นเราจะรู้จักกันดี เกือบทุกห้องแหละ  จนรองประธานในรุ่นมีไอเดียขึ้นมา บอกต้องมีการละลายพฤติกรรมกัน   โดยไม่ให้นั่งกับเพื่อนในห้องเดียวกันโดยการจับแยกกลุ่ม แต่จนสองทุ่มกว่า เจ้าเพื่อนดา กับเพื่อนนา ยังไม่โผล่ทั้งที่คุณเธอทั้งสองนัดเองเป็นมั่นเป็นเหมาะที่สุด ฉันแอบเข้าห้องน้ำกดหาเพื่อนดาก่อน ไม่รับสายค่ะ กดหาเพื่อนนา ปิดเครื่องค่ะ ให้มันได้อย่างนี้ซิเพื่อนรัก บอกปีก่อนเพื่อนถามหาเรา มาปีนี้เพื่อนถามหาคุณเธอทั้งสองดันไม่มา ไอ้เรายังมั่นในเพื่อนรักมากๆ ว่าเพื่อนต้องมาซิก็นัดกันหู ต่อหู นี่น่า ไม่น่าที่จะหลอกกันตอนกลางวันแสกๆ คอยจนเพื่อนวิ  บอกว่านามันไม่มาหรอก 
ชั้นเห็นมันนั่งไหว้เจดีย์ใส่กระดูกบรรพบุรุษ อยู่ในวัดโน้น แกไม่รู้หรอ ว่านานะตอนนี้นะ ไปวัดทุกวันพระเลยตอนนี้มันมุ่งหาทางธรรมแล้วนะ
  เฮ้ย เป็นไปได้งัยว่ะ  ฉันอุทาน แทนที่จะมางานสนุกกับเพื่อนเก่าคุณเธอ เลือกที่จะไปนั่งในป่าช้า ทำไปได้เนาะเพื่อน  อายุยังไม่มากถึงขนาดนั้นนี่น่า มันจะปลงอะไรขนาดนั้น ตกลงสองเพื่อนรักฉันไม่มาค่ะ แล้วการละลายพฤติกรรมก็เกิดขึ้นเราโดนจับแยกกันนั่งในกลุ่มเพื่อนชาย หญิง ที่ไม่ค่อยคุ้นกัน ตอนแรก จะถามกันว่าอยู่ห้องไหน จนรู้กันหมดประมาณ 7 คน รวมทั้งประธานรุ่นตัวแสบนั่งรวมกับฉันด้วย งานนี้ห้ามใครนำลูกและสามี หรือ ภรรยามาด้วย  แต่ขอโทษยังมีอีกพวกหนึ่งค่ะ ที่มีเมียในรุ่นเดียวกัน และมีแฟนเก่าอยู่ในห้องเดียวกัน 5555 เพื่อนจำพวกนี้ เหงาค่ะ ขอบอก และคนนั้นคือ เจ้าประธานรุ่นตัวแสบของเรา ตำแหน่งงานดีด้วยนะมีการรับทั้งงานราษฎร์และหลวง ขณะที่นั่งอยู่นั้นเพื่อนอีกคนเข้ามานั่ง เจ้าประธานตัวแสบซี่งสมัยนั้นเรียนห้อง 3 ส่วนฉันเรียนห้อง 5   อมยิ้ม แล้วถามฉันดังๆ 
จอย นี่ ปฐมนะ จำได้ไหม ฉันหันไปดูหน้าให้ชัดๆก็บอกแล้วปีก่อนซึ่งเป็นปีแรกฉันไม่ได้เจอเพื่อนแต่ ฉันว่าฉันจำได้นะ อ้าปากจะตอบ เจ้าประธานรีบเบรกเอี๊ยด 
เดี๋ยว มีกติกาเพิ่ม พวกเรา เอาไงกันดี อาจารย์มาลัยเพื่อนอีกคนรีบพูด 
ต้องเลี้ยง หนึ่งโต๊ะ ถ้าทายผิด  
แล้วถ้า ทาย ถูกล่ะ ฉันถาม
 ผมเลี้ยงเอง วันอาทิตย์หน้าเฉพาะ โต๊ะเรานะ  
ได้ ห้อง สาม   ฉันรีบตอบด้วยความมั่นมั๊กๆ
  เงียบไปทั้งโต๊ะ เพียงเสี้ยวเดียว   เจ้าประธานตัวแสบ หัวเราะเสียงดังแล้วพูดบอกแบบที่ฉันไม่อยากได้ยินเล้ย สาบานได้ จริงๆ เอ้า !
ฮา ฮา ฮา มีคนเลี้ยงแล้วโว้ย พวกเราอาทิตย์นี้ ถมมันอยู่ห้องผมครับ ห้อง 4 คุณจอย
ใช่ไหม ถม ฉันได้ยินเสียง ปฐมพูดเพราะๆว่าตามสไตต์ ตัวเองว่า ตอบว่า
 ครับ ผม พร้อมกับหัวใจฉันลงไปอยู่ตาตุ่ม ได้แต่คิดในใจ เป็น ไปได้ไง หว่า
แล้วอีกเสียงในใจที่เสียงดังขึ้นกว่าเสียงแรกอีก ว่าตาย ตาย ฉันต้องเลี้ยงเจ้าพวกที่มีหน้าที่การงานที่ดี กว่าฉันทั้งนั้นเลย หรอนี่ แต่เสียงที่ออกจากปาก กลับออกมาว่า 
ได้ เพื่อน แต่ เราขอเลือกร้านเองนะ
ได้  เสียงเจ็ดเสียงดังแทบจะพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย ฉันนึกในใจ เวร อะไรตุหว่า ไม่มาก็ดี เพื่อนรักก็หลอก โดนเพื่อนห้องอื่นถล่มด้วยวิธีนี้อีก แม้! มันเจ็บใจ แต่ฉันไม่เสียคำพูดเด็ดขาดตกลงว่าฉันเลือกร้านเอง ไม่บอกรายละเอียดอะไรเพื่อนนอกจากชื่อร้านกับที่ตั้งเท่านั้น เป็นร้านเล็กๆ อาหารไม่แพง ฉันคิดในเมื่อเพื่อนที่ทำงานเป็นนายคนต้องการให้ฉันเลี้ยงฉันก็จะเลี้ยง แต่ขอเลือกเอง ตามอัตภาพของฉัน
          วันอาทิตย์เรานัดกันมื้อเที่ยง เมื่อเพื่อนมาครบทั้งเจ็ดคนที่ร้านจะเป็นโต๊ะเล็กๆ เหมาะสำหรับสองคน สูงสุดสี่คน เลยต้องต่อโต๊ะ เมื่อครบองค์ประชุม ฉันรีบออกตัว เพราะความเค็มขึ้นก่อนว่า เพื่อนเรา ไม่ได้ทำงานอะไรนะ แต่เมื่อแพ้พนันเพื่อน ต้องทำตามสัญญา แต่เราขอสั่งอาหารเองนะ ได้  สั่งมาเลย ได้ทั้งนั้นของฟรีทั้งที  เสียงประธานพูด พร้อมยิ้มแบบอารมณ์ดีเกินเหตุ ฉันเรียกน้องพนักงานเสริฟมาพร้อมสั่ง น้อง ข้าวผัดปู แปดจาน ค่ะ น้ำเปล่านะ แล้วแกงจืด อะไรก็ได้สัก 2  หม้อกลางนะค่ะ รีบคืนเมนู ที่ไม่ได้เปิดดูเลยคืนเด็กเสริฟทันที ระหว่างนั่งรอ ฉันรีบบอกเพื่อนว่า ร้าน นี้นะข้าวผัดปูเค้าอร่อยนะเพื่อน ลองชิมดู เดี๋ยวกินเสร็จนะ เพื่อนต้องติดใจ วันหลังต้องพาครอบครัวกันมาทานกันเอง  เพื่อนยิ้มแกมประชดฉันซะเป็นส่วนมากพร้อมพูด แซวฉัน หลายอย่าง แต่ฉัน ว่า ข้าวผัดไข่น่าจะอร่อยกว่านะ ไม่ต้องถามว่าเป็นใคร นอกจาก พ่อประธาน ตัวต้นเหตุทำให้ฉันต้องเสียเงิน แต่ฉันทำเป็นไม่เข้าใจที่เพื่อนพูด ทำหน้านิ่งอมยิ้มบอกมันไปว่า ตัวเองจะเปลี่ยนเป็นข้าวผัดไข่ ก็ได้นะ เค้าไม่ว่าหรอก จนข้าวผัด พร้อมแกงจืดมา ฉันรีบชวนเพื่อนทานทันที 
เอาเลยเพื่อน ลองดูอร่อยนะ เจ้าประธานตัวแสบทำเป็นจับช้อน ส่อมเสียงดังเคาะจานเหมือนประจานฉัน แต่บอกแล้วว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับฉัน เพื่อนคนอื่นอมยิ้มกันเป็นแถวไม่มีใครทำกิริยาน่าเกลียดเหมือนประธานรุ่นของฉันสักคน มีแต่เสียงชมว่าข้าวผัดอร่อยอีกต่างหาก (เพราะเรา คุยกันสนุกมากกว่า เรื่องการทวนอดีต นี่เป็นอะไรที่เท้าความกันแบบไม่มีลิมิต จริงๆ) เราทานกันไปกัดกันไป จนใกล้จะหมดจานข้าว ปฐมพูดขึ้นว่า 

เออ เมื่อวานซืน เราเจอ ไอ้มล ด้วยว่ะ วันงานเลี้ยรุ่นมันไม่มา แกเอาบัตรให้มันเปล่าวะ พร้อมหันไปถามประธาน และพูดต่อ โดยไม่มีการยั้งความคิดและปาก (สงสัยปฐมคงคิดว่าพูด ไม่พูดมัน ก็กินฟรี ทั้งขึ้น ทั้งล่อง ข้อนี้ฉันมาคิดได้ในวันหลัง แล้วนะ ไม่รู้เข้าใจถูกไหม) ห้องเดียวกันกับเรานะโว้ย แกไม่น่าลืมมัน เจ้าประธานเงียบกริบ พร้อมทำหน้าขรึมแกล้งวางฟรอมต่อ
 มึงมาบอกอะไร ตอนนี้วะไอ้ถม เอ้ย มึงรอให้ไอ้จอยมันจ่ายเงินก่อนไม่ได้หรืองัยว่ะ ถึงค่อยพูด    ฉันหัวเราะก๊าก ทันที พร้อมเรียก น้องๆ ที่นี่ของหวานมีอะไรอร่อยจ๊ะ   เด็กเสริฟยื่นเมนูไอศกรีมแต่ละชุดให้ฉันดู ฉันรับมาพร้อมสั่งโดยไม่มองเมนูไอศครีมอีกตามเคย เอาแบบที่แพงที่สุด มา 8 ชุดจ๊ะ พร้อมเสียงหัวเราะดังที่สุดในกลุ่มของฉัน และเสียงฮา ของเพื่อนอีก 6 คนตามมาก้อจะไม่หัวเราะได้ยังไงก้อ มล นะอยู่ห้องสามนี่น่า ที่ฉันรู้เพราะว่ามลมันอยู่ บ้านเดียวกับฉันเรานั่งรถประจำไปด้วยกันทุกวัน 5555 
ตกลงวันนั้นสรุป ฉันกลับถึงบ้านในสภาพที่ อิ่มจัง...ตังส์ อยู่ครบ แต่ฉันรู้และเพื่อนๆ ทุกคนในวันนั้นรู้ดีว่า เจ้าประธานแกล้งเก็กหน้าไปงั้นเองที่จริงแล้วอยากเจอเพื่อนๆ อีกรู้ทันน่า ก็วันงานเลี้ยงนั้นมีเมียไปด้วยไม่ได้คุย กับ แฟนฉัน สมัยเรียนนี่น่า แล้วเพื่อน คนนั้นก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย อิอิ รู้ทันหรอกเพื่อน......แต่ ยังมีอีกสองคนที่มีบัญชีต้องชำระกัน เพื่อนรักฉันมีแผนคิดเอาคืนคุณเธอแล้ว ในปีหน้า แล้วเจอกันเพื่อนรัก..
 
kapook32350ma6.gif

				
9 ตุลาคม 2550 07:21 น.

จากมิตรภาพที่สื่อถึงใจ(เขียนเนื่องในโอกาสพิเศษ วันคล้ายวันเกิด "คนบนเกาะ")

กชมนวรรณ

 
12402mh7.jpg

kapook40297xk4.gif

วันนั้น ฉันได้เข้ามาเว็ป Thaipoem เป็นครั้งแรกเพื่อที่จะเข้ามาอ่านผลงานของพี่สาวที่ฉันนับถือคนหนึ่งซึ่งเธอและฉันก็รู้จักกันผ่านทางสื่ออินเตอร์เน็ต  สำหรับฉันนับถือเธอเป็นพี่สาวของฉันคนหนึ่งด้วยความจริงใจ และเต็มใจ ปกติฉันจะเป็นคนที่เลือกคบคนมากคนหนึ่งแต่กับพี่สาวคนนี้เหมือนมีอะไรทำให้ฉันเข้าไปทักเธอ ก่อน และคุยกันไม่กี่ครั้งฉันก็มอบความเป็นน้องสาวให้กับเธอโดยไม่มีเงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น นอกจากความรักและนับถือจากใจที่แท้จริง คำว่า เพื่อน สำหรับฉัน คือ  มิตรภาพที่มีความต่อเนื่องที่จริงใจไม่หวังผลใด ใด นอกจากคำปรึกษาและแนะนำ กำลังใจ (เงินทองไม่เกี่ยว มันไม่รวมอยู่ในมิตรภาพ)  แต่ที่แปลกคือมิตรภาพทางสื่ออินเตอร์เน็ต ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่มีความจริงใจกันในสื่อนี้ หรือหากตีออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ของมิตรภาพกับคนที่เราไม่เคยเจอกันเลยเพียงแต่คุยกันผ่านตัวอักษรแค่นั้นสามารถให้ความเชื่อถือ ฉันให้แค่ 1%  
        เมื่อมีพี่สาวซึ่งเป็นนักเขียนกลอน เราก็ต้องติดตามผลงานซึ่งเรื่องนี้เป็นของชอบอยู่แล้ว ชอบอ่านหนังสือ นวนิยาย เรื่องสั้น อ่านกลอนซึ้งๆ ที่ตัวเองเขียนไม่เป็น เธอจึงให้ฉันเข้ามาอ่านเรื่องราวในเว็ปแห่งนี้  เข้า Thai poem ครั้งแรกฉันรู้สึกเลยว่าใช่แล้วที่นี่คือที่ที่ฉันต้องมาเป็นประจำ แน่นอน สารภาพกับพี่สาววันนี้ว่าวันนั้นที่เข้ามาฉันไม่ได้อ่านผลงานพี่หรอก พอเข้ามาบุ๊ป รู้ว่าใช่ ทำให้ฉันใช้เวลาอยู่ในเว็ปนี้ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงโดยเปิดอ่านผลงานคนอื่นไปเรื่อย ๆ จนไปเจอนามปากกา คนบนเกาะ เออต้องเป็นคนใต้เหมือนเราแน่เลย และเพราะมีพี่ชายคนที่ถัดจากฉันซึ่งอายุใกล้ กับพี่คนบนเกาะ มากเป็นชาวเกาะด้วย แต่อยู่ที่เกาะลันตา ฉันกับพี่ชายอายุห่างกันมาก เพราะฉันเป็นลูกหลงของพ่อกับแม่ พี่ชายโตแล้ว ฉันเพิ่งเกิด พอห็นชื่อ คนบนเกาะ ทำให้คิดถึงพี่ชายขึ้นมาทันที คิดในใจว่าต้องทำความรู้จักกับพี่คนนี้เป็นเพื่อนให้ได้(คิดได้ไง อยากทำความรู้จักพี่เป็นเพื่อน แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนอ่านคงเข้าใจ) แหมพูดซะเหมือนเรื่องยากเหลือเกิน อิอิ แต่ตอนนั้นสำหรับฉันมันยากที่จะทำความรู้จัก กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่เคยคุยกันเลย เห็นแค่นามปากกา อ่านงานเขียนรู้สึกว่าพี่ชายคนนี้มีความคิดคล้ายฉัน กลอนที่เขียนด้วยคำอ่านง่ายๆและไม่ต้องหาความหมาย มาก เข้าใจง่ายตรงๆ เนื้อหาโดนใจฉันมาก ฉันจึงแอด ไปคุยกับพี่คนบนเกาะ ทำให้รู้ว่าชื่อ พี่ธิป ซึ่งต่อไปขอเรียกว่า พี่ธิป นะค่ะ ครั้งแรกที่คุยเข้าใจว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี แต่พอสนิทกันทำให้รู้เพิ่มว่าพี่แก
เป็นคนทะลึ่งตึงตังที่สุดถ้าเป็นผู้ชายอื่น ฉันไม่คุยด้วยแล้วและโดนฉันตอกกลับไปหลายดอกแล้วด้วย  แต่บอกแล้วว่าคนๆ นี้พิเศษ คือ บ้าได้ใจฉัน 555   ฉันจึงเว้นพี่แกไว้คนหนึ่ง เพราะนิสัยฉันคือ คิดคบใครเป็นเพื่อนแล้วฉันยอมรับทุกเรื่อง ได้เสมอ แต่พี่ธิป
ใช่แต่มีเรื่องทะลึ่งอย่างเดียวแล้วหาสาระไม่ได้  ซึ่งคนที่ได้คุยและเป็นเพื่อนกับพี่ธิป ก่อนฉันคงจะรู้ดีนะค่ะ พี่ธิป เป็นครูคนหนึ่งที่มีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนใครถ้าเป็นนักเรียนสมัยฉันจะชอบครูที่สอนแบบนี้ เข้าใจสอนแบบไม่ใช่การสอน แต่มันเป็นวิธีทำให้คิดเป็น เข้าใจง่ายในหลายเรื่อง ที่ฉันไม่รู้ ไอ้เรื่องทะลึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเพราะฉันเชื่อว่ามันซึมอยู่ในสายเลือดแกแล้ว คงจะเป็นมาตั้งแต่เกิด  และฉันก็ได้วิชานี้มาจากพี่ธิปบ้างเหมือนกัน  อิอิ แต่พี่ธิป เป็นคนรักครอบครัวฉันรู้ได้ด้วยเซนส์  และไม่ได้คิดกับฉันมากกว่าเพื่อนหรือน้องแน่นอน(เพราะว่าฉันไม่มีอะไรให้พี่เค้าชวนคิดด้วย 555  ติ๊งต่อง อีกต่างหาก)เรื่องบ้าไม่ต้องพูดถึง ฉันยอมรับว่าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง  จนฉันทำใจแล้วว่าเรื่องทะลึ่งเป็นความสุขของพี่ชาย ฉันคนหนึ่งเลยตามน้ำไปกับแกเรื่อยๆเวลา ที่พี่ธิปโดนตอกกลับเหมือนฉันได้ยินเสียงหัวเราะของแกในหู(ผ่านการพิมพ์) เสียงที่หัวเราะ เหอ ๆๆๆๆ ฉันรู้สบายใจทุกครั้งที่พี่ธิป หัวเราะ เหอๆๆๆ แต่บางครั้งฉันทำให้พี่ธิปไม่ถูกใจ(หรือไม่พอใจนั้นแหละ พี่แก งือ  งือ งือ  จนอดถามทุกครั้งไม่ได้ว่าไข้ขึ้นหรอพี่  ซึ่งเหมือนคำพูดที่เป็นใบเบิกทางให้แกหาเรื่องทะลึ่ง ๆ สนุก ๆ มาเล่นอีกพร้อมเสียงหัวเราะ เหอๆๆๆๆๆ แบบถูกใจอีกไม่ได้) ทำให้ฉันอมยิ้ม จนถึงขั้นหัวเราะกับคอมฯเสมอ และทำให้ลูกทั้งสองคนของฉันรู้จัก ลุงธิป ผ่านเน็ตเพิ่มลุงอินเตอร์มาอีกหนึ่ง 555 หลังจากมีป้าริน อินเตอร์ มาก่อนแล้วหนึ่งคน  มารู้ว่าภรรยาพี่ธิปก็เป็นครูทำให้ฉันอดคิดว่าพี่ธิป  จีบพี่สาวตอนเป็นนักศึกษาฝึกสอนแน่ๆ ใช่ไหมพี่ ?  พี่ธิปสอนฉันให้รู้จัก อีคอมเมอร์ด ที่ฉันเริ่มทำแล้วทำให้พี่ผิดหวัง เพราะความไม่ได้เรื่องของฉัน นี่คือข้อเสียอีกข้อของฉันที่พี่ธิปรู้เพิ่มอีกว่าฉันเป็นคนไม่ได้เรื่อง มิตรภาพความเป็นเพื่อนของเรางอกขึ้นเรื่อยๆ ไม่เฉาไปถามสังขารของพี่ธิป (อีกแระ) เดี๋ยวก็ได้ยินเสียง งือ งือ ด้วยความไม่พอใจอีกหรอก
                 มาถึงในวันหนึ่งซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของครอบครัวฉัน เมื่อลูกคนเล็กต้องผ่าตัดฉันกำลังเปลี่ยนชุดปลอดเชื้อในห้องปลอดเชื้อของโรงพยาบาลเพื่อเตรียมลูกเข้าห้องผ่าตัด ไม่ได้ปิดโทรศัพท์คิดว่าเดี๋ยวค่อยปิดเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ กำลังเปลี่ยนชุดอยู่
เสียงโทรศัพท์ดังฉันรีบกดรับกลัวรบกวนคุณหมอที่กำลังเตรียมตัวผ่าตัดกันอยู่ด้วย เสียงเหน่อๆ ทองแดงของ พี่ธิป ดังขึ้นกระทบใจฉันที่มันหวั่นๆ เรื่องลูก อยู่ในตอนนั้น หากใครที่เคยมีลูกกำลังจะทำการผ่าตัดในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้าจะเข้าใจอารมณ์นี้ดียิ่งขึ้น กำลังใจเสียงทองแดงของพี่ธิป ให้ฉันรู้สึกดีขึ้นจนไม่สามารถที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้เพราะตอนนั้นสิ่งที่ต้องการที่สุดจากเพื่อนคือ สิ่งนี้แหละเพราะครอบครัวฉันมีเต็มเปี่ยมแล้วเพราะมารอหน้าห้องผ่าตัดแล้วเพียบ เพื่อนรักฉันก็ให้อย่างเต็มเปี่ยม เพื่อนสมัยเรียนที่สนิท ก็เพิ่งโทรเข้ามาก่อนที่ฉันเข้าห้องปลอดเชื้อ 3 คน คนสุดท้ายตอนนั้นก่อนที่ฉันจะเข้าไปในห้องผ่าตัดพร้อมกำมือลูกคือกำลังใจจากพี่ธิป มิตรที่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เจอกันแต่ตัวอักษร แต่สามารถสื่อถึงกันได้เมื่อยามที่เราต้องการกำลังใจ หลังจากบอกให้ทำใจให้สบาย 2-3 คำฉันรีบไปห้องผ่าตัด แต่รู้แล้วว่าพี่ชายคนนี้เป็นห่วงหลานและน้องด้วยใจ ออกจากห้องผ่าตัด มานั่งรอนอกห้องด้วยจิตใจที่ห่วงลูกอย่างที่สุด ได้รับ  SMS ส่งมาบอกรอฟังข่าวอยู่ ใจชื้นและซึ้งในน้ำใจมิตรมาก คุณอาจจะคิดว่า อะไรหนักหนา เรื่องแค่นี้เองเพื่อนคนไหนเขาก็ทำให้กัน สำหรับฉันไม่ใช่ เพื่อนที่เราคบรู้จักเรียนด้วยกันมา มันซึ้งน้ำใจเพื่อนอีกแบบ แต่เพื่อนที่รู้จักผ่านสื่อ ที่ไม่มีใครเชื่อถือกันเกือบ 100% มันรู้สึกดีอีกแบบ และฉันจะเก็บความรู้สึกดีๆ อย่างนี้ไว้อย่างดี ด้วยความทรงจำที่ดี หลังวันนั้นผ่าตัดเสร็จด้วยความเรียบร้อย จนน้องเจนเดินเองได้ในวันนี้ ทุกครั้งที่คุยกัน ลุงธิป จะถามถึงอาการหลานก่อน และลูกสองคนของฉันและสามีพอเห็นฉันนั่งเล่นคอมฯ จะถามว่าแม่คุยกับลุงธิป หรือ ป้าริน  จนลุงและป้าซึ่งบ้านอยู่ไกลกันเหนือใต้ไม่ทราบถึงจุดพิกัดที่ตั้งบ้านเลยกลายเป็นเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เหมือนคนใกล้บ้าน เหมือนญาติที่เวลาเราเปิดหน้าบ้านแล้วมักจะมองว่าญาติข้างบ้านเราอยู่ไหม ถ้าบ้านเราแกงสักหม้อ จะได้ตักแบ่งให้สักถ้วย บางที่รู้ว่าบ้านนี้ทำกับข้าวอะไรวันนี้ อิอิ ไม่พ้นเรื่องกิน ถ้าเห็นปิดบ้านนานๆ ก็รู้สึกเป็นห่วงกันว่าจะไม่สบายหรือเปล่า ทำไมไม่เปิดบ้านให้เราทักมั่งหว่า  อย่างวันก่อนป้ารินเห็นฉันหายไปหลายวัน เช้ามารับโทรศัพท์จากป้ารินว่าเป็นรัยหรือเปล่า น้องเจนไม่สบายหรือเปล่า มันบอกถูกว่ารู้สึกดีแค่ไหนกับความเป็นห่วง แบบนี้ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนขาดความอบอุ่นนะค่ะ อย่าเข้าใจผิด ฉันมีพี่ที่รักฉัน มีเพื่อนสนิท (เพื่อนแท้ คนหนึ่ง ซึ่งบางคนอาจไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว)  มันเหมือนเราอยู่ไกล้กันมีญาติที่เป็นห่วงหวังดีเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ฉันคิดว่าใครๆ ก็อยากได้รับทั้งนั้น และฉันยอมรับว่าฉันโลภมาก อยากมีเพื่อนดีๆ มีพี่ดีๆ หลายๆคน บางที่เปิดประตูบ้านเห็นบ้านพี่เค้าปิดกันหมดเราก็ห่วง แต่บางทีพาลคิดน้อยใจไปเองว่า  เบื่อเหม็นหน้าเราเปล่าหว่า อิอิ ล้อเล่นน่า
      ทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้อาจคิดว่าฉันคิดอะไรถึงได้มาเขียนถึงผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ญาติ สนิท ไม่ใช่พี่น้อง ไม่เคยเห็นหน้ากัน ได้ยาวขนาดนี้ หรือว่าไปแอบชอบเค้า หรือเป็นกิ๊ก กันหรอ ขอบอกว่า  ไม่ใช่ ค่ะ อย่างเต็มปากและเต็มใจ และบอกว่าคนนี้คือ พี่ชายหรือ พี่หลวงที่บ้านฉันเรียกพี่ชายว่าพี่หลวงนะ สามีไม่ได้เรียกพี่หลวงหรอก เรียก ที่รัก ค่ะ  พี่จะรับเป็นน้องหรือไม่ ไม่สนค่ะไม่ได้หวังให้แบ่งมรดกให้ในฐานะน้องหรอก เพราะของรันเองก็เยอะแล้ว (ล้อเล่นน่า อิอิ )  แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่ธิป  คนบนเกาะ ที่น้องนับถือ เลยถือโอกาสนี้บอกความเล่าในใจ บอกกล่าวให้เพื่อนๆ ได้รู้ว่ามิตรภาพมันต่อเนื่อง  เพราะหากเขียนเป็นกลอนอวยพรก็ได้แค่อวยพรไม่อาจเขียนได้ยาว และถนัดเขียนบอกความรู้สึกได้มากกว่า  แต่อวยพรเป็นกลอนสักนิดก็ดีนะค่ะ ฝึกไปในตัวด้วย   เนื่องในวันคล้ายวันเกิดพี่หลวงวันนี้รันขออวยพรให้พี่ ค่ะ

คำดีศรีสวัสดิ์คัดให้พี่หลวง
พรทั้งปวงเลิศล้ำนำมาให้
ขอทุกข์ใดใดให้ร้างหาย
ไปทางไหนพบโชคมีมากมาย

ขอบวงสรวงเทวามาส่งเสริม
งานใดเริ่มให้ถึงที่มุ่งหมาย
ขอให้บ้านร่มเย็นสุขสบาย
ขอใจกายไร้โรคพระคุ้มครอง

ให้มีหลานหญิงชายมาอ้อนรัก
ผูกสมัครตายายไว้ทั้งสอง
มีลูกหลานที่ดีและปรองดอง
เป็นสายทองสายใจของยายตา

ให้เรี่ยวแรงแข็งขันสมสนอง
ทั้งเงินทองมากมายดังปรารถนา
คำอวยพรทุกอย่างที่กล่าวมา
ขอพี่ยารับไปจากใจจริง..  .

กลอนมันไม่เพราะ เพราะบอกแล้วว่าไม่ถนัดทางกลอน แต่ถ้าให้เขียนสามวันก็ไม่จบ เหอๆๆๆ  แต่จากใจจริงของน้องสาวคนหนึ่ง(จากในหลายคน)รักษาสุขภาพด้วยจ้า ยิ่งรู้ว่าสุขภาพไม่ค่อยดี ก็เป็นห่วงนะแต่ไม่ค่อยได้แสดงออก อยากให้รักษาสุขภาพให้ดี รู้ว่าพี่สาวดูแลดีอยู่แล้ว แต่ขอแสดงความห่วงใยกันบ้างเล็กน้อย  จะได้ต่อล้อต่อถียงกันอีก นานๆ ฮา ฮา ฮา  นะพี่นะ และนี่คือมุมหนึ่งของมิตรภาพที่ฉันได้รับผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตท์ผ่านบ้านกลอน   และอีกมุมมองหนึ่งของ คนบนเกาะ ผ่านน้องสาวที่ชื่อ กชมนวรรณ
และขอบคุณสำหรับผู้ที่แวะมาอ่านเรื่องนี้ทุกคนด้วยค่ะ

จากใจน้องสาวคนหนึ่ง   รันค่ะ  
 
kapook27127lg0.gif

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกชมนวรรณ