9 พฤษภาคม 2552 17:33 น.

หรือจำ.. “เสียสาว”

ญามี่

277.jpgคอนโดฯทวยเทพเป็นคอนโดฯหนึ่งที่คนชั้นกลางจากต่างจังหวัด นิยมเข้ามาพักอาศัยเพื่อเรียนหรือทำงานในกรุงเทพฯ เพราะนอกจากการคมนาคมสะดวก  มีรถรับจ้างตลอด24ชั่วโมงแล้ว ในห้องยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าบริการครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นทีวี เครื่องเสียง ตู้เย็น หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ไว้บริการแก่ผู้พักอาศัย  ทว่ามิใช่ไม่มีข้อแม้ใดๆ

เพราะการเข้าพักของที่นี่

ต้องวางมัดจำอย่างน้อย3เดือนขึ้นไป ในกรณีพักห้องเล็กที่สุด ซึ่งทั้งห้องอเน็กประสงค์  ไม่มีการกั้นห้องและไม่มีระเบียงแบบห้องระดับสูงขึ้นไป  ผิดกับห้องชั้นหกถึงชั้นยี่สิบจะมีระเบียงเล็กๆในทุกห้องแถมให้นั่งเล่นรับลมได้  ทว่าจะต้องวางมัดจำอย่างน้อย6เดือนขึ้นไป และเงินมัดจำนี้จะไม่มีการคืนไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆทั้งสิ้น  ทางเดียวที่จะได้คืนคืออยู่จนครบเงินมัดจำเท่านั้น  ดังนั้นการบอกเลิกเช่าจึงต้องบอกกันแต่เนิ่นๆล่วงหน้าหลายเดือนเสมอ  และฉันเองก็อยู่ในผู้เช่ากลุ่มนี้ด้วย

หลังจากฉันเข้าพักด้วยความสุขสงบเพียงสี่เดือน...

ชายหญิงคู่นั้นก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดฯ คนทั้งคู่อยู่ในวัยมากกว่าฉันสักห้า-หกปี แต่คงไม่เกิน30 ภรรยาเป็นสาวสวยเฉี่ยว ไม่เคยหลบตาใคร ทั้งคอนโดฯหล่อนเที่ยวทำความรู้จักได้ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย

"อุ๊ยคุณนุชขา ระวังหน่อยนะคะแม่ปรอทนี่มันก้นไวค๊า ถ้าเห็นคุณสิทธิ์เข้า อิชั้นรับรองได้ค่ะ ว่ามันจะต้องคาบไปแ..กแน่เลย เพราะขนาดตาแก่ของชั้นเผลอนิดเดียวมันยังขว้างสะพานมาให้หลายหนเลยนะคะ"

ไทยรัฐประจำตึกหรือคุณสมศรีคุณนายเงินกู้ในตลาดสด มักเอียงหน้ามากระซิบแนบหูฉัน ในขณะที่เราลงลิฟท์ไปด้วยกันบ่อยๆ และหลายหนก็กระซิบดังชนิดคนอื่นๆในลิฟท์รวมทั้งสาวคนนั้นได้ยินอย่างชัดเจนด้วย ทำให้ฉันทำกิริยาอื่นใดไม่ได้นอกจากก้มหน้ายิ้มอย่างเดียว

แล้วสามเดือนถัดมาหล่อนก็ลงมาชั้นที่พักของฉัน เอาแกงเขียวหวานมาฝาก

"แม่มาอยู่กับพี่พรรณในช่วงนี้ค่ะ บังเอิญพี่รู้มาจากป้าทิพย์ร้านข้าวแกงว่าน้องนุชชอบทานแกงเขียวหวานปลากรายมาก พี่เลยตักมาฝากจ๊ะ  แม่พี่ทำอร่อยกว่าร้านป้าทิพย์ร้อยเท่าเลยนะจ๊ะ"

"ขอบคุณมากค่ะพี่พรรณ เอ่อ สิทธิ์คะนี่พี่พรรณแฟนคุณสมพงษ์ที่เราเจอที่ร้านข้าวแกงเมื่อวานนี้ไงคะ"

"ยินดีที่รู้จักครับพี่พรรณ"

"ต๊ายๆๆๆไม่เอาค่ะพรรณอายุคงเท่าๆกับสิทธิ์แน่เลย เรียกพรรณเฉยๆดีกว่าค่ะ"

จากนั้นคุณแพรพรรณก็นั่งทานข้าวดื่มกาแฟกับเราจนตีหนึ่ง ถึงจำใจอำลากลับห้อง เพราะรั้งคนรักของฉันให้อยู่คุยต่อไม่ได้แล้ว

"พรุ่งนี้ผมมีประชุมเช้าครับคุณพรรณ"

และในคืนนั้นคุณแพรพรรณแสนใจดี ได้เดินไปส่งคนรักของฉันที่รถ ด้วยข้ออ้างที่สมเหตุผลมาก

"น้องนุชรีบอาบน้ำนอนเถิดดึกมากแล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปทำงานไม่ทันจะโดนนายเล่นงานอีกนะจ๊ะ ผิดกับพี่ที่พรุ่งนี้ได้หยุดชดเชย เอางี้พี่ช่วยเดินไปส่งคุณสิทธิ์ที่ลานจอดรถให้เองจ๊ะ"

และในคืนนั้นนั่นเอง

แทนที่ฉันจะได้หลับด้วยความเหนื่อยเพลียจากงานประจำวัน กลับต้องมาตาค้างสมองมึนจนรุ่งเช้าด้วยสียงทะเลาะวิวาทของหนุ่มสาวคู่นี้

"นังร่านมึงไปส่งชายชู้ที่ไหนมาว่ะ"

"ก็บอกแล้วมานั่งคุยเป็นเพื่อนกับคุณนุชนางค์ที่ชั้นนี้ไง"

"แฟนเขามาคุยกันมึงเสือกอะไรด้วย"

"แม่ให้ชั้นเอาแกงเขียวหวานมาฝากน้องนุชน่ะ ทีนี้น้องเขาชวนชั้นกินข้าวจะปฎิเสธก็น่าเกลียดสิ ว่าแต่พี่น่ะเมาแล้วหึงบ้าบออะไรกันนะ กลับห้องกันดีกว่า คนเขาจะนอน"

"ไม่เอา คุยกันให้รู้เรื่องก่อน แม่แกมานอนที่ห้องกูขี้เกียจโดนแม่ด่า"

ฉันนึกเถียงในใจแล้วทำไมต้องลงมาด่ากันที่ชั้นนี้ด้วยนะ แถมมาด่าที่หน้าห้องฉันด้วย? ทว่าความจริงที่ทำได้คือนอนตาค้างฟังคนทะเลาะกันด้วยความหงุดหงิดปนทรมาน  เสียงดังที่แว่วมาบอกให้ทั้งชั้นรู้ว่าฝ่ายชายเมา  ทุกคนจึงพร้อมใจกันนิ่งเงียบนาน นานจนถึงตีสาม ซึ่งเป็นเวลาที่คุณนายสมศรีกลับจากการเล่นกีฬาในร่มที่บ้านญาติสนิท 

"เลิกเห่าได้หรือยังชาวบ้านเขาจะได้นอนกันบ้าง?"

และด้วยเสียงดังฟังชัดของคุณนายนั่นเอง การทะเลาะวิวาทของหนุ่มสาวคู่นั้นจึงยอมยุติลง  ทำให้ฉันได้เคลิ้มหลับราวชั่วโมงกว่าๆ ก่อนต้องตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกให้ลุกไปอาบน้ำเพื่อแต่งตัวไปทำงาน

การทำงานวันนั้น

ผ่านไปด้วยความเหนื่อยปนหงุดหงิด เนื่องมาจากการอดนอน  ทำให้ฉันพิมพ์เอกสารของนายผิดไปหลายที่ ต้องกลับมาแก้สามสี่หน  กว่าจะเสร็จสิ้นลงกับความวุ่นวายก็ปาเข้าไปร่วมทุ่มครึ่ง    ซึ่งเพื่อนคนอื่นๆพากันกลับไปนานกว่าชั่วโมงแล้ว  ถ้าไม่ใช่เพราะเอกสารเหล่านั้นนายจะใช้เสนอในห้องประชุมตอนเช้าวันรุ่งขึ้น  ฉันคงเลี่ยงแอบกลับห้องก่อนเป็นแน่  เพราะฉันเป็นคนอดนอนไม่เก่ง  ทุกครั้งที่อดนอนมักทำให้สมองล่าช้าสั่งงานไม่ได้เรื่องทุกที  ทำให้ฉันเหมือนเด็กอนามัยต้องนอนให้ครบแปดชั่วโมงทุกคืน

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ฉันจึงออกไปพบคนรักที่ข้างนอกไม่ยอมให้เขาเข้ามาที่ห้องพัก ด้วยกลัวว่าคุณแพรพรรณจะใจดี มาร่วมสนทนาจนดึกดื่นอีก  เหตุการในคอนโดฯระหว่างนั้นฉันจึงไม่ค่อยได้รับรู้  เพราะกว่าจะเข้าห้องก็เป็นเวลาดึกที่เพื่อนข้างห้อง รวมทั้งคุณนายสมศรีคนที่อยู่ห้องตรงข้ามกับฉันเข้านอนกันแล้ว  เรื่องของสองสามีภรรยาคู่นั้นค่อยๆเลือนออกจากชีวิตประจำวันของฉันจนกระทั่ง...

คืนวันศุกร์เดือนเมษายน

ก่อนหน้าวันหยุดยาวสามวัน  ฉันตกลงกับคนรักจะไปเที่ยวที่สุพรรณ  ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพ่อแม่ของเขา เราคุยกันไปพร้อมๆกับจัดข้าวของต่างๆที่ฉันคิดจะนำไปมอบให้ญาติพี่น้องทางบ้านเขา  กว่าจะจัดเรียบร้อยก็ปาเข้าไปร่วมสี่ทุ่ม ฉันช่วยหิ้วกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุของใช้ส่วนตัว  ส่วนใบใหญ่ที่บรรจุข้าวของฝากนั้น สิทธิ์เป็นคนหิ้วไปเข้าลิฟท์  เราลงมาที่ลานจอดรถพร้อมกัน  ฉันเดินหน้าสิทธิ์ตามหลัง  ตรงมุมมืดที่มีรถสีเทาๆจอดอยู่ถัดจากรถของสิทธิ์ไปเพียงสองคัน ฉันเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งยืนกอดกันเป็นก้อนกลม  แม้รู้สึกว่าฝ่ายสาวช่างคล้ายคุณแพรพรรณมาก  แต่ฉันก็มีมารยาทพอจะเดินเลี่ยงอ้อมไปอีกทาง

"อ้าว?นุช รถพี่จอดทางนี้นะอ้อมไปทางนั้นทำไมล่ะ?"

เสียงของสิทธิ์ดังขึ้น คนทั้งคู่จึงหันมามอง  ชายที่กอดคุณแพรพรรณคือคุณสนิทสามีคุณนายสมศรีคนห้องตรงข้ามกับฉันนั่นเอง!

และก่อนที่สิทธิ์จะทันเดินมาเห็นคนทั้งสอง เขาทั้งคู่รีบแยกย้ายกันเดินเข้ามุมมืด แล้วอ้อมไปเข้าตัวตึกอย่างรีบร้อน ฉันวางสัมภาระทั้งหมดที่ท้ายรถของคนรัก และสั่งเขาให้โทรมาปลุกตอนตีสี่รุ่งขึ้น  สิทธิ์ยิ้มก่อนออกรถแล่นจากไป   ฉันเดินกลับห้องทันเห็นคุณสนิทไขประตูเข้าห้อง และเสียงคุณนายสมศรีถามขึ้นว่า

"ไปไหนมา?"

แต่คุณสนิทตอบกระไรฉันไม่ได้ยินเสียแล้ว  เพราะฉันรีบล็อกประตูห้องทันที  กลัวต้องเป็นพยานรับรู้การวิวาทของสามีภรรยาคู่นี้ด้วย  ทว่าเสียงข้าวของที่ดังตึงตังก็พอเดาอารมณ์ของคุณนายได้  ฉันตรงเข้าห้องนอนล็อกประตูและเปิดเพลงดังเบาๆพอกล่อมตัวเองให้เคลิ้มหลับ...และฉันก็หลับไปได้จริงๆ

ในเช้ามืดวันถัดมา

ฉันก็ออกจากห้องแต่ตีสี่ตามที่สิทธิ์โทรมาปลุก  ในสามวันที่สุพรรณฉันกับคนรักเที่ยวกันด้วยความสนุกสนาน   ไม่มีลางสังหรณ์เหตุร้ายอะไรเลยสักนิดเดียว   จนเราเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯในเช้ามืดวันจันทร์ด้วยกัน  เมื่อสิทธิ์จอดรถทางด้านหลังของคอนโดฯ  ฉันก็หิ้วกระเป๋าเข้าลิฟท์เอง

"พี่สิทธิ์รีบกลับไปนอนเถิดค่ะ  สามวันนี้พี่ก็มัวทักทายญาติๆจนอดนอนเหมือนกัน  นุชรู้นะ"

"นั่นอย่านึกว่าพี่ไม่รู้นะ เรานั่นแหละอดนอนจนหน้าเซียวแล้ว เอาเถิดรีบขึ้นห้อง แล้วนอนให้เต็มที่นะจ๊ะ  พรุ่งนี้พี่ค่อยโทรมาคุย  คืนนี้ไม่โทรมากวนแน่นอนจ๊ะ"

ฉันไขกุญแจเข้าห้องพักตอนสิบโมงกว่า

ซึ่งห้องข้างๆต่างเงียบสนิท  ราวออกไปข้างนอกกันหมดทั้งชั้น!  หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าฉันปีนขึ้นเตียงด้วยความเมาความง่วงอย่างเต็มที่   ในสามวันที่ผ่านมาแม้อากาศดี  แต่คนหลับผิดที่ไม่เป็นอย่างฉันก็แย่ไม่น้อย  ฉันจึงหลับรวดเดียวไปจนถึงมืด  มาสะดุ้งตื่นตอนเสียงคนทะเลาะกัน

"นังร่านตัวดีอย่าหนีนะโว๊ย มาให้กูสับเสียดีๆ"

"โอ๊ยยยยยผัวจ๋าเมียกลัวแล้วจ้า..."

เสียงลากเย็นๆโหยหวนนี่เองที่ปลุกฉันตื่น   ทำไมเสียงคุณพรรณถึงฟังน่ากลัวอย่างนั้นนะ? ความมึนงงทำให้ฉันนอนนิ่งนานทั้งๆที่ลืมตาแล้ว   

"ปังๆๆๆๆๆ"

เสียงคนใช้กำปั้นรัวทุบประตูห้องทำให้ฉันจำต้องลุกไปเปิด   ทว่าที่หน้าห้องกลับมีแต่ความว่างเปล่า

"แปลกแฮะจะสองทุ่มแล้ว ทำไมทั้งชั้นเงียบผิดปรกติอย่างนี้นะ?"

ฉันคิดในใจก่อนปิดประตูลง  หลังมองไปมาไม่พบใครสักคนที่มาเคาะประตู  สรุปเอาเองว่าคงมีเด็กมือซนมาเคาะเล่นก่อนวิ่งหนีไปแน่ๆ  เมื่อกลับเข้าห้องก็คว้าผ้าขนหนูเดินไปอาบน้ำอีกรอบ  แล้วแต่งตัวลงมาที่ร้านข้าวแกงของป้าทิพย์ร้านใกล้ๆคอนโดฯ เจอแต่เด็กผู้ช่วยของป้า  ฉันสั่งข้าวกับแกงเขียวหวานจ่ายเงินแล้วก็หิ้วกลับห้อง  นั่งกินไปดูข่าวในทีวีไปราวสี่ทุ่มก็แปรงฟันแล้วเข้านอนด้วยยังรู้สึกเพลียๆชอบกล  เคลิ้มหลับไปนานแค่ไหนฉันก็บอกไม่ถูก  มารู้สึกตัวตื่นเพราะมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนอยู่ร่วมห้องด้วยมากกว่าสองคน!

เอ๊ะใครนะ?   

จะเป็นไปได้อย่างไรกันในเมื่อฉันเป็นสาวโสดอยู่คนเดียวมานาน  หลายคนในตึกนี้ก็รู้ดี  หรือว่าเป็นโจร! ฉันลืมตาลุกนั่งอย่างรวดเร็ว  ก่อนลงจากเตียงย่องไปที่ประตู เปิดช้าๆแล้วกวาดสายตาไปทั่วห้องรับแขกที่มีแสงสลัว  เพราะไฟทางเดินหน้าห้องส่องกระทบหน้าต่างกระจกฝ้าเห็นได้รางๆทั้งห้อง   นอกจากฉันแล้วฉันไม่พบใครเลย ทว่าก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีสายตามากกว่าหนึ่งคู่กำลังจ้องมองมาที่ฉันโดยพร้อมเพรียงกัน!

และเพราะอำนาจของความง่วง

ความสงสัยของฉันจึงถูกล็อกใส่ลิ้นชักความทรงจำชั่วคราว   ฉันเดินกลับห้องขึ้นเตียงล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวด้วยความรู้สึกหนาวนิดๆ ไม่นานฉันก็เริ่มเคลิ้มหลับอีกหน...


"โอ๊ยยยยกลัวแล้วววผัวจ๋าอย่าทำเมียเลยนะจ๊ะ..."

"อีนางแพศยามึงบังอาจมาแย่งผัวกู  มึงอย่าอยู่เลย"

"เปรี้ยง  เปรี้ยง"

เสียงคนทะเลาะที่จับต้นชนปลายไม่ได้ รวมทั้งเสียงดังเหมือนเสียงปืน  ปลุกฉันสะดุ้งตื่น  คราวนี้ฉันตื่นด้วยความโกรธเต็มที่  จึงลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอน แล้วเปิดห้องนอนวิ่งไปตามเสียงนั้นทันที  ไปโดยลืมอันตรายทุกอย่าง  ไปเพราะสัญชาตญาณอารมณ์โกรธของมนุษย์  เมื่อออกมาที่ประตูห้อง  ขณะที่กำลังปลดล็อกเสียงล้งเล้งก็ดังขึ้นอีก

เสียงทางริมระเบียงนั่นเอง

ฉันวิ่งตรงไปที่ประตูเล็กๆ ซึ่งสามารถออกไปยืนรับลมแต่ฉันใช้เป็นที่ปลูกต้นไม้หลายกระถาง   นอกเหนือจากตากผ้าที่ซักด้วยเครื่อง แล้วกระชากเปิดออกไปอย่างเร็วและแรงสุดตัว เพราะความโกรธล้นคอแล้ว

ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง 

ทั่วระเบียงจึงสว่างโล่งไปหมด ฉันเห็นคนสองคู่กำลังยืนทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย คู่หนึ่งเป็นชาย อีกคู่เป็นหญิง   ทุกคนเป็นคนที่ฉันรู้จักทั้งนั้น  สิ่งที่ฉันแปลกใจคือทุกคนเข้ามาในห้องฉันได้อย่างไร  แล้วทำไมมายืนทะเลาะกันโดยยามไม่เอาใจใส่รับรู้เลย

"เอ่อ..."

ฉันส่งเสียงขึ้นคล้ายเตือน คนทั้งสี่หยุดชะงักเงียบเสียงลงทันที  ก่อนหันช้าๆมามองฉัน....

ใบหน้าที่เละยุบหายไปครึ่งล่าง  
ดวงตาที่ดำเป็นโพรงลึกไร้แก้วตา รวมทั้งรอยเลือดที่ไหลท่วมตัวมีหนังหลุดเหวอะหวะ  เห็นเพียงเท่านี้ฉันก็รู้สึกช็อกหมดสติไปทันทีหลังเปล่งเสียงร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง!!!

วันถัดมาที่โรงพยาบาล

เมื่อฉันลืมตาขึ้น   สิทธิ์นั่งอยู่กับตำรวจสองนาย  หมวดประสงค์หนึ่งในสองนายตำรวจเล่าให้ฉันรู้ว่า ตำรวจสั่งปิดชั้นพักของฉันตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา  แต่เป็นเพราะฉันมักใช้ประตูข้างๆที่เดินทะลุไปเข้าลิฟท์ของพนักงานได้ ซึ่งเขาทำไว้สำหรับให้พนักงานมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์ หรือบ้างครั้งพนักงานนำเครื่องเรือนออกไปซ่อมใช้โดยเฉพาะ  แต่ฉันมักอาศัยใช้ด้วยเพราะเมื่อเลิกงานนั่งรถประจำทางมาลงที่ประตูด้านนั้น  ถ้าเดินมาเข้าด้านหน้าต้องย้อนไกล  ฉันจึงใช้ลิฟท์ที่นั่นบ่อยๆแม้รู้ว่าลิฟท์คนพักอาศัยสะอาดกว่าก็ตาม  ทำให้การปิดป้ายประกาศครั้งนี้ผ่านตาฉันไปโดยง่ายดาย

สิทธิ์ยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้ฉันอ่านข่าว..ตัวหนังสือหนาแน่นฉันมองผ่านๆ ก่อนตั้งสติอ่านช่วงเส้นทึบหนาดำอีกหน

"นายสมพงษ์เปิดประตูเข้าห้องไปพบภาพเมียอยู่บนเตียงกับชู้ก็คว้ามีดอีโต้ในห้อง วิ่งไล่สับนายสนิทชายชู้หลายสิบแผล ฝ่ายชายชู้พยายามวิ่งหนีแต่ไม่ทัน เลยปีนออกไปทางหน้าต่าง  นายสมพงษ์ยังปีนไล่ตามไปด้วย ทั้งคู่จึงพลัดตกลงมาตาย..."

หนังสือพิมพ์ลงรายละเอียดมากมาย
  
ทว่าฉันอ่านเพียงแค่นั้นก็หลับตาลง นึกภาพหน้าคนตายเมื่อคืน รูขุมขนทั่วตัวก็พร้อมใจกันลุกชันอีกครั้งทันที   สิทธิ์มองเห็นฉันนอนตัวสั่นจึงรีบลุกมาห่มผ้าให้พร้อมกับบอกว่า

"พี่อยู่ใกล้ๆเป็นเพื่อนนะจ๊ะ"

ฉันหันไปมองตำรวจสองนายที่เดินออกไปด้านนอก  ก่อนฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงหันไปถามคนรัก

"แล้วคุณนายสมศรีรู้ข่าวหรือยังคะพี่สิทธิ์"

"รู้สิ ป้าสมศรีนั่นแหละเป็นคนไปบอกนายสมพงษ์ที่ร้านเหล้าหน้าปากซอย เพราะแกเห็นคุณพรรณพาลุงสนิทไปที่ห้อง จะตามไปคนเดียวก็กลัวลุงสนิทจะขอเลิกกับแกสิ  แต่ว่าพอลุงสนิทตาย ป้าแกก็คลั่งไล่ยิงคุณพรรณทันที  ก่อนปีนหน้าต่างกระโดดฆ่าตัวตายตามลุง แต่ไม่ได้ร่วงหล่นที่พื้นไปติดตรงระเบียงชั้นของนุชไงจ๊ะ"

มิน่าล่ะวิญญาณคนทั้งสี่จึงมาชุมนุมกันอยู่ตรงห้องของฉัน

"พี่พรรณเป็นไงบ้างคะพี่สิทธิ์"

"แกไปขาดใจตายที่โรงพยาบาลจ๊ะ"

เย็นนั้นหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ พี่สิทธิ์พาฉันกลับมาเก็บข้าวของทั้งหมดในห้อง เพื่อย้ายไปพักชั้นอื่นแทน

"คุณนุชไปพักที่ชั้นแปดห้อง803ได้เลยครับจะแบบชั่วคราว หรือเปลี่ยนห้องไปเลยก็ได้นะครับ"

ผู้จัดการบอกอย่างใจดี  ทั้งๆที่ฉันอยากย้ายมากกว่าถ้าได้ค่ามัดจำคืน   ชั้นแปดแม้อยู่ต่ำลงมาหนึ่งชั้นแต่ใช่ว่าผีมันจะมาหลอกไม่ได้นี่นะ  คืนนี้เป็นคืนแรกที่ฉันวุ่นวายใจที่สุด  วุ่นวายกับความคิดที่จะให้ผีหลอกไปจนครบหกเดือน  ตามจำนวนเงินค่ามัดจำดีหรือว่าชวนพี่สิทธิ์ย้ายมาอยู่ร่วมกันเลย   แหมก็ฉันยังสาวและบริสุทธิ์ด้วยสิ  อยู่ร่วมห้องกันทุกคืน  คงต้องมีสักคืนที่พี่สิทธิ์ต้องปล้ำฉัน ไม่อีกทีก็ฉันเองแหละที่เผลอไปปล้ำเขาเพราะเลือดสาววัยยี่สิบกว่าๆนี่  เขาว่าร้อนแรงไม่ใช่หรือ?				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟญามี่
Lovings  ญามี่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟญามี่
Lovings  ญามี่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟญามี่
Lovings  ญามี่ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงญามี่