2 มีนาคม 2552 15:46 น.

ดวงใจพ่อแม่

มุนิ

ครอบครัวข้าพเจ้า


            วิวัฒน์   หัสนีย์  (สามี) อดีตทำงานโรงพยาบาลตะกั่วป่า 12 ปี แต่ได้ลาออก ปัจจุบันประกอบกิจการนวดแผนไทยเพื่อสุขภาพ และหมอสมุนไพรแผนโบราณ 

              จรรยา  หัสนีย์ (ภรรยา) ประกอบอาชีพนวดแผนไทยเพื่อสุขภาพ
( ปัจจุบันได้เสียชีวิตลงแล้ว  เสียชีวิตเมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2551 )
             

              ชนวีร์   หัสนีย์  (ลูกผู้เสียชีวิต) ขณะนั้นอายุ 18 ปี ช่วยงานที่ร้านนวดแผนไทย 

             กัมปนาท   หัสนีย์  (ลูกคนสุดท้อง)   กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1   
ร.ร.ตะกั่วป่า เสนานุกูล


พ่อผู้สูญเสียลูกรัก

                              ลูกคือรางวัลแห่งความรักของพ่อกับแม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ลูกจะอยู่กับเรานานแค่ไหนไม่มีใครทราบนอกจากอัลเลาะห์ หากถามข้าพเจ้าว่าเสียใจหรือเปล่าที่ต้องสูญเสียลูก ข้าพเจ้าไม่อยากตอบว่าเสียใจหรือไม่เสียใจ แต่ขอตอบว่าข้าพเจ้าทำใจได้ เพราะเป็นความประสงค์ของพระองค์ และขอขอบคุณพระองค์ที่ส่งลูกมาให้ได้เชยชมถึง 18 ปีปกติข้าพเจ้าจะออกไปทำงานกับลูกทุกวัน ยกเว้นวันศุกร์ที่ลูกขอหยุดงานเพื่อไปละหมาด ส่วนข้าพเจ้าต้องไปทุกวันเพราะยังมีลูกจ้างที่ต้องรับผิดชอบ ข้าพเจ้าจะไปละหมาดที่มัสยิดทับละมุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงาน แต่วันนั้นภรรยาขอไปกับลูกแทนเพราะต้องการให้ข้าพเจ้าได้ผักผ่อน
	        วันที่ 26 ธ.ค. ตอนใกล้เที่ยงข้าพเจ้าได้รับข่าว สึนามิ ข้าพเจ้าได้ออกตามหาลูกทั่วทุกโรงพยาบาล แต่ไม่ได้เข้าไปในที่เกิดเหตุ เพราะเจ้าหน้าที่ปิดไม่ให้เข้าในสถานที่เกิดเหตุ ตอนนั้นข้าพเจ้ายังมีกำลังใจดีอยู่ วันที่ 27 ธ.ค. ตอนเช้าตรู่    ข้าพเจ้าได้ออกไปหาลูกในที่เกิดเหตุอีกครั้งระหว่างทางเวลาประมาณ 8.50 น. น้ำตาของข้าพเจ้าได้ไหลอาบแก้มออกมาตลอดเส้นทาง ซึ่งตรงกับเวลาที่ลูกต้องเข้าห้องผ่าตัดและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลมะขามเตี้ย  จ.สุราษฎร์ธานี    ตลอดเวลา 15 วัน ข้าพเจ้าตามหาลูกจนเริ่มท้อ บ่ายวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับข่าวว่าลูกเสียชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลมะขามเตี้ย จ.สุราษฎร์ธานี ข้าพเจ้าตามไปดุและได้รับคำบอกเล่าจากพยาบาลประจำตึกว่า ลูกเรียกหาแต่พ่อกับแม่ ลูกบอกว่า ลูกเป็นอิสลาม และพูดว่า    ผมขอกลับบ้านก่อนได้ไหม ผมยังไม่ได้ช่วยแม่และพี่น้องของผมเลย แล้วผมจะกลับมาใหม่  
                            ข้าพเจ้าภูมิใจที่ลูกเจ็บจนเอาชีวิตไม่รอด แต่กลับเป็นห่วงคนอื่นๆ สมกับที่ข้าพเจ้าตั้งชื่อให้ลูกว่า วีรชน หรือ ชนวีร์  ซึ่งมีความหมายว่า ผู้มีความกล้าหาญเพื่อให้ลูกเป็นผู้ที่เข้มแข็ง มีความอดทน พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า และตั้งชื่อภาษาอาหรับให้ลูกว่า ฟาอิซ หมายถึง ผู้ชนะ  ข้าพเจ้าอยากบอกว่า ลูกชนะใจพ่อ และข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าลูกต้องไปตามความประสงค์ของอัลเลาะห์
                                   


                                      ความทรงจำ
	       เคยได้ยินลูกเรียกให้เปิดประตู
เคยได้ดูลูกออดอ้อนขอซื้อของ
พ่อยังจำตอนเด็กเด็กยามลูกร้อง
พ่อประคองปลอบโยนจนหลับไป
	      มาวันนี้ไม่มีลูกอยู่ตรงหน้า
พ่อมองฟ้าเห็นภาพลูกอยู่ไหวไหว
พอเพ็งมองอีกทีลูกหายไป
ใบไม้ไหวคิดว่าเจ้ามาเคล้าคลอ
	      พ่อขอบคุณอัลเลาะส่งลูกมา
เปรียบเหมือนยาบำรุงใจไม่ให้ท้อ
จนเมื่อลูกเติบใหญ่ช่วยงานพ่อ
ช่วยให้พอเบาใจไม่ภวง
	      พ่อพอใจเลี้ยงลูกมาสิบแปดปี
จนมีอันเป็นไปตามประสงค์
อัลเลาะห์เอากลับไปด้วยบรรจง
เพราะพ่อคงเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ




แม่ผู้สูญเสียลูกรัก


	        ชีวิตคนเราไม่ใช่ว่าจะคิดอะไรได้ดั่งฝัน เหมือนอย่างครอบครัวของข้าพเจ้า พ่อแม่ลูกฝันอย่างสวยงามว่าจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากการนวดแผนไทยในหน้าไฮซ์ซีซัน ซึ่งอาจทำให้ครอบครัวของข้าพเจ้ามีความสุขจนถึงฤดูกาลใหม่ แต่แล้วความฝันอันสวยงามก็สิ้นสุดลงเมื่อคลื่นยักษ์ สึนามิ มาเยือน ดั่งเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดให้ทุกคนได้ทราบถึงหัวอกของผู้เป็นแม่ที่สูญเสียลูกจากเหตุการณ์ สึนามิ ว่ามันเจ็บปวดสักปานใด
	     เช้าวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ข้าพเจ้าและลูกออกเดินทางจากบ้านด้วยรถมอเตอร์ไซด์พร้อมบรรยากาศสดชื่น ตลอดเส้นทางข้าพเจ้าได้พูดคุยกับลูกและได้กอดเอวลูกตลอดเส้นทาง แต่ข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่าการกอดลูกครั้งนี้จะเป็นการกอดครั้งสุดท้าย ระหว่างทางข้าพเจ้าได้แวะซื้อผลไม้ที่ตลาดบางเนียงเพื่อให้ลูกค้าได้รับประทานขณะที่มาใช้บริการ ลูกชายได้เอ่ยขึ้นว่า อยากกินสตอเบอร์รี่ ราคาแพ็คละ 40 บาท ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธลูกโดยให้เหตุผลว่ามันแพงและบอกลูกว่าเมื่อเช้าลูกยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย ซื้ออะไรกินที่มันอิ่มท้องดีกว่าไหม? ลูกจึงตัดสินใจซื้อข้าวเหนียวไก่ทอดและชาเขียว 1 ขวดแทน เมื่อไปถึงที่ร้านนวดแผนไทยซึ่งตั้งอยู่ที่ชาดหาดนางทอง ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า ลูกจ้างในร้านได้ลงมือทำงานอยู่ก่อนแล้ว สักครู่ใหญ่ๆ ลูกจ้างก็ตะโกนบอกว่า ดูสิ ทำไมน้ำมันแห้งหมด ข้าพเจ้าหันไปดูและประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งชาวต่างชาติ ทั้งชาวไทยต่างแตกตื่นวิ่งไปดู ข้าพเจ้าได้ตะโกนห้ามไม่ให้ลูกลงไป ลูกจ้างได้พูดขึ้นว่า เหตุการณ์ไม่ปกติแล้ว จึงชวนกันวิ่งขึ้นบนเนิน ข้าพเจ้าหันไปตะโกนห้ามไม่ให้ลูกวิ่งลงไปอีกครั้ง ลูกจึงยืนดูอยู่ที่ริมชายหาด คลื่นสีขาวได้ถาโถมเข้ามาดั่งปุ๋ยเมฆ มองดูแล้วชั่งสวยงามมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงมันคือมัจจุราชที่จะมาฆ่าชีวิตผู้คนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ประมาณ 2 นาทีคลื่นยักษ์ได้ถาโถมเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าบอกให้ลูกจ้างวิ่งไปก่อน ตัวเองหันไปตะโกนเรียกลูก แต่ลูกบอกให้ข้าพเจ้าวิ่งก่อน เมื่อหันไปดูอีกครั้งได้ยินเสียงลูกตะโกนบอกว่า แม่วิ่งเร็ว แม่วิ่งเร็ว หลังจากนั้นคลื่นก็ซัดพาข้าพเจ้าไปติดที่ใต้โรงแรมซีวิว ข้าพเจ้านอนอยู่สักครู่หนึ่งก็มีคนมาช่วย พวกเขาพาข้าพเจ้าขึ้นมาวงบนเนิน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่คลื่นลูกที่ 2 ตามมา แต่มาไม่ถึงข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าอยู่บนเนินสูงแล้ว   ข้าพเจ้าหันไปมองรอบ ๆ ข้าง เห็นชาวต่างชาติกับเด็กนอนห่อผ้า เขาเสียชีวิตแล้ว ข้าพเจ้าร้องไห้เสียงดังด้วยความตกใจกลัว   จากนั้นข้าพเจ้าถูกนำไปยังเต็นท์ มีผู้หญิงต่างชาติให้ข้าพเจ้านอนหนุนตักเอาน้ำลูบหน้าให้ข้าพเจ้าตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาสอบถาม ข้าพเจ้าได้ให้ข้อมูลว่ามีลูกชายกับลูกจ้างพลัดพรากกันไป  ข้าพเจ้าบอกชื่อลูกชายให้กับเจ้าหน้าที่ แต่ข้าพเจ้าจำชื่อลูกจ้างไม่ได้   ต่อมามีน้องผู้หญิงชาวไทยมาพบข้าพเจ้า ซึ่งในเต็นท์ที่พักอยู่มีแต่ชาวต่างชาติกับชาวพม่า น้องผู้หญิงได้โทรศัพท์หาสามีของข้าพเจ้าประมาณ 10 ครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ เลยอาสาพาข้าพเจ้าไปส่งโรงพยาบาล โดยได้เรียกผู้ชายประมาณ 4 คนมาช่วยหาบข้าพเจ้าขึ้นรถ และพาไปส่งโรงพยาบาลท้ายเหมือง เมื่อไปถึงมีคนบาดเจ็บล้นโรงพยาบาล น้องผู้หญิงจึงพาข้าพเจ้าไปที่โรงพยาบาลพังงา เจ้าหน้าที่บอกว่าข้าพเจ้าขาหัก จึงดาบขาและทำแผลให้ น้องผู้หญิงได้อยู่รอจนเจ้าหน้าที่ส่งข้าพเจ้าเข้าห้องพักจึงขอตัวกลับ ข้าพเจ้าขอบคุณพร้อมกับน้ำตาหนองหน้า เพราะซาบซึ้งในน้ำใจ แต่ก่อนไปน้องผู้หญิงได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ พร้อมกำชับว่าถ้าติดต่อกับสามีหรือญาติไม่ได้ให้โทรหาทันที หลังจากที่ข้าพเจ้าติดต่อสามีได้แล้วประมาณ 2-3 วัน ก็ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องผู้หญิง ซึ่งขณะนั้นได้กลับไปที่นครศรีธรรมราชแล้ว ข้าพเจ้าได้สัญญากับน้องผู้หญิงว่า ถ้าข้าพเจ้าหายดีแล้วจะไปเยี่ยมน้องผู้หญิงคนนี้ถึงบ้าน  แต่ถึงวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่หาย  ข้าพเจ้านอนอยู่โรงพยาบาลพังงา 1 คืน ตอนกลางวันเวลาประมาณบ่าย 3 เจ้าหน้าที่เข้ามาบอกว่าจะส่งข้าพเจ้าไปหาดใหญ่ พร้อมญาติ 1 คน เมื่อไปถึงระหว่างทางข้าพเจ้าได้ขอเจ้าหน้าที่ให้ช่วยไปส่งที่โรงพยาบาลมะขามเตี้ยในจังหวัดสุราษฎร์ธานีแทน เพราะข้าพเจ้าเป็นคนสุราษฎร์ธานีแต่มาได้สามีที่อำเภอตะกั่วป่า เมื่อไปถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ได้สอบถามประวัตินางพยาบาลรีบช่วยกันทำความสะอาด เพราะต้องส่งเข้าห้องผ่าตัด ตลอดเวลาที่นอนอยู่โรงพยาบาลข้าพเจ้าเป็นห่วงลูกมาก และคิดตลอดเวลาว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ ลูกต้องปลอดภัยฝ่ายสามีของข้าพเจ้าได้ออกตามหาลูกในที่เกิดเหตุทุกวันแต่ไม่พบ จน 15 วันผ่านไปจึงได้รับข่าวว่าลูกเสียชีวิตและอยู่ในห้องดับจิตของโรงพยาบาลขามเตี้ยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่เดียวกันกับที่ข้าพเจ้านอนรักษาตัวอยู่    ญาติทุกคนไม่ได้บอกข่าวการเสียชีวิตของลูกให้ข้าพเจ้าทราบ แต่ข้าพเจ้าสงสัยในสีหน้าและท่าทีแปลก ๆ จึงได้เค้นเอาความจริงกับแม่ ในที่สุดก็ได้รับทราบว่าลูกเสียชีวิตแล้ว และมารู้ภายหลังว่าลูกเสียชีวิตในโรงพยาบาลเดียวกันกับที่ข้าพเจ้ารักษาตัวอยู่ ข้าพเจ้าช็อกกับข่าวอยู่ 2 วัน ไม่มีความรู้สึกหิว ดื่มแต่นมและทานผลไม้ ไม่ทานข้าวเป็นเวลาเกือบ 1เดือน ข้าพเจ้าร้องไห้ตลอดเวลา จนกระทั่งต้องมีคุณหมอจิตเวชและพยาบาลเข้ามาคอยดูแล ปลอบใจ รวมทั้งสามี ญาติของข้าพเจ้า และญาติของสามี จนข้าพเจ้ามีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อครบ 3 เดือนข้าพเจ้าได้ขออนุญาตคุณหมอกลับมาพักฟื้นที่บ้าน คุณหมอได้อนุญาตพร้อมกำชับว่าต้องทานยาต่อเนื่องและต้องไปพบหมอตามเวลานัด ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตันใจกับการเอาใจใส่ดูแลของคุณหมอศัลยกรรมและคุณหมอจิตเวชเป็นอย่างมาก   เมื่อกลับมาอยู่บ้านอาการเครียดก็เกิดขึ้นอีก  จนกระทั่งรุนแรงขึ้นคล้ายกับจะเสียสติจนได้คุณหมอเบญจพรเข้ามาคอยดูแลอาการก็ดีขึ้นในปัจจุบันอาการด้านจิตใจของข้าพเจ้าก็นับว่าเกือบจะหายเป็นปกติแล้วซึ่งกำลังใจสำคัญที่ข้าพเจ้าได้รับคนแรก คือ แม่ของข้าพเจ้า สามีและลูก ญาติของสามี ญาติของข้าพเจ้า คุณหมอศัลยกรรม คุณหมดจิตเวชและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่โรงพยาบาลมะขามเตี้ย  ล่าสุดก็ได้คุณหมอเบญจพร   และพี่ ๆ น้อง ๆ ทีมงานทุกคนที่เข้ามาดูแล ข้าพเจ้าจึงขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจผ่านหนังสือเล่มนี้
	           ข้าพเจ้าอยากบอกว่าความผูกพันที่ข้าพเจ้ามีให้กับลูก มันแน่นแฟ้นยากที่ข้าพจะลืมได้ ลูกจะอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดกาล ความรักของแม่ยิ่งใหญ่และไม่มีสิ่งใดมาเปรียบได้ ยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่างเว้นแต่พระองค์อัลเลาะห์ที่เรานับถือ และที่ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพราะข้าพเจ้าอยากบอกพ่อแม่ทุกคนว่า การสั่งสอน อบรม หรือพูดคุยกับลูก ไม่ต้องรอเวลาที่เหมาะสม แต่เราสามารถทำได้ทุกเวลา เพราะเราไม่รู้ว่าวันใดลูกจะจากเราไป ดั่งเช่นตัวข้าพเจ้าซึ่งปฏิเสธไม่ให้ลูกซื้อสตอเบอร์รี่ สุดท้ายก็ต้องเจ็บปวดกับคำปฏิเสธนั้น เพราะทุกครั้งที่เห็นสตอเบอร์รี่ก็จะนึกถึงคำขอของลูก และนี้คือบทเรียนที่ข้าพเจ้าเจ็บปวดที่สุดในชีวิต    ข้าพเจ้าจึงขอฝากถึงพ่อแม่ทุกคนที่อยากจะทำสิ่งต่างให้กับลูกก็ให้ท่านลงมือทำทันทีก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปจนไม่สามารถย้อนเวลากลับมาได้อีกแล้ว



                            น้ำตาแม่

	    แม่นอนซมซึมเศร้าเฝ้ารอข่าว 
แต่วันแล้ววันเล่าข่าวเงียบหาย	
แม่อยากรู้ลูกของแม่ดีหรือร้าย	
วันหนึ่งบ่ายแม่ได้ข่าวแสนเศร้าใจ
	    แม่อยากอาบน้ำให้ลูกครั้งสุดท้าย	
แต่ร่างกายของแม่ไม่เคลื่อนไหว	
เพราะแม่โดนคลื่นซัดเกือบปางตาย	
รอดมาได้ด้วยอัลเลาะห์ท่านเมตตา	
	   แม่ขอฝากให้พ่อช่วยอาบแทน
แม่หวงแหนคิดถึงลูกอยากเห็นหน้า
ลูกจากแม่ไปลับไม่กลับมา
แม่น้ำตานองหน้าไม่อายใคร
	  พ่ออาบน้ำให้ลูกด้วยมือพ่อ
ตามแม่ขออาบให้ลูกครั้งสุดท้าย
พร้อมนำผ้าสีขาวห่อหุ้มกาย
ประแป้งให้ลูกนั้นนอนหลับตา
                        พ่อรับลูกลงหลุมด้วยมือพ่อ
พร้อมแกะห่อผ้าหุ้มให้เปิดหน้า
เอาดินลงกลบหลุมขอดุอาห์
พ่อจะมาเยี่ยมลูกในเจ็ดวัน
                       พ่อได้ทำหน้าที่ความเป็นพ่อ
และจะขอทำต่อไปไม่หวาดหวั่น
ฟ้าถล่มดินทะลายไม่ทิ้งกัน
จะยึดมั่นหน้าที่พ่ออีกต่อไป




                       ความผูกพัน

                   ยี่สิบหกธันวาวิปโยค
แสนเศร้าโศกเสียลูกเป็นที่รัก
ด้วยอำนาจของพระเจ้าให้ประจักษ์
มีคลื่นยักษ์เข้าถล่มจมน้ำไป
                  ลูกทำผิดอะไรพ่อไม่ทราบ
แต่มีคราบน้ำตาพ่อรินไหล
ลูกทำผิดกับพ่อพ่อนั้นให้อภัย
ตลอดไปพ่อรักลูกชั่วนิรันดร์
                 บนความเศร้าพ่อซึ้งใจกับพี่น้อง
ใช่เรียกร้องแต่น้ำใจมากเกินฝัน
ช่วยค้นหาศพลูกแต่ละวัน
แม้ใจสั่นหวั่นไหวภัยจะมา (สึนามิ)
                พ่อหาลูกพลางขอพรจากพระเจ้า
ให้ศพเจ้าอย่าอุจาดมากเลยหนา
แม้พ่อรู้ลูกนั้นไร้ชีวา
แค่มีผ้าคลุมกายพ่อพอใจ
                 สิบห้าวันผ่านพ้นบนความทุกข์
ได้ข่าวลูกอยู่โรงพยาบาลใจหวั่นไหว
แม้ไม่แน่ว่าศพเจ้าหรือศพใคร
พ่อดีใจเมื่อเห็นหน้ามีผ้าคลุม




                      แด่..คุณหมอพรทิพย์และคณะ

                   หญิงคนหนึ่งซึ่งฟ้าส่งมาเกิด
ช่างประเสริฐเกินคำจำนรรจา
เป็นผู้หญิงมีเกียรติมียศฐา
แต่ลงมาสัมผัสกลิ่นโคลนตม
                  เป็นผู้หญิงมีน้ำใจน่ายกย่อง
แม้จะต้องเจออุปสรรคที่ขื่นขม
แต่ไม่เคยเก็บเอามาเป็นอารมณ์
ช่างเหมาะสมกับคำชมทั่วพารา
                  ขอขอบคุณล้านครั้งยังน้อยไป
กับน้ำใจที่ประเสริฐเลิศคุณค่า
ท่านทำงานด้วยน้ำใจใช่เงินตรา
ชาวตะกั่วป่าขอชมด้วยจริงใจ
                 ตลอดเวลาท่านมาอยู่กับศพ
จิตสงบทำงานไม่หวั่นไหว
ท่านเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเกินกว่าใคร
สู้ต่อไปเถิดหนอหมอ พรทิพย์
ท่านคือความหวังของญาติผู้สูญเสีย


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมุนิ
Lovings  มุนิ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมุนิ
Lovings  มุนิ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมุนิ
Lovings  มุนิ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงมุนิ