26 กรกฎาคม 2552 11:52 น.

ฟ้าบ่หงาย (ตอนที่๑)

ละไมฝน

ตอนที่ ๑ บุญสรงน้ำ 


สงกรานต์บ้านโคกสะอาด ปี พ.ศ. ๒๕๐๔...

หมู่ผู้บ่าวผู้สาวเล่นสาดน้ำเต็มลานวัด น้ำอบน้ำหอม หอมฟุ้งทั่วอาราม เจ้าหัวน้อยกลัวเปียกน้ำ ๓ วันบ่เปิดห้อง ๓ วันบ่ออกมาฉันข้าว สาวลำพอง สาวโพระดก และสาวกระจ้อน แล่นลัดต้อนจับเณรอุ่นดึงสบงบางสรงน้ำ ผ้าสบงเณรน้อยหลุดโลดเต้นกระโจนขึ้นกุฏิ สามสาวนมตั้งพานแล่นตามขึ้นไปสรงน้ำ เจ้าหัวเฒ่าคว้าไม้เท้าฟาดตีผู้สาว สาวลำพองหลบไม้เท้าทัน สาวโพระดกกระโจนหนีตกกุฏิ สาวกระจ้อนแล่นไปฟ้องญาซาบุญเติมว่า อ้ายเณรอุ่นดื้อมือไวจับนมผู้สาว จึงพากันไล่ต้อนจับเณรน้อยแก้ผ้าเหลือง 

ญาซาหนุ่มยิ้มเป้ยๆ บอกแม่ออกสาวให้พาพ่อแม่แต่งขันธ์ ๕ มาขอขมาเณรอุ่น...

ค่ำแลงลง เณรอุ่นน้อยเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ปานเป็นจับไข้สั่น คลานต้อยๆ เข้าสิมกลางน้ำสวดมนต์ปลงอาบัติ พอทำวัตรแลงแล้ว พวกหมู่ผู้เฒ่าก็เก็บดอกพุดหอมใส่พาน พาลูกสาวมาขอขมาลาโทษเณรอุ่น พร้อมนำฝ้ายเส้นขาวมาผูกแขนเณรน้อย 

เจ้าหัวซาบุญเติมปรารภขึ้นว่า  ถ้าสองฝ่ายสองจิตบ่คิดอกุศลต่อกัน อาบัติกรรมนั้นแม่นบ่มี อาทิกรรมที่ทำนั้นจึงขอยกไว้ 

จากนั้นเรื่องบาดหมางใจระหว่างเณรน้อยกับแม่ออกสาว ก็คลี่คลายไปด้วยดีจากการชำระคดีของเจ้าหัวซาหนุ่ม ผู้เป็นดวงแก้วดวงธรรม เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านสืบมา นับแต่ญาซาบุญเติมมาครองวัดบ้านโคกใหญ่หลายพรรษา ญาท่านได้สืบสานฮีตคองประเพณี สืบต่อก่อสร้างวัดจนฮุ่งเฮือง เมืองบ้านสุขสงบร่มเย็นตลอดมา ภิกษุหนุ่มนี้ผ่านพิธีสรงน้ำมาแล้วสองครั้งสองครา ปีนี้อเนกนำค้ำจุนบุญมหาสงกรานต์ ญาซาผู้มีภูมิธรรม จะได้เข้าพิธีสรงน้ำอีกครั้ง เพื่อเลื่อนสมณศักดิ์เป็นญาครู 

ปะรำพิธีสรงน้ำ ที่ชาวบ้านตกแต่งขึ้นด้านหน้าบันไดทางขึ้นหอแจกนั้น งามตานัก ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ตระเตรียมดอกไม้ห่วงหอม เครื่องบริขาร เช่น ผ้าไตรจีวร ๑ ตาลปัตร ๑ ไม้เท้า ๑ รองเท้าแตะ ๑ คู่ แล้วตั้งแต่งโฮงไม้พญานาค ซึ่งทำจากไม้จันทน์หอมแกะสลักเสลา แต้มสีเป็นฮูปพญานาคางามวิจิตร ประดับประดาดอกไม้เก้าสี ตรงกลางเป็นร่องฮางยาวจากหางถึงอกคอนาค เจาะเป็นฮูน้อยๆ เพื่อให้น้ำอบน้ำหอมไหลย้อยอาบร่างภิกษุที่จะเข้าพิธีสรง

เปิดเปิ๊ง...เปิดเปิ๊ง...เปิ๊ง...เปิ๊ง...เปิ๊ง

เสียงกลองยาวแห่แหนญาซาหนุ่มรอบหมู่บ้าน ดังไกลมาแต่ตีนบ้าน บนถนนหนทางชาวบ้านนำเสื่อสาดมาปูเป็นทางยาว ให้ขบวนแหนแห่เหยียบย่างผ่านไปยังปะรำพิธีสรงน้ำ ... 

เมื่อขบวนแห่มาถึงบริเวณปะรำพิธี พ่อจารย์คำหมอพราหมณ์ใหญ่ ถือพานสลาธูปเทียนดอกไม้ มาอาราธนานิมนต์ญาซาบุญเติมจากเสลี่ยงไม้ไผ่ ลงมานั่งอยู่ใต้เศียรพญานาค ผินหน้าไปทางบูรพาทิศ 

ญาครูโซ้นนำใบลานทองมาจารจารึกคำประกาศแต่งตั้งญาซาบุญเติมเป็นญาครู จากนั้นเจ้าหัวเฒ่าก็นำใบลานจารชื่อ ไปวัดรอบท้ายทอยพระผู้พรรษาน้อยกว่า วางไว้บนพานบายศรี แล้วพ่อใหญ่จารย์คำ ก็เริ่มเอื้อนโอมเอิ้นขวัญด้วยคำร่ายแก้วว่า... 

 ศรีๆ ศรีวันนี้เป็นวันดี งานสรงศรีสรงสา ญาครูผู้เพียรธรรมสืบสร้าง แม่ฮ้างเอ้ย อย่าได้มาแกมผู้สาว นางขาวเอ้ย อย่าได้มาแกมเจ้าหัว ขอญาครูเจ้า มีชื่อเสียงโด่งดัง ปานพลุปานตะไล บั้งไฟแสนบั้งไฟล้าน ขวัญเจ้าท่องทางไกลบ่ทันมาฮอด ลางทีขวัญเจ้ากอดลูกน้อยให้กินนมเมีย ลางทีเจ้าชมนมเมียบ่ทันแล้ว ลางทีเจ้าย้อมผมแล้วบ่ทันดำ ลางทีเจ้าทาน้ำมันจันทน์อยู่ลูบไล้ ลางทีเจ้ายังทัดดอกไม้สวยสะ ไปไหว้พระเจดีย์ใหญ่ชัยมงคล ขวัญเอ้ย ขวัญเจ้าอยู่ไส ขอให้มามื้อนี้วันนี้ ให้มาอยู่เฝ้าวัดสอนธรรม ให้มาน้อมนำจิตนำใจชาวบ้านโคกใหญ่ อย่าได้หลงโลกโลกีย์... 

น้ำอบน้ำหอมที่เจ้าหัวโซ้น และญาติโยมชาวบ้าน สรงผ่านหางนาคน้อยไหลไปตามร่องรางผ่านฮูน้อยๆ ที่อกคอนาค ย้อยหยาดอาบสรงร่างญาครูหนุ่ม ผู้นั่งพนมมือ สวมกระโจมหัวงาม รับการสรงน้ำอย่างสงบงาม น้ำอบน้ำหอมชื่นเย็นนัก ดับไฟกามร้อนรุ่ม ที่เผารุมอยู่ในเนื้อใจพระหนุ่ม ผู้อุดมด้วยเลือดเนื้อวิญญาณ ลามลวกด้วยแรงปรารถนา เฉกเช่นลูกชายชาวบ้านทุกคืนค่ำ...ให้ฉ่ำเย็นลงประหลาดล้ำ 

น้ำอบน้ำหอมที่ญาติโยมนำมาหดครั้งสรงนี้ ครอบญาครูบุญเติมไว้ปานฟ้าครอบเดือนแลดาว ฟ้าบ่มีวันหงาย ร่ำๆว่าให้รำลึกถึงคุณแกงฮ้อนแลข้าวขาว ที่ชาวบ้านได้มาจากการไถนาหว่านกล้า ปักดำนาหลังคดหลังโก่ง กว่าจะได้เก็บเกี่ยว หนักเหนื่อยกันตลอดทั้งปี 

ยามเช้าพวกผู้เฒ่านึ่งข้าวเหนียวใหม่ ปิ้งปลามันมาใส่บาตร แม่จังหัน แม่จังเพลหิ้วปิ่นโตมาวัดบ่เคยขาด ญาครูหนุ่มหวนนึกถึงกลิ่นสไบผืนผ้าสาวจันดา ลูกสาวหล่าแม่ทุมมาแม่ออกค้ำ ยังร่ำรอมหอมจับจิตอยู่บ่จาง แม้นว่ายามออกบิณฑบาต สายตาพระเสเลี่ยงหลบตานาง สงบเสงี่ยมหลุบตาต่ำแทบใต้ตีนซิ่นนาง ซิ่นไหมงามแม่ทุมมามัดหมี่ยาวกรอมเท้า สายตาญาครูเจ้าก็อดเหลือบแลมือแม่งามน้อยบ่ได้ ใจจดจ่อจดจำปั้นข้าวเหนียวใหม่ใส่บาตรปั้นนั้นบ่ปลงวาง

มันเป็นเพรงกรรมแต่ปางใดหนอ มากวนธรรมใสให้ข้นขุ่น หรือเป็นเพราะว่าบุพเพสันนิวาส ดึงสายมิ่งสายแนนมาแนบเหนี่ยวเกี่ยวพันกันไว้

อันว่าเนื้อนาบุญนั้น พระบุญเติมเคยสืบสร้างสืบมาครอบอยู่ เนื่องจากชาวบ้านโคกสะอาด ชาวบ้านโคกใหญ่เลื่อมใสศรัทธา เทิดทูนให้ครองวัดวาอารามยืนยาวสืบไปในภายภาคหน้า นึกจะหนีจากวัดไปปลดปลงจีวรห่มตอไม้ ก็หวนเห็นภาพเก่าคราวหลังที่พวกผู้เฒ่าแลชาวบ้าน พากันเดินลัดขึ้นโคกสูง ลงโคกต่ำ ผ่านโคกผีตาหลอก โคกผีปูย่า ไปอาราธนานิมนต์มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้ 

ปางก่อนนั้น บริเวณท้ายบ้านโคกใหญ่ อุดมด้วยแมกไม้หลายหลากหนาแน่น มีทั้งต้นจิก ต้นกุง ต้นเต็ง ต้นรัง ต้นคัดเค้าเป็นตุ่มเป็นหนามแหลม เติบโตแผ่ผายกิ่งก้านปกป้องป่า ยามเมื่อฟ้าย่ำเย็นน้ำค้างพรม คัดเค้าผลิดอกขาวเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมไกลถึงหัวบ้าน แลยังมีเถากระเช้าสีดาเลื้อยเลาะเกาะก่ายต้นรัง ปานว่าผูกสมัครรักต้นรังมานับร้อยนับพันปี กระเช้าสีดาออกฝักรักเถาเป็นกระเช้าน้อยๆ ยามเมื่อฝักแก่จัดก้านบนผลปริแตก กางก้านแยกเป็นสาแหรกหิ้วกลีบน้อยนั้น แสงแดดแลสายลมบ่มฝักจนแห้งกรังคาก้าน ยามเมื่อสายลมพานพัดมา เมล็ดพันธุ์เล็กๆ ในกระเช้าน้อยๆ กระทบฝักเสียงดังกราวๆ ปานว่าเพลงป่าไพรขับลำนำผสานเสียงลำไผ่เสียดสีออดอ้อนดังกังวานหวาน กอไผ่บงป่งแซมซ้อน แตกกิ่งเกี่ยวกอ แขนงหนามแหลมทิ่มแทงน่องสาวน้อยนมตั้งเต้า ในยามเช้าหมู่สาวขึ้นใหม่ มักจะหลบไปนั่งยองๆ อยู่หลังกอไผ่สีสุก เพื่อถ่ายทุกข์บนขอนไม้ผุเก่า พอฝนลงสองฝนสามฝน ก็เกิดเป็นเห็ดขอนขาว ขาวปานกกขาสาวผู้ถ่ายทุกข์ เมื่อนั้นชาวบ้านจึงได้เก็บไปแกงใส่ผักหวานไข่มดแดง

ผู้ใหญ่เม้าผู้นำชุมชน ผู้แปลงป่าเป็นบ้าน มีความประสงค์สร้างวัดน้อย ไว้คอยเจ้าหัวผู้มีบุญกว้างแผ่ผาย เป็นร่มโพธิ์ร่มธรรมของหมู่ลูกหลานสืบไป เฒ่าจึงนำชาวบ้านหักร้างถางพง ปรับผืนป่าเป็นลานดินกว่ากว้าง สร้างศาลาหอแจก ยกพื้นสูงลมโกรก ต้นเสาสองคนโอบจำนวนสิบสองต้น พร้อมกุฏิหลังน้อยมุงใบตองตึง แล้วนำพาผู้เฒ่าผู้แก่ไปนิมนต์ญาครูอิน วัดบ้านดินดำ มาเป็นเจ้าวัดบ้านโคกใหญ่ ญาครูอินยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ขยันขันแข็ง บ่นิ่งนอนดูดายตายเปล่า พอว่างจากท่องพระคัมภีร์ ท่านก็จับจอบถางไม้ขุดหัวตอ ปลูกกล้วยอ้อยหมากพลู ปลูกขนุน หมากพร้าว แลปลูกตาลอ้อมอาณาเขตวัด ลานดินกว้างด้านหลัง ญาครูอินขุดดินพอร่วน โรยเมล็ดฝ้ายเป็นแถวเป็นแนว จนกระทั่งฤดูฝนก็แทงหน่อผลิใบ ฤดูแล้งร้อนสองปีถัดไป ต้นฝ้ายก็ผลิดอกลานตา ดอกฝ้ายแก่แตกเปลือกปุยหนา สำลีขาวแตกปุยขาวเกลี้ยง ก่อนเพลาฉันเพล ญาครูอินแบกกระทอออกไปเก็บฝ้ายทุกวัน จนได้สัก ๒๐ กระทอฝ้าย ขนใส่เกวียนพ่อเฒ่าจูมสี นำไปขายที่ตลาดเก่าเมืองแวง ได้เงินมาใส่ไหขุดหลุมฝังใต้กุฏิ เก็บออมเงินไว้หวังสึกไปแต่งเมีย

เฒ่าจูมสีได้เงินค่าขนฝ้าย ๕๐ สตางค์ เฒ่าก็ซื้อเหล้าโรงไปนั่งกินที่ชานเฮือน พอเหล้าเข้าปากความทุกข์ยากก็บ่มี ความลับต่างๆ พรั่งพรูออกจากปากดำๆ เหม็นๆ ของเฒ่าขี้เมา เมื่อความล่วงถึงผู้ใหญ่เม้า เคยเลื่อมใสศรัทธาเจ้าวัดจึงเสื่อมสิ้น สมภารอินผู้ทะเยอทะยานสะสมทรัพย์ บ่ควรคู่วัดคู่บ้าน ลูกหลานบ่ควรกราบไหว้ 

ผู้ใหญ่เม้าตีกลองร้องป่าวประชุมชาวบ้าน ร่วมกันขับไล่สมภารโลภไปจากวัดบ้านโคกใหญ่ 

สมภารอินฮ้อนฮนหลาย คันก้นขี้กลากกิน รีบหอบไหเงินแลห่อผ้าไตรกระโจนจากกุฏิ แล่นหนีไปจากวัดบ้านโคกใหญ่แต่บัดนั้น

หลังจากญาครูอินจากไปแล้ว วัดบ้านโคกใหญ่ก็รกร้างว่างเปล่า ฝูงหมาขาว กาดำ แลอีแฮ้งบินเวินอ้อมตอมกุฏิ ยามค่ำเงียบเชียบ ลมเหงา หมาบ้านเห่านกเค้าแมวบินมาจับขื่อคา เสียงมันฮ้องดังแจๆ ฮุ๊กๆ กุ๊กๆ แจๆ บางคืนหมาจอกลักลอบเข้าหมู่บ้าน ตะกุยกินเศษซากรกเน่า ที่พ่อลูกอ่อนนำไปฝังกลบไว้ใต้พงหนามเล็บแมว หลายคืนมาแล้วผีปอบยายสา เข้าสิงร่างกินตับไตยายเป้งยามตะวันตกดิน หมู่ชาวบ้านบ่กล้าออกไปจับกบจับเขียด เพราะกลัวผีโพงผีเป้าล้วงก้นกินตับ ผีโพงผีเป้าเหล่านั้นจึงจับกบจับเขียดกินอยู่ตามทุ่งนา มันเลือกกินแต่ขาแลตัว เสียบหัวกบหัวเขียดประจานไว้ตามหนามไหน่ไผ่แห้ง 

แลงหนึ่งแดดดับ แม่เฒ่ากองแลนตาเข หาบขนมจีนน้ำยาปลาซ่อนข้ามโคกไปขายที่ตลาดเก่าเมืองแวง เนื่องจากมีงานฉลองไหว้ศาลเจ้าปู่ ตกดึกกลับบ้านลัดผ่านลานวัด แม่เฒ่าตาบ่สามัคคีกัน พลันเหลือบเห็นผีเปรตสูงขายาวเก้งก้าง แขนยาวห้อยต่องแต่ง แม่เฒ่ากองแลนตกใจกลัวตาเหลือกลาน ทิ้งตะกร้าขนมจีนวิ่งเข้าหมู่บ้านนอนจับไข้หนาวสั่น ขี้เยี่ยวใส่ซิ่นเหม็นคลุ้งทั่วเฮือน 

เดือดฮ้อนถึงผู้ใหญ่เม้า ผู้เฝ้าดูแลทุกข์สุขชาวบ้าน เฒ่าเกรงว่าลูกบ้านจะเป็นบ้าเสียสติตายเพราะผีหลอกผีหลอน วัดจะฮ้างฮ้ายกลายเป็นวัดผี จึงนำความทุกข์ใจไปปรึกษาพ่อใหญ่จารย์คำ เชิญพ่อเฒ่าอาวุโสไปอาราธนานิมนต์เจ้าหัวซา เจ้าหัวเล็กหัวน้อยจากบ้านอื่น มาจำวัดจำวาบ้านโคกใหญ่ เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวบ้าน 

เฒ่าจารย์คำหมอพราหมณ์ใหญ่ แต่งดอกไม้ขันธ์ ๕ ใส่พานไม้งามตั้งแต่ยามฟ้าสางตะวันแดง พอฟ้างายผู้ใหญ่เม้าจึงนำผู้เฒ่าผู้แก่ ย่างไปอาราธนานิมนต์ญาซาบุญเติมวัดบ้านโคกสะอาด ยายหนูนามาจ๊ะ แม่เฒ่าปากหวานจ้วยๆ หาบตะกร้าข้าวปลาอาหาร ปิ่นโต บั้งน้ำเต้าปากกว้างใส่น้ำกิน อ้ายทิดเคนน้อยเป่าแคนนำทางขึ้นโคกป่ากุง ลิ้นแดดเลียดอกคัดเค้าโชยกลิ่นหอมมาตามสายลมอ่อน ยายกองแลนหายไข้วายป่วง เคี้ยวหมากหยับๆปากแดง ได้ยินเสียงแคน แลนแตร๋ แลนแต แตะแลนแตร... แม่เฒ่านึกสนุกถลกผ้าถุงเหน็บพุงล้อนจ้อน รำฟ้อนแอ่นหน้าแอ่นหลัง พ่อใหญ่จารย์คำเหลียวมองแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แม่เฒ่าได้ใจเลิกชายซิ่นพันเอว ฟ้อนรำเฉิบๆ เด็กน้อยตาเปียกแล่นตามเป็นพรวน บักโม่งขี้มูกเขียวชี้นิ้วท้วงก้นดำด่างของแม่เฒ่า

 ขี้ไก่ดำติดก้นผู้เฒ่า ขี้ไก่ขาวติดนมผู้สาว 

บักโม่งฮ้องยั่วหยอกแม่เฒ่า จ้องมองก้นเหี่ยวแม่เฒ่าตาบ่วาง ยายกองแลนหน้าลาย ตาเข หันมาแยกเขี้ยว ถลึงตาใส่หมู่เด็กน้อย

 บักห่ากินหัวมึงเอ้ย...เป็นเด็กเล็กเด็กน้อย มาท้วงก้นผู้เฒ่า  ยายกองแลนด่าตวาด 

พวกเด็กๆ พากันแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง 

แตะ...แลนแต... แลนแตร๋...แลนแต แตะแลนแต ....แลนแตร๋...แลนแต 

เสียงแคนอ้ายทิดเคนน้อย เป่าทำนองแมงภู่ตอมดอกไม้ นำพาหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ เดินขึ้นโคกสูง ลงโคกต่ำ พอพ้นโคกป่าจิก ก็เห็นโคกป่าฮังมาบังอยู่เบื้องหน้า พวกผู้เฒ่าลัดเลาะโคกป่าติ้ว โคกดอกกระเจียว โคกเห็ดไค โคกผีตาหลอก โคกผีปู่ตา จนล่วงสู่วัดบ้านโคกสะอาด ยามเณรน้อยตีกลองเพลพอดิบพอดี 

 ญาติโยมพากันมาธุระอีหยังกันหนอ มากัน มากมายหลายหน้า  

เจ้าหัวเฒ่าปรารภถาม หลังจากฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้ว

 บ่ได้มาขอข้าวขอแกงดอก ญาท่าน พ่อจารย์คำยกพานขันธ์๕ เหนือศีรษะ  พวกข้าน้อย มานิมนต์ญาซาบุญเติมไปสืบสร้างศาสนาทางบ้านโคกใหญ่พู้น

 ญาครูอินไปจำวัดอยู่ไสแล้วล่ะ 

 เพิ่นญาครูหอบไหเงิน หอบผ้าไตรหนีกลับบ้านไปแล้ว ตอนนี้วัดบ้านโคกใหญ่บ่มีพระ บ่มีเณร มีแต่ผีเฝ้าวัด หมาเฝ้ากุฏิ 

ดวงหน้าอิ่มบุญของท่านเจ้าหัวเฒ่า สงบเย็น ตาเล็กๆ เปล่งประกายแจ่มใสมีเมตตาน่าศรัทนานัก ท่านดึงเซี่ยน หมากมาวางตรงหน้า มือเหี่ยวย่นหยิบใบพลูขึ้นมาเด็ดหางเต่า แต้มปูนแดง หยิบหมากสดหั่นเป็นแว่นๆ แก่นคูนสับละเอียดและยาเส้นวางบนใบพลู ม้วนเป็นมวนกลมๆ เหมือนเหมือนมวนบุหรี่ แล้วยัดใส่ปากเคี้ยวหยับๆ อยู่นาน ญาครูเฒ่าถ่มน้ำหมากแดงเถือกลงกระโถน

แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า

 ซาบุญเติมเพิ่งสรงน้ำเป็นซาเมื่อปีก่อน พรรษายังบ่แก่กล้าหน้าบานเท่าใด บ่ฮู้ว่าสิเป็นสมภารเพ็งได้บ่ อาตมาสิลองถามความสมัครใจเพิ่นเบิ่งก่อนเด้อ ถ้าประสงค์ไปอยู่สืบสร้างศาสนาทางบ้านโคกใหญ่ อาตมาก็บ่ขัดศรัทธาดอก ญาติโยมเอ้ย 


............................................................
(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
24 กรกฎาคม 2552 22:38 น.

นายหิ่งห้อยสะดุดรักเจ้าหญิงขนมปัง ตอนที่ ๒

ละไมฝน

ตอนที่ ๒


สองหนุ่มสาวกลับไปแล้ว 
ความเงียบเหงาครอบงำร้านขนมปังอีกครั้ง 
ฝนยังพรูพรำลงมาไม่ขาดสาย 
ข้าฯ เหน็บหนาวจนไม่อาจโบยบินไปแห่งหนใด ช่วงชีวิตหิ่งห้อยแสนสั้นนัก 
ข้าฯ ฝันจะได้รับไออุ่นจากเจ้าหญิงแสนสวย 
แล้วในที่สุดข้าฯ ก็เล็ดลอดเข้าไปทางหน้าต่างได้สำเร็จ 
ร้านขนมปังของเจ้าหญิง หอมอบอวลและน่าอบอุ่นนัก

ไม่มัวรีรอเลย ข้าฯ กระพือบินไปยังโต๊ะทรงกลมสีขาวนั้น
ไต่วนบนสมุดบันทึก พลางแอบอ่านบันทึกของเจ้าหญิง...

หิ่งห้อยตัวน้อย บินวนไปมา
แสงโคมน้อยวิบวับ อ่อนอ่อน
หิ่งห้อยน้อยใจในแสงของตัวเองหรือเปล่า
แสงวิบวับวิิบวับ จะส่งส่องแสงกระทบถึงดวงดาวไหมนะ

เจ้าหิ่งห้อย
ได้แต่บินวนไปมา ด้วยหวังว่าสักวัน
ดาวดวงนั้นจะรู้ตัว ว่ามีใครหลงรักดาวอยู่...
ในยามนี้...
หิ่งห้อยได้แต่แบกรับความรักไว้ในดวงใจเพียงลำพัง


เจ้าหญิงขนมปัง

ข้าฯ เขียนหนังสือไม่เป็น แต่ข้าฯ โต้ตอบเจ้าหญิงขนมปังทางสายตาว่า...

วิบวิบ วับบวับ
หิ่งห้อย ช่างอ่อนล้า 
เหน็บหนาวจัง...

ได้แต่ชะเง้อมองดาว
หิ่งห้อยเฉกเช่นข้าฯ ต้องจมน้ำตาตายแน่ๆ
หากวันใดดวงดาวที่ข้าฯรัก อับแสงลง

แสงดาวหลังม่านฝัน แจ่มใส แต่เปราะบางเหมือนแก้ว
ข้าฯไม่อยากเห็นแสงดาวใยแก้วแตกสลายตรงหน้า
สิ่งที่ข้าฯ ปรารถนาเพียงแค่
มีชีวิตอยู่นิรันดร์เพื่อเฝ้าชมดาวในคืนฟ้าใส...........หิ่งห้อย


ดูเหมือนเจ้าหญิงรู้ความนัยในใจข้าฯ อมยิ้มแก้มตุย ชำเลืองมองข้าฯ บินร่ายรำไปมา ดวงตากลมโตแจ่มกระจ่าง ฉายแววสดใสประหลาดล้ำ 
เจ้าหญิงเอื้อมมือเปิดหน้าต่าง แหงนมองฟ้ากระจ่างหลังฝน รำพันกับดวงดาวว่า...

แสงวิบวับวิบวับนั่น
คงเป็นดาวขี้เหงาอมยิ้ม
แสงอ่อนอ่อนของหิ่งห้อย
แม้เพียงวับวิบ
แต่ก็ช่วยยืนยันลมหายใจที่ยังเหลืออยู่
ลมหายใจแสนสั้นของหิ่งห้อย

ดาวดวงน้อยคงแอบน้อยใจ
รำพึงกับตัวเองว่า...
ใยฉันเป็นเพียงหินที่รอเพียงแสงตะวัน
ส่องเลยผ่าน เพื่อทอประกายแสงสว่างเจิดจ้า

ดาวขี้เหงาหลบอยู่หลังดวงจันทร์
สักคืน ดาวน้อยฝันจะส่องแสงวิบวับบ้างก็ยังมิกล้า

ได้แค่เพียงส่องแสงเล็กเล็กจากมุมไกลๆ แห่งจักรวาล
ดาวขี้เหงา...
วาดหวังเพียงทุกวันหิ่งห้อยไม่หมดแรง
บินวนวับวิบต่อไป
สักคืนดาวขี้อาย อาจเลิกเล่นซ่อนหากับจันทร์สีเขียว
ทอแสงกะพริบพรายถึงเจ้าหิ่งห้อย...

(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
24 กรกฎาคม 2552 22:18 น.

แม่ฮวงข้าว

ละไมฝน

แม่ฮวงข้าว


เขียนโดย ละไมฝน

ตะวันตกค่ำคล้อย เณรน้อยแล่นขึ้นหอกลอง สองมือกำด้ามไม้ตีกลองแลงดังตุ้มๆ ตึงๆ ตุ้ม เสียงทุ้มกังวานไกลไปฮอดโคกดอนมดแดง แสงค่ำย่ำแลงเป็นสีหมากเขือขื่นสุก หว่านแสงทองส้มห่มทุ่งแม่ข้าวอุ้มท้อง ช่อดอกข้าวเหลืองงามลออตา ช่อใดเม็ดข้าวเต็มเต่งฮวงหน่วงหนัก คอต้นข้าวก็หักพับลงกับดิน ช่อใดเม็ดข้าวลีบน้ำนมน้อย ก็เอนลู่ล้อเล่นลม ยามลมโบยพัดเปลี่ยนทิศทาง จากตะวันตกไปสู่ตะวันออก 
ลมฝนเปลี่ยนเป็นลมหนาว หอบอุ้มอากาศหนาวแสน มาแทนที่ลมฝนโอบกอดทุ่งข้าวอยู่ ฝนเม็ดสุดท้ายกระซิบบอกหมู่ต้นข้าวในนาว่า...

 ลูกหลานแม่โพสพเอย...หมู่เมฆฝนต้องจากลาทุ่งข้าวเหลืองไปแล้วเน้อ ลมหนาวทางทิศตะวันเวินอ้อมข้าว จะพัดมาห่มคลุมทุ่งข้าวแทนเม็ดฝน หมู่แม่ข้าวตั้งท้องเอย...เจ้าจงเร่งออกเม็ดเต็มเต่งไวๆ ลมหนาวแล้งกับแสงแดดจ้า จะบ่มลูกข้าวให้สุกงอมเหลืองอร่าม ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้านเหนือบ้านใต้ แล้วทอดฮวงให้หมู่ชาวนาเก็บเกี่ยวเม็ดข้าวไปใส่ยุ้งฉาง...

หากสดับรับฟังเสียงสายลมได้ นางคงได้ยินสรรพสำเนียงเหงาเศร้า จากเมฆเก่าสั่งลาทุ่งข้าวบ้างดอกนะ 

ยามแลงนี้หนาวนัก ลมหนาวโบกพัดหยอกเย้าฮวงข้าวอ่อนย้อย กลิ่นดอกข้าวหอมละมุน มาตามลม ปานกลิ่นแก้มก้นเด็กทารกในอ้อมอกแม่พวงแพง กลิ่นดอกข้าวได้บอกเตือนหมู่ชาวนาว่า ฤดูกาลเก็บเกี่ยวใกล้มาฮอดแล้ว...หลังออกพรรษาลาพระเจ้า หมู่ชาวนาจะเริ่มจับเคียวเกี่ยวฮวงข้าว เก็บใส่ยุ้งฉางไว้กินไว้ทาน

หมอกลงลมนิ่งหนาว ตีนฟ้าตะวันตกเป็นสีแสดแดงแกมสีหมากสุก ปุยเมฆทาบทาเป็นแนวยาวพาดผ่านไปถึงครึ่งฟ้า แสงฟ้าจางลางเลือนในเงามืดฟ้าซีกตรงข้าม ฟ้าหม่นมัวด้วยม่านหมอกขาวห่มคลุมท้องทุ่ง ปานยักษ์กุมภัณฑ์ฤทธิ์ลือเดช อ้าปากกลืนกินทุ่งข้าวอย่างกระหายหิว...

นางแหงนเบิ่งฟ้า เห็นลมบนพัดปุยเมฆสีหมากสุกล่องลอยกระจัดกระจาย กลายเป็นผ้าอ้อมน้อยหมู่ผีฟ้าผีแถน แขวนอยู่ฮาวฟ้า ฮูปงามประหลาดตานัก

บ่นานฟ้าก็มืดอึ้ง คลี่ม่านหม่นห่มทุ่งข้าว นางหวาดกลัวขึ้นมาทันใด เมื่อหวนนึกถึงคำเตือนของยาย... 
ยายเฒ่าเล่าว่า...  ยามแลงหมู่ผีสินำผ้าอ้อมลูกน้อยเหยี่ยวใส่ มาตากอยู่เทิงตีนฟ้าตอนค่ำแลง พวกมันสิเก็บผ้าอ้อมยามตะวันจมดินนอนหลับ แล้วออกมาจับกินตับกินไตเด็กน้อย นางอย่าเพลินเบิ่งผีตากผ้าอ้อมจนค่ำมืดเด้อ อีหล่า

นางเป็นลูกชาวนา.. .แต่ว่านางบ่มีไฮ่นาเฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน เจ้าหนี้ยึดที่นาไปหลายปีแล้ว เงินที่ได้จากการกู้หนี้ยืมสิน ก็นำมาเยียวยารักษายายเฒ่าจนหมดสิ้น พ่อแม่จึงฝากนางไว้กับยายเฒ่า แล้วเดินทางไปทำงานก่อสร้างที่เมืองล่าง ยายสาอายุเจ็ดสิบห้าปีแล้ว หัวหงอกขาว หูหนวกหนัก ฟังเสียงระฆังบ่ม่วนคือเก่า เรี่ยวแรงอ่อนล้าลงทุกวัน กินบ่ได้ นอนบ่หลับสนิท ค่ำคืนฮ่ำฮ้องละเมอเฟ้อพก ยามดึกฝันเห็นแต่ญาติผีที่ตายจาก แห่มาขอส่วนบุญ 

แต่ว่าความห่วงใยหลานสาวนั้น ต่อลมหายใจให้เฒ่ามีชีวิตอยู่สืบไป แม่เฒ่ายังตายบ่ได้ ไปเมืองผีบ่ถูก ตราบใดที่นางยังน้อยอ่อนอยู่... 

นานก่อนแลงแล้ว นางเฝ้ารอผู้บ่าวอยู่เถียงนาน้อย ตั้งแต่ตะวันบ่ายก็บ่เห็นมา อีนางหล่ากลัดกลุ้มใจนัก ด้วยอยากบอกเล่าถึงความผิดปกติในร่างกาย ให้ผู้บ่าวฟัง... 

ยามนี้ค่ำมืดแล้ว นางคงจะรอคอยอ้ายหำน้อยบ่ไหว...
นางย่างไปบนคันนาที่รกเรื้อด้วยหญ้าหอม อวดกลีบดอก กระจิดริดสีม่วง ยามฝ่าเท้าย่ำเหยียบผ่านไป ต้นหญ้าหอมโชยกลิ่นเย็นชื่น หอมต่างกลิ่นอันละมุนของดอกข้าวใหม่ในแปลงนา ที่ทอดฮวงหนักโน้มลงดิน บ้างก็เอนลู่เป็นระลอกคลื่นตามแฮงลมพัด ข้าวใบคมบาง บางไหวพลิ้วลม เชื้อเชิญสาวน้อยนำฮวงข้าวงาม ไปบูชาพระแม่โพสพที่หอประทีป 

มือน้อยๆ ของนางเลือกต้นข้าวกำลังตั้งท้อง แล้วบรรจงตัดฮวงข้าวด้วยมีดเล่มน้อย ได้ฮวงข้าวอวบงามสามต้น เดินกลับบ้าน

ปีนี้พ่อใหญ่มิ่ง ผู้ใหญ่บ้านเลือกคำนางเป็นเทพธิดากวนข้าวทิพย์อีกปีแล้วเน้อ...
นางใจเต้นแฮง เมื่อได้รับเลือกเป็นเทพธิดาน้อย ถือไม้พายแฮกกวนข้าวทิพย์ ทุกวันนี้มีผู้สาวในหมู่บ้านบ่กี่คนดอก ที่หมู่ผู้เฒ่าชื่นชม และเชื่อมั่นในความเป็นสาวพรหมจารี นางเปรียบเหมือนช้างน้อยย่างงามเทียมยาย ยายสาเข้าวัดฟังธรรมนำฮีตนำคองอยู่บ่ขาด คำเว้านางก็อ่อนหวานจ้อยๆ นางน้อยนี้อยู่กับบ้านกับเฮือนว่านอนสอนง่าย ดุจม้อนไหมมีใยหุ้มห่อตัวนั่นแล้ว 

ค่ำมืดนัก แมงอีฮ้องเอิ้นอีเกิ้งเดือนหนาว ลอยเด่นเหนือช่อฟ้าใบระกา แสงนวลอ่อนหวานอาบลานวัด ดาดาวสกาวสุกฟ้าใส หมู่เด็กน้อยแล่นเล่นหยอกล้อกันม่วนซื่น หมู่ผู้บ่าวนมแตกพาน ผู้สาวนมน้อยแข็งเป็นไต นั่งจับคู่คุยกันใต้ฮ่มไม้เงาครื้ม 

เสียงลำสรภัญญะเอื้อนสำเนียงหวานปนเศร้า ดังแว่วมาจากลำโพงเครื่องกระจายเสียงข้างศาลาหอแจก(ศาลาการเปรียญ) ด้วยบทกลอนบูชาพระคุณข้าว... 
 มาลาดวงดอกไม้ มาลาดวงดอกไม้
นำมาถวายเพื่อบูชา....
บูชาแม่โพสพ บูชาแม่โพสพ
ที่เคารพและศรัทธา...

ขณะนั้นคนเฒ่าคนแก่ได้จูงลูกจูงหลาน ถือฮวงข้าวธูปเทียนออกมาจุดบูชาพระแม่โพสพ ที่หอประทีปด้านหน้าสิม(พระอุโบสถ)หลังเก่า ซึ่งมัคนายกวัดได้นำต้นกล้วยใบตองงาม ๔ ต้นมาทำเป็นเสา ยกพื้นสูง ปูลาดด้วยกาบกล้วยสด ตัดแต่งหัวแลท้ายรายรอบเป็นฮูปเรือหงส์งามวิจิตร เพื่อให้ชาวบ้านนำฮวงข้าวตั้งท้อง ธูป เทียน มาจุดบูชาบนหอประทีปแห่งนี้ในตอนค่ำคืน
นางแต่งกายชุดเสื้อแขนกระบอก สวมผ้าซิ่น พาดสไบผ้าผ้ายขาวสะอาด นั่งคุกเข่าอยู่ข้างยาย มือเล็กๆ กำฮวงข้าว ดอกไม้ ธูปเทียนจนชื้นเหงื่อ... 
ยายเฒ่าหันมาสะกิดแขนเตือนหลานสาว ให้จุดธูปเทียนบูชา 
 ปีก่อน ข้อยอธิษฐานขอแม่โพสพ บ่เห็นได้ดังใจเลย 
สาวอายุสิบหกเอ่ยขึ้น 
 นางอธิษฐานขอหยังล่ะ อีหล่า
 ขอโทรศัพท์มือถือ หมู่เพื่อนมีกันทุกคนแล้ว
 ก็อธิษฐานขอในสิ่งที่บ่จำเป็นนี่  
 แล้วอีหยังล่ะ ที่จำเป็นสำหรับเฮา อีแม่โต้น 
 ข้าวนั่นเด้ ขอให้เฮามีข้าวกิน มีข้าวใส่บาตรทุกมื้อ... อีนางหล่าช่วยยายอธิษฐานแน่เด้อ คำอธิษฐานของเฮาสองคน สิเฮ็ดให้ได้ในสิ่งที่หวังตั้งใจ

ดวงหน้างามงอง้ำ ปานไม้คันขอตักน้ำส่าง แต่แล้วนางก็จำใจพนมมือและหลับตาพริ้มตามยายเฒ่า 
อันว่าโลกนี้ ดีงามเพราะคนสืบสร้าง ชั่วฮ้ายเพราะคนทำลายล้าง เมืองบ้านล่มจม เพราะคนมักมากมักได้ พวกหมู่คนโกงกินหอบทองเต็มสองบ่า บ่มีความเพียงพอ มีกระทอใส่ก็เต็มล้น... หากว่านางอธิษฐานขอข้าวขอปลาจากแม่โพสพ ก็คงบ่ได้ตามคำขอ แม้นว่าพระแม่โพสพจะแบ่งปันเม็ดข้าวเต็มนาเป็นแสนส่วน แต่ว่าข้าวจะเต็มยุ้งฉางได้จั๋งได ในเมื่อยายบ่มีที่นาเฮ็ดกินสักแปลง 

เมื่อปักธูปหอม เทียนสว่าง วางต้นแม่ข้าวเหนียวตั้งท้องบูชาบนหอประทีปอันวิจิตรแล้ว ยายเฒ่าฟันบ่มีก็หันมายิ้มแต้ 
 อธิษฐานขออิหยังล่ะ อีหล่า
 ขอให้อีแม่ซื้อมือถือ แบบถ่ายฮูปได้ให้ซักเครื่อง... บักสี อีสา อีแพงมา มันมีกันทุกคนแล้ว ข้อยอายหมู่เพื่อนหลาย 

นางยังบ่เลิกล้มความมุ่งหวังตั้งใจนั้น

ยายเฒ่าได้แต่ยิ้มเหงาๆ สองตาหม่นมัวชื้นน้ำตา ด้วยสงสารเห็นใจหลานสาว เฒ่าโอบไหล่น้อย ๆ ปลอบประโลม แล้วจูงมือนางหล่าไปยังหอแจก พ่อเฒ่าคำน้อย พราหมณ์ประจำหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่กำลังช่วยกันจัดเตรียมข้าวของ ในพิธีกวนข้าวทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างคร่ำเคร่ง ส่วนประสมสำคัญในการกวนข้าวทิพย์ ได้แก่ ข้าวเม่า น้ำนมข้าว น้ำกะทิ นม เนย น้ำผึ้ง น้ำตาลอ้อย ถั่ว และงา เป็นต้น

นางนั่งพับเพียบข้างยายเฒ่า ฟังญาครูสุขเล่าถึงมูลเหตุการกวนข้าวทิพย์ว่า 

 เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลนานมา นางสุชาดาจอมศรี บุตรีคหบดีเศรษฐี ได้บนบานรุกขเทวดา ที่ปกปักฮักษาต้นไทรใหญ่ ขอให้นางแก้วได้สามีเป็นผู้สูงศักดิ์ มีชาติตระกูลเสมอดั่งกัน และได้บุตรธิดามีบุญญาธิการ ... เมื่อได้ตามสมประสงค์แล้ว นางแก้วจึงหุงข้าวมธุปายาสหอมสุกใหม่ ใส่ถาดทองนำไปถวายรุกขเทวดา พอนางสุชาดามาถึงต้นไทรใหญ่ ก็แลเห็นพระมหาบุรุษร่างสง่างาม ประทับอยู่ที่โคนต้นไทร นางคิดว่าพระองค์เป็นรุกขเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส พร้อมทั้งถาดทองนั้น.... 
พอนางสุชาดาลากลับไปแล้ว พระมหาบุรุษก็เสด็จจากอาสนะ ถือถาดทองข้าวมธุปายาสไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงปั้นข้าวมธุปายาสรวมได้เป็น ๘๙ ปั้น เสวยจนหมด แล้วทรงลอยถาดทอง อธิษฐานว่า ถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำ.... พอพระองค์ทรงปล่อยพระหัตถ์ ถาดทองนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไปไกลถึง ๘๐ ศอก... 

ถ้าหากถอดความตามธรรมาธิษฐานแล้ว ถาดทองนั้นก็คือศาสนาของพระพุทธองค์ แม่น้ำก็คือมนุษย์บนโลก คำสอนของพระศาสดา จะนำพาผู้คนไหลทวนกระแสโลกไปสู่พระนิพพาน คือความพ้นทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.

การกวนข้าวทิพย์เป็นบุญประเพณีบ้านเฮา ที่เฮ็ดสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่สังกะสาย่าสังกะสี ในวันดีขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด ตรงกับบุญออกพรรษา พวกเฮาชาวบ้านหนองหิ่งหาย ได้ฮ่วมแฮงฮ่วมใจกันเฮ็ดกินเฮ็ดทาน ถวายผ้าจีวร จุดประทีปโคมไฟ และกวนข้าวทิพย์เป็นสิริมงคล ให้ญาติโยมมีอายุมั่นขวัญยืน ปราศจากโรคภัย ให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล ข้าวออกฮวงบริบูรณ์พูนผลทุกสิ่งทุกประการ....

บรรยายธรรมจบลง ญาครูใหญ่ก็นำพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เพื่อเป็นศิริมงคล หลังจากนั้นพ่อพราหมณ์ก็สวดสัคเค กาเม จะ รูเป... อัญเชิญเทวดามาชุมนุมร่วมพิธี นางเทพธิดาพรหมจารีทั้ง๔ ก็เข้าประจำกระทะกวนข้าวทิพย์ทั้ง ๔ ทิศ ถือไม้พาย ดอกไม้ธูปเทียน แห่รอบประรำพิธี ๓ รอบ ก่อนเริ่มกวนข้าวทิพย์

สาวน้อยทั้งสี่ในชุดผ้าขาวพิสุทธิ์ ห่มสไบเฉียงบ่า ท่าทีสงบสำรวมดูงดงามบริสุทธิ์...และใสสว่าง ท่ามกลางพระสงฆ์ และผู้เฒ่าผู้แก่ที่เฝ้ามองดูในพิธีอันศักดิ์ของหมู่บ้าน ด้วยสายตาชื่นชม... 

แต่ยามนี้ ใจของนางกลับหม่นหมอง ฮุ่มฮ้อน ผิดบาปในใจหลาย ที่บ่ได้บอกความจริงกับยายว่า นางประพฤติตัวเสียหาย...และน่าอายปานใด ในการชิงสุกก่อนห่าม แม้นว่าชาวบ้านบ่มีวันล่วงฮู้ถึงฮอยมลทินเปรอะเปื้อนกายใจนาง แต่นางหล่าก็ฮู้แก่ใจดีว่า เยื่อพรมจารีนางขาดแล้ว นางได้เสียสาวให้กับอ้ายหำน้อยที่กระท่อมน้อยปลายนา... 

และตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว คือดังฮวงข้าวตั้งท้องที่นางนำมาบูชาพระแม่โพสพในคืนนี้....				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงละไมฝน