6 มีนาคม 2553 14:59 น.

หนึ่งร้อยปีที่แล้ว กับคำตอบของจ่าฝูงกวางที่ยังคงเดิม

รักษ์บุญ เสาวณีย์

ยามนี่ฉันอยู่ที่ใดกันหนอ 
ผมพลิกตัวลุกขึ้นหันมองซ้ายขวา เราอยู่ข้างริมธารเล็กๆ ท้องที่อ้วนพุ้ยกินหญ้าไปเยอะมันยังไม่ย่อยเลย
"อูย " 
เจ็บระบมไปทั้งตัวเลย 
ใช่ซิ ก่อนหน้านี้ผมกำลังกินหญ้าอยู่ริมฝั่งภูเขาด้านบน ไม่นานผมก็ได้กลิ่นสาบศัตรู  เสือ! ใช่ คงเพราะผมเบี่ยงตัวหลบเสือเฒ่าตัวนั้นถึงทำให้ผมผลัดตกลงมาทีนี่
 "ดื่มน้ำซิจ๊ะคุณ" 
เสียงอ่อนหวาน ฟังรื่นหูนัก คงเป็นสวยน้อยที่ไหนซักตัวเอะหรือว่าจะแทนว่าไงดีก็เราเป็นกวางนี่
เสียงดังห่างออกไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมธาร ถัดออกไปทางน้ำไหลลงมา คงเป็นสัญชาติญาณสัตว์อย่างพวกเราที่ต้องเลือกดื่มน้ำให้เหมาะไม่เช่นนั้นกลิ่นของเราที่ไหลไปตามน้ำจะเรียกศัตรูมาได้
"ว้าวสวยจังเลย"
กวางหนุ่มอย่างผมต้องตะลึงกับทรวดทรงองค์เอวของเธอ ชั่งเหมาะแท้ที่จะเป็นคู่ชีวิตของผม
เธอเดินเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นหอมพิเศษแบบเฉพาะตัวที่ผมเองไม่เคยเจอมาก่อน
"ดื่มน้ำซิคุณ เดี๋ยวแรงจะไม่ฟื้นนะ" กวางน้อยตรงหน้าเตือน ผมจึงตื่นจากภวังค์ความงาม โอ โลกนี้ช่างงามเหลือเกิน 
"ผมกินไม่ได้คอเคร็ดมั่ง"ผมออกลายทั้งที่ลำธารก็อยู่ข้างปากผม แค่เอียงปากลงไปก็ดื่มได้พอดี
"ช่วยหน่อยได้ไหม" ผมสายตาเว้าวอน
"ยังไงจ๊ะ" เข้าทาง 
"ช่วยอมน้ำมาใส่ปากให้หน่อยได้ไหม" เธอเขินอายอย่างเห็นได้ชัด 
แม้ความคิดผมเวลาแบบนี้ไม่รู้ปัญญามาจากแต่ใดความพลิ้วไหวของความคิดแล่นมามากมาย
ปกติแล้วหากมิใช่คู่สามีภรรยาจะไม่ทำแบบนี้หรอก คือการอมน้ำทางปาก กวางสาวในป่ามักจะทำให้เมื่อเธอพึงใจกว่าหนุ่มหรือสามีเธอเท่านั้น
" แต่ในสถานการณ์นี้ผมว่าเธอมีสองทางให้เลือกคือเดินมาดันผมให้หัวลงไปในลำธารกับเธออมน้ำใส่ปากให้
"อะ ก็ได้จ๊ะ"ตอบอย่างอายๆ เพราะสงสารดอกจึงต้องทำ แต่แลอีกทีกวางหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายผู้นี้ก็สง่างามมิใช่น้อย กวางสาวตัวใดเห็นคงมิกล้าปฏิเสธไมตรี
"ชื่นใจ ผมดื่มน้ำอย่างกระหาย"
มองกวางสาวตรงหน้าอย่างมีความสุข เพราะเธอเลือกวิธีที่เป็นหนทางที่จะทำให้เราเป็นคู่กัน
"น้องสาวมาจากไหนครับ" 
ผมถาม 
"มาจากฝูงกวางใกล้ๆนี่แหละเราอยู่กันประมาณหนึ่งร้อยตัวได้มั่ง" ตอบน้ำเสียงอ่อนหวาน
"กว่าผมจะฟื้นตัวคงอีกสองสามวันน้องสาวคงกรุณาช่วยฉันหน่อยได้ไหม"
"จ๊ะ เดี๋ยวฉันขอไปบอกพ่อกับแม่ก่อนนะเดี๋ยวฉันจะกลับมานี่อาหาร เธอคาบหญ้าอวบสดๆมาวางข้างๆปากเพื่อให้ผมได้กินอย่างสะดวก
"ไปนะจ๊ะ"
"เอ่อเดี๋ยวซิผมชื่อสามสี แล้วน้องชื่ออะไรครับ"
ผมรีบถาม
"น้ำค้างจ๊ะ " 
กวางสาวตอบชะม้อยตาตวัดกลับแล้วเดินจากไปปล่อยให้ผมนอนฝันหวานตัวเดียว
....................................................................................................................
สองวันต่อมา
  ผมฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากหญ้าที่สาวน้อยทิ้งเอาไว้ และน้ำที่ผมดื่มจากปากเธอไม่ใช่ซิเพราะหลังจากที่เธอไปแล้วผมไม่เห็นแม้แต่เงาเธอ  อาจจะคงติดปัญหาบางอย่างก็เป็นได้ ผมกลัดกลุ้มตลอดเวลากระสับกระส่ายรอวันที่ตัวเองจะลุกไหวพอที่จะไปตามหาน้ำค้างซึ่งผมฝันว่าเธอจะเป็นภรรยาผมในอนาคต
      ผมเดินพลางนึกพลาง จนถึงป่าลึกโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้ยินเสียงแว่วๆมาเหมือนจะอยู่ใกล้นี้
      ผมแอบลัดเลาะเดินไปทางต้นเสียง เดินขึ้นบนเนินเขาเล็กที่ขวางอยู่ข้างหน้า
โอ..ช่างเป็นฝูงกวางที่ใหญ่โตอะไรเช่นนี้ กลุ่มที่ผมอยู่เมื่อไม่นามานี้มีไม่ถึงยี่สิบตัว แต่นี่นับได้เป็นร้อยตัว
     ใจผมชื้นขึ้นมาทันที ที่นี่อาจเป็นฝูงกวางที่น้ำค้างอยู่ก็เป็นได้ ผมเดินลงเนินเขามุ่งสู่ฝูงกวางตรงหน้าทันที
    "มันผู้ใดว่ะ"เสียงทรงพลังและอำนาจดังขึ้น คงเป็นเสียงจ่าฝูงที่คอยระวังให้กับลูกฝูง จ่าฝูงต้องเป็นตัวที่ทรงพลังที่สุด ปัญญาเฉียบแหลม และสุดท้ายจ่าฝูงคือผู้สั่งการ
    กวางวัยฉกรรวิ่งรอบๆตัวผมเพื่อป้องกันภัยให้ฝูง  ผมเหลือบตาไปเห็นกวางแก่แต่รูปร่างบึกบึนเดินตรงมาหา คงจะเป็นจ่าฝูงกระมั่ง ผมคิดในใจ
    "สวัสดีครับท่านจ่าฝูง ผมชื่อสามสีครับ ผมมาหาคนที่ผมรักครับ"  
     ผมต้องพูดความจริงเพราะพ่อกับแม่ผมสอนให้พูดความจริงเสมอ และต้องเป็นกวางที่มีคุณธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ช่วยเหลือทุกครั้งที่มีสัตว์ตัวใดตกทุกข์ได้ยาก
     "ฮ่าๆๆ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงแต่รองจ่าฝูงอยู่โน้น" เขาขยับตัวจึงได้เห็นกวางแก่ชรารูปร่างผอมโซ ไม่มีราศีในตัวแม้แต่น้อย มีเพียงสายตาเท่านั้นที่บอกถึงการเป็นผู้มีความปราดเปรื่อง เฉียบคม และสุขุม 
    ผมย่อขาหลังทำความเคารพ ยิ้มให้จ่าฝูง พร้อมยิ้มให้กับน้ำค้างที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาที่น้ำค้างส่งมาเธอตื่นเต้นเช่นเดียวกับผม
    "คนนี้ลูกรู้จักจ๊ะพ่อ ก็กวางหนุ่มที่ลูกเล่าให้ฟังเมื่อสามวันก่อนไงว่าตกจากเขาทำให้เดินไม่ได้" 
น้ำค้างออกตัวรับผมว่ารู้จักทันที ไม่อย่างนั้นต้องมีวิธีการไล่ผมให้ออกจากฝูงแน่ วิธีการเหล่านั้นยกตัวอย่างง่ายๆคือการไล่ชนเป็นต้น
  "งั้นเข้าไปที่พักของข้า ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปได้"
 ผมมองตามกวางที่แยกย้ายกันไป มีเพียงกวางหนุ่มตัวหนึ่งที่ฮึดฮัดไม่อยากไปคงจะชอบน้ำค้างเช่นเดียวกับผมละมั้ง
.....................................................................................................................
     "เอาแม่หาน้ำหาอาหารมาให้แขกหน่อย" 
       ผมย่อขาหลังลงทำความเคารพแม่ของน้ำค้างซึ่งเป็นเมียจ่าฝูงด้วยเช่นกัน
 คุยกับจ่าฝูงมากมายหลายเรื่อง คำถามสุดท้ายที่ผมถามคือ ปกติจ่าฝูงต้องเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง ทรงพลังเหตุใดท่านถึงรูปร่างผอมโซอย่างนี้ถึงได้เป็นจ่าฝูง
      "พรุ่งนี้เจ้าจะรู้เอง"
วันต่อมา 
 วันนี้ได้ข่าวว่าจะมีการเลือกจ่าฝูงแทนพ่อของนำค้างที่หมดวาระการเป็นจ่าฝูงลงแล้ว
   แปลกที่ฝูงกวางฝูงนี้มิเคยต้องใช้กำลังห่ำหั่นกันเพื่อเป็นจ่าฝูง บรรพบุรุษของกวางฝูงนี้วางกฎไว้ว่า หากผู้ใดจะได้เป็นจ่าฝูงต้องผ่านการทดสอบ2 ด่าน
ด่านการทดสอบจ่าฝูงคนที่จะลงจากตำแหน่งจะกำหนดขึ้นให้ผู้ที่สมัครทดสอบ
"ข้าขอสมัครเป็นจ่าฝูงได้หรือไม่"
ผมถามดังเพื่อให้ได้ยินกันทุกตัว เสียงเซ็งแซ่คุยกันดังขึ้นไปทั่ว
"หยุด"
เสียงเงียบทันทีที่จ่าฝูงสั่ง
"พ่อแม่เจ้าสอนให้เจ้าเป็นคนเช่นไร"
"พ่อกับแม่ผมสอนให้ผมต้องเป็นกวางที่มีคุณธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ช่วยเหลือทุกครั้งที่มีสัตว์ตัวใดตกทุกข์ได้ยาก"
ผมตอบตามจริง
"อย่างนั้นหรือ"จ่าฝูงผงกหัว
เสียงคุยกันดังขึ้นอีกครั้ง 
"ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร"
จ่าฝูงถามเสียงดัง
ใครควรให้เขาลงไปยืนอยู่ซ้ายมือข้า
ใครเห็นว่าไม่ควรให้เขาลงไปยืนอยู่ทางขวามือข้า
"นับ"
ปรากฏว่าเสียงเสมอกันอยู่ที่50ต่อ50 ทำให้เกิดปัญหา
"เขาไม่ควรได้ลงสมัครทดสอบเพื่อเป็นหัวหน้า"
เสียงศัตรูหัวใจของผมก็เปนตันเดียวกับเมื่อวานกว่าจะไปก็ฮึดฮัดอยู่หลายรอบ
"เจ้าหยุดก่อน ยืนยง"
จ่าฝูงปราม 
"ยังเหลือข้าอีกคนที่ยังไม่ได้ออกเสียง ข้าขออยู่ข้างซ้าย"
เป็นอันว่าผมได้ลงสมัครทดสอบเป็นจ่าฝูง ด้วยเหตุผลที่ว่ากวางส่วนมากจะมีนิสัยเหมือนที่พ่อแม่สอน เมื่อพ่อแม่ผมสอนมาดี เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะเป็นผู้นำได้สมควรได้ลงทดสอบเป็นจ่าฝูงได้
.......................................................................................................................
"ทำไมพี่ถึงได้เป็นจ่าฝูงเมื่อห้าปีก่อนล่ะจ๊ะ"
น้ำค้างภรรยาของผมถามผมในคืนหนึ่งหลังจากเหตุการณืนั้นผ่านมาห้าปีแล้ว นำค้างแต่งงานกับผมหลังจากที่ผมเป็นจ่าฝูง
"พ่อน้ำค้างถามว่าอะไร"
น้ำค้างเอียงหน้าถาม
ผมจึงตอบในคืนเงียบสงัดวันนั้น
 ด่านที่1.ด่านความกล้าหาญช่วยคนตกทุกข์ได้ยากหากเจอเสือที่กำลังจะฆ่าลูกกวางจะทำอย่างไร 
 "ทุกคนตอบว่าต้องเข้าไปช่วยโดยไม่กลัวตายโดยไม่นึกถึงคำว่าทำยังไงลูกวางจะรอดตายเพราะเขานึกว่าเป็นคำตอบ
"แล้วพี่บอกพ่อว่าไง"
"พี่บอกว่าพี่จะพูดกับเสือว่า เสือกินเราดีกว่าเนื้อมากกว่า นุ่มกว่ากวางตัวเล็กไม่อร่อยหรอก  เสือมันต้องยอมแน่ อีกอย่างหากเป็นเช่นนั้นจริงๆลูกกวางก็จะมีโอกาสรอดมากกว่า จะเข้าไปช่วยอาจตายทั้งสองก็เป็นได้"
ด่านที่2ด่านความสุจริต
"พ่อเจ้าถามว่าหากข้าให้เจ้าได้เป็นจ่าฝูง จะให้อะไรแก่ข้า"
"ทุกคนตอบว่าจะหาอาหารดีๆมาให้ จะเอาอย่างโนน้อย่างนี้มาให้ แต่ผมตอบว่า ผมไม่ให้อะไรเลยเพราะหากจะได้เป็นผู้นำหรือจ่าฝูงผมต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง ไม่ให้อามิสสินจ้างใคร แม้แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดเช่นท่าน หากให้อามิสจ้างแล้วใยจะสมควรเป็นผู้นำเล่า"
"แล้วไงต่อ"
"พ่อเจ้าก็บอกว่า ผมตอบทั้งหมดเป็นคำตอบเดียวกับพ่อน้ำค้างเมื่อเข้าคัดเลือกเป็นจ่าฝูง และท่านยังบอกอีกว่าตั้งแต่บรรพบุรุษตั้งกฏมาจะถามแค่2 ข้อแล้วได้เป็นจ่าฝูง  ทั้งหมดล้วนตอบคำตอบนี้ทุกตัว  ซึ่งพี่แปลกใจมากเลยล่ะ นี่หลายร้อยปีแล้วยังตอบตรงกันได้
เพราะทั้ง2ข้อเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำต้องมี คือการเสียสละแม้แต่ชีวิตเพื่อฝูงกวาง และความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งที่ผู้นำต้องมีไม่เช่นนั้นจะเดือดร้อนไปทั่วฝูง ทั้งอาจทำให้ฝูงกวางแตกกระจายเป็นฝูงเล็กได้
ผมตอบน้ำค้างภรรยาสุดที่รักที่นอนหนุนตักอยู่  ตอบด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายที่สุด นี่ล่ะวิถีของผู้นำ หรือของจ่าฝูง
"น้ำค้างดีใจที่ได้เป็นภรรยาพี่ คนที่มีพร้อมคุณสมบัติของกวางที่ดี" น้ำค้างหอมผมทีหนึ่ง เรานั่งมองดาวด้วยกันอย่างมีความสุข

หมายเหตุ  งานเขียนนี้เขียนเพื่อการส่งเสริมความดีงามให้กับเด็กๆที่อายุไม่เกิน13 ปี ผู้ใหญ่อ่านอาจจะแปลกๆว่านี่น้ำเน่าจัง มีสิ่งใดบกพร่องช่วยชี้แนะด้วยนะครับ เพราะงานชิ้นนี้จะส่งไปเที่ยวแล้ว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์บุญ เสาวณีย์
Lovings  รักษ์บุญ เสาวณีย์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์บุญ เสาวณีย์
Lovings  รักษ์บุญ เสาวณีย์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์บุญ เสาวณีย์
Lovings  รักษ์บุญ เสาวณีย์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงรักษ์บุญ เสาวณีย์