23 ธันวาคม 2550 22:00 น.

ประทีปนี้ไม่มีวันดับ

ลุงแทน

ประทีปนี้ไม่มีวันดับ 
  
      เมื่อครั้งพุทธกาล มีหญิงขอทานชรานางหนึ่ง นางมักจะเฝ้าดูกษัตริย์ ราชบุตร และประชาชน นำของมาถวายแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวก ไม่มีสิ่งใดที่นางปรารถนายิ่งไปกว่าจะได้กระทำดุจเดียวกันนี้ แต่นางทำได้เพียงไปขอได้น้ำมันมาหน่อยหนึ่งเพื่อเติมประทีปได้ดวงเดียวเท่านั้น นางนำประทีปนั้นไปจุดถวายเบื้องพระพักตร์ พลางตั้งจิตอธิษฐานว่า
      “ข้าพเจ้าหามีสิ่งใดอื่นจะถวาย นอกจากประทีปดวงน้อย ด้วยทานครั้งนี้ในอนาคตกาลขอให้ข้าพเจ้าได้รับแสงสว่างจากประทีปแห่งปัญญาและขอให้สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากความมืดมน ให้สามารถช่วยชำระล้างบาปโทษทั้งมวลของส่ำสัตว์ และนำพาเขาเหล่านั้นไปสู่พระนิพพานด้วยเทอญ”
      ยามดึกคืนนั้น น้ำมันในประทีปทุกดวงต่างแห้งเหือดลงสิ้น แต่ประทีปของหญิงขอทานยังคงส่องสว่างอยู่จนรุ่งสาง เมื่อพระโมคคัลล์มาเก็บประทีป ก็ไม่เห็นเหตุว่า ทำไมประทีปน้อยดวงนี้จึงยังลุกโพลงอยู่ จึงพยายามเป่าให้ดับ แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรประทีปดวงนี้ก็หาดับลงไม่
      พระพุทธองค์ได้ทัศนาอยู่ จึงดำรัสว่า “โมคคัลลาน์...เธอปรารถนาจะดับประทีปดวงนั้นหรือ เธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ไม่เพียงแต่เธอจะไม่สามารถดับมันได้ แม้แต่เคลื่อนย้ายก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าเธอจะตักน้ำทั้งมหาสมุทรมารดราดก็ไม่มีทางจะดับมันลง น้ำในสายธารและทะเลสาบทั่วทั้งโลกก็ไม่อาจดับมันได้ ด้วยเหตุว่าประทีปนี้ได้ถวายด้วยแรงแห่งศรัทธาด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เจตนานี้ย่อมเป็นผลบุญอันไพศาล”				
23 ธันวาคม 2550 21:54 น.

รู้เขารู้เราฯ

ลุงแทน

รู้เรา รู้เขา ...ไม่เศร้า ไม่หมอง 
รศ.บุญนำ ทานสัมฤทธิ์ 
      “ปีหนึ่งผ่านไปไวจริงๆ” คนที่รู้สึกเช่นนี้ เขาว่ากันว่าเป็นคนมีความสุข
      ส่วนคนที่มีความทุกข์จะรู้สึกว่า วันเวลาผ่านไปช้าน่ารำคาญ...ไม่ว่าจะรู้สึกว่า วันเวลาผ่านไปเร็ว หรือ ช้า
      ไม่ว่าปุถุชนหรือกัลยาณชนหรือชนใดๆ ก็คงต้องเป็นไปตามธรรมดาของโลก
      ตามที่พ่อพราหมณ์สอนศรีสุวรรณในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีว่า
      “อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย”
      เรามักคิดกันว่า ที่รู้สึก สุข หรือโศก เพราะมีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม จากสังคมที่มีปัญหา
      ความยากจน ความฉ้อฉลทุจริต ยาเสพติดทุกชนิด... มลพิษในสิ่งแวดล้อม สมยอมต่อความไม่ถูกต้อง
      จ้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ขาดการปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณี
      ความเป็นมิตรไมตรีหายไป ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
      ภูมิปัญญาท้องถิ่นถูกละเลย เมินเฉยต่อคำสอนในศาสนา เกิดปัญหา สุขยาก ทุกข์ง่าย กันถ้วนหน้า
      สภาพแวดล้อมที่เป็นปัญหา ทำให้มีความทุกข์ คงจะเป็นจริงอยู่บ้างแต่ไม่ใช่จริงไปเสียทั้งหมด
      เราคงไม่อาจพึ่งพาใคร ให้ปรับสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่เราต้องการได้ทุกเรื่อง
      เราจะยอมแบกทุกข์อยู่อย่างนั้นหรือ ...เราจะยอมให้ความเศร้าหมอง ครองใจเราอยู่อย่างนั้นหรือ
      เราจะไม่หาทางสร้างสุข ปลดทุกข์ให้เบาบางลงด้วยตัวเราเองบ้างหรือ
      พุทธศาสนาสอนว่า สุข หรือ ทุกข์ ผ่องใส หรือเศร้าหมองขึ้นอยู่กับใจหรือจิตของเราเองทั้งสิ้น
      พระท่านสอนว่า “สุขหรือทุกข์ อยู่ที่ใจ มิใช่หรือ
ถ้าใจถือ ก็เป็นทุกข์ ไม่สุขใส
ถ้าไม่ถือ ก็เป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ
เราอยากได้ ความทุกข์ หรือสุขนา”
      คงไม่มีใครสักคน ที่ตอบว่า อยากได้ความทุกข์ ใจถือ คือใจที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งไปจนได้ทุกข์ ถ้าฝึกจิตหรือใจ ไม่ปรุงแต่ง ก็จะไม่ทุกข์มาก
      โชคดีที่มนุษย์ถูกฝึกได้ และฝึกตนเองได้
      ที่ปรึกษาของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ปฐมนิเทศสมาชิกพรรคเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า
      “การรณรงค์เลือกตั้ง ก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ต้องรู้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด”
      “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง”
      รู้เขา เอาชนะศึกภายนอกได้ แต่ชนะศึกภายในต้องรู้เราเสียก่อน
      รู้เรา คือ รู้อาการ ที่ทำให้จิตของเราไม่ผ่องใส
      พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสรผ่องใสแต่เศร้าหมองไป เพราะมีอุปกิเลสจรมา”
      อุปกิเลส เป็นอาการของจิต แจกแจงรายละเอียดกว่ากิเลส 3 กองใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง
รู้เรา ใครๆ ก็อยากทำได้ แต่ไม่ง่าย
รู้เรา มักรู้แต่เรื่องดีๆ ของเรา เรื่องเราที่ไม่ดีมักไม่รู้
      รู้เขา มักรู้แต่เรื่องไม่ดีของเขา เรื่องเขาที่ดีๆ มักไม่รู้ ถึงรู้ก็มักไม่พูดวงสนทนาในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในที่ทำงาน ในสังคม ไม่เว้นแม้แต่ในวัดมักพูดถึงคนนั้นคนนี้
      - พ่อคนนั้น แม่คนนี้ เป็นคนโลภ โมโหร้ายกาจ โกรธง่าย
      - อิจฉาริษยา ตระหนี่ขี้เหนียว มารยาสาไถย คุยโม้โอ้อวดดื้อรั้น ดึงดัน แข่งเด่นแข่งดี
      - มานะถือตน ดูหมิ่นเหยียดหยาม มัวเมาในลาภยศและประมาท เลินเล่อมักง่ายโทษสมบัติเหล่านี้มีทั้งหมด ๑๖ ประการ เรียกว่า อุปกิเลส
      - มีมากเท่าไร จิตก็ไม่ประภัสสรส่องสว่างมากเท่านั้น สว่างก็จะ
      - มองเห็นอะไรได้ มืดเกินไป จะมองอะไรเห็นมีแต่คนพูดถึงอาการคนอื่น ใครเคยได้ยินใครพูดอย่างนี้ บ้างไหม
ฉันเป็นคนขี้โลภ ฉันเป็นคนขี้โกรธ
ฉันเป็นคนขี้ตระหนี่ ฉันเป็นคนขี้อิจฉา
ฉันเป็นคนขี้โม้ ฉันเป็นคนขี้เมา
      อุปกิเลส ต้องเป็นอาการที่ไม่ดีแน่นอน เพราะเติม “ขี้” ไว้ข้างหน้าได้อย่างเหมาะเจาะ
      รู้ว่าอะไรไม่ดี ไปทู่ซี้ทำอยู่ทำไม
      รู้โลกภายนอกมามากมาย รู้โลกภายในกันบ้างหรือยัง
      พระท่านสอนว่า โลกภายนอก กว้างไกล ใครๆรู้
      โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
      อยากรู้โลก ภายนอก มองออกไป
      อยากรู้โลก ภายใน มองใจตน
      พระท่านไม่ได้สอนให้ท่องเท่านั้น แต่สอนให้ทำด้วยไม่ว่าปีหนึ่งจะผ่านไปไวหรือช้า ฝึกสติ ตั้งสมาธิ สร้างปัญญาใช้เมตตา ให้อภัย ใจบริสุทธิ์ หยุดคิดปรุงแต่ง
      เอาใจเขา มาใส่ใจเรา
      รู้เรา รู้เขา
      จักไม่เศร้า ไม่หมอง				
23 ธันวาคม 2550 09:26 น.

งบประมาณเลือกตั้ง ๕๐

ลุงแทน

งบประมาณเลือกตั้ง 50

การเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. 2550 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอของบประมาณการจัดเลือกตั้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ทั้งสิ้น 1,900 ล้านบาท

นอกจากนี้ กกต.ได้เสนอของบประ มาณเฉพาะส่วนการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อีก 500 ล้านบาท เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปจากรูปแบบภายใต้การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 คาดว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้งบประมาณสูงถึง 2.4 พันล้านบาท ซึ่งการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2544 มีการใช้งบประมาณไป 2.2 พันล้านบาท.

.......นี้คือเงินภาษีของพวกเราทุกคน  จงรักษา(ลประโยชน์ โดยออกไปใช้สิทธิ์เลือกคนที่ชั่วน้อยที่สุด  และมองห่คนที่คิดว่าดี  เข้าสภา				
20 ธันวาคม 2550 21:14 น.

มีพ่อจนๆ น่าอายนักหรือ???????

ลุงแทน

มีพ่อจนๆนี่มันน่าอายมากเลยหรือ?

มีพ่อจนๆนี่มันน่าอายมากเลยหรือ ?
วันนี้เลิกงานเร็วเลยพาพี่นุ่มไปซื้อของใช้ที่ห้างแห่งหนึ่ง รอต่อแถวจ่ายตังค์นานเลย เจ้านุ่มก็เริ่มงอแงๆ ง่วงนอน สังเกตุว่าคิวด้านหน้าเรามากันเป็นครอบครัว มีพ่อแม่ลูกสาววัยประมาณเจ้านุ่ม แล้วก็ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง ที่หนูน้อยเรียกว่า"ปู่" คุยกันยิ้มแย้มแจ่มใสดี  ซื้อของใช้ล้นตระกร้าเชียวค่ะ

พอแคชเชียร์คิดเงินของครอบครัวนี้จนเสร็จได้ยินคร่าวๆว่า "ทั้งหมดพัน(กว่าๆ)บาทค่ะ...." ผู้เป็น"ปู่" เป็นคนเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเก่าๆ จะจ่ายเงิน พร้อมทำท่าอ้ำอึ้ง  มีลูกชายลูกสะใภ้จ้องตาเขม็ง หุบยิ้มทันที

" ว่าไงพ่อ จ่ายเค้าไปสิ" ลูกชายบอก คุณปู่ยังทำท่าอ้ำอึ้ง

"ไหน ดูหน่อย มีตังค์เท่าไหร่" คุณปู่ยื่นกระเป๋าตังค์ให้ดูข้างใน

" อ้าว ไหนว่ามีตังค์เยอะไง แล้วแบบนี้จะชวนมาซื้อของทำไม ไม่มีตังค์จ่ายก็ไม่บอก อายเค้าจริงๆ " ลูกชายลูกสะใภ้พากันมองคุณปู่ด้วยสายตาที่เหมือนดูถูก...รำคาญ

ในที่สุดเค้าก็พากันทำสิ่งที่เราไม่อยากจะเชื่อสายตา คืออุ้มลูกเดินหนีไปเลย พร้อมกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่สนใจลูกสาวที่ร้องว่า "ปู่ๆๆๆ ปู่มาด้วย"

คุณปู่ยืนคอตก หน้าเศร้าอยู่หน้าแคชเชียร์ พอเด็กถามว่าจะเอายังไง คุณปู่เปิดกระเป๋าตังค์ให้เด็กดู แล้วบอกว่าให้คิดเงินตามนี้ ได้ของเท่าไหร่เท่านั้น (เด็กนับแล้วมีแปดร้อยบาทค่ะ)

ระหว่างรอแคชเชียร์คิดเงินใหม่ ได้ยินคุณปู่เล่าว่า แกบ้านอยู่ต่างอำเภอห่างไปเป็นร้อยกิโล ลูกหลานไม่ไปหานานแล้ว แกจึงตัดสินใจรวบรวมเงินทั้งหมดที่มีนั่งรถเข้ามาเยี่ยมลูกหลานในเมือง แล้วชวนออกมาซื้อของ ลูกแกก็ไม่ถามสักคำว่าเงินมีเท่าไหร่ หยิบของเอาๆ แกก็ไม่เคยรู้ราคาของ เพราะอยู่บ้านนอกก็ซื้อร้านของชำทีห้าบาทสิบบาท ใครจะจะรู้ว่าของในห้างใหญ่เค้าซื้อกันทีละเป็นพัน

เราจ่ายเสร็จเห็นคุณปู่ยังเดินเคว้งอยู่แถวๆนั้น ก็เลยถามแกว่าจะกลับยังไง แกบอกว่าพอขึ้นรถกลับเป็น ( อ้าว แล้วตังค์ล่ะ เมื่อกี้เห็นจ่ายไปหมดแล้วนี่นา ) แต่ก็ยังลังเลอยู่ กลัวลูกกลับมาตามหาแล้วไม่เจอ มือถือก็ไม่รู้เบอร์

เลยตัดสินใจพาคุณปู่ไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ประกาศหาลูกค่ะ จากนั้นเราบอกให้รอสักพัก ถ้าลูกไม่มาจริงๆ ให้ไปขึ้นรถที่คิวรถ( ฝากเด็กที่ปชส.ค่ะ ว่าให้ย้ำคุณปู่อีกที) พร้อมกับให้เงินแกเป็นค่ารถไว้ค่ะ จริงๆอยากรอดูสักพัก แต่เจ้านุ่มไม่ไหวแล้วค่ะ งอแงเหลือเกิน

คุณปู่น้ำตาคลอบอกเราว่า "มันคงไม่ทิ้งปู่จริงๆหรอกนะ นี่ก็ได้ของไปเยอะเหมือนกันถึงจะซื้อได้ไม่หมดก็เถอะ นี่มันไม่เคยกลับไปหาปูเลย ก็เพราะปู่มันจน ไม่มีสมบัติอะไรให้"  เราปลอบใจแกไปบอกว่าเดี๋ยวเค้าคงกลับมาน่ะ คงเดินไปดูอย่างอื่นก่อน

เดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยค่ะ หันหลังกลับไปมองเห็นคุณปู่ยังยืนคอตกที่เดิม ในใจคิดวนเวียนตลอดเวลา

.... นี่เค้าทำแบบนี้กับพ่อตัวเองได้ยังไงนะ ...

... พ่อไม่มีตังค์พอเนี่ย มันผิดด้วยหรือ? เค้าไม่รู้หรือไงว่า เงินเท่านี้อาจจะเป็นเงินที่คุณปู่เก็บมาทั้งชีวิตก็ได้ (คนชนบทจะไปหาเงินจากไหนล่ะ?) ...

...แล้วเค้าจะสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่ได้อย่างไร ก็ทำพฤติกรรมแบบนี้กับพ่อตัวเองให้ลูกเห็น....

จริงอยู่ พื้นฐานครอบครัวนี้อาจจะมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้ แต่เป็นเรา เราคงไม่มีวันทอดทิ้งพ่อให้ได้รับความเจ็บปวดอับอายจากการที่ไม่มีเงินซื้อของให้ลูกหลานได้พอแบบนี้หรอก เป็นเรา เราคงบอกพ่อว่า " ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ กลับบ้านเราเถอะ"

 
 
......ลุงแทนเห็นว่ามีสาระบ้างไม่มากก็น้อย  เลยเอามาฝากเพื่อนๆ ทุกท่าน				
20 ธันวาคม 2550 19:49 น.

ในหลวงของเรา

ลุงแทน

เรื่องของ             ในหลวง             ที่เรา     (       อาจ     )       ไม่เคยรู้


บทความ เกร็ดความรู้ เรื่องของ ในหลวง ประวัติในหลวง รูปในหลวง ที่เรา ( อาจ ) ไม่เคยรู้ เป็น บทความ เกร็ดความรู้ เกี่ยวกับ ในหลวง ตั้งแต่เมื่อทรงพระเยาว์ พระอัจฉริยภาพ ในหลวง งานของในหลวง ของทรงโปรด ในหลวง และเรื่องส่วนพระองค์ … อ่าน บทความ เกร็ดความรู้ เรื่องของ ในหลวง ที่คุณอาจไม่เคยรู้ ที่นี่ค่ะ


เมื่อทรงพระเยาว์

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3.พระนาม "ภูมิพล" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol"หมายเลขประจำตัว 449

7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า "แม่"

8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"

12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว

14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก "การให้" โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า "กระป๋องคนจน" เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก "เก็บภาษี" หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า "ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"

17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

พระอัจฉริยภาพ

19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก "การเล่น" สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์

21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ "แสงเทียน" จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง "เราสู้"

26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง "นายอินทร์" และ "ติโต" ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ "พระมหาชนก" ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์") ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536

33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

เรื่องส่วนพระองค์

35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า"น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

37. หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน

38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง

45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้

51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า "ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ

53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด

54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย

56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

รู้หรือไม่ ?

65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง

66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน

67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า "ทำราชการ"

68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก"

70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน

74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระเกษมสำราญ มีพระพลานมัยแข็งแรงสมบูรณ์ มีพระชนม์ยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ตลอดกาลนานเทอญ . ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ... ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงแทน