ความจริง หรือ สิ่งสมมติ

-ร้อยแปดพันเก้า-

549000012658905.JPEG
เคราะห์กรรมของดาวเคราะห์..
เราเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าว่า วิทยาศาสตร์คือความจริง หรือนักวิทยาศาสตร์ชอบสร้าง นิยาม ซึ่งวิทยาศาสตร์อาจเกิดขึ้นจากนิยามซึ่งอาจไม่มีอยู่ในธรรมชาติก็ได้  เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ มีความสัมพันธ์กันในเชิงเหตุและผล
ธรรมชาติทั้งหมดที่เราเรียนรู้จากวิทยาศาสตร์นั้นล้วนจินตนาการขึ้นมาโดยมนุษย์เอง เพื่อให้สามารถอธิบายธรรมชาติได้ หรือทำความเข้าใจกับธรรมชาติได้ ทั้งๆ ที่อาจไม่ใช่ความจริงเลยก็ตาม บางส่วนจาก บทความเรื่อง ศาสตร์ และ การครอบงำ ของ อาจารย์ นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์				
comments powered by Disqus
  • แดดเช้า

    2 กันยายน 2549 09:12 น. - comment id 602967

    หลงความคิดว่ายวนบนความฝัน
    แล้วยึดมั่นเป็นสิงจริงยิ่งสิ่งไหน
    จึงเทียมตนล้นฟ้าค่าเกินใคร
    เหนือสิ่งใดกว่าธรรมชาติวาดสิ่งจริง
    
    เพราะหลงคิดตรรกะเกินประสงค์
    จมไม่ลงอัตตาข้าใหญ่ยิ่ง
    ดำรงได้เพราะสมองตรองอ้างอิง
    ยึดพึ่งพิงความคิดฝันอันมากมาย
    
    หากสิ่งจริงสามัญธรรมชาติ
    มิอาจวาดจากสมองตรองความหมาย
    แต่เกิดจากการรู้เห็นสิ่งเกิดตาย
    ไม่ขยายปรุงแต่งแกล้งมายา.
    
    
    สวัสดีค่ะ ... คุณร้อยแปดพันเก้า 
    เมื่อก่อน แดดเช้าก็เคยคิดนะคะว่า ศาสนาวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งจริง เป็นที่สุดของมนุษย์
    
    
    แต่ยิ่งเชื่อศาสนาวิทยาศาสตร์ ยิ่งรู้สึกอัตตามานะของตัวเองจะลำพองคับฟ้าขึ้นทุกวันๆ บางทีก็สำคัญตัวเองว่า ฉันมีสมอง ฉันปรารถนาจะเป็นคนเก่ง คนฉลาด
    
    
    ความสงบสุขในใจหาไม่พบเลยเพราะว่า เราไปไขว่คว้าหาการยอมรับว่า ฉันเป็นคนฉลาด ฉันคิดได้
    
    ต่อมาจึงกลับมาทบทวนตัวเอง ... แนวทางที่เราแสวงหาความจริงนั้นถูกต้องจริงหรือ หรือเกิดจากการคิด การปรุงแต่งจากสิ่งจริงของธรรมชาติแล้วเอามาขบคิดเป็นของเราเอง แล้วก็เลยไม่เปิดใจรับธรรมชาติ
    
    
    แดดเช้าจึงเข้าใจว่า สิ่งที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง และทำให้เขาเข้าถึงความจริงได้ คือ ความสงบในใจ ใจที่เป็นสมาธิ ใจที่มองทุกสิ่งเท่าที่เป็นไป แม้กระทั่งมองใจตัวเองอย่างนิ่งสงบ คงที่ ไม่หวั่นไหวแม้กับอารมณ์ตัวเอง ปัญญาอันกว้างใหญ่ไพศาลก็จะผุดขึ้นมาเหนือกว่าความคิดด้วยสมอง
    
    เมื่อสมองหยุดทำงาน ... สมองกลับทำงานได้ทรงประสิทธิภาพขึ้นเองจริงๆ และเราก็จะพบกับความร่มเย็นในใจ
    
    
    เข้ามาทักทายคุณร้อยแปดพันเก้าค่ะ ... 
    ดีใจที่ได้อ่านงานของคุณอีก ... ติดตามอยู่นะคะ ตามประสาแฟนประจำ : )
    
    
    
    
    11.gif36.gif
  • ร้อยแปดพันเก้า

    2 กันยายน 2549 11:50 น. - comment id 602979

    พลูโต
    
    
    นี่คือสื่อสารจากเรา
    ไฉนเจ้าบังอาจประกาศข่าว
    มาตั้งกฎเกณฑ์การเป็นดาว
    แล้วสร้างเรื่องสร้างราวเราขึ้นมา
    
    เราไม่เป็นใครเล่าให้เราเป็น
    ใครเล่าเน้นเล่านับลำดับค่า
    เป็นหนึ่งใน \" นพเคราะห์ \" ต่อชะตา
    ให้สมญานิยามเอาตามใจ
    
    แล้วจู่จู่กลับใจไม่ให้เป็น
    เหมือนลูกเล่นเห็นสนุกเป็นลูกไล่
    เราก็อยู่อย่างเรามาแต่ไร
    เจ้าคือใครมากำหนดมากฎเกณฑ์
    
    เจ้าก็รู้ไปตามอำนาจเจ้า
    บังอาจเอาอวดวัดบรรทัดเถร
    เอาประโยชน์เฉพาะตนอันโอนเอน
    เอาอำนาจจัดเจนมาจัดการ
    
    ความรู้เจ้าถนัดใช้ทำลายโลก
    ก่อวิโยคทุรยุคไปทุกย่าน
    แผ่นดินเจ้าร้าวแยกมาแหลกลาญ
    อันธพาลอิทธิพลปล้นแผ่นดิน
    
    ยังมีหน้ามากำกับนับดวงดาว
    นับห้วงหาวราวกับนับทรัพย์สิน
    เราไม่ใช่ \" พลูโต \" โอ่องค์อินทร์
    เป็นเหยื่อลิ้นท้องยุ้งพวก\" พุงโต \" !
    
    
    เขียนโดย คุณ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
    จากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับ วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๙
    
    
    ด้วยความเคารพ จึงขอนุญาตนำมาฝากเพื่อนๆ ได้อ่านที่นี่ครับ..
  • กวีปกรณ์

    2 กันยายน 2549 12:17 น. - comment id 602983

    จริงเลยครับ
    
    สิ่งสมมติทั้งนั้น จะว่าไปแล้ววิทยาศาสตร์ก็คือนิทานมหากาพย์ที่ไม่มีวันจบสิ้น ที่มาค่อย ๆ ทดแทนตำนานต่าง ๆ จนหมด
    
    แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากตำนานต่าง ๆ แต่อย่างใด เพราะทุกอย่างเริ่มต้นจาก 1+1 คือ 2 ทั้งนั้น
  • วาที

    2 กันยายน 2549 13:07 น. - comment id 602987

    31.gif31.gifชีวิตก็เป็นอย่างนี้41.gif
  • -`๏’- .+* ♥♥ นางฟ้า ...แสนซน ♥♥ *+.-`๏’-

    2 กันยายน 2549 14:31 น. - comment id 602992

    ความจริง หรือ สิ่งสมมติ
    
       ไม่รู้ รู้แต่ว่า .... มาอ่านงาน ร้อยแปดพัน 9
    
     ไม่มีที่สิ้นสุด...
                         
    
    
    
  • whitelily

    2 กันยายน 2549 15:14 น. - comment id 602999

    แวะมาพิสูจน์ความจริง  และสิ่งสมมุติ 
    
    ของคุณร้อยแปดพันเก้าค่ะ.....
    
    \"สวัสดีค่ะ\".....31.gif31.gif
  • ไรไก่

    2 กันยายน 2549 15:32 น. - comment id 603002

    ความจริงกับสิ่งสมมติ
    มีความเป็นมาคล้ายๆกัน
    จากจินตนาการมาเป็นความจริง
    จากความจริงผันไปสู่ห้วงแห่งฝัน
    สมมติขึ้นมา
    แหะๆๆเกี่ยวกันป่าวน๊ะเนี้ย
    แวะมาแอ่วฝนหยุดแระฮอ้นขนาดเนาะ
  • บินเดี่ยวหมื่นลี้

    2 กันยายน 2549 16:07 น. - comment id 603008

    มนุษย์ชอบสร้างสิ่งต่างโดยใช้เงื่อนไข..และชอบทำลายสิ่งที่สร้างโดยใช้เงื่อนไข...
    
    ...ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับคนอย่างเราๆ พวกมนุษย์ขี้เหม็น....
    
    ...แวะมาบ่นนะน้องชาย พี่ชายหายดีแล้ว ซ่าได้แย้ว..ยิ่งลิงไปแอ่ว ซ่าหน้าเวปได้สบาย(กลับมาค่อยว่ากัน..อิอิ..) น้ำปิงสูงมากเลยหละ ทางบ้านน้องชายเป็นไงมั่ง หวังว่าคงไม่ท่วมนะ รักษาสุขภาพนะครับ
    31.gif
  • เพรง.พเยีย

    2 กันยายน 2549 21:02 น. - comment id 603040

    มนุษย์เรา สมมติสิ่งต่างๆ ให้มี ให้เป็น 
    ภายใต้สิ่งที่พิสูจน์เห็นได้
    ตามหลักวิทยาศาสตร์
    
    ดาว ก็ยังคงเป็นดาวอยู่เช่นนั้น
    สิ่งสมมติต่างๆ ที่เรากำหนดขึ้น
    ก็คงดำเนินอยู่เช่นนั้น
    และ เป็นเช่นนั้นเอง
    
    1.gif
  • ราชิกา

    2 กันยายน 2549 21:43 น. - comment id 603049

    ...ทุกอย่างในโลกนี้...ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น...ขึ้นอยู่ที่วิธึคิด..ของมนุษย์..ที่จะสรรสร้างให้เป็นไป...อาจจะเป็นเหตุ..เป็นผล...หรือ..นอกขอบจักรวาล...เป็นจินตนาการที่ไร้ขอบเขต...
    
    เนื้อหา...ให้แนวคิดได้ดีค่ะ..แวะมาทักทายกันนะคะ...36.gif44.gif36.gif
  • ดอกบัว

    3 กันยายน 2549 10:01 น. - comment id 603100

    สวัสดีค่ะพี่พันเก้า46.gif36.gif
    
    สมมติ, สมมุติ  ก็บอกออกมาจากตัวเองอยู่แล้ว
    ว่าเป็นสิ่งสมมติขึ้นมา
    วิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ที่ได้จากการค้นคว้า
    นักวิทยาศาสตร์ เป็นผู้ทดลองสังเกตคิดค้นหาความจริง
    นักษัตรวิทยา เป็นวิชาเกี่ยวกับดวงดาว
    โหราศาสตร์
    
    เหมือนนักวิทยาศาสตร์ ต่างชาติ
    คิดค้นหาเหตุผลว่ามนุษย์เรา
    จริงๆแล้วเผ่าพันธ์เดิมมาจากอะไร
    ธรรมชาติสร้างให้มีมนุษย์มาได้อย่างไร
    ตรงนี้มีปัจจัยหลายอย่างให้ค้น
    
    เจ้าพลูโตเลยเป็นสิ่งที่ยากที่จะค้นหรือไม่เคย
    ค้นหามาเลยก็อาจเป็นได้
    แต่มีสิ่งหนึ่งที่คนเราสามารถค้นหาด้วยตัวของเราเองให้รู้แจ้งเห็นจริงโดยไม่ต้องพึ่งพา
    นักวิทยาศาสตร์  มาค้นคว้าให้
    ความรู้แจ้งเห็นจริงโดยแท้
    พระศาสดา ประทานคำเตือนให้คนเราว่า
    วะยะธัมมาสังขารา สังขารทั้งหลาย
    มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราพิสูจน์รู้ได้ด้วยตัวเราเอง
    ค้นหาด้วยตัวเราเองและเป็นจริงไม่ใช้นิยาม
    คือ เรียนรู้จากธรรมชาติ จากต้นไม้ใบหญ้า
    จากการสัมผัสดิน ฟ้า อากาศ จากเสียงนกร้อง และจิตของตัวเราเอง
    
    ในความคิดของบัว ที่เป็นคนเรียนมาน้อยไม่รู้หลักด้านวิทยาศาสตร์อะไรเลย
    แต่บัวกำลังคิดว่า เจ้าพลูโต ซึ่งเมื่อ 76 ปีที่แล้ว
    เป็นกลุ่มดาวนพเคราะห์ กำลังเสียสละตัวเอง
    ให้คนทั้งโลกมองเขาว่าเป็น ดาวเคราะห์แคระ  ให้เราได้เรียนรู้ว่า
    ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน
    อะไรก็เกิดขึ้นได้อย่าประมาท
    นี้คือความคิดบ๊องๆ ของบัว ไม่รู้ว่าจะเกี่ยว
    กับที่พี่พันเก้าเขียนหรือป่าวนะค่ะ อิ อิ อิ
    
    ตรงนี้เป็นเรื่อง อะคาเดอมี่ค่ะ น้องก็ ไปแล้ว
    ตอนแรกบัวก็ว่าจะส่งแรงใจไปให้เหมือนกันค่ะ แต่บัวไม่อยากประมาท กับคนที่บัวชอบค่ะ
    อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นถ้าเราประมาทเกินไปค่ะ อิ อิ อิ  น๊าน่ะ ไหนๆก็เหลือ น้องซาร่า น้องต้างัยค่ะ  
    บัวขอให้พี่พันเก้า โชคดี ปลอดภัยค่ะ
    
     46.gif36.gif
  • ดอกเอื้อง & คนดอย

    3 กันยายน 2549 14:03 น. - comment id 603145

    The Pluto we know
    
    
    Pluto has been officially demoted 
    The International Astronomical Union,
    At a meeting in the month of August 2006, 
    Voted on their first \"official\" definition.
    
    Pluto is no longer a planet.
    Our Solar System is remain only eight,
    Mercury, Venus, Earth, Mars, Jupiter, 
    Saturn, Uranus, and Neptune. 
    
    Pluto will be one of several \"dwarfs\".
    Which are not considered true planets.
    Astronomers have long hypothesized,
    The existence of a large class of icy objects.
    
    First KBO was discovered in the early 1990s. 
    Scientists recognized that Pluto, 
    Which was discovered in 1930, 
    Was really \"just\" one of many KBOs. 
    
    In terms of its composition and its orbit, 
    Pluto is unlike the other eight planets; 
    But is similar to other objects in the Kuiper Belt. 
    Until 2003 Pluto was still the largest.
    
    
    16.gif
  • ผู้หญิงไร้เงา

    3 กันยายน 2549 18:14 น. - comment id 603186

    ความจริงหรือสิ่งสมมติ
    
    ไม่รู้ได้
    
    รู้แต่ว่าเสียดายดาวดวงนี้เหลือกำลัง
    
    ไม่น่าปลดออกเลย
    
    แต่ก็อย่างว่าหละ
    
    บ้างครั้งน่าน่าจิตตัง
    
    ใจเราไม่อยากปลด
    
    แต่เสียที่นับขณะนั้น  มากกว่าแล้วนี่
    
    ต้องทำใจหละค่ะ  งานนี้
    
    อิอิ
  • อัลมิตรา

    3 กันยายน 2549 22:16 น. - comment id 603250

    เขาว่ากันว่า .. จิตสำนึกที่แท้จริงของมนุษย์คือการอยากเอาชนะธรรมชาติ
    จริงเท็จแค่ไหน ก็คงแล้วแต่ใจอิสระของแต่ละคนจะตัดสิน
    
    อัลมิตรามีคำ ๆ หนึ่ง ที่สะกิดใจให้คิดอยู่หลายวัน
    ภาพจริงหรือสิ่งลวงตา เป็นสิ่งที่อัลมิตราตั้งใจจะเขียน แต่คงต้องใช้เวลาสักพัก
    เพื่อที่ว่าจะได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวกลั่นกรองความรู้สึกที่สัมผัสได้ในรอบ ๆ ตัวมาปรุงแต่งเป็นอักษร
    
    ในขณะเดียวกัน ก็ได้แอบถามเพื่อนหลายคนว่า 
    หากพวกเขาได้เห็นคำว่า ภาพจริงหรือสิ่งลวงตา พวกเขาจะนึกถึงอะไร
    ซึ่งตัวอัลมิตราเอง ก็มีคำตอบนะ .. แต่อุบไว้ก่อนดีกว่า ขืนเปิดเผยหมดก็จะไม่น่าติดตามเนอะ
    
    เพื่อนบางคนบอกว่า .. 
    เมื่อตอนเขายังเล็ก มีคนบอกว่า เทวดาเลี้ยงฝูงแกะบนฟ้า ซึ่งเขาคิดว่าจริง
    เพราะปุยเมฆสีขาวที่ลอยฟ่องฟ้านั้น เป็นสิ่งที่ยืนยันความคิดในวัยเยาว์ของเขาได้
    อัลมิตรามองสีหน้าของเขาตอนที่เขาเล่า .. ดูเขามีความสุขจัง
    
    ตอนที่อัลมิตรายังเล็ก ในซอยบ้านที่ยังไม่ใช่ถนนคอนกรีต มีบ้างที่มีแอ่งน้ำหลังฝนพรำ
    กระจกน้ำที่สะท้อนภาพของฟ้า .. ทำให้อัลมิตรามองแล้วมองอีก เพื่อที่จะหาก้นแอ่งน้ำ 
    และแล้วก็หาไม่เจอ .. ภาพที่เห็นยังคงลึก ลึก เวิ้งว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
    \"..กลัวตกลงไปในหลุมนั้นจัง ..\" อัลมิตราเคยคิดเช่นนั้น และยิ่งกว่านั้นก็คือ 
    อัลมิตราถลกกระโปรงพยายามกระโดดข้ามแอ่งน้ำเล็ก ๆนั่น เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องตกลงไป
    ซึ่งบางครั้ง ก็ผ่าน บางครั้งก็ไม่ผ่าน 
    แต่ทุกที ที่ไม่ผ่าน .. อัลมิตราก็ยังแปลกใจ ทำไมอัลมิตราไม่จมหายไปนะ .. ฮา
    
    แวะมาโม้ ..
    ความจริงจะถามว่า คิดยังไงกับคำว่า ภาพจริงหรือสิ่งลวงตาน่ะ
    ตอนนี้กำลังตั้งโปรแกรมเปิดรับการไหลเข้ามาของข้อมูลค่ะ
  • ร้อยแปดพันเก้า

    4 กันยายน 2549 08:50 น. - comment id 603336

    สวัสดีครับ..เพื่อนๆ
    
    
    ถ้ามีคำถามว่า ดาวเสาร์ ดาวพุธ ดาวอังคาร เกิดขึ้นมาทำไมไร้ประโยชน์เหลือเกิน ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย พอถามคำว่า ประโยชน์ มันก็เป็นคำถามที่ผิดแล้ว  เพราะถ้าพูดคำว่าประโยชน์ ก็ต้องถามว่า...เพื่อใคร
    
    มนุษย์..มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล คิดเรื่องต่างๆ โดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งให้ใครต่อใครโคจรรอบตัวเรา ทำไมไม่คิดว่า ดวงจันทร์หมุนรอบตัวโลก โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ สุริยจักรวาลของเราก็หมุนอยู่ ดาวทุกดวงในเอกภพ ไม่มีหรอกดวงไหนที่นิ่งอยู่ให้ดาวดวงอื่นหมุนรอบอยู่ฝ่ายเดียว
    
    
    จักรวาลไม่ยอมให้ใครเห็นแก่ตัวเลย คุณว่าไหม
    
    
    จักรวาลอยู่ในทุกสิ่ง
    ทางคริสต์จึงว่า พระเจ้าอยู่ในทุกหนทุกแห่ง
    พุทธศาสนาก็พูดไว้ว่า พระธรรมอยู่ในทุกอณูของสรรพสิ่ง
    
    ความจริงของจักรวาลเป็นก้นหอยอย่างไร นึกถึงกำเนิดจักรวาลมันก็คือศูนย์ใช่ไหมครับ อยู่ๆ จากศูนย์นี้ ก้นหอยก็ค่อยๆ คลายออก คลายออกเป็นเอกภพ มีกาแลกซี่ต่างๆ มีทางช้างเผือก มีสุริยะ มีโลก แล้วมีคุณ มีผม
    ทำให้นึกยากตอนที่ไม่มีจักรวาลน่ะเป็นอย่างไร ยากพอๆ กับว่า จักรวาลไม่สิ้นสุดเป็นอย่างไร
    
    วิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับเอกภพ ๒ ทฤษฎี คือเอกภพขยายตัว กับหดตัว แต่ทั้งสองทฤษฎีพูดตรงกันคือเอกภพไม่เคยหยุดนิ่ง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเคยเป็นศูนย์มาก่อน และก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกำลังจะกลายเป็นศูนย์
    
    มนุษย์เรานั้นเกิดมาจากศูนย์ และในที่สุดก็กลับไปหาศูนย์ เหมือนกับเอกภพเช่นกัน แต่..มนุษย์ มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งในทุกๆ เรื่อง
    
    เราคงเคยเห็นภาพ โอม ที่เป็นคำแทนเทพเจ้าทั้งสามนะครับ มะ  อุ  อะ...น่ะครับ แปลว่า สร้าง รักษา และทำลาย นี่คือจักรวาล
    
    
    ผมไม่แปลกใจหรอกครับ ที่นักดาราศาสตร์โลกจะ นิยามอะไร และจะกำหนดให้อะไรมี หรือ ไม่มี  มนุษย์เจ้ากี้เจ้าการไปซะทุกเรื่อง
    แต่องก์ความรู้ที่เรารู้มาน่ะ ความรู้  น่าจะหมายถึงการเข้าถึงความรู้ และทำความเข้าใจกับสิ่งที่มีในธรรมชาติด้วย
    จินตนาการ ทำให้เกิดความคิด และ มุมมอง มีเรื่องการมองที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งครับ ผมจะลองยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับการมองน้ำครึ่งแก้ว
    
    บางคนมองว่า นั่นมันน้ำอะไร เขาคงกระหายน้ำมาก อยากกินน้ำ แต่รอบคอบอยู่
    บางคนว่า มันคงจะสวยดี ถ้ามีแสงส่องผ่านแก้วน้ำมาด้วย นายที่อยากมองเห็นแสงผ่านนี่ หมอดูอาจจะทำนายว่า นายนี่อาจจะอดตายได้ในอนาคต เพราะมัวแต่คิดเรื่องศิลปะ
    อีกนายหนึ่ง พูดว่า  ทำไมน้ำมีครึ่งแก้ว เขายังมีความโลภ และอาจถูกสัตว์ที่ใหญ่กว่าโตกว่า เอาเปรียบมาตลอดชีวิต คำพูดเขาอาจจะบอกว่า ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้มีน้ำเต็มแก้วขึ้นมาได้
    
    คนสุดท้ายนี้เป็นคนเก่ง มีเงินมาก เสียงดัง เขามองแก้วน้ำ และพูดอย่างไม่คิดเลยว่า มันหายไปไหนครึ่งหนึ่ง เสียงของเขาบอกให้รู้ว่า ต้องเอาน้ำครึ่งแก้วมาเติมให้เต็มให้ได้ ถ้ามันต้องแลกอะไรบ้าง เขาก็อาจจะทำ
    
    ถามตัวเราเองสิครับว่า เห็นน้ำครึ่งแก้วแล้วเราจะพูดว่าอะไร...
    
    เหมือนกับการเขียนกลอนแหละครับ ต่างคนต่างมีมุมมองแตกต่างกันออกไป ทั้งที่โจทย์เดียวกัน แต่ไม่มีผิด หรือ ถูก  ต่างเคารพในพื้นฐานความคิดที่แตกต่างกันไป
    แต่ที่สุด ดีใจ และมีความสุขที่ได้มาคุยกัน มันงอกงามทางความคิด
    
    
    ..............
    
    
    เชื่อว่า ทุกคนต้องจำประโยคทองของไอน์สไตน์ได้ที่ว่า
    
    จินตนาการสำคัญกว่าความรู้...
    
    การค้นพบครั้งสำคัญของเขาล้วนเกิดมากจินตนาการทั้งสิ้นผลงานของไอน์สไตน์ไม่ได้มาจากการทดลอง เขาฝัน และลองคำนวณดู
    
    มาถึงตรงนี้ คุณกวีปกรณ์ ฉุกให้ผมคิดถึง สมการ ๑+๑ = ๒
    ถือเป็นสมการพลิกโลกเลยครับ วันที่มนุษย์คนแรกค้นพบ เขาบอกจำนวนสิ่งของได้ และรู้ว่า จำนวนอะไรต่ออะไรที่ไม่เท่ากัน วันนั้นเป็นวันที่มนุษย์เริ่มแตกต่างจากสัตว์ แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกนี้ พอเราบวกได้ เราก็หารได้ คูณได้ ซายน์คอสแทน หรือถอดรู้ทยกกำลังได้แล้วเราก็คิดค้นเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้แก่มวลมนุษย์ได้ จนไม่น่าเชื่อ
    และสมการนี้ ต่อยอดไปที่ว่า ๑ ไม่เท่ากับ ๐ ที่เป็นปรัชญา หยินหยาง  มี และ ไม่มี ๑ กับ ๐
    
    แต่ ถ้า ในวงการยา ๑+๑ มีค่า เป็นลบ หรือเป็นบวกได้ เมื่อเราคิดไปในทางค่า อย่างเช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ สองตัวรวมกัน บางครั้งจะได้ประสิทธิภาพมาก คือ ๑+๑ ได้ค่ามากกว่า ๒ 
    บางครั้ง ได้ประสิทธิภาพเท่าเดิม คือ ๑+๑ เท่ากับสอง
    บางครั้งประสิทธิภาพของยาที่ให้กลับแย่ลง ๑+๑ มีค่าน้อยกว่าสอง ไงครับ
    
    แล้วถ้า มีการซื้อทัวร์ยุโรป ๕ วัน ๗ ประเทศ ปริมาณล้วนๆ ไม่รู้นะว่าจะสนุกหรือเปล่า
    
    หรือถ้ามีการจัดตั้งรัฐบาล ๕๓+๔๗+๑+๕+๘๙ = ๐ ..... คือมีค่า เท่ากับศูนย์ นะครับเพราะถ้ารวมกันแล้วอาจจะแย่ขนาดนั้นเชียว 
    
    
    
    
    
    46.gif
    
    
    .......
    
    
    อะนะ ผมเขียนกลอนไม่ค่อยเก่ง แต่พยายามเขียนอะไร เพื่อมาขอความคิดเห็นแลกเปลี่ยนความรู้กัน เคยอ่านหนังสืออย่างเดียวมันก็สงบดี และก็กล้าๆ กลัวๆ กับการมาขอเขียน เพราะการเขียนในความคิดของผมคือการต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง และสร้างความคุ้นเคยกับคนอื่นไปในตัว ซึ่งก็ยากทั้งสองอย่าง แต่ก็ทำใจมาแล้ว ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์นะครับ
    
    
    ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านนะครับ ที่เห็นต่างออกไปจากผม และเข้ามาทักทายกันอยู่เสมอ
    
    ไว้คุยกันในโอกาสอื่นๆ นะครับ 1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน