3 พฤศจิกายน 2549 11:28 น.

รักเธอต้นหน้าฝน..และเธอก็จากไปต้นหน้าหนาว

ก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร

ฉัน...พบกับเขาคนนี้เมื่อต้นๆ ฤดูฝน 
เราเป็นคนทำงานที่เดียวกัน แต่เขาจะอยู่ที่สำนักงานใหญ่ส่วนฉันอยู่ที่สาขาย่อยนานๆครั้ง หรือบางทีก็บ่อยครั้งที่เขาจะเข้ามาตรวจเช็คงานที่ๆฉันทำงานอยู่ เรื่องของเราเริ่มจากที่คุยกันเรื่องงาน จนกระทั่งเราได้คุยmsn กันบ่อยขึ้น จนเรียกได้ว่าวันไหนไม่ได้คุยกันก็เหมือนอะไรขาดหายไป จนนานเข้าเราก็เริ่มที่จะเรียนรู้กันมากขึ้น พร้อมกับความรู้สึกดีๆที่มีมากขึ้นด้วย แต่มีบางอย่างที่เป็นเส้นกั้นระหว่างเรา 
"มด มดยึดติดกับศาสนามั้ย"
"เป็นธรรมดาที่เมื่อเราผูกพันหรือเติบโตมากับสิ่งไหนเราก็ต้องยึดติดกับสิ่งนั้น แต่ถ้าถามมดว่า แล้ววันนึงมดอาจเปลี่ยนแปลงได้มั้ย มดก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่ามดไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้มดจะเปลี่ยน มันมีเหตุผลเพียงพอมั้ย เพราะจนกว่าจะถึงเวลานั้นมันอาจมีปัจจัยที่ทำให้มดสามารถจะเปลี่ยนได้หรือไม่ได้ ก็ได้"
มันคือการคุยกันก่อนที่เราจะตกลงเริ่มคบกันด้วยความแตกต่างทางศาสนาที่เขาเป็นอิสลาม และเป็นคนดีมากคนนึงที่ศาสนาอิสลามคงภูมิใจมากที่มีเขาเป็นสมาชิกของศาสนานี้
"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีถ้าลองคบดูแล้วหากวันนึงเราไม่ใช่คู่กันจริงๆ บางทีเราอาจเป็นพี่น้องที่รักกัน พูดคุยกันได้ทุกเรื่องก็ได้"
"จะลองดูก็ได้ ในเมื่อถ้าวันนึงเราจะจบกันด้วยเหตุผลของศาสนามดก็คงไม่เสียใจ เพราะเราไม่ได้จากกันด้วยเหตุผลที่ใครไปมีใหม่หรือเพราะเหตุผลที่ว่าเราไม่รักกัน และอีกอย่างชีวิตที่มดผ่านมามันมีคนไม่กี่คนนะที่จะผ่านเข้ามาแล้วทำให้มดรู้สึกว่ามดอยากคุย อยากอยู่ใกล้ อยากเป็นห่วงเขาเหมือนกับที่มดกำลังรู้สึกกับพี่"ฉันให้เหตุผลเขา
จากนั้นทั้งฉันและเขาก็คุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้นแต่มีหลางครั้งที่ฉันจับความรู้สึกเขาได้ว่าเขามีความกลัว และกังวลในเรื่องความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ของเราทั้งสองคน ทั้งที่ฉันเองก็กลัว กลัวมากกว่าเขาเสียอีกแต่ฉันพยายามเก็บทุกความรู้สึก ทุกคำพูดที่จะทำให้เขาเป็นกังวลไว้ในใจ พร้อมๆไปกับการเริ่มคุยกับคนในครอบครัวว่าที่บ้านเราจะรับได้มั้ย แล้วฉันก็ทำสำเร็จครอบครัวอาจจะไม่เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์นักแต่เขาก็พร้อมจะเข้าใจถ้าฉันเป็นคนเลือกและตัดสินใจมีแต่คำพูดของแม่
"ถ้ารู้ว่ารักแล้วมันจะเสียใจ ก็จะเสี่ยงรักให้มันรู้สึกเจ็บ และเปลีองใจไปทำไม"
"ไม่หรอกแม่ มดบอกแล้วไงถ้าเป็นเหตุผลเรื่องความต่างที่ทำให้มดต้องเลิกกับเขามดก็จะไม่เสียใจ พูดไปแม่ก็จะว่ามดดื้อแต่มดก็ไม่รู้อนาคตไงแม่ก็ลองดูละกันมดอาจจะไม่โชคดีเหมือนแม่ที่รักกับพ่อคนแรกแล้วก็แต่งงานอยู่ด้วยกันมา20กว่าปีแล้ว สมัยของมดมันหายาก มันก็คงต้องให้ผ่านให้เรียนรู้กันบ้างแหละแม่กว่าจะได้รู้ว่าใครคือตัวจริงของเรา"
แล้วความสัมพันธ์ก็ก่อตัวขึ้นจนกระทั่งเข้าช่วงเดือนถือศีลอด ความกังวลใจของเขาที่มีมาตลอดก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น
"พรุ่งนี้พี่เริ่มถือศีลแล้วนะ ...วันนี้พี่มีเรื่องให้คิด"เขาโทรมาบอก
ฉันเดาได้ทันที เพราะก็มีอยู่เรื่องเดียว เขาถามว่า
"ทำไมเราถึงเป็นมาขนาดนี้ได้ล่ะ ทั้งที่มันก็ไม่ใช่เสป๊คเลยนะ"
"ก็คงเพราะคิดผิดมั้งถึงเป็นแบบนี้ได้"ฉันตอบทีเล่นทีจริง
"พี่ก็ไม่รู้ ทั้งที่พี่เคยคิดมาตลอดว่าจะไม่คิดรักกับคนต่างศาสนาเพราะมันเป็นไปได้ยากมากๆ แต่กับมดไม่รู้ทำไมพอรู้จักก็อยากคุย อยากสานต่อให้มันมากขึ้นๆ มันเหมือนต้นไม้ ต้นไม้ที่พี่เคยคิดว่าพี่เอายาฆ่าหญ้าราดมันแล้วแต่มันก็ไม่ตาย"
"ก็เพราะยายังฤทธิ์ไม่แรงพอมั้ง หาชนิดใหม่สิแล้วถ้าจะราดมันเมื่อไหร่บอกกันให้รู้ตัวบ้าง"ในใจฉันอยากบอกว่าเขามันไม่ยากหรอกในเมื่อต้นไม้เราร่วมกันปลูกแค่เราต่างฝ่ายไม่รดน้ำ ไม่พรวนดิน ไม่ใส่ป๋ยมันก็เหมือนกับรักถ้าเราไม่ใส่ใจกัน ไม่ติดต่อ ไม่เป็นห่วง ไม่คิดถึงกัน ไม่ช้ามันก็ตาย แต่ฉันไม่อยากให้เขากังวลหรือต้องคิดมากจากคำพูดฉันในเมื่อเขาจะเข้าช่วงถือศีลก็ขอให้เขาสบายใจดีกว่าจึงไม่พูด
แต่แล้ววันที่สองของการถือศีลเราก็ได้คุยกัน ฉันจับได้ว่าเขาเป็นกังวลเราเลยคุยกันด้วยเหตุผล ฉันบอกเขาว่า
"พี่เรื่องของเราพี่จะคิดจะตัดสินใจอย่างไรก็คิดดู เพียงแต่มดจะบอกว่าสำหรับมดแล้วมดไม่กลัวว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ขอเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้มดมีแรงสู้ไปได้คือขอความมั่นใจให้มดว่าเราจะก้าวไปด้วยกัน ขอความมั่นคงจากใจพี่ว่าพี่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่ามดสู้อยู่คนเดียวในขณะที่พี่ให้ความมั่นใจอะไรมดไม่ได้ ไม่รู้มดจะสู้ไปเพื่ออะไร"ฉันบอกเขาไป เพราะคิดว่าเมื่อวันใดที่รักของเรามีมากพอ มันจะทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงไปอยู่กับศาสนาเขาได้
"เรื่องนี้พี่ขอเวลาคิดนานหน่อยนะ ช่วงนี้เป็นช่วงถือศีลพี่ยังไม่อยากคิดอะไร เอาไว้พ้นช่วงนี้ไปแล้วพี่จะตอบประมาณ 30ตุลาคม"
"มดจะรอคำตอบ ถือศีลให้สบายใจเถอะนะ จะรอทั้งที่มดเองก็เดาคำตอบไว้ได้แล้วว่ามันคืออะไร แต่มดจะรอ"ฉันบอกเขาไปพร้อมกับเดาคำตอบไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่าคำตอบคือ "ไม่" แต่ก็จะรอ
"แต่ไม่ต้องกลัวนะ ระหว่างนี้เราก็ยังเหมือนเดิมยังมีความรู้สึกที่ดีๆให้กัน"เขาบอกฉัน ทุกครั้งเราจะพูดว่า"ความรู้สึกดีๆ"ไม่เคยมีคำว่ารักสำหรับเราทั้งสองคนหรอก ไม่รู้ทำไม 
ในระหว่างนั้นเราก็ยังได้คุยกัน แต่ตัวฉันเองพยายามไม่ให้สัมพันธ์มันงอกเงยมากกว่าที่เคยเป็นที่เคยรู้สึก เพราะฉันบอกตัวเองเสมอว่าคำตอบที่เราเดาไว้คงไม่ไกลจากความจริง
แล้วก็ครบกำหนดวันนั้นเขาบอกอีกว่าจะให้คำตอบเป็นกลางเดือนคือเลื่อนไปอีกสองอาทิตย์จนกระทั่งเราได้พบกันวันที่ 31 ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเราเริ่มพูดแซวกันเล่นๆจนเรื่องมันเริ่มเข้าประเด็น ฉันเริ่มอธิบายจากเรื่องที่ครอบครัวฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา แต่เขาก็ยังเฉยจนฉันต้องเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
"พี่ พี่กลัวอะไร พี่ยืดเวลาทำไมมดรู้ว่าพี่มีคำตอบตั้งแต่ต้นอยู่แล้วแล้วทำไมไม่พูด อย่าหลอกตัวเองอีกเลย"
"พี่กลัวพี่ไม่กล้าบอกมด พี่อยากให้มันมีความรู้สึกดีๆอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ"
"เพื่ออะไรคะ ในเมื่อเรารู้ว่าวันนึงเราต้องจบแล้วจะยืดไปเพื่ออะไร แล้วคำตอบที่พี่รู้ดีมาตลอดทั้งครอบครัวพี่ ศาสนาพี่ว่ายังไงเราก็ไปต่อไม่ได้แล้วแต่ทำไมยังให้มดรอ มดก็ยอมรอแต่พอครบเวลาที่พี่ต้องตอบพี่กลับเลือ่นมันไปอีกมดรอด้วยความทรมานมาเดือนนึงแล้ว"
"เพราะอะไรก็เพราะพี่รักมดไง" เป็นคำตอบที่ทำให้ฉันอึ้งไป พร้อมกับเขาก็ถามว่า
"แล้วมดล่ะ มดเองก็บอกว่ารู้มาตั้งแต่ต้นแล้ว แล้วมดทำๆไม มดให้ความสัมพันธ์เราเป็นมาแบบนี้ทำไมมันเหมือนพี่เป็นคนเห็นแก่ตัว มดทำๆไมแล้วทำไมมดถึงรู้ว่าคำตอบมันจะต้องคือคำว่าไม่"
"ก้เพราะที่ผ่านมาจากคำพูดของพี่เวลาคุยกับมดมันไม่เคยมีการสมมติว่า ถ้าใช่ เลยสักครั้งตลอดเวลามันมีแต่คำว่า ถ้าไม่ มาตลอดแล้วพี่จะให้มดคิดหวังว่าจะมีคำตอบที่มันเป็นไปได้หรือ แล้วอีกอย่างที่ปล่อยให้เป็นมาอย่างนี้ก็เพราะมดเคยบอกแล้วไงชีวิตนี้จะมีสักกี่คนที่จะทำให้มดรู้สึกว่าอยากคุย อยากพบ เป็นห่วง คิดถึงเขาได้สักกี่คนเชียว ในเมื่อพี่เป็นคนที่ทำให้มดรู้สึกอย่างนั้น ทำให้มดรู้สึกรักพี่ได้ มดถึงยอมดื้อให้เป็นแบบนี้ แล้วก็รอแต่จะให้พี่เป็นฝ่ายบอกคำตอบเองเพราะมดไม่อยากเป็นฝ่ายที่ต้องใช้คำพูดมาทำลายความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายแต่พี่ก็ไม่พูด แล้วมดก็ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไม่ได้แล้วเพราะเราจะยิ่งลึกมากไปกว่านี้ ในเมื่อมันถึงเวลา"
ฉันบอกเหตุผลเขาพร้อมกับที่เราเดินจูงมือกันตลอดทางเหมือนไม่อยากให้เราต้องห่างกันเลย (อย่างน้อยฉันก็ดีใจที่วันนี้เราทั้งสองคนได้เอ่ยคำว่ารักซึ่งกันและกัน)และฉันก็เสนอเขาต่อว่า
"มดคิดไว้ว่าก่อนที่เราจะจบจริงๆ เราเคยนัดกันจะไปดูหนังแต่เรายังไม่เคยไปเลย ความสัมพันธ์เรามันเกิดขึ้นด้วยใจจริงๆไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเราใกล้กันอย่างเดียว เอาอย่างนี้มั้ยวันนึงวันกลางเดือนเราไปดูหนังกัน ไปทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทำเหมือนทุกๆวันนี้แต่ไปดูหนัง กินข้าว เดินจูงมือกันอย่างนี้ทำทุกอย่างเลยแล้วเมื่อไหร่ที่หนังจบเมือ่ไหร่ที่เราต้องเดินจากกันกลับบ้านมันคือสัญญาน มันคือคำตอบที่เราสองคนเข้าใจกันเองว่าวันรุ่งขึ้นของอีกวันคือความเปลี่ยนแปลงของเราทั้งสองคน เปลี่ยนแปลงและรับรู้ด้วยใจของเราทั้งสองคนโดยที่ไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายเริ่มพูดคำว่าจบหรือจาก ไม่ต้องพูดคำตอบที่จะทำร้ายความรู้สึกกัน แล้วอย่างน้อยเราก็จะยังมีวันๆนึงที่เราจะมีความทรงจำที่ไม่สามารถลืมมันได้ และขอให้ช่วงเวลาที่เหลือกว่าจะถึงวันนั้นอย่าพูด อย่าย้ำ อย่าทำให้รู้สึกว่าเราตกลงอะไรกันไว้ปล่อยให้เรายังดำเนินไปเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ย"
"ได้ เอาแบบที่มดบอกก็ได้ วันที่18พ.ย.นะ"
ฉันยอมรับตามข้อเสนอนั้น เท่ากับว่าฉันยังมีเวลาอีกสองอาทิตย์กว่าที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดีๆเกิดขึ้นเพื่อไว้ให้คิดถึงวันดีๆที่เรามีกัน แต่แล้วหลังจากคืนนั้น วันรุ่งขึ้นฉันก็พบว่า ความคิดที่ฉันเสนอไปฉันไม่สามารถทำมันได้แล้ว ในเมื่อแค่เวลาฉันเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาเห็นเพียงเงาและร่องรอยที่เคยมีเขาเข้ามาหา มาทำให้เกิดความทรงจำดีๆ หรือเพียงหลับตาภาพต่างๆนั้นก็ไหลเข้ามาทำให้น้ำตามันเอ่อล้นขึ้นมาทันทีทั้งที่บอกตัวเองเสมอว่ามันไม่ใช่ความเสียใจแต่มันเป็นความทรงจำที่ดีมากจนทำให้เราคิดถึงและอาลัยมันมาก แล้วฉันจะทนต่อไปให้ถึงวันที่ 18 นั้นได้ยังไง เพียงแค่คิดถึงที่ผ่านมาก็แทบจะทำไม่ได้แล้ว แล้วถ้าวันนั้นฉันไปจริงๆ คิดถึงวินาทีที่ต้องเดินจากกันไปแล้วรู้ว่านั่นคือสัญญาณจบของเรา วันนั้นฉันจะมีน้ำตาสักเท่าไหร่กัน..............................ฉันจะผิดไหมหากฉันเลือกที่จะจบเสียตรงนี้ก่อนที่วันที่18จะมาถึงเพราะฉันก็เชื่อว่าเขาคงไม่อยากให้ถึงวันนั้นด้วยเหมือนกันเพราะสองวันมานี้ฉันก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนอะไรบางอย่างระหว่างเรา แต่ฉันไม่ได้บอกเขาหรอกนะว่าจะขอยกเลิกสัญญาวันที่18 แค่อยากให้ช่วงที่เขากำลังจะเปลี่ยนไปให้เราก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะถึงวันที่18 ฉันคงเข้มแข็งและเปลี่ยนสถานะใจตัวเองได้มากขึ้น ..............จะผิดมั้ยถ้าเราไม่บอกให้เขารู้ว่าเราจะเปลี่ยนในขณะที่เราไม่แน่ใจว่าเขาจะยังเหมือนเดิมหรือกำลังคิดจะเปลี่ยนอย่างที่เราจะทำเหมือนกัน ฉันกล้วว่าเมื่อฉันจะเปลี่ยนแต่หากเขายังเหมือนเดิมมันก็เท่ากับว่าฉันใจร้ายและทำร้ายเขาโดยที่ฉันเองก็ไม่รูตัว...........ฉันควรทำยังไงดี  				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร
Lovings  ก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร
Lovings  ก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร
Lovings  ก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก็แค่มีเท่าเดิม...ก็แค่ไม่เหลือใคร