24 มกราคม 2550 22:35 น.

นิทานข้างห้อง...นอน (ตอน ครั้งแรกของเรา 2)

ชมพูภูคา J.


ครั้งแรกของเรา
น่าจะนับย้อนไปสักตอน 8 หรือ 9 ขวบ
ตอนที่พอจะรู้เรื่องรู้ราว  และรู้ว่าใครคนนั้น  คนที่เรียกได้ว่า
เป็นเพื่อนบ้าน  ก่อนจะพัฒนามาเป็นเพื่อนเล่น  เพื่อนร่วมโรงเรียน
เพื่อนกิน  เพื่อนนอน  จนกระทั่งเป็นเพื่อนตายในที่สุด
เพื่อนชนิดสุดท้ายนี้มารู้ทีหลัง  หากไม่ไช่ตอนที่ตายไปแล้วหรอกนะ
บ้านเราอยู่ติดกัน  ไม่ใช่รั้วติดกัน  เพราะบ้านเราสองคนไม่มีรั้วกั้นกลาง
มันเป็นบ้านที่ติดกันเป็นผนังเดียวจริงๆ  
และถ้าพ่อกับแม่จะช่วยเจาะ ผนังบ้านด้านนั้น  
มันก็จะทะลุกลายเป็นหน้าต่าง  หรือ  ประตูก็ได้  แล้วแต่ขนาดที่เจาะ
อ้อ...แล้วเราสองคนก็จะวิ่งหากันได้สะดวกขึ้น 
ไม่ต้องคอยเดินอ้อมออกจากห้องนอนมาที่ระเบียง
ซึ่งมันน่าปวดหัว  แล้วก็สิ้นเปลืองพละกำลังมากในการไปมาแต่ละที
ที่สำคัญห้องนอนเล็ก ๆ ของฉันกับเธอ  จะแปรเปลี่ยนเป็นห้องนอนใหญ่ของเราสองคน


โก้  คือ  ชื่อของเธอ  และเธอมักบอกใครต่อใคร  ให้เรียกตัวเองว่า  ซิโก้
ชื่อเดียวกันกับนักฟุตบอลในดวงใจคนนั้น
เรื่องของเรื่องก็คือมันน่าจะฟังดูดีกว่าจะยอมให้เพื่อนเรียก  ไอ้โก้  เฉยๆ น่ะแหละ
น่าแปลกว่า  ชื่อโก้  เป็นชื่อโหลพอๆ กับ ชื่อสมชาย หรือสุพจน์
(ขออภัยคุณสมชายกับคุณสุพจน์ด้วย)
หากแต่เป็นชื่อโหลๆ ของเหล่าผองเพื่อนสี่ขานั่นต่างหากที่โก้รู้สึกโกรธ
ก็แหม  หมาร้อยตัว  ต้องมีชื่อ  ไอ้โก้  ไปแล้วเสีย 1 ตัว
ลองคิดเล่นๆ ดูสิ  หมาเมืองไทยมีตั้งกี่ล้าน  
หมาไทยๆ ก็จะชื่อ โกโก้ หรือไอ้โก้  
หมาตัวที่อินเตอร์หน่อย  หน็อย  ยังดันมาตั้งชื่อ  ซิโก้ มันน่าไหมล่ะ

วันที่พบกันครั้งแรกของเราเป็นวันที่ฝนตก
อย่าคิดว่าบรรยากาศวันนั้นจะโรแมนติก
เพราะจำได้ว่ามีเสียงฟ้าผ่าดังมาเป็นระยะ
มันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหนในหัวใจของเด็กอายุแปดเก้าขวบที่ต้องอยู่บ้านตามลำพัง
ฟ้าผ่าครั้งนึง  เสียงดังราวกับตั้งใจจะผ่าโลกทั้งใบให้แยกเป็นเสี่ยงๆ 
แล้วดูทีท่า  จะไม่ผ่าแค่ครั้งสองครั้งเสียด้วย  
ไม่ช้าไม่นานเรื่องโหดร้ายสำหรับเด็กวัยนั้นที่ต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นจากโรงเรียนอีกก็คือ
ฝนตก  แล้วไฟฟ้ามักจะดับ 
ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หน้าบ้าน  เพราะทำอย่างอื่นที่ดีกว่าไม่ได้
นึกโกรธพ่อกับแม่ทั้งๆ ที่ท่านทั้งสองไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย
ท่านไม่ได้อยู่เบื้องหลังเหตุที่ฝนตก  ไฟฟ้าดับมันก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว
ไม่งั้นเทียน  กับไฟฉายจะขายออกได้อย่างไร  ถ้าไฟฟ้าไม่รู้จักดับเสียบ้าง
ฉันนึกพาลไปเรื่อยเปื่อย  รอบข้างมืดมิด  จะมีก็เพียงแสงวูบวาบแปลบปลาบ
เป็นระยะ ๆ จากขอบฟ้าด้านโน้นทีด้านนี้ที  ต้นไม้ริมรั้วเอนลู่ตามแรงลม
มันคงถือโอกาสบิดเนื้อบิดตัวแก้อาการเมื่อยขบ  อย่างน้อยโอกาสก็มาปีละสามสี่เดือนเท่านั้น  
ถ้ามีคนอกหักสักคนแถวนี้คงดี  จะได้นั่งร้องไห้เป็นเพื่อนกันเสียเลย
เสียงกระซิกๆ  อันเป็นเสียงสะอื้นดังคลอๆ  ไปกับเสียงรอบกาย
มันอาจจะเพลินดีเหมือนกันหากไม่มีเสียงอะไรบางอย่างแทรกขึ้นมา
และมันก็ช่างแทรกขึ้นมาแบบไม่เนียนเอาเสียเลย   เพราะจำได้ว่าสัมผัสนั้นชัดมาก
คำว่า  ขนหัวลุก  เป็นอย่างไร  เข้าใจได้เลยในวินาทีนั้น  
ทิศทางที่มาของเสียงแปลกๆ สั่นเครือ  หวีดหวิว  แล้วก็อะไรอีกล่ะที่บรรยายอารมณ์
หลอนได้ลึกซึ้งถึงแก่นเหมารวมเอามาให้หมดนั่นแหละ  
มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไร  อันที่จริงมันใกล้ชนิดเฉียดใบหูมากกว่า
ช็อค  อีกคำที่ตามมาแทบจะในทันที  สั้น ๆ  หากหลับนาน
ฉันช็อคหมดสตินานเป็นชั่วโมง
และหลังจากฟื้นขึ้นมาก็ยังแหกปากร้อง
ชนิดต้อนขวัญประจำตัวของคนอื่นให้กระเจิดกระเจิงตามขวัญตัวเองไปด้วย
อย่างนี้ล่ะมั้ง  เขาเรียก  ขวัญหนีดีฝ่อ
แม่กอดฉันไว้แน่น  คงกลัวว่าจะขาดใจเพราะมัวแต่ตะเบ็งเสียง
แต่จริงๆ ถ้าฉันจะตาย  ก็น่าจะมาจากสาเหตุที่แม่กอดแน่นเกินไปมากกว่า
เหตุการณ์ผีหลอกในคืนวันฝนตก  เป็นเรื่องขำขำในครอบครัวของเราสองคน
ที่ยังเล่าซ้ำไปซ้ำมาได้ทุกครั้งที่มีโอกาส  
ฉันนอนไข้รับประทานไปสามวันสามคืนเพราะโดนผีเก๊หลอก
ในขณะที่ผีเก๊โดนตีซะก้นบวมจนบานนั่งไม่ได้ไปหลายวันพอๆ กัน
โก้  เคยเล่าให้ฟังในวันอารมณ์ดีๆ ว่า  เขาไม่ได้ตั้งใจแกล้งฉันเลยแม้แต่น้อย
(หลังจากพยายามอธิบายให้พวกผู้ใหญ่ฟัง (เป็นวรรคเป็นเวร) แล้วก็ตาม  หากไม่มีใครเชื่อ)
เพราะตัวเองก็กลัวผีขี้ขึ้นสมองเหมือนกัน  แล้ววันนั้นน่ะจะขอมานั่งรอพ่อกับแม่ด้วยคนต่างหาก
สำหรับชุดดำๆ กับหน้ากากผีนั่นก็เป็นความบังเอิญมากกว่า
เพราะตอนก่อนที่ไฟฟ้าจะดับเขากำลังลองชุด
ที่จะใช้ในวันงานฮาโลวีนที่โรงเรียนพอดิบพอดี
มิน่าล่ะ  ตอนที่โก้พยายามอธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจนั้น
ใบหน้าของเขามีริ้วรอย  โคตรเซ็ง  อย่างเห็นได้ชัด
มันเหนื่อยไหมล่ะ  เวลาที่เราพูดความจริงคอแทบแหก
คนฟังทำเป็นยิ้มๆ  ประมาณ  เออน่า  รู้ทันน่า  แล้วมันหมายถึงอะไร
นอกจากคำๆ เดียว  คือ  ฉันไม่เชื่อแกหรอก
โก้คงเจ็บปวดไม่น้อย  เปลืองน้ำลาย  แถมเหนื่อยชะมัด
สู้ประชดไปเลยให้รู้ดำรู้แดง  เออ  กูทำ  ไหนๆ ก็เชื่อแบบนั้นอยู่แล้วนี่

นี่คือ  ครั้งแรกของเรา
มันเจ็บปวดแล้วก็ไม่น่าประทับใจเลยสักนิด
สำหรับโก้  ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ตัวเองพูด  ไม่มีใครเชื่อ
และนั่นไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับเขา
โก้  อาจเคยพูดปดบ้างตามประสามนุษย์ปุถุชน
แต่เรื่องสำคัญ  หรือถือได้ว่ามีสาระสำคัญ  โก้ไม่เคยพูดปด
แม้ว่าผลของการยอมรับความจริงจะเป็นอย่างไรเขาก็ยินดียืดอกรับมัน
สำหรับฉันความเจ็บปวดในครั้งแรกของเราน่ะรึ
ฉันต้องนอนจับไข้หัวโกร๋นน่ะสิ  อ้อ...โกร๋น  คงเกินความจริงไปสักหน่อย
มันก็แค่  แม่ต้องวิ่งไปหาซื้อวิกผมให้ดูเหมือนผมเดิมของฉันเท่านั้นน่ะสิ
มิฉะนั้น  ฉันอาจจะต้องหยุดการเรียนสักหนึ่งเทอม
เพื่อรอให้ผมงอกขึ้นอย่างสมบูรณ์เสียก่อน
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกนอกจากฉัน  โก้  แล้วก็คนที่บ้าน
โก้ไม่ได้ล้อเลียนแต่อย่างใด  ทั้งๆ ที่สันดานเขาเป็นเช่นนั้น
อาจจะเป็นเพราะความละอายหรืออย่างใดไม่รู้แน่ชัด
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วกับครั้งแรกของเรา  ซึ่งมันแย่มากจริงๆ



				
24 มกราคม 2550 22:20 น.

นิทานข้างห้อง...นอน (ตอน ครั้งแรกของเรา 1)

ชมพูภูคา J.


ใครๆ ก็เคยมีครั้งแรก
สำหรับฉันกับใครคนนั้น  เรามีครั้งแรกร่วมกันที่แสนเจ็บปวด
และทุกครั้งที่หวนรำลึกถึง  ไม่ได้เป็นความทรงจำที่ดีแม้สักนิด
หากน่าแปลก  หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาอันยาวนาน  ทำไม...ไม่เคยลืม

เมื่อวานฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง
เขียนด้วยลายมือเหมือนเพิ่งหัดเขียนภาษาไทย
จ่าหน้าซองโย้เย้  ลำบากลำบน  ระบุชื่อผู้รับคือฉัน
รู้สึกทั้งทึ่ง  ทั้งสงสัย  ฉันไม่ได้รับจดหมายจากใครมานานนับ 10 ปี
น่าจะตั้งแต่ใครๆ เขาหันมาใช้โทรศัพท์คุยกันมากขึ้น นานขึ้นนั่นแหละ
แต่จดหมายฉบับนี้เพียงฉบับเดียว  กลับสร้างแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ให้
และนำมาสู่การเขียน  นิทานข้างห้อง...นอน  เรื่องนี้

เสื้อผ้าสองสามชุดกับสัมภาระจุกจิกน้อยชิ้นถูกยัดลงในกระเป๋าเป้ใบย่อม
ไม่ได้ใช้บริการมันมานานหลายเดือนแล้ว  
ถ้านับจากการไปตะลอน ๆ บ้า ๆ บอ ๆ  เมื่อตอนเกิดอุบัติเหตุใจครั้งล่าสุด
วันนี้ไม่ได้อกหักรักคุด  แต่ต้องไปให้ได้
ฉันตั้งใจจะขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน
จุดหมายปลายทางข้างหน้า คือ ข้อความบนกระดาษมอมแมมแผ่นนั้น
ฉันรู้ว่ามีสิ่งใดรออยู่ที่นั่น  และมันมีค่ามากมายแค่ไหนตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ก่อนได้รับจดหมายฉบับนี้ไม่นาน  ฉันคิดว่าเรื่องของเราคงสิ้นสุดลงแล้ว
มันเป็นความยินดีปนคราบน้ำตา  ฉันร้องไห้แล้วก็หัวเราะ
หัวเราะแล้วก็ร้องไห้  ใครที่เคยเกลียดใครมากๆ คงจะรู้ซึ้งและเข้าใจดี
ว่ามันช่างเต็มไปด้วยความสะใจมากมายขนาดไหน  แต่เราคงลืมไปอย่างหนึ่ง
ถ้าเราไม่คิดจะแคร์ใครคนนั้น
มันจะเป็นจะตายอย่างไร  ก็คงไม่สนใจเลย
หากทำไม   ฉันกลับไม่เป็นอันทำอะไร  
เอาแต่นอนคลุ้มคลั่ง  หัวเราะ ร้องไห้ ร้องไห้ หัวเราะ  อยู่นานนับเดือน

กระดาษแผ่นนั้นถูกวางไว้ข้างกาย
เหลือบมองทีไรก็อดอมยิ้มไม่ได้ทุกที
ใครคนหนึ่งที่ไม่เคยใยดีอะไรกับเรา  ไม่เคยเห็นค่า  เห็นความหมายในตัวตนของเรา
หรือบางคราอาจมองเห็นเราเป็นเหมือนกิ้งก่าตัวหนึ่ง
ไม่เคยดูดีในสายตาหรอก  นอกจากตัวน่าเกลียดที่คอยเฝ้ามองยังกะจะจับผิด
ทั้งที่แท้จริง  ฉันมองด้วยสายตาห่วงใยมากกว่า  
ไม่เข้าใจว่าไปตีความแบบนั้นได้อย่างไร  
พอทุกครั้งที่ความทุกข์ถามหา  ฉันจะกลายเป็นถังขยะเบอร์ 1 ให้เสมอ
ดูเอาเถอะ  มันเปลี่ยนจากกิ้งก่าได้แทบจะทันที
หากแต่ในยามสุข  จำได้ว่าไม่เคยเห็นหัวเลยสักครั้งเดียว

ฉันเพิ่งเข้าใจบางสิ่งที่ใครคนนั้นไม่เคยอธิบายด้วยคำพูด
แต่พยายามทำให้เห็นมาตลอดทั้งชีวิตโดยไร้ค่า  
เพราะฉันเองก็ตีความตก ๆ หล่น ๆ เหมือนกัน
หากยามนี้  ฉันรู้แล้วว่าเหนือกว่าสิ่งอื่นใด  
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า  ความไว้เนื้อเชื่อใจ
เหนือกว่าความรัก  คือ  ความเข้าใจในรัก
และเหนือกว่าคำว่าเพื่อน  คือ  เพื่อนแท้
ฉันได้รู้ซึ้งถึงความหมายของคำเหล่านี้ไม่ใช่ในวันที่เธอจากไป
หากรู้มานานแล้ว  ทว่าหัวใจมืดบอดนั้นเล่า  ที่ยุแยงให้ตะแบงเชื่อไปอีกทาง
กระดาษเพียงแผ่นเดียวกับประโยคสั้น ๆ   
บอกเล่าสิ่งที่ใครคนนั้นทำมาทั้งชีวิต
มันเปิดตา  เปิดใจ  ให้ฉันรับรู้และย้อนหาอดีตที่ไม่เคยลับเลือนไปจาก...หัวใจ




				
17 กุมภาพันธ์ 2549 19:19 น.

ขอระบาย...นิดเดียว

ชมพูภูคา J.



อาคารสูง 7 ชั้น ค่อนข้างหรูแถมสะอาดตาปรากฎอยู่เบื้องหน้า ฉันก้าวเข้าไปยืนมองประตูกระจกใสตรงทางเข้า  ถามตัวเองว่าจะผ่านเข้าไปได้อย่างไร  เพราะมีแผงตัวเลขชี้ชัดเลยว่า ถ้าคุณไม่มีรหัสผ่านอย่าหวังว่าจะได้ยื่นหน้าเข้าไปเชียว แต่ฉันยืนเซ่ออยู่เพียงครู่เดียว  ก็มีเสียงหวานๆ จากอินเตอร์คอมดังขึ้นมาใกล้ๆ สอบถามว่าฉันเป็นใครมาธุระอะไร ฉันจึงรีบตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ...แน่นอนฉันต้องทำเช่นนั้นแน่  คนมาสมัครงานทุกคนต้องแสดงความเชื่อมั่นอย่างออกนอกหน้า (เพราะกลัวไม่ได้งาน)  หลังจากนั้นฉันก็ได้เดินผ่านประตูบานนั้นเข้ามา  

คุณเชื่อหรือไม่ว่า...นั่นคือการก้าวข้ามมาในอีกโลกหนึ่ง  ที่ไม่มีสำนักงานไหนในเมืองไทยมี  ที่สำคัญมันยังคงได้เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ความรู้สึกนึกคิด...ของฉันไปจนเรียกได้ว่า  วันนั้นฉันจะไม่มีทางนึกถึงได้เลย 

คุณอยากรู้ไหมว่าทำไม  ตอนนี้ฉันจะเปิดประตูกระจกบานเดิมและเชื้อเชิญคุณให้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้  เพราะว่าฉันดันรู้รหัสผ่านแล้วนี่  แต่ขอบอกไว้อีกนิด  คุณเข้ามาได้แค่นั้นแหละ  ...เพราะด่านต่อไปคุณต้องมีนิ้วมือที่ถูกป้อนข้อมูลไว้ในระบบตรวจสอบความปลอดภัยของเราก่อน   ซึ่งแน่นอนที่คุณไม่มี  ดังนั้น หยุดอยู่เพียงแค่นั้น  และฟังที่ฉันจะระบายต่อไป...

บทเรียนแรกของฉันคือการอ่านข้อมูลของบริษัทให้มากที่สุด  เรียนรู้ให้ไว ซึ่งฉันก็ทำได้ดี  และเจ้านายก็ชื่นชอบ  ชมแล้วชมเล่า  แต่ตัวฉันเองสิที่กลับเริ่มไม่แน่ใจในสิ่งที่ฉันเรียนรู้  มันอาจไม่ถูก  แน่ล่ะมันไม่ถูกแน่ ๆ ถ้าคุณได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง  มันอาจจะดูดี  และฉันจะต้องเปลี่ยนทุกอย่าง  เริ่มตั้งแต่การแต่งกาย การพัฒนาบุคลิก อารมณ์ ที่สำคัญคือ วาทศิลป์  ฟังแล้วดูดีใช่ไหม  คุณอาจอยากรู้ว่างานของฉันคืออะไร  อาจจะคล้ายเซลล์  ซึ่งก็อาจจะใกล้เคียง  แต่เราทุกคนเรียกตัวเองว่า ทีมงานที่ปรึกษาทางธุรกิจ  และลูกค้าเป้าหมายของเราไม่ใช่เล่นๆ พวกเขาต้องเป็นองค์กรที่มียอดขาย 100 ล้านขึ้นไปเท่านั้น  ต่ำกว่านั้นเราไม่มอง  และหน้าที่โดยตรงของฉันก็คือ   สอนวิธีโกง  ภายใต้คำพูดสวยหรูว่า กลยุทธ์การประยุกต์ใช้กับธุรกิจ  

วันแรกฉันจำได้ว่ารู้จักคำว่า ฝืนใจ อย่างรู้แจ้งก็ครั้งนี้  ธุรกิจของเรายืนอยู่ในที่ลับและคอยปล้นเงินที่ควรจะเป็นของแผ่นดิน  หอบเอาไปไว้กับใครบางคนที่คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเป็นใคร  นอกจากเขาคนนั้นจะโง่...พลาดท่าให้ตรวจสอบได้เอง  

แต่ฉันไม่ได้ปฏิเสธงานชิ้นนี้  แม้ว่าในส่วนลึกของหัวใจ  ฉันคือคนไทย 100 % แต่เพียงความคิดที่ว่า  ฉันไม่ควรเดินหนี  ถ้าเราต้องการแก้ไข  เราก็ควรต้องรู้ให้ถึงที่สุด  ถ้าไม่รู้จริง จะมีปัญญาอะไรไปแก้  จากวันนั้นถึงวันนี้  ฉันยังคงยืนอยู่ที่นี่  ทำงานต่อไป... อาจไม่ใช่ด้วยเหตุผลเดิม  แต่ฉันเชื่อว่า  ธุรกิจนี้คงไม่ยืนยาว  

ตอนนี้ฉันก้าวขึ้นมาอีกขั้น  ด้วยการเขียนหนังสือขายเสียเลย ...คนรวยที่ไม่โกงมีที่ไหน...  ยอดขายทะลุถึง 1000 เล่ม ฉันควรภูมิใจไม่ใช่รึ  หลังจากนั่งไล่ดูรายชื่อลูกค้าที่สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้จำนวน  1000 เล่ม หมายถึง คนรวย 1000 คน  พวกเขาอ่านหนังสือที่ฉันเขียน  บางคนเป็นถึงดอกเตอร์  ในขณะที่คนเขียนหนังสือเล่มนี้  จบเพียงปริญญาตรี  มหาวิทยาลัยของรัฐเท่านั้น  แต่พวกเขาไม่ได้โง่หรอก  เขาแค่ไม่รู้ในสิ่งที่ฉันรู้  มันแน่เสียยิ่งกว่าแน่อีก  ไม่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งไหนในโลกนี้เปิดสอนแน่  ตำราก็ไม่มีการผลิตออกมา  ถ้ามีก็บ้าแล้ว  แต่ฉันก็ทำ 

ฉันอาจโชคดีก็ได้...ที่มีโอกาสในสิ่งนี้  มีคนจ้างให้ฉันเรียนวิชานี้แถมด้วยกลโกงสารพัด  แล้วยังมีเงินเดือนให้อีกด้วย  คุณคิดว่าดีไหมล่ะ  

ฉันไม่รู้ว่าธุรกิจนี้จะจบสิ้นลง ณ วันใด  เพราะจากที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน  นอกจากกลุ่มคนรวยจำนวนไม่มาก แต่มาวันนี้  ด้วยความโง่เง่าบางประการ  ธุรกรรมที่เคยอำพรางของนายทุนบางคนดันถูกเปิดโปง  ทำให้ธุรกิจของเราดำเนินไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

แต่ฉันไม่สนใจ...ถ้าวันหนึ่งคุณ  เกิดมีเงินมากขึ้นแล้วอยากรู้ว่า  จะทำให้เงินนั้นพอกพูนชนิดที่คุณคาดไม่ถึงได้อย่างไรล่ะก็  กรุณาติดต่อเรา  คุณเพียงแค่ควักเศษเงินเสียค่าความรู้...สักเล็กน้อย  เส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบหอมหวานก็ปรากฎอยู่ข้างหน้าแล้ว...

เงินได้ที่ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าจะเป็น นิติบุคคล ภาษีส่วนบุคคล เงินปันผล และอีกสารพัดภาษี  คุณไม่ต้องจ่าย  หรือถ้าต้องจ่ายก็จ่ายน้อยลง 

คุณไม่ต้องเผชิญกับสารพัดความเสี่ยงทางธุรกิจ  น้ำมันขึ้น  คุณก็เฉย ๆ ดอกเบี้ยกระฉูด  โอ้ คุณไม่ระคาย ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  เพราะคุณถือเงินที่แข็งกว่าได้ตลอดชาติ  และโยกย้ายได้สารพัดสกุลเงิน (ที่ไม่ใช่เงินบาท) ไม่มีข้อจำกัดจากกฎควบคุมเงินตราระหว่างประเทศ

ไม่มีใครรู้ว่าคุณเป็นใคร  เพราะคุณไม่มีชื่อปรากฎในสารบบ

ไม่มีใครรู้ว่า ณ ตอนนี้ คุณมีเงินทิ้งไว้ที่ไหนในโลก จำนวนเท่าไร

และที่สำคัญ...จะไม่มีใครแตะต้องคุณได้  แม้ว่าคุณจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดใดๆ ...นี่คือพันธะสัญญาของเรา...




				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชมพูภูคา J.
Lovings  ชมพูภูคา J. เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชมพูภูคา J.
Lovings  ชมพูภูคา J. เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชมพูภูคา J.
Lovings  ชมพูภูคา J. เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงชมพูภูคา J.