19 มกราคม 2554 01:42 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 3 * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ



วันอังคาร ที่ 18 มกราคม 2554

วันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ เปลี่ยนชื่อเป็น  ฐิติรัตน์  :  ชีวิตที่ประเสริฐ    ได้ชื่อเล่นใหม่  :  ปัฐ  :  มีอายุยืนยาว เป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น

เกิดวันอังคาร  ที่ 18  มกราคม  เวลาบ่าย 3 โมง  ปีกระต่าย   หนูหิ่ง ฯ สงสัยว่าพระที่ทำพิธีสวดจะตั้งให้ค่ะ

เช้านี้หนูหิ่ง ฯ ต้องไปรับยาที่อินทราทัวร์  เมื่อวานนี้ให้ตุ่นไปซื้อส่งมาให้  เป็นยาที่หายากจริง ๆ 

ทั้งประเทศมีขายแค่ 3 ที่เท่านั้น  หนูหิ่งก็เลยสั่งมา 5 กล่อง ๆ ละ 850.-  วันนี้เย็น ๆ จะไปโอนตังค์ให้ตุ่น

ยานี้หนูหิ่ง ฯ รู้มาจากพี่อรัญ  เป็นลูกค้าอยู่ จ.ตราด  พี่เขาบอกว่าพี่ชายเขาก็เป็นมะเร็ง  มีคนแนะนำให้กินยาตัวนี้

แล้วพี่ชายเขาไม่มีอาการเจ็บปวดเลย  จนกระทั้งเสียชีวิต  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยขอให้แกไปหาชื่อยามาให้

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็หาข้อมูลของยาทางอินเตอร์เน็ท  ท้ายที่สุดก็ต้องโทร.ไปถามที่กรมราชองครักษ์  

พี่ที่รับโทรศัพท์ชื่อพี่อำนาจ  ใจดีมาก ๆ เลย  อาสาจะซื้อส่งทางไปรษณีย์ให้ด้วย  แต่หนูหิ่ง ฯ ต้องการด่วนที่สุด

ก็เลยบอกพี่เขาว่าจะให้เพื่อนไปซื้อวันจันทร์แล้วส่งรถทัวร์  เช้าวันอังคารก็มาถึง

ยาตัวนี้ชื่อว่า  ยาประดง  เป็นยาแผนโบราณ  แก้น้ำเหลืองเสีย  ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเลย

แต่ไม่เป็นไร  ตอนนี้ที่ต้องการก็คืออยากให้พี่ปัฐหายจากอาการปวดและทรมาณเท่านั้น  ถ้าจะไปก็ไปอย่างสงบ  อย่าได้ทรมาณเลย

พี่ซิงตื่น 05.30  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาบน้ำ - สระผม  แล้วก็ไปรับยา  แล้วก็เลยไปซื้อโจ๊ก - ต้มเลือดหมู  แล้วก็ซื้อกับข้าวไปใส่บาตร

กลับมาถึงโรงบาล 07.00 น.  พี่โหย่งมาถึงแล้ว  พี่ปัฐตื่นแล้ว  ก็เลยให้ล้างหน้าแปรงฟันที่เตียง

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็บอกแกว่าหนูหิ่ง ฯ ไปใส่บาตรมา  เดี๋ยวเรามากรวดน้ำด้วยกันนะ  ให้พี่พูดตามหนูนะ  พูดในใจก็ได้  (แกไม่ค่อยมีแรงพูดค่ะ)

หนูหิ่ง ฯ จับมือซ้ายพี่สาวถือขวดน้ำ  แล้วก็เอาถ้วยมารอง  มือขวาให้พี่สาวแตะที่เตียงใต้ถ้วยรอง

" อิทังเมโหตุสุขิตาโหตุญาตโญ "

" ข้าพเจ้านางฐิติรัตน์  สิมะนราธร  ขออนุญาตพระแม่ธรณี พระแม่คงคา  กรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลที่น้องสาวข้าพเจ้าได้ตักบาตรแทนในวันนี้

ขอผลบุญกุศลนี้ส่งไปถึงผู้มีอุปการะคุณที่ท่านตลอดจนเจ้ากรรมนายเวร  ทุกองค์  ทุกท่าน  ทุกผู้  ทุกตัว  ทุกตน  ไม่ว่าจะอยู่ในภพ - ภูมิใด ๆ

เมื่อได้รับแล้วขอให้ทุกท่านมีความสุขกายสบายใจปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แล้วก็อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าที่เคยล่วงเกินไว้

ไม่ว่าจะโดยทางกาย - วาจา - ใจ  ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ  ขอให้หมดเวร - หมดกรรมต่อกันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

และขอให้ข้าพเจ้าหายจากการเจ็บป่วยในครั้งนี้ด้วยเทอญ  สาธุ "

เสร็จแล้วหนูหิ่ง ฯ ก็นำไปกรวดต่อที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงบาล  โทร.หาเจิน เจิน  ให้รีบมาไม่ต้องแวะที่ไหน  แล้วก็ซื้อถุงมือไซค์ S

กับแพมเพิร์สผู้ใหญ่ไซค์ L มาด้วย  เจิน เจิน บอกว่าจะแวะไปที่ปั้ม (พี่ปัฐเปิดปั้มน้ำมันอยู่อ.จอมทองค่ะ) เพื่อเอายาสมุนไพรมาให้กิน

หนูหิ่ง ฯ บอกว่าไม่ต้องแวะ  เพราะว่าตอนนี้แม่ไม่กินอะไรสักอย่าง  ซื้อของแล้วก็รีบมาให้ไว  ก่อนน้าหิ่ง ฯ จะมีมะโห  ^__^

ขึ้นมาที่ห้องหนูหิ่ง ฯ ก็กินโจ๊กเปล่า ๆ กับน้ำพริกของแม่  เพราะเดือนมกราคมของทุกปีหนูหิ่ง ฯ จะกินเจ หรือมังสวิรัติ  

เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนเกิด  แล้วก็จะกินเจจริง ๆ  (ไม่ใช่มัง ฯ) ในช่วงเข้าพรรษาจนกระทั่งออกพรรษา

เสร็จแล้วก็หายาของตัวเองมากิน  จริง ๆ แล้วกินยาก็เกือบอิ่ม  ก็เลยต้องกินข้าวแต่น้อย ๆ (เป็นการลดความอ้วนไปในตัว  ^__^)

ส่วนพี่ซิงก็ชงโปรตีนผสมน้ำเต้าหู้  และยาประดงไปให้พี่ปัฐกิน  แต่พี่หลั่งไม่ยอมกินยา  กินแต่น้ำเต้าหู้

แล้วหมอก็มาดู  ก็ไม่มีอะไร  ดู ๆ ไปตามหน้าที่ค่ะ  เพราะคงไม่ทำอะไรมากไปกว่าการฉีดยาระงับปวด

ประมาณ 11.00 น.  หลานเจิน เจินกับเหลนน้อยหวา หวา ก็มา  พี่ปัฐตื่นอีกครั้ง  (จริง ๆ แล้วไม่รู้ว่าหลับหรือตื่น  เพราะแกหลับตาเกือบตลอดเวลา)

หนูหิ่ง ฯ เข้าไปจับมือไว้  แกถามว่าจะกลับเมื่อไหร่  หนูหิ่ง ฯ บอกแกว่าไม่ไปแล้ว  ตอนนี้จะอยู่นี่ตลอดไป  กลับมาบ้านมาเกาะพี่สาวกินดีกว่า

ไปทำงานไกลบ้านเหนื่อยก็เหนื่อย  ข้าวก็ไม่ค่อยได้กิน  อยู่นี่ได้กินทุกอย่าง  น้องตัวเล็กนิดเดียวเลี้ยงได้ไหม ?  

พี่ปัฐ....ยิ้มแล้วก็พยักหน้า  ^__^  (ค่อยยังชั่ว.... มีคนเลี้ยงแล้ว)

พี่โหย่งก็เลยแหย่ว่า.... หนูหิ่ง ฯ เกาะพี่สาวกิน  แต่กอ (พี่ชาย) เกาะเมียกิน  เพราะตอนนี้มาอยู่กับพี่ปัฐก็เลยไม่ได้ทำงาน  ^__^

ประมาณเที่ยงเศษ ๆ พี่ซิ  พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะใภ้ก็มาเยี่ยม  ดีจัง  มีหมอนวดมาเพิ่มอีกแล้ว  จะได้แอบงีบ  (พี่โหย่งบอกว่า....นิสัยดีน่าดู  ^__^)

พี่สะใภ้แอบมาถามว่า.... ผลตรวจชิ้นเนื้อเป็นไงบ้าง  หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่า.... ไม่เป็นไร  สบายมาก  ระดับนี้แล้วไม่เป็นไรหรอก  ^__^
 
พี่สะใภ้คนนี้นิสัยใจอ่อน  ขึ้แยสุด ๆ ขืนบอกความจริงมีหวังช็อค  แล้วก็คงจะช็อคกันไปทั้งครอบครัว  สักพักพี่ซิกับพี่สะใภ้ก็กลับขึ้นดอย

ก่อนบ่ายโมงเล็กน้อย  พี่ปัฐทำหน้านิ่ว  แล้วบอกว่าปวดจัง....ปวดจังเลย....  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่าปวดที่ไหนเจ้  ปวดที่ไหนจ้ะ

แกบอกว่าปวดไปหมด  ปวดทั้งตัว  หนูหิ่ง ฯ จึงหลอกล่อให้แกกินยาประดง  จะได้หายจากการเจ็บปวด

ไม่ทราบว่าเป็นผลของฤทธิ์ยาหรือเปล่า  ทำให้แกหลับไปอย่างไม่กระวนกระวาย  ดีจังเลย  ^__^

แล้วเจิน ๆ กับหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปเซ็นทรัลกัน  หนูหิ่ง ฯ อุ้มเหลนน้อยหวา หวาไปด้วย  เหลนน้อยทำหน้าตาบ้องแบ๊ว  ดูนั่นดูนี่ไม่งอแงเลย

ไปได้ DVD VIDEO บทสวดมนต์คาถาพาหุง  มหาการุณิโก  ของหวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม  :  เล่าถึงที่มาของคาถาพาหุง ฯ

มีบทสวดขึ้นเป็นตัวอักษรพร้อมสวดตาม  (หลวงพ่อจรัญ  ณ วัดอัมพวัน  อ.พรหมบุรี  จ.สิงห์บุรี)  มาเปิดให้พี่ปัฐดู + ฟัง

แต่ก็ยังไม่ได้เปิดเพราะพี่ปัฐหลับ  ตื่นเป็นบางครั้งตอนผู้ช่วยพยาบาลมาวัดความดัน ฯ วัดไข้  ดีจังรู้สึกเหมือนแกไม่ค่อยทรมาณ  ^__^

บ่าย 3 โมงหนูหิ่ง ฯ ง่วงมาก  ก็เลยบอกพี่โหย่งว่าจะนอนนะ  ส่วนพี่ซิงกลับไปทำอาหารเย็นที่บ้านค่ะ

เพิ่งปูผ้าที่พื้น  วางหมอน  ห่มผ้าล้มตัวลงนอน  พี่โหย่งก็เรียก  ปรากฎว่าพี่ปัฐขอกอดหน่อย  พี่โหย่งกับหนูหิ่ง ฯ ก็เลยจับมือไว้คนละข้าง

แล้วก็ก้มลงไปกอดแกคนละข้าง  สบตากันแล้วต่างคนต่างทำตาแดง ๆ แล้วก็หันไปทางอื่น  ไม่งั้นน้ำตาไหลทั้งคู่

พี่ปัฐถามว่าซิงไปไหน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่ากลับไปทำกับข้าวที่บ้าน  จะได้มีกับข้าวอร่อย ๆ กินนะ  แกก็พยักหน้าเข้าใจ

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เลยนั่งจับมือพี่ปัฐ....ฟุบอยู่ข้างเตียงนั่นเอง  *__~

หลังจากที่กินยาประดงไป  รู้สึกว่าพี่ปัฐจะไม่กระวนกระวายจากการเจ็บปวดทรมาณเท่าไหร่นัก  ดีจังเลย.....

เวลาพี่ปัฐตื่น  หนูหิ่ง ฯ กับพี่โหย่งก็พยายามจะให้แกกินยาประดงอีก  แต่หลอกล่อยังไงก็ไม่ยอมกินสักที  ไม่รู้จะทำยังไง.... ?

จนกระทั่งพี่ซิงนำอาหารมาถึงประมาณหนึ่งทุ่ม  ไม่รู้ว่าทำยังไง  พี่ปัฐยอมกินยา  ดีจังเลย  ^__^  หวังว่าคืนนี้แกคงจะหลับสบาย  ^__^

พี่ปัฐก็บอกว่า  ซิงกอดหน่อย  ซิงกอดหน่อย  (แกจะพูดซ้ำ ๆ อาจจะเพราะกลัวพวกเราไม่ได้ยิน)  พี่ซิงก็ไปกอดแกบนที่นอน

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยแซวแกว่า.... พี่ปัฐลำเอียงนี่นา  หนูอยู่ทั้งวันกอดหนูนิดเดียวเอง  ไม่ยอม  ไม่ยอม  ต้องกอดหนูใหม่นะ  พี่ปัฐก็ยิ้มแบบขำ ๆ ท่าทางอารมย์ดี

เวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็ทำเหมือนคืนก่อน คือ อาบน้ำแล้วก็นอนก่อนพี่ซิง  ไว้รอเปลี่ยนตอนดึก ๆ ..................

ตื่นอีกทีเที่ยงคืนพอดี  เพราะได้ยินเสียงพี่ปัฐเรียกซิง ซิง  พี่ซิงก็ขานอยู่บนโซฟาแล้วสบตาหนูหิ่ง ฯ บอกว่าคืนนี้ดูแกไม่ค่อยปวดเท่าไหร่  ดีจัง  ดีจัง  ดีจัง

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ลุกมาเฝ้าพี่ปัฐ  คงเฝ้าถึงเช้าเหมือนเดิม  คืนนี้ดูแล้วพี่ปัฐไม่กระวนกระวาย  ไม่บ่นว่าปวดจังเลย....เหมย  ปวดจังเลย....ให้ได้ยิน  ดีจังเลย  ดีจัง  ดีจัง  ^__^

พรุ่งนี้กลางวันถ้าหลานมาเยี่ยมหนูหิ่ง ฯ จะกลับบ้านสักพัก....ไม่ได้ซักผ้าเลย.



ถ่ายรูปกับกำลังใจของหนูหิ่ง ฯ  เหลนน้อยหวาหวา  อายุ 5 เดือนค่ะ

				
18 มกราคม 2554 02:26 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 2 * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


วันนี้วันจันทร์ ที่ 18 มกราคม 2554

เมื่อคืนต้องตื่นทั้งคืน  เพราะพี่สาวเรียกให้ช่วยพาแกลุกนั่ง  แล้วก็ต้องคอยนวดขา นวดแขนให้แก

เมื่อวันอาทิตย์เช้า  เป็นวันแรกที่หนูหิ่ง ฯ นวดให้  พี่สาวจะบอกว่านวดแรง ๆ เหมย (น้อง) หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเปลี่ยนวิธีนวด

จากสองแขนขนานกัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เปลี่ยนเป็น 2 แขนกำรอบแล้วก็บีบเข้าหากัน  อาจจะเป็นเพราะเท้าแกใหญ่  และบวม

มือหนูหิ่ง ฯ ก็เลยกำได้ไม่รอบ  จึงต้องใช้วิธีนี้แทน  พี่ซิงก็เลยแซวว่า  หัดนวดให้เป็นนะ  ถ้านวดไม่เป็นจะถูกไล่กลับบ้าน  ^__^

จริง ๆ แล้ววันนี้หนูหิ่ง ฯ คิดว่าจะกลับไปนอนกลางวันที่บ้าน  เพราะว่ากลางวันมักจะมีญาติ ๆ คนอื่นมาเยี่ยม  จะนอนไม่ได้

แต่พยาบาลบอกว่า  วันนี้จะมีหมอมาเยี่ยมดูอาการ 3 ท่านด้วยกัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่กลับ  แล้วก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย.....

เช้าวันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็เลยมีหมอนวดประจำตัวถึง 2 คน  มีหนูหิ่ง ฯ กับพี่ชายคนเล็ก  พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบให้พี่คนนี้นวดมาก

เพราะเขานวดกันมาก่อนหน้าที่หนูหิ่ง ฯ จะกลับเชียงใหม่  พี่โหย่งรักพี่สาวคนนี้มาก  ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล  ก็จะมาหาทุกวัน

แล้วก็อยู่จนค่ำหรือดึกค่อยกลับบ้าน  หนูหิ่ง ฯ ถามว่าช่วงนี้ไม่ทำอะไรหรอ  พี่โหย่งบอกว่าไม่ทำ  ช่วงนี้เกาะเมียกิน  นั่น  ! เป็นงั้นไป

จริง ๆ แล้วช่วงนี้แกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรมากกว่า  เพราะปรกติแกจะไปเหมาผักตามสวน  หรือไม่ก็รับจ้างบรรทุกผัก

แล้วก็ทำสวนเองด้วย  แต่ช่วงนี้พี่โหย่งไม่ทำอะไรเลย  มาเฝ้าพี่สาวทุกวัน  พี่โหย่งมือใหญ่ด้วยเขาก็เลยนวดได้น้ำหนักพอดี ๆ แบบรู้ใจกัน

เวลาประมาณ 9.00 น.  หมอเจ้าของไข้ยังไม่มา  แต่เป็นหมอที่ช่วยดูเกี่ยวกับโรคตับ  หมอจะถามพี่สาวว่าเจ็บตรงไหน  เจ็บยังไง

พี่สาวจะบอกต่อว่า  " โหย่ง บอกหมอทีว่าพี่เจ็บตรงไหน "  บอกด้วยเสียงค่อย ๆ  หมอก็มองหน้างง ๆ พี่โหย่งก็เลยชี้แถว ๆ กระดูกสันหลังด้านซ้าย

แล้วบอกคุณหมอว่า  " แกเคยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามว่าเจ็บตรงไหนให้ชี้บอกหมอ "  หนูหิ่ง ฯ คิดว่าเป็นเพราะแกเอื้อมมือไปชี้ไม่ได้

แกก็เลยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามให้บอกแทนที   หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่าพี่สาวบ่น ๆ เจ็บช่วงท้อง  แล้วก็หูอื้อ

คุณหมอก็เลยกดดูที่ท้องแล้วก็ถามว่า  เจ็บยังไง  เจ็บหน่วง ๆ หรือเจ็บปวด ๆ อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ  แกก็บอกว่าไม่เข้าใจ

เวลาที่คุณหมอคุยกับพี่สาว  จะคุยเสียงดัง  เพราะคิดว่าแกไม่ได้ยิน  แต่หนูหิ่ง ฯ คิดว่ายิ่งคุณหมอเสียงดัง  มันจะไปสะท้อนในหูของแก

หนูหิ่ง ฯ ก็จะคอยบอกที่ริมหูของพี่สาวอีกที  แล้วก็ถามใหม่  พยายามหาคำถามที่คิดว่าแกจะเข้าใจ  เพราะบางทีคุณหมอถามแกจะงง ๆ 

เช่น  หูอื้อยังไง ลมออกหูหรือเปล่า แกก็ไม่เข้าใจ  คงคิดว่าหูอื้อก็คือหูอื้อ  ทำไมต้องถามว่าอื้อยังไง  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องบอกแกว่า  หูอื้อแบบลมออกหูหรือเปล่า

คล้าย ๆ เวลานั่งเครื่องนาน ๆ เราต้องเอามือมาปิดจมูกแล้วหายใจออกแรง ๆ ลมก็จะสะท้อนออกหู  แล้วเราก็จะรู้สึกดีขึ้น  แกก็เลยพยักหน้า

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่า  น่าจะเป็นเพราะพี่สาวไม่ได้กินอะไร  กินแต่น้ำถั่วเหลือง+รังนก  ก็เลยหูอื้อ  เพราะหนูหิ่ง ฯ ก็เคยเป็น

คุณหมอก็เลยเรียกพี่ชายไปปรึกษาข้างนอก  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอยู่กับพี่สาว 2 คน  ส่วนพี่ซิงกลับไปทำธุระที่ออฟฟิท  แล้วไปเอาของที่บ้าน

พี่สาวบอกว่าช่วยพาตะแคงหน่อย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปอยู่อีกด้านที่แกจะตะแคงไป  แล้วก็เอื้อมมาโอบฝั่งตรงข้าม  ดึงเข้าหาตัว  ก็ช่วยให้แกตะแคงได้ครั่งเดียว

ส่วนตรงเอวไปถึงเท้าไม่ได้ตะแคง  เพราะถ้าเทียบกันแล้วตัวแกใหญ่กว่าหนูหิ่ง ฯ มาก  ก็เลยได้แค่นี้  หนูหิ่ง ฯ ก็โอบกอดแกไว้  ถ้าปล่อยแกจะพลิกคืน

เวลาพลิกตัวแรง ๆ จะเจ็บ  บางทีพลิกค่อย ๆ ก็ยังเจ็บอยู่ดี  ต้องคอยสังเกตสีหน้าตลอดเวลา  ก็จะพอรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง

สักพักพี่สาวก็บอกว่า  นอนเหมย นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้เอนนอนลงไป  สักพักแกก็บอกว่าเหมยพลิกตัว พลิกตัว  หนูหิ่ง ฯ ก็ไปอยู่อีกด้าน

เอื้อมมือไปโอบช่วงไหล่  แล้วก็ดึงแกเข้ามากอดไว้ในท่าตะแคงครึ่งเดียว  แล้วพี่สาวก็บอกว่าปวดจังเลยเหมย....ปวดจัง  หนูหิ่ง ฯ ไม่รู้จะทำยังไง

ก็ได้แต่ลูบหลังให้แก  แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา  ไม่ได้ตั้งใจจะร้อง  ไม่อยากร้องเลย  เพราะกลัวแกเห็น  กลัวคนอื่นเข้ามาเห็น

น้ำตายังไม่หยุดไหล....  สักพักแกก็บอกว่านอนเหมย.... นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าเจ้หลับตานะ  หลับตาไว้นะ  แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ปล่อยแกนอน

แอบนั่งยอง ๆ แล้วก้มหน้าเช็ดน้ำตาใต้เตียงแกจะได้ไม่เห็น  แล้วพี่ชายหนูหิ่ง ฯ ก็เข้ามา  แกเห็นหนูหิ่ง ฯ ร้องไห้  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าพี่สาวบ่นเจ็บ

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ  ทาแป้งเด็กกลบร่องรอยการร้องให้  พี่ชายบอกว่าหมอจะให้ไปอัลดร้าซาวด์เวลาบ่าย 2 เพื่อจะดูว่าตับเป็นยังไงบ้าง

สักพักพี่เขยหนูหิ่ง ฯ อยู่ อ.จอมทอง ก็มาถึง  หนูหิ่ง ฯ สวัสดีแล้วยิ้มให้  แต่พี่เขยไม่ยิ้มเลย  ดูผอมไปด้วย  หลานฟางทำโซชิฝากมาให้กิน  พร้อมกับน้ำเก็กฮวยแก้วใหญ่ ๆ

วันนี้ครบ 7 วันของการทำพิธีอะไรสักอย่าง  ที่หนูหิ่ง ฯ บอกว่าให้ใส่เสื้อดำ  แล้วก็ให้คนที่มีนักษัตรดวงเป็นศัตรูกันในแต่ละวันมาผูกข้อมือเรียกขวัญให้น่ะค่ะ

ก็จะมีมะพร้าวแก่ 2 ลูก  เสื้อสีชมพู 2 ตัว  ด้ายสีแดง 1 ถุง  และกาละมัง จะทำการถอดเสื้อดำ  แล้วใส่เสื้อใหม่ตอนบ่ายโมง

พี่สาวบอกไม่ให้ใช้กาละมังของโรงบาล  เพราะไม่สะอาด  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกแกว่าไม่เป็นไร  เดี๋ยวจะไปซื้อให้ใหม่

สักพักหมอเจ้าของไข้ก็มาตรวจ  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินจากโรงบาลไปเซ็นทรัล  ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง  เดินไปดูที่ท็อป  มีใบเล็ก ๆ สีดำ  

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องไปดูฝั่งเซ็นทรัลที่ชั้น 3  ก็ได้ใบสีครีมมา 1 ใบ  จริง ๆ แล้วอยากได้สีชมพู  หรือขาว  แต่ไม่มีค่ะ  หนูหิ่ง ฯ ได้ส่วนลด 10 % ด้วย  เพราะไม่ใส่ถุง

พนักงานขายบอกว่าช่วงนี้ที่ห้างมีโครงการลดภาวะโลกร้อน  โดยไม่ใส่ถุง  เพราะกาละมังใบใหญ่  ต้องใช้ถุงใหญ่  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าดีจังค่ะ  หนูถือไปได้โรงบาลอยู่ตรงนี้เอง

ได้ส่วนลดตั้ง 10 % แถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีก  ได้กำไรหลายต่อนะเนี่ย  ^__^  หนูหิ่ง ฯ เดินกลับถึงโรงบาลบ่ายโมงพอดี  แม่หนูหิ่ง ฯ ก็มาถึงแล้ว

พี่เขยก็ให้แม่เป็นคนทำ  โดยการถือลูกมะพร้าว 1 ลูก  นำไปวนรอบศรีษะพี่สาว  วนไปทางซ้าย 2 รอบพร้อมทั้งอธิฐานว่าให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง

แล้วก็ส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำมะพร้าวใส่ในกาละมัง  ส่วนแม่ก็นำมะพร้าวอีกลูกหนึ่งวนรอบศรีษะพี่สาวไปทางขวาอธิฐานเหมือนเดิม

แล้วส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำออกมาใส่ในกาละมัง  แล้วก็ให้แม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของหนูหิ่ง ฯ ซับน้ำมะพร้าวแล้วก็เช็ดจากหน้าผากไปด้านหลัง 2 ครั้ง

พร้อมทั้งอธิฐานให้หายจากการเจ็บป่วย  เช็ดจากด้านหลังมาทางหน้าผาก 2 ครั้ง  อธิฐานเหมือนเดิม  แล้วก็ใส่ผ้าไว้ในกาละมัง

พี่เขยตักน้ำมะพร้าวให้พี่สาวบ้วนปากทิ้ง 2 ครั้ง  ให้แกอธิฐานว่าขอให้หายจากการเจ็บป่วยทั้งภายในและภายนอก  

เสร็จแล้วก็ถอดเสื้อดำออกไปใส่ไว้ในน้ำมะพร้าว  นำกรรไกรตัดด้ายดำที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง  ใส่รวมกันไว้ในน้ำมะพร้าว  

แล้วก็ให้แม่นำด้ายแดงมาผูกเรียกขวัญที่คอและข้อมือทั้ง 2 ข้าง  วันนี้เป็นวันที่นักษัตรปีวอก  กับปีเสือไม่ถูกกัน  พี่เขยหนูหิ่ง ฯ เกิดปีวอก

วอกออกหากินตอนกลางวันก็เลยผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางวัน  ส่วนพี่ซิงเกิดปีเสือ  ต้องผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางคืน  

สำหรับสิ่งของที่อยู่ในน้ำมะพร้าวก็ช่วยกันซับน้ำมะพร้าวในกาละมังจนหมด  พี่เขยเทใส่ถุง  แล้วบอกว่าจะนำไปใส่ไว้ในโลงกระดาษสีดำ

แล้วให้น้าที่เป็นหนาน  (คนเคยบวชเรียนค่ะ) ไปทำพิธีสวดเป็นเวลา 7 วัน  โชคดีที่ช่วงนี้หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ มีพระสงฆ์จากหลาย ๆ ที่ไปเข้ากรรมฐาน

วันนี้วันที่ 17 ตอนเย็นจะเป็นวันแรกของพิธีกรรม  รวมทั้งหมด 9 วัน  มีจำนวนพระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มากว่า 80 รูปแล้วค่ะ  

ปีนี้เยอะกว่าทุก ๆ ปี  คาดว่าน่าจะมากันเกินกว่า 100 รูปในตอนเย็น

ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ เป็นเจ้าภาพน้ำดื่ม - กาแฟ และผ้าห่มทุกปี  ส่วนเจ้าภาพเรื่องอาหารก็ช่วย ๆ กันหลายหมู่บ้านค่ะ  แม่บ้านนุ่งขาว  ไปช่วยกันทำอาหาร

ตอนเย็นหลาย ๆ คนก็นุ่งขาวไปปฏิบัติธรรมและนอนที่รวมกันที่ศาลา  ช่วงนี้อากาศเย็นมาก  มากันเยอะแบบนี้ไม่รู้ว่าผ้าห่มจะพอหรือเปล่านะ

ปีที่ผ่านมาหลานหนูหิ่ง ฯ ถักหมวกสีจีวรพระไปถวาย  ปีนี้ไม่ได้ทำเพราะหลานมีลูกเล็ก ๆ ชื่อน้องหวา หวา  อายุจะ 5 เดือนวันที่ 20 นี้และพี่สาวก็ป่วยด้วยค่ะ

หลังจากน้าหนานนำโลงสีดำไปให้พระสงฆ์สวดทำพิธีครบ 7 วันแล้ว  ก็ให้เผาค่ะ  แล้วพี่เขยหนูหิ่ง ฯ กับแม่ก็กลับขึ้นไปบ้านที่บนดอยแม่โถ

พอพี่เขยออกไปสักพักพี่ซิงก็กลับมา  แล้วก็เห็นผ้าดำที่หมวกยังไม่ได้ตัดไป  ก็เลยโทร.ถามพี่เขยว่าจะให้ขับรถไปส่งให้ไหม ?  หรือว่าจะให้ทำยังไง

พี่เขยบอกว่าให้ไปใส่ไว้ในเมรุก็ได้  แล้วอธิฐานขอให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาสาไปใส่ให้ที่เมรุประตูหายยา

พอพี่สาวไปอัลดร้าซาวด์  มีพี่โหย่งไปเป็นเพื่อนแล้ว  หนหิ่ง ฯ ก็เลยที่เมรุ  ไปถึงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง  ปรากฎว่าเตาเผาเขาปิดไว้ด้วยเหล็กแผ่น

หนูหิ่ง ฯ เห็นมีรอยอ้าอยู่นิดนึง  ก็เลยงัดแล้วหยอดผ้าดำลงไป  พร้อมทั้งอธิฐานว่าให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วยด้วยเถิด

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็แวะกลับไปที่บ้านอยู่ตรงข้ามกับสวนราชพฤกษ์  หนูหิ่ง ฯ ลืมนาฬิกาข้อมือ  กับสร้อยลูกปัดสีเขียวที่พระอาจารย์ที่วัดท่าตอนให้มาในวันเกิด

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เอาขนมโมจิกับถ้วยฟูที่ซื้อมาจากสุพรรณไปแขวนไว้ที่กุญแจหน้าบ้านเพื่อน  เพราะเพื่อนไปทำงาน  แล้วก็กลับไปที่โรงพยาบาล

ช่วงนี้หนูหิ่ง ฯ คงอยู่โรงบาลทุกวันจนกว่าพี่สาวจะออกจากโรงบาลค่ะ  หนูหิ่ง ฯ ไปต่างจังหวัดบ่อย  ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างอยู่ในรถอยู่แล้ว

ก็เลยไม่มีอะไรมาก  ต้องการอะไรก็ไปหยิบที่รถ  รถเป็นบ้าน  บ้านเป็นรถเจ้าค่ะ

สักพักผู้ช่วยพยาบาลก็เข็นเตียงพี่สาวกลับมาที่ห้อง  (ไปทั้งเตียงค่ะ  ไม่ได้ไปเตียงเล็ก  เพราะเวลาเคลื่อนย้ายต้องระวังกระดูกค่ะ)

เวลาประมาณ 6 โมงเย็น  พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะไภ้ก็มา  สักพักเพื่อนบ้านที่แม่โถก็มา  หลานสาวที่แต่งงานไปอยู่ป๋างอุ๋งก็มาพร้อมกับน้ำพริกปลาทู ^__^

คราวนี้มีคนเยี่ยมสิบกว่าคนเต็มห้อง  ต้องแบ่งกันนั่งโซฟาบ้าง  พื้นบ้างตามถนัด

คราวนี้พี่สาวเลยได้หมอนวดรอบเตียง  นวดพร้อมกันที่ละ 4 คน  แขน 2 ข้าง  ขา 2 ข้าง

เวลาประมาณ 2 ทุ่มทุกคนก็กลับ  เหลือพี่ซิงกับหนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า 2 คน  

เมื่อคืนหนูหิ่ง ฯ ปล่อยให้พี่ซิงหลับ  เพราะแกเฝ้ามาตั้งแต่พี่สาวเข้าโรงบาล  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่ได้นอน  กลางวันก็ไม่ได้นอนเลย

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกพี่ซิงว่าขอนอนก่อนนะ   แล้วค่อยเปลี่ยนกัน  ประมาณ 3 ทุ่มหนูหิ่ง ฯ ก็หลับไม่รู้เรื่อง  พี่ซิงหลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เวลาประมาณ 23.30 น.  เพราะได้ยินเสียงเรียกเหมย เหมยเอ้ย เบา ๆ แลไปเห็นพี่ซิงหลับ  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลุกไปหา

แกบอกว่าอยากลุก  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยประคองลุกขึ้นนั่ง  ลำบากนิดหน่อยเพราะแกตัวโตกว่า  แล้วข้อมือซ้ายของหนูหิ่ง ฯ ก็อักเสบนิดหน่อย

อาศัยยาพ่นจากโรงบาลพญาไท 2 ที่เหลือจากครั้งกล้ามเนื้อหลังอักเสบ  ทำให้ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่  อีก 2 วันคงหายค่ะ

นั่งหลับตาสักพักแกก็ทำหน้านิ่วบอกว่าเจ็บจังเลย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลูบหลังให้  ประมาณ 40 นาที หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่านอนไหม  แกพยักหน้า

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยปล่อยให้แกนอน  เอาหมอนข้าง 2 ใบประคองไว้ข้าง ๆ ห่มผ้าที่ขา  แล้วก็เอาผ้าพันคอคลุมคอไว้  แกชอบอากาศเย็น  จึงเปิดแอร์เย็นมาก

กลัวว่าถ้าคอเย็นแล้วแกจะไอค่ะ  เพราะหนูหิ่ง ฯ เป็นคนขึ้หนาว  ถ้าคอเจอความเย็น  หรือพัดลมเป่าที่หน้า  เช้ามาก็จะไอ

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็มานั่งพิมพ์บันทึกนี้ล่ะค่ะ  พอมาดูหน้าโน้ตบุ๊คก็เจอข้อความของเพื่อนว่าได้รับขนมแล้ว  ประทังความหิวได้  ^__^

แล้วซันจีสเพื่อนจากอินเดียก็ข้อความมาที่เฟทบุ๊คว่าจะเมลล์รูปแม่ - พี่สาว - น้องสาวมาให้ได้ที่ไหน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลย SMS กลับไป  คงเข้าไปที่มือถือแล้วค่ะ

ประมาณปลายเดือนซันจีสบอกว่าจะกลับอินเดีย  หนูหิ่ง ฯ ว่าจะหาซื้อตุ้มหูเงินที่เชียงใหม่ฝากไปให้ค่ะ  ก็เลยขอให้แกส่งรูปมาให้  จะได้รู้ว่าควรซื้อแบบไหน  ^__^

คืนนี้หนูหิ่ง ฯ คงนั่งหน้าคอม ฯ เฝ้าแกทั้งคืน  เพราะตาสว่างแล้ว  ไม่รู้สึกง่วงเลย 

คืนนี้แกเรียกหาเหมย  ซึ่งก็คือหนูหิ่ง ฯ ในขณะที่คืนก่อน ๆ แกจะเรียกหาแต่พี่ซิง  

ปรกติหนูหิ่ง ฯ จะนอนไวอยู่แล้ว  แกเรียกเบา ๆ ก็จะได้ยิน  บางทีเสียงแกขยับตัว  หรือลูบท้อง  ก็ยังได้ยิน  แล้วก็ลุกไปดู

แกไม่ชอบห่มผ้า  เพราะบ่นว่าร้อน  หนูหิ่ง ฯ ก็จะบอกว่าห่มนิดนะ  เพราะกลัวว่าจะเป็นปอดบวมอีก  คราวก่อนหมอบอกว่าเป็นปอดบวม (น้ำท่วมปอด)

นั่นเป็นเพราะพี่ไม่ชอบห่มผ้า  ก็ต้องค่อย ๆ บอกเหตุผลให้ฟัง  แกก็จะพยักหน้า  แล้วก็ค่อยห่มให้แกค่ะ  ไม่งั้นแกก็จะดึงออกเหมือนเด็ก ๆ ^__^

คืนนี้ร้องให้นิดเดียว  พยายามที่จะไม่ร้องแล้วนะ  แต่บางทีน้ำตาก็ไหลออกมาเอง  ไม่เป็นไรไม่มีใครเห็น  *__~



				
17 มกราคม 2554 01:11 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 1 * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


วันนี้วันอาทิตย์  ที่ 16 มกราคม 2554

หนูหิ่ง ฯ กลับมาถึงเชียงใหม่เมื่อวันเสาร์เย็น ๆ เข้าไปเก็บข้าวของบางส่วนไว้ที่บ้าน  แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ไปหาพี่สาวที่โรงบาล

กะว่าจะนอนเฝ้าแกที่โรงบาล  แต่พอสี่ทุ่ม  แกก็บอกให้กลับ  ให้พี่ซิงเฝ้าคนเดียว  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยกลับไปนอนบ้าน

กว่าจะนอนได้ก็เกือบตี 3  ตื่นอีกทีพี่ซิงโทร.มาเรียกให้ตื่นไปโรงบาล  หนูหิ่ง ฯ ก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นอาบน้ำไปโรงบาล

พี่ซิงบอกว่าพี่หลั่งเรียกทุกชั่วโมงเลย  เพราะแกปวดมาก  จะทำยังไงดี ? ? ? ไม่อยากให้แกต้องทรมาณกับการปวดไปทั้งตัวแบบนี้

หลายครั้งต้องพึ่งมอร์ฟีน  ทั้งฉีด แปะ กิน  *__~

นึกได้ว่าเมื่อวานตอนเช้ากะลังขับรถไปสุพรรณ  พี่อรัญการเงินตร.ตราดโทร.มาเรื่องยา  เพราะพี่ชายเขาก็เป็นมะเร็งตับ

ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว  แต่พี่อรัญเล่าให้ฟังว่า.... พี่ชายแกไม่มีอาการเจ็บปวดทรมาณเลย  เพราะกินยาตัวหนึ่ง  ชื่ออะไรก็ไม่รู้

รู้แต่ว่าเป็นยาของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ฯ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยรบกวนให้พี่เขาช่วยหากล่องใส่ยา   หรือชื่อยาให้หน่อย  จะได้ให้พี่หลั่งกินบ้าง

อย่างน้อยแกจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาณแบบนี้

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยโทร.ไปหาอีกครั้ง  พี่เขาก็บอกว่ายาชื่อ ปะดง  กล่องสีฟ้า  ของบริษัท กรุงเทพทิพโอสถ

เช้าวันนี้หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปหาที่เซ็นทรัล  ถามเภสัชหลายร้าน  เขาก็ทำหน้าไม่รู้จัก  แล้วก็บอกว่าไม่มี

หนูหิ่ง ฯ เดินหาจนจะ 11.00 น.  ก็คิดว่าไปหาข้อมูลในเน็ทแล้วก็ไล่โทรถามดีกว่า 

หนูหิ่ง ฯ ก็หาคำว่ายาปะดง  ก็เจอแต่เป็นกล่องสีแดง  เป็นของห้างขายยาตาเสือมังกร  แล้วภาคเหนือมีขายที่ อ.งาว จ.ลำปาง

หนูหิ่ง ฯ ก็หาเบอร์แล้วก็โทร.ไปถาม  เขาบอกว่าตอนนี้ไม่ได้ขายแล้ว  โทร.ถามร้านขายยาในเชียงใหม่ก็ไม่มี  *__~

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยหาข้อมูลใหม่  หาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปเจอกระทู้หนึ่ง  เขาบอกว่ามีขายที่

1.  ร้านค้าสวัสดิการของกรมราชองครักษ์  แถววัดเบญ    2.  ร้านจิตรลดา  ในสวนจิตร   3. พระราชวังไกลกังวล ที่หัวหิน

แล้วหนูหิ่ง ฯ จะไปซื้อยังไงเนี่ย  โทร.ถามเบอร์ร้านค้าสวัสดิการ  แต่ก็ได้เบอร์ของกรมราชองครักษ์มา

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยโทร.ถาม  พี่เขาบอกว่าร้านเปิดวันและเวลาราชการ  ไม่มีบริการส่งทางไปรษณีย์

แต่ถ้าต้องการพี่เขาจะไปซื้อส่งให้ก็ได้  ให้เบอร์มือถือมาด้วย  ขอบคุณค่ะพี่อำนาจ  พี่ใจดีจริง ๆ 

หนูหิ่ง ฯ บอกว่าหนูหิ่ง ฯ ต้องการด่วน  ก็เลยจะให้เพื่อนไปซื้อแล้วส่งอินทราทัวร์มาให้ 

วันอังคารเช้าจะได้ไปรับได้เลย  เพราะตอนนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ น่าสงสารมาก  แค่เห็นหน้าเขาหนูหิ่ง ฯ ก็น้ำตาตกในแล้ว

ไหลออกมาข้างนอกไม่ได้  ต้องยิ้มอยู่เสมอ  บางทีทนไม่ไหวก็ไปแอบร้องให้ไม่ให้ใครรู้  ไม่ให้ใครเห็น

วันนี้พี่หลั่งอนุญาตให้หนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้าที่โรงบาลกับพี่ซิง  ขณะนี้นั่งพิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไป  พี่ซิงหลับแล้ว

พี่หลั่งก็กว่าจะนอนได้  ต้องไปนวดให้ไม่รู้กี่ครั้ง  ทุกครั้งที่แกเรียก  เหมือนว่าแกจะเกรงใจมาก

พอหนูหิ่ง ฯ ลุกขึ้น  แกก็จะยิ้มให้  แล้วบอกว่าปวดมาก  เสียงพูดก็ไม่ค่อยได้ยิน  ต้องให้อ็อกซิเจนด้วย

หนูหิ่ง ฯ ก็จะไปนั่งข้าง ๆ นวดให้เบา ๆ นวดแรงไม่ได้แกจะยิ่งเจ็บ  หมอบอกว่าตอนนี้กระดูกพรุนไปหมดแล้ว

ห้ามลุกจากเตียง  เพราะถ้าล้มกระดูกจะหัก  เวลาเอ็กซเรย์  โรงบาลก็จะเข็นเครื่องมาทำให้ที่ห้อง

ต้องขอให้แกใส่แพมเพิร์ส  เพราะลุกนั่งลำบาก  หนูหิ่ง ฯ จะทำยังไงดี  จะทำยังไงดี  จะทำยังไงดี

เวลามีแขกมาเยี่ยม  แกจะฝืนยิ้มให้ทุกคนเสมอ  ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดทรมาณขนาดนั้น

บ่ายวันนี้หนูหิ่ง ฯ ได้ข้อมูลมาแล้ว  ก็เลยโทร.หาตุ่น  วานตุ่นเป็นธุระไปหาซื้อยาปะดงพระสังข์ทรงช้างให้หน่อย

ตุ่นก็รับปากจะไปซื้อให้วันจันทร์  ถ้าไปไม่ได้จะจ้างคนไปซื้อให้  แล้วก็จะส่งให้ที่อินทราทัวร์ประตูน้ำ

ขอบใจมากนะเพื่อน  ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่  หนูหิ่ง ฯ คงต้องนั่งรถเครื่องไปซื้อเองแล้ว  เพราะใจร้อน

ไม่อยากเห็นใครต้องทนทรมาณแบบนี้เลย....

พี่เขยหนูหิ่ง ฯ ไปได้พิธีกรรมอะไรมาก็ไม่รู้  ให้พี่หลั่งใส่เสื้อดำ  แล้วก็ให้คนเกิดปีที่เป็นศัตรูกันในแต่ละวัน

มาผูกข้อมือให้เป็นเวลา 7 วัน  อยากรู้ก็ดูปฏิทินของจีนจะมีบอกไว้

วันนี้วันที่ แพะ  เป็นศัตรูกับ ฉลู  หนูหิ่ง ฯ เกิดปีฉลู  ก็เลยได้ผูกข้อมือให้พี่หลั่งด้วย

พี่ชายหนูหิ่ง ฯ เกิดปีแพะ  ก็เลยไม่ต้องไปหาใคร

สายสิญจน์สีดำ  มีกี่เส้นก็ไม่รู้  แต่ให้ดึงออก 2 เส้น  แล้วก็ไปป้ายที่ศรีษะของแกจากหน้าผากไปด้านบน 2 ครั้ง

แล้วพูดว่า  ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ  แล้วก็ทำแบบเดียวกันที่ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง

แล้วนำสายสิญจน์ที่เหลือผูกข้อมือให้แก

หนูหิ่ง ฯ ก็อธิฐานว่า.... เนื่องด้วยในวันนี้เป็นวันที่แพะกับวัวเป็นศัตรูกัน  หนูหิ่ง ฯ เกิดปีฉลู  จึงขอผูกสายสิญจน์เรียกขวัญให้

ขอให้พี่หายจากโรคภัยทั้งหลาย  ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน  อยู่กับสามี แม่ น้อง ลูกและหลานไปอีกนานแสนนาน

สำหรับบุญกุศลที่หนูหิ่ง ฯ ได้กระทำมา  ขอได้โปรดดลบันดาลให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ อย่าได้เจ็บปวดทรมาณเลย

หากแม้นว่าหนูหิ่ง ฯ มีอายุยืนยาว  ก็ขอให้ท่านยมพบาลแบ่งให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ สัก 10 ปี หรือ 20 ปี ก็ได้

พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็ยิ้มให้  แล้วพูดว่า  อยู่ด้วยกันนาน ๆ จะถูกแกบ่น - ด่าทุกวันนะ  หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าไม่เป็นไร

หนูหิ่ง ฯ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านให้ด่าอยู่แล้ว   แกก็พูดว่าขอบใจนะ

แล้วก็ทำซ้ำเหมือนเดิมอีกรอบ  เพราะต้องผูกข้อมือทั้ง 2 ข้าง  ส่วนด้ายที่ดึงออกมาข้างละ 2 เส้น

ให้ไปทิ้งไว้ใต้ต้นกล้วย  หนูหิ่ง ฯ ต้องไปทิ้งพรุ่งนี้  เพราะว่าวันนี้อยู่เฝ้าแกที่โรงบาล  แล้วก็ติดต่อเรื่องยา

กลางคืนก็นอน - นั่งเฝ้าแกต่อ  ไม่ได้ไปไหน

ขณะที่พิมพ์  แกก็เรียกให้ไปช่วยพาแกลุกหลายครั้ง  แกก็จะยิ้มให้ทุกครั้ง  บอกว่าอยากลุก

บอกว่าปวดจังเลย  หนูหิ่ง ฯ ก็จะไปนั่งข้าง ๆ เป็นเพื่อน  จับมือไว้บ้าง  นวดให้แกบ้าง  แต่ไม่ชวนคุย  เพราะแกรำคาญ

พอแกบอกจะนอน  หนูหิ่ง ฯ ก็ปรับที่นอนลง  แล้วก็มานั่งพิมพ์ต่อ

ถ้าแกลืมตาหันมาเห็น  ก็จะถามว่าทำไมยังไม่นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าพิมพ์งานอยู่  ยังไม่ง่วง  จะได้อยู่เป็นเพื่อนพี่ไงคะ

วันนี้คงจะพิมพ์แค่นี้  เป็นการระบายความเครียด  คืนนี้คงจะนอนไม่หลับทั้งคืน 

 ไม่เป็นไร  ให้พี่ซิงหลับไปเพราะแกอดนอนมาหลายคืนแล้ว  พี่หลั่งไม่ยอมให้คนอื่นนอนเฝ้าแกเลย

อาจจะไม่อยากให้เขาเห็นแกตอนปวด - ทรมาณหรือเปล่า  หรือจะเป็นเพราะรำคาญ   หรือกลัวคนเฝ้ารำคาญแก

แต่หนูหิ่ง ฯ ดีใจนะที่วันนี้แกให้หนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า  พี่ซิงจะได้หลับพักผ่อนบ้าง  

ส่วนหนูหิ่ง ฯ ถ้าง่วงก็จะกลับไปนอนที่บ้านตอนกลางวัน  เพราะนอนที่โรงบาลมีคนเข้า ๆ ออก ๆ ทั้งวัน  คงไม่หลับ

หากพี่ ๆ ท่านใดเข้ามาอ่าน  หนูหิ่ง ฯ ก็ขอให้ช่วยส่งกำลังใจให้ด้วยนะคะ  ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ  ^__^


				
16 มกราคม 2554 22:18 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน ขอโทษค่ะ * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ



* * * พี่เลี้ยง * * *
จริง ๆ แล้วจะบอกว่าหนูหิ่ง ฯ จำได้ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก  เพราะขณะนั้นยังเด็กเกินไป  ส่วนใหญ่ก็ฟังคนอื่นเล่าอีกทีค่ะ

ที่หมู่บ้านของหนูหิ่ง ฯ มีสำนักงานการเกษตร  ที่เกษตรจะปลูกกาแฟ สตอบอรี่  ปลูกท้อ  มะม่วง ผลไม้หลายอย่าง และดอกกุหลาบ

แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ของเกษตรมาคอยส่งเสริมให้ชาวเขาหันมาปลูกกาแฟนแทนการทำไร่เลื่อนลอย  

ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่เกษตรจะเป็นผู้ชายแล้วก็โสด  เพราะคนที่มีครอบครัวคงไม่มีใครยอมห่างจากเมืองกรุงไปอยู่ป่าอยู่ดอยแสนไกลขนาดนั้น  

ไฟฟ้า น้ำประปาก็ไม่มี  ต้องไปตักที่บ่อน้ำประจำหมู่บ้านมาใว้ใช้งาน  ต้องไปพบปะชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่พูดรู้เรื่องบ้าง  ไม่รู้เรื่องบ้าง  

สิ่งที่มีเพื่อการบรรเทิง  ก็จะเป็นวิทยุ เทป กีตาร์ แล้วก็เมาท์ออแกน  เพื่อคลายความเหงา  และฆ่าเวลาไปด้วยในตัว

หลังจากที่หนูหิ่ง ฯ ลืมตาออกมาดูโลกได้ 3 เดือน  พี่ ๆ ที่เกษตร  ก็มีของเล่นใหม่  เป็นตุ๊กตาตัวกลม ๆ กินได้ อึได้ ร้องไห้ได้ 

ทุก ๆ เช้าพี่ ๆ ที่เกษตรเขาจะผลัดกันมาอุ้มหนูหิ่ง ฯ ไปเล่นที่สำนักงานเกษตร  
ผลัดกันชงนมให้กินเมื่อหนูหิ่ง ฯ ร้องให้

เคี้ยวข้าวป้อนให้เมื่อหนูหิ่ง ฯ พอกินได้  ล้างอึ เช็ดฉี่ให้  แล้วก็อาบน้ำปะแป้งให้เสร็จสรรพ  ตอนเย็นก็อุ้มกลับมาส่งให้แม่

แม่จึงบอกหนูหิ่ง ฯ เสมอว่า  หนูหิ่ง ฯ เป็นลูกคนข้างบ้าน  เพราะแม่ไม่ค่อยได้เลี้ยงเลย  มีแต่คนเอาไปเลี้ยงให้

จนกระทั่งโต  ก็ยังมีคนอื่นช่วยเลี้ยงอยู่ดี  ^__^  คือจะไปโตตามบ้านเพื่อน  ไปอาศัยข้าวเพื่อนกิน  ไปอ้อนพ่อ - แม่ของเพื่อน

จนเพื่อนมันเขม่นก็หลายที  ^__^

เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา  หนูหิ่ง ฯ จึงขอให้แม่พาไปตามหาพี่ ๆ ที่เคยเลี้ยงหนูหิ่ง ฯ ตอน
เด็ก ๆ แม่ก็พาไปหา  ปรากฎว่าเจออยู่คนเดียว

ส่วนคนอื่น ๆ แม่ไม่รู้ว่าเขาย้ายไปอยู่กันที่ไหน  เพราะเวลาก็ผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้ว  บางคนเกษียณอายุราชการไปแล้ว

บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว  คนที่เจอชื่อพี่ยงยุทธ ตอนนี้พี่เขาเกษียณแล้ว  อาศัยอยู่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

หนูหิ่ง ฯ จำไม่ได้เลย  แต่พี่เขาจำหนูหิ่ง ฯ ได้  แปลกใจจัง  เห็นบอกว่าหนูหิ่ง ฯ หน้าไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่  ^__^

หนูหิ่ง ฯ ซื้อกระเช้าไปกราบขอบคุณ  แล้วก็ใส่ซองให้นิดหน่อย  แล้วก็ดีใจมากที่หาพี่เขาเจอ

ถ้ามีโอกาสจะพยายามหาคนอื่น ๆ ที่เหลือ  แต่แม่จะจำได้แต่ชื่อเล่นบ้าง  ชื่อจริงบ้าง  นามสกุลจำไม่ได้  ก็เลยหายากหน่อยค่ะ

ขอโทษนะคะพี่เลี้ยงจำเป็นทั้งหลาย  

ปล. หากใครเคยทำงานอยู่เกษตรแม่โถ  ต.บ่อสลี  อ.ฮอด  จ.เชียงใหม่  แล้วเคยเลี้ยงเด็กหญิงตัวกลม ๆ ตาดำ ๆ 

     กรุณาติดต่อกลับมาด้วยนะคะ  


* * * ครูเด็กเล็ก * * *

จริง ๆ แล้วที่หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ ไม่มีชั้นเด็กเล็ก  ไม่มีอนุบาล  มีก็ประถม 1 - ประถม 4  ถ้าจะต่อก็ต้องไปต่อหมู่บ้านอื่น

สถานที่ตั้งของโรงเรียนก็อยู่ห่างจากบ้านหนูหิ่ง ฯ ไปเกือบ 3 กิโลเมตร  ทุก ๆ เช้าเด็ก ๆ ก็จะพากันเดินไปโรงเรียนพร้อมห่อข้าว

หนูหิ่ง ฯ เริ่มไปโรงเรียนตอนประมาณ 4 ขวบ  เดินไม่ไหวก็พี่ชายแบกบ้าง อุ้มบ้าง พี่ชายชอบบ่นว่าหนูหิ่ง ฯ ขึ้เกียจเดิน

จะร้องโยเยให้แบก  ก็จำต้องเปลี่ยนกันแบกใส่หลังเดินไปโรงเรียน  ^__^  นิสัยดีตั้งแต่เด็ก ๆ เนาะ

ทางไปโรงเรียนจะผ่านโค้ง ๆ หนึ่ง  แล้วตรงนั้นจะมีต้นไม้ใหญ่มาก  เด็ก ๆ ก็จะถูกขู่ว่าให้ระวังผีนะ

ดังนั้นพอจะผ่านโค้งต้นไม้ใหญ่นี้  ก็จะปาดอุ้งเท้า  แล้วเอามาป้ายที่ศรีษะ  ผีจะได้ไม่เห็น  ^__^  คนดอยเขามีวิธีหลอกผีด้วยนะคะ

บางทีก็จะแกล้งวิ่งทิ้งกัน  ทำเสียงหลอกกันก็มี  เด็ก ๆ ที่หมู่บ้านนี้ก็เลยมีนิสัยชิบแกล้ง  *__~  นิสัยดีกันทั้งหมู่บ้านเลย

อาจารย์ที่สอนชื่ออาจารย์ธนูศักดิ์  โรงเรียนนี้มี 4 ชั้น นักเรียนมีน้อย ทั้งโรงเรียนมีครูสอนอยู่คนเดียว  

ถึงตอนนี้หนูหิ่ง ฯ ก็นึกไม่ออกว่าครูสอนได้ยังไง ?

จำได้ว่าหนูหิ่ง ฯ ซนมาก  โดดหน้าต่างเล่นก็มี  ปีนต้นฝรั่งจนตกลงมาก็มี  ครูดุก็ไม่
เคยกลัวสักกะที  ก็มันไม่มีอะไรให้เล่นนินา.... เนาะ  

บางครั้งหนูหิ่ง ฯ เป็นไข้  ไม่สบาย เลือดกำเดาไหล  ก็ต้องไปโรงเรียน  ต้องไป
นอนที่เก้าอี้เรียน  จนพี่ ๆ เขาต้องยืนเรียน

เพราะว่าอยู่บ้านก็ไม่มีใครดูแล  คนโตทุกคนต้องไปทำไร่ทำสวนเลี้ยงสัตว์  เด็ก ๆ 
จึงถูกยัดเยียดให้พี่ ๆ ที่เรียนอยู่และครูเป็นผู้ดูแลแทน


* * * ครูประถม * * *

พอเรียนหนูหิ่ง ฯ เข้าเรียนชั้นประถมโรงเรียนก็ย้ายมาอยู่ใกล้บ้านหน่อยประมาณ 1 กม.  ดีจัง ไม่ต้องเดินไกล

ครูก็เริ่มมีหลายคน  ครูคนแรกชื่อครูสมศักดิ์  ครูเลาสือ  ครูบุญยิ่ง  ครูมยุรี  ครูต้อย

เด็ก ๆ บนดอยก็มีกีฬาดอย ๆ ให้เล่น  เช่น

เดินต่อขา :  ก็จะตัดไม้ไผ่มา 2 ลำเล็ก ๆ พอเหมาะมือ  ลำต้นแข็งแรงความยาวเท่าตัว หรือยาวกว่า เลาะกิ่งออก 

     เหลือไว้กิ่งตรงโคนกิ่งเดียวลำไผ่ด้านที่เลยกิ่ง  ให้เหลือความยาวประมาณครึ่ง
ไม้บรรทัด  แล้วก็ตัดกิ่งให้พอเท้าเหยียบ 

     วิธีเล่น  :  ก็ให้จับลำไผ่แน่น ๆ ทิ่มไผ่ด้านที่มีกิ่งลงดิน  แล้วก็ใช้ความสามารถพิเศษขึ้นเหยียบ  ทีละข้าง  แล้วก็เดิน

     ข้อสังเกตุ   :  ยิ่งทำสูงเท่าไหร่  เวลาเดินก็จะไกลเท่านั้น  แต่การทรงตัวจะลำบากนิดหนึ่งค่ะ  สนุกดีนะคะ

ควบกะลา  :  ก็จะนำกะลามะพร้าวด้านที่มีรูมา 2 กะลา  แล้วก็ใช้เชือกยาวประมาณเมตรเศษ ๆ ผูกกะลาไว้ด้านละข้าง

     วิธีเล่น  :  จับเชือกด้านกึ่งกลางของทั้ง 2 กะลา  แล้วก็ขึ้นไปเหยียบกะลาโดยใช้นิ้วคีบไว้  คล้ายกับใส่รองเท้า  แล้วก็เดิน

     ข้อสังเกตุ  :  ต้องเลือกกะลาดี ๆ เวลาเดินระวังกะลาแตก  และอาจเกิดเสียงดังหนวกหู  และก็เจ็บนิ้วชี้ - โป้งได้

การเล่นทั้ง 2 อย่างนี้ปรกติจะเล่นหลาย ๆ คน  แล้วก็แข่งกันเดินว่าไครจะเดินถึงปลายทางก่อนกัน  โดยเท้าไม่ลงพื้น

จริง ๆ แล้วการละเล่นก็มีหลายอย่าง  เช่น หมากเก็บ  ไม้เก็บ  ตี่จับ  เตย  หลบบอล  โดดเชือก  โดดสูง ฯลฯ

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ใช้วัสดุที่หาได้และทำเองง่าย ๆ ค่ะ

ถึงแม้โรงเรียนหนูหิ่ง ฯ จะเป็นโรงเรียนบนดอย  นักเรียนไม่เยอะ  ก็ยังคงมีหมอไปฉีดยาวัคซีนให้เด็ก ๆ 

แต่หนูหิ่ง ฯ จะหนีตลอด  เพราะกลัวเข็มฉีดยา  วิธีการหลบ

1.  ก็ไม่อยาก  ปีนหน้าต่าง  แล้วไปซ่อนในห้องน้ำแค่นี้ก็ไม่มีใครหาเจอแล้ว  พอหมอไป  ไอ้หนูหิ่ง ฯ ก็ออกมา

2.  เข้าป่าไปเลย  เพราะรอบโรงเรียนเป็นป่า  ไปหลบในนั้น  ก็ไม่มีใครหาเจออีกเหมือนกัน

3.  หนีให้ไกลหน่อยก็ไปเก็บผักจิ้มน้ำพริกหรืองมหอยในนาล่างโรงเรียน  เย็น ๆ ก็ทำเนียนกลับบ้าน

4.  หรือไม่ก็ไปเก็บผลไม้ป่ากินฆ่าเวลา  เย็น ๆ ก็ค่อยกลับบ้าน
ห
นูหิ่ง ฯ ใช้ทุกวิธี  ก็เลยไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย  จนกระทั่งถึงการปลูกฝี  ทีนี้ครู & หมอไปดักรออยู่หน้าบ้าน

ห้า ๆ ๆ พอตกเย็นหนูหิ่ง ฯ เดินกลับบ้านก็เลยถูกจับปลูกฝี  ดังนั้นที่ไหล่ก็จะมีรอยแผลเป็นอยู่รอยเดียว

ในขณะที่คนอื่นมี 2 - 3 รอย  ตอนเด็ก ๆ ภูมิใจมากที่หนีครูกะหมอได้  แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทำไม่ดีเลย  *__~

ขอโทษค่ะครู  ขอโทษค่ะหมอ


ด้วยความที่เด็กนักเรียนมีน้อย  เวลาเล่นอะไรก็ต้องเล่นด้วยกัน  เด็กผู้ชายจะชอบเล่นกว่าง  เล่นโยนเหรียญที่ทำมาจากฝาน้ำอัดลม

เล่นดีดหนังยาง  ยิงนก  ตกปลา  เด็กผู้หญิงอย่างหนูหิ่ง ฯ ก็เล่นกะเขาได้ทุกอย่าง  
สนุกดี  บางทีก็ถูกเด็กผู้ชายแกล้งเอา

ที่ทนไม่ได้ก็คือ  เด็กผู้ชายชอบเปิดกระโปรง  อยู่ ๆ ก็วิ่งมาเปิดกระโปรง  แล้วก็วิ่งหนีไป  หัวเราะไป

ยิ่งถ้าเห็นใส่กางเกงในสีอะไรจะเอามาแซวเป็นอาทิตย์  เด็กผู้หญิงก็เลยต้องขนขวายหากางเกงขาสั้นมาใส่

มีอยู่ครั้งหนึ่ง  หนูหิ่ง ฯ อารมย์ไม่ดี  แล้วเพื่อนผู้ชายก็มาเปิดกระโปรง  หนูหิ่ง ฯ ก็วิ่งไล่จนทัน

เสร็จแล้วก็ตูมเข้าให้  ปรากฎว่าเลือดกำเดาออก  งื้อ ! ไม่ได้ตั้งใจให้เลือดตกยางออกนะ  แต่มันโมโหนิ  ก็เลยชกแรงไปหน่อย

ขอโทษนะเย๊ะนะ


แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อเรียนมัธยมต้นที่วัฒโนทัยพายัพ  ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด

หนูหิ่ง ฯ เลือกเรียนสายพาณิชย์  เพราะคิดว่าจบมาแล้วหางานง่ายกว่า  ถ้าเรียนสายวิทย์ต้องต่อ ป.ตรี  ไม่มีตังค์  

สมัยนั้นเขาจะให้เลือกเรียนสายวิทย์  หรือพาณิชตั้งแต่ตอน มอ 2 เพื่อที่จะเตรียมให้เด็กสามารถไปเรียนต่อได้ดีขึ้น

ซึ่งก็จริง  เพราะหนูหิ่ง ฯ ได้เรียนพิมพ์ดีดและบัญชีตอน มอ 3  หลังจากจบแล้วหนูหิ่ง ฯ บินไปเรียนต่อ ปวช.ที่กทม.

ทำให้หนูหิ่ง ฯ ได้เปรียบคนอื่น  เพราะพิมพ์ดีดก็เป็นแล้ว  บัญชีก็เรียนมาบ้างแล้ว  หนูหิ่ง ฯ จึงมีรายได้จากเพื่อน ๆ เยอะ

เพราะรับจ้างพิมพ์ดีด  รับจ้างทำรายงาน  รับจ้างทำบัญชี  แฮ่....  นู๋จลลลลลล  ต้องหาเงินเรียนวิธีนี้แหละ

ขอโทษนะเพื่อน  ที่หนูหิ่ง ฯ หากินกับเพื่อนนะ


จบ ปวช.แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ได้งานทำแถวหนองแขม  ทำอยู่ 8 ปี 

เพี่อนสมัยเรียน มอต้น  เหลืออยู่คนเดียว

ชื่อเพชร  ตอนนี้อยู่เท็กซัส  กำลังจะมีสามีเป็นของตัวเองเร็ว ๆ นี้  เฮ่อ ! อิจฉาชะมัด  ^___^

เพื่อนสมัยเรียน ปวช.  ก็เหลืออยู่คนเดียว ชื่อตุ่น  ตอนนี้อยู่แถวทุ่งครุ

สาเหตุที่เพื่อนเลิกคบ  ให้ไปดูที่ท้ายกระทู้นี้ค่ะ


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story11493.html
   * * * หนูหิ่ง ฯ ตอน คนขับรถกลับจม. เจียงใหม่ * * *				
16 มกราคม 2554 06:02 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน สองพี่น้องควงแขนกันเข้าโรงบาล * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


หนูหิ่ง ฯ มีเรื่องเครียด จนเป็นโรคเครียด นั่งก็เครียด นอนก็เครียด ขับรถก็เครียด

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว้า.... เมื่อประมาณต้นปี 53 ที่ผ่านมา  พี่สาวคนโตของหนูหิ่ง ฯ คนที่เป็นมะเร็งเต้านม

ไปตรวจสุขภาพหลังตัดเต้านมขวาทิ้งไปทุก ๆ 3 เดือน  ปลายปี 53 ผ่านไปแค่ปีกับแปดเดือน

แพทย์แจ้งว่า.... ตอนนี้มะเร็งลามไปที่ปอด  ตับ  และกระดูกแล้ว

พวกเราทั้งหมดก็พากันอึ้ง อึ้ง แล้วก็อึ้ง  คิดไม่ถึงว่าจะลามเร็วขนาดนี้  

แต่ก็ไม่อยากจะโทษใคร  เพราะโรคก็ลามไปแล้ว  เวลาผ่านไปแล้ว  แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

หนูหิ่ง ฯ ถ่ายประวัติจากโรงบาลที่เชียงใหม่  ไปปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางที่กทม.หลายโรงบาล

แพทย์ทุกท่านก็บอกตรงกันว่าอยู่ได้แค่ 1 ปีสูงสุดไม่เกิน 2 ปี

พอจะออกจากโรงพยาบาล  หนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มออกอาการเอ๋อเหรอ  หารถไม่เจอ

เดินตั้งแต่ชั้น 4 ไปชั้น 10  แล้วก็ชั้น 10 ไปชั้น 4  จนเหมื่อย  ก็ยังหารถไม่เจอ

คิดว่ารถหาย  จะลงไปแจ้งยามที่ชั้น 1  ปรากฎว่าเจอรถจอดอยู่ที่ชั้น 1.... กรรม !


หลังจากนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับ  กินไม่ค่อยลง  น้ำหนักลดรูปร่างสวยกะทันหัน

แล้วก็เริ่มขับรถหลงทางบ้าง  ฝ่าไฟแดงบ้าง  สุดท้ายตอนที่คิดว่าไม่ไหวแล้วคือ....


เวลาประมาณทุ่มเศษ ๆ หนูหิ่ง ฯ ขับรถไปโรบินสัน จันท์  กำลังเลี้ยวรถเข้าช่องจอด

ดูแล้วว่าว่าง  ไม่มีรถ  ก็เลยเลี้ยวเข้าไป  แล้วก็โครม  คนพร้อมมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปเกือบ 2 วา

ดีที่หัวไม่ฟาดพื้น  หนูหิ่ง ฯ ก็ตกใจ  จอดรถ  แล้วก็ลงไปฉุดพี่เขาขึ้นมา  บอกเขาว่าไม่ต้องกลัวนะ

รถหนูหิ่ง ฯ มีประกันชั้น 1  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า  หนูหิ่ง ฯ พาไปโรงบาลนะ  พี่เขาก็ไม่ตอบ

แต่เดินไปดึงรถขึ้น  หนูหิ่ง ฯ ก็ช่วย  รถเสียประกันหนูหิ่ง ฯ ก็ซ่อมให้นะ  ไม่เป็นไรนะคะ

พี่เขาก็ไม่พูดอีก  แต่ก็สตาร์ทรถ  แล้วก็ขับรถไปเฉยเลย ~ _~  หนูหิ่ง ฯ ก็งง ๆ อะไรเนี่ย !

แล้วก็มีพี่ผู้ชายเดินมาดู  ถามหนูหิ่ง ฯ ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า  หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าไม่เป็นไร

แต่พี่เขาเจ็บหรือเปล่าก็ไม่รู้  ถามก็ไม่ตอบ  จะพาไปโรงพยาบาลก็ไม่พูด  แล้วก็ขับรถไปเฉยเลย

หนูหิ่ง ฯ ก็งง ๆ อยู่นี่ล่ะค่ะ  ขอบคุณที่มาดูนะคะ  ^___^


หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกให้พี่สาวส่งพี่เขยมาช่วยขับรถโดยด่วน  เพราะหนูแย่แล้ว

จากนั้นไม่ถึงเดือน  เกิดเรื่องให้ต้องได้กลับเจียงใหม่อีกครั้ง  ซึ่งก็ดีเหมือนกันนะ

ช่วงนั้นน่าจะเป็นประมาณเดือนกันยา  รถหนูหิ่ง ฯ ถูกชนท้ายที่มอเตอร์เวย์บางนา - ตราด

ก็เลยต้องเข้าศูนย์  ก็เลยตัดสินใจกลับไปเจียงใหม่  เพราะไม่มีรถไปทำงาน

พอดีพี่สาวคนโตที่เป็นมะเร็งอยากไปถือศึล - ปฏิบัติธรรมที่วัด 7 วัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปเป็นเพื่อน

หลังจากนั้นก็เริ่มรักษาตัว  ให้คีโม  ให้เฮอเซฟติน  ให้มอร์ฟีน  ฉายแสง ฯลฯ

พอรถเสร็จหนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มไปทำงานคนเดียวอีกครั้ง  


หลังจากนั้นพี่สาวก็เข้า ๆ ออก ๆ โรงบาลเรื่อย ๆ จนจะขอซื้อห้องโรงบาลสักห้องแล้ว

ถึงกลางเดือนธันวา  ก็ได้รับข่าวร้ายว่า  ตับโตและกระดูกพรุนแล้ว  แขน - ขา เริ่มบวม

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยกลับเชียงใหม่อีกครั้ง  ประกอบกับหนูหิ่ง ฯ ถ่ายเป็นเลือดก็เลยถือโอกาสไปตรวจด้วย

วันที่ 22 หมอให้แอดมิท  หนูหิ่ง ฯ เคยผ่าทอลซินแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 42  ตอนนั้นถูกวางยาสลบ

แต่คราวนี้วิสัญญีแพทย์บอกว่าจะบล็อกหลัง  หนูหิ่ง ฯ เคยได้ยินคนถูกบล็อกหลังเพื่อคลอดลูกบางคน

บ่นว่าไม่ดี  จะปวดหลังไปตลอด  จะนั่น จะนี่  หนูหิ่ง ฯ ก็กลัวอยู่เหมือนกัน  แต่ก็ทำเป็นไม่กลัว


เช้าวันที่ 23 น้ำเกลือที่ให้ยังไม่หมด  พยาบาลก็มาเปลี่ยนชุดห้องผ่าตัดให้ 9.00 น.เข้าห้องผ่าตัด

พี่คนที่มาเข็นรถนอนให้เป็นผู้ชาย  ก็คุยทักทายสนุกสนานร่าเริงดี

พอไปถึงห้องเตรียมการผ่าตัด  พยาบาลก็ไล่พี่คนเข็นออกไป  เพราะต้องแก้ผ้าหนูหิ่ง ฯ 

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่าต้องเปลีอยหนูหิ่ง ฯ หรือ ?  พี่เขาก็บอกว่าใช่  แฮ่....  ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ 

เลิกอายชั่วคราว  ลุกขึ้นนั่งจะแก้ผ้า  พี่พยาบาลรีบดันตัวลงบอกว่าเดี๋ยว ๆ ๆ นอนแก้ก็ได้เดี๋ยวจะโป้

หนูหิ่ง ฯ บอกว่าไม่เป็นไรหรอก  อายก็ไม่หายสิ  พี่พยาบาลก็บอกว่าไม่ใช่อย่างงั้นหรอก

พี่กลัวพี่คนเข็นรถจะนอนไม่หลับ  นั่น ! เป็นงั้นไป


เสร็จแล้วก็ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด  วิสัญญีแพทย์หญิงบอกให้นอนคู้ตัวเป็นกุ้งเลย  แล้วก็ฉีดยาเข้ากระดูกสันหลัง

เอ.... ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด  มือนิ่มจัง ^__^

ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ชาตั้งแต่เอวลงไป  หมอใหญ่ก็เริ่มผ่า ๆ ๆ ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็รู้สึกตัวนะ  แต่ไม่เจ็บเลย

ผ่าเสร็จ  เย็บเสร็จแล้วก็ไปห้องพักฟื้น  ห้องพักฟื้นหนาวมาก  หนูหิ่ง ฯ ขอผ้าห่มไฟฟ้า พยาบาลก็น่ารักมาก

ให้มา 2 ผืนเล็ก ๆ คนอื่นเขาพัก 2 ชั่วโมง  แต่หนูหิ่ง ฯ พัก 3 ชั่วโมงเพราะยังไม่หายชา

พี่พยาบาลประจำห้องผ่าตัดก็มาบอกว่า  คุณหมอส่งชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ไปตรวจนะ
ประมาณ 1 อาทิตย์จะรู้ผล  หนูหิ่ง ฯ ก็นึกในใจ  ว่าผลคงไม่ดีเท่าไหร่  เพราะคนใน
ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็ง

แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า.... เอาน่า.... ไหน ๆ จะป่วยทั้งทีก็เป็นโรคนี้แหละ  เพื่อนเยอะดี

ระดับนี้แล้ว  เป็นโรคกระจอก ๆ ได้ยังไง  โรคนี้เขาฮิทออกจะตาย  เป็นเสียหน่อยจะได้ทันสมัย  ฮิ ๆ ๆ ๆ 


พอหายชาพี่คนเข็นก็เข็นขึ้นห้อง 809  อยู่ตรงข้ามห้องพี่สาวที่รักษาตัวอยู่ห้อง 810

เมื่อขาหายชา  หนูหิ่ง ฯ ก็ลุกเดิน ๆ ๆ ๆ แล้วก็ไปนอนเฝ้าพี่สาวที่ห้อง 810  

ฮี่ ๆ ๆ ๆ พยาบาลหลายคนบ่นว้า....  ทำคนไข้หาย  หาคนไข้ไม่เจอ ^__^

คนไข้ผ่าตัดห้องอื่น  พอผ่าตัดเสร็จพยาบาลต้องขอให้เดิน

ส่วนคนไข้คนนี้  พอผ่าตัดเสร็จพยาบาลต้องบอกให้นอน  เป็นไง  เหนื่อยไหมคะพี่พยาบาล  ^___^


แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ทำเรื่องออกโรงบาลวันที่ 24 เย็น  แต่ก็ยังนอนเฝ้าพี่สาวที่ห้อง 810

ข่าวร้ายอีกครั้ง  มะเร็งลามไปที่สมองของพี่สาวแล้ว ~_~

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยตัดสินใจไปตัดผมสั้น  หลังจากที่ไว้ผมยาวมาเกือบตลอดชีวิต

เพราะหลายสาเหตุ  หลัก ๆ ก็คือ  อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองอยากเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็ง  

พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบผมสั้นด้วย  บอกว่าน่ารักดี  ไม่รกรุงรังเหมือนรังนก

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินไปเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว  ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง

ไปบอกช่างว่าจะซอยผมสั้น  เอาสั้นจู๋เลยนะ  ช่างก็มองหน้าตาปริบ ๆ 

แล้วก็บอกว่า  ตัดบ็อบละกันนะ  เทนิด ๆ ประมาณไหล่  ไม่ต้องสั้นมากหรอก

เพราะเดี๋ยวจะรับไม่ได้  นั่น ! ช่างรู้ใจอีกต่างหาก  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยได้ทรงผมใหม่เป็นของตัวเอง

แล้วหนูหิ่ง ฯ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ จึงขอหมอตรวจใหม่  ก็เลยถูกจับเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งวันที่ 29


เหตุการณ์เหมือนเดิม  พี่คนเข็นรถคนเดิม  ห้องผ่าตัดห้องเดิม  พยาบาลชุดเดิม

ต้องเปลือยเหมือนเดิม  คราวนี้หนูหิ่ง ฯ แซวพี่คนขับรถว่า  พี่จะอยู่ดูก็ได้นะคะ

แต่หนูกลัวว่าเมื่อพี่ออกเวรไปจะนอนไม่หลับ  กระสับกระส่าย  ใจไม่ดี  ต้องเสียเวลาไปเรียกขวัญคืน  ฮี่ ๆ ๆ ๆ

แล้ววิสัญญีแพทย์ก็มาแต่คราวนี้เป็นผู้ชาย  ไม่ใช้วิธีบล็อกหลัง  แต่ใช้วิธีฉีดยาชา  เจ็บกว่าบล็อกหลังนิ๊ดนึง

วิสัญญีแพทย์คนนี้น่ารักดี  ชวนคุยตลอด  ก็เลยไม่เครียด  

หมอใหญ่ก็ผ่าไป  หนูหิ่ง ฯ กะวิสัญญีแพทย์ก็คุยกันไป  หัวเราะไป  เป็นที่สนุกสนาน

คุยกันถึงเรื่องไปเที่ยวจีน  กุ้ยหลิน  ลี่เจียง  กำแพงเมืองจีน ฯลฯ  

พอหมอผ่าตัดเสร็จ  ก็รู้สึกว่าเร็วจัง  กำลังคุยติดพันสนุก ๆ อยู่เลย  (วิสัญญีแพทย์คนนี้หล่อด้วยหละ  ^__^ )

แล้วก็ไปพักที่ห้องพักฟื้นเหมือนเดิม  ขอผ้าห่มไฟฟ้าได้มา 2 ผืนเหมือนเดิม

คราวนี้พักสองชั่วโมงครึ่ง  แล้วก็ถูกเข็นไปที่ห้องเดิม 809  พี่สาวก็ยังอยู่ 810 เหมือนเดิม

แม่มานอนเฝ้าตั้งแต่วันที่ 28  จำได้ว่าก่อนเข้าห้องผ่าตัดได้ยินแม่คุยกะหมอว่า.... ให้ผ่าใส้เผื่อมาสัก 2 - 3 เมตร

ถ้าหนูหิ่ง ฯ ออกโรงบาลแล้วจะทำตือฮวนให้กิน  นั่น ! เอากะแม่หนูหิ่ง ฯ สิ  *__~

จากนั้นพี่สาวหนูหิ่ง ฯ ขอออกโรงบาลวันที่ 30  ทุกคนก็เลยกลับบ้านกันหมด  ส่วน

หนูหิ่ง ฯ ก็นอนโรงบาลคนเดียว

และก็ขอหมอออกโรงบาลวันที่ 31  สาเหตุก็เพราะว้า.... หนูจะไม่ป่วยข้ามปี  ^___^



หารูปตอนอยู่โรงบาลไม่เจอ  เดี๋ยวจะไปขอเซฟที่พี่พยาบาล  ^__^				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหิ่งห้อยน้อยใจ
Lovings  หิ่งห้อยน้อยใจ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหิ่งห้อยน้อยใจ
Lovings  หิ่งห้อยน้อยใจ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหิ่งห้อยน้อยใจ
Lovings  หิ่งห้อยน้อยใจ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหิ่งห้อยน้อยใจ