7 พฤษภาคม 2550 13:26 น.

ความหมองหม่นของคนพิการ

ห้วงคำนึง


หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานมานานแสนนาน  วันนี้ผมตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตัวเอง  ชีวิตที่มีแต่ความผิดหวังและความเสียใจ  ผมคิดว่าคงไม่มีใครที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางความมืดมนและความเศร้าเหมือนอย่างผม
	ผมเดินขึ้นมายังจุดชมวิวซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในตัวเมือง  กว่าจะขึ้นมาได้ก็ต้องใช้เวลานั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างขึ้นมาเกือบครึ่งชั่วโมง  มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดของเรา  ผมเคยได้ยินจากคนเก่าคนแก่ว่าจังหวัดของเราที่เคยเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังในอดีต  โดยเฉพาะธรรมชาติที่สวยงาม  ทั้งป่าไม้  หาดทราย  และท้องทะเล  แต่เมื่อความเจริญรุกล้ำเข้ามา  ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ผุดขึ้นมามากมายทั้งโรงปลาป่น  โรงงานผลิตสารเคมี  โรงงานทำกระดาษ  มันได้ทำลายความงามของธรรมชาติจนเก อบหมดสิ้น  
	ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมง  จึงยังไม่มีใครขึ้นมาเที่ยว  ทั่วทั้งบริเวณมีแค่ผมเพียงคนเดียว  แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะมีคนขึ้นมาท่องเที่ยวมากมาย   ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวที่พากันมาชมทิวทัศน์ผ่านกล้องส่องทางไกลหยอดเหรียญ   บ้างก็เอาสัมภาระมาปูเสื่อเพื่อนั่งทานอาหารกันอย่างมีความุข  แต่เมื่อถึงเวลาเย็นก็จะมีหนุ่มสาวหลายคู่มาอาศัยช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินสร้างบรรยากาศโรแมนติก
	ผมปีนข้ามรั้วลูกกรงที่สูงระดับหน้าอกที่สร้างไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแก่นักท่องเที่ยวหรือผู้คนที่มาชมวิวตกลงไปในหุบผาเบื้องล่าง  หลังจากใช้ความพยายามไม่นาน  ผมก็ก้าวลงไปยืนอยู่บนขอบหน้าผา  รองเท้าผ้าใบสีเทาที่มีพื้นยางสีขาวไม่ช่วยให้เกาะพื้นเท่าที่ควร  ลมที่พัดแรกทำให้ผมเกือบเสียหลัก  กางเกงสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ผมสวมใส่ถูกลมพัดกระพือไปมา  ผมต้องเอามือคว้ารั้วลูกกรงเอาไว้   ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด  มองดูภาพทิวทัศน์เบื้องหน้า  ภาพที่ทำให้ผมสะเทือนใจทุกครั้งที่มองเห็น  ควันดำที่ปล่อยออกมาจากโรงงานนับสิบแห่งที่ตั้งอยู่ริมทะเลที่เคยสวยงาม  หาดทรายสีขาวหม่น   น้ำทะเลสีดำคล้ำ  ท้องฟ้ามีเมฆสีเทาปกคลุมไปทั่ว  ต้นสนลำต้นสีเทาดูซีดเซียวที่ปลูกเรียงรายอยู่ริมทะเล  มองดูราวคนชราที่กำลังรอวันสุดท้ายของชีวิต
	ได้เวลาแล้ว  ได้เวลาจบชีวิตที่แสนเศร้าเสียที  ผมสูดลมหายใจอีกครั้งเพื่อรวบรวมความกล้า  ลมกรรโชกมาอย่างแรงจนทำให้ผมต้องใช้มืออีกข้างตะปบรั้วลูกกรงเอาไว้
	นั่นใครอยู่ตรงนั้น  เสียงของใครบางคนทำให้ผมชะงัก  หันกลับไปยังต้นเสียง  ชายชราคนหนึ่งถือไม้เท้าใส่แว่นตาดำกำลังเดินตรงมายังจุดที่ผมยืนอยู่  เมื่อแกเดินเข้ามาใกล้  ผมก็เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน  อายุของแกคงยังไม่ถึงหกสิบปี  แต่ผมแกกลับหงอกขาวไปทั้งศีรษะ  รูปร่างเตี้ย  ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว  ใส่กางเกงขายาวสีเทาดูเชยๆ  มือข้างหนึ่งของแกถือลอตเตอรี่ปึกหนึ่ง  อีกข้างถือไม้เท้าอะลูมิเนียม   เผาเดาว่าแกคงตาบอดทั้งสองข้าง  แม้ว่าจะใส่แว่นดำปิดบังดวงตาเอาไว้  แต่ผมก็สังเกตได้จากท่าทางการเดินที่เอาไม้เท้าเคาะพื้นอยู่ตลอดเวลา  หน้าตาแกดูคุ้นๆ  แต่อาจจะเป็นไปได้ว่ามีคนลักษณะท่าทางอย่างแกอยู่มาก
	ใคร ไปทำอะไรข้างนอก  ระวังเดี๋ยวจะตกลงไป  แกคงรู้ว่าผมอยู่นอกรั้วจากประสาทสัมผัสทางการได้ยินที่ดีกว่าคนปกติทั่วไป
	ไม่มีอะหรหรอกลุง   ผมแค่ออกมายืนชมวิวข้างนอก ผมพูดอย่างเบื่อๆ  ขนาดจะฆ่าตัวตายก็ยังไม่สมหวังเลย
	พ่อหนุ่ม  ทำอะไรพิเรนทร์อย่างนั้นอยู่ข้างในก็ดูได้นี่นา  กลับเข้ามาเหอะมันอันตราย
	ขอผมอยู่ตรงนี้สักประเดี๋ย  แล้วทำไมลุงมาขายลอตเตอรี่ตอนนี้  ยังไม่มีคนมาเที่ยวหรอกลุง  ลุงกลับไปก่อนเถอะ ผมพยายามไล่แกทางอ้อม
	เปล่า  ข้าแค่อยากมาสัมผัสกับธรรมชาติ
	ลุงพูดเหมือนกับลุงมองเห็นยังงั้นแหละ ผมแกล้งพูดประชด
	ข้ามองไม่เห็นหรอก  แค่ได้สัมผัสกับสายลมเย็นๆ   ได้กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าข้าก็มีความสุขแล้ว  ฟังเสียงพ่อหนุ่มท่าทางคงจะมีเรื่องไม่สบายใจ  อย่าบอกนะว่ากำลังคิดจะฆ่าตัวตาย ชายชราคงเดาจากน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยของผม
	ผมอยากจะพูดเหน็บแกว่าตาบอดสอดตาเห็น  แต่ผมกลับชวนแกคุยต่อเพราะเห็นว่าแกกับผมหัวอกเดียวกัน เป็นคนพิการเหมือนกัน
	ใช่  นี่ถ้าลุงไม่มา  ผมคงกระโดดหน้าผาลงไปแล้ว
	แล้วพ่อหนุ่มมีเรื่องอะไรกลุ้มใจหนักหนาถึงคิดจะฆ่าตัวตาย
	ลุงอยากฟังจริงๆ เหรอ
	ลองเล่ามาซิ  เผื่อบางทีข้าจะช่วยเอ็งได้บ้าง
	ผมพยายามเรียบเรียงเรื่องราว  ก่อนที่จะเริ่มเล่าชีวิตอันแสนเศร้าของผม

	แม่ผมเป็นคนงานคัดปลาอยู่ที่โรงงานทำอาหารทะเลแช่แข็ง  ตอนที่แม่ตั้งท้องผม  ผมได้ยินมาว่าเกิดอุบัติเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วในโรงงานที่แม่ทำงานอยู่  แม่สูดก๊าซแอมโมเนียเข้าไปมาก จนต้องเข้าโรงพยาบาล  ด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้  หลังจากที่ผมคลอดออกมา  ผมก็เลยกลายเป็นคนพิการ  หนำซ้ำหลังจากผมเกิดมาไม่นาน  พ่อก็หายสาบสูญไปตอนออกเรือหาปลา  ผมเติบโตมาพร้อมกับปมด้อย   แม้เพื่อนๆ  ไม่มีใครสนใจหรือว่ารังเกียจความพิการของผมก็ตาม   แต่ผมไม่อยากจะไปสุงสิงกับใคร  ใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างโดดเดี่ยวหงอยเหงา  โชคดีที่ผมอยู่ใกล้ทะเล  ผมก็เลยอาศัยธรรมชาติเป็นเพื่อน  ผมชอบเล่นน้ำทะเล  ชอบสายลมที่พัดมาเบาๆ  ชอบแสงแดดที่ส่องมาให้ผมได้รู้สึกอบอุ่น  ชอบดูเมฆรูปร่างประหลาด
	ลุงยังไม่เห็นเหตุผลที่พ่อหนุ่มต้องคิดฆ่าตัวตายเลยนี่
	ลุงฟังผมให้จบก่อน  ความที่ผูกพันกับธรรมชิต  ผมจึงอยากจะปกป้องธรรมชาติจากคนที่ไม่มีความรับผิดชอบที่ทำลายธรรมชาติ  เมื่อไม่กี่วันมานี้หลังจากที่ผมเรียนจบชั้นมัธยม  ผมจึงคิดที่จะเรียนต่อในสาขาอาชีพที่ผมตั้งใจ  นั่นก็คือตำรวจ  ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์  ผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม  ผมจะได้ไปจับกุมโรงงานที่ขาดความรับผิดชอบปล่อยน้ำเสียออกมาทิ้งลงทะเล  โรงงานที่ปล่อยควันพิษจนท้องฟ้าหม่นหมอง  แต่หลังจากที่ผมไปสมัครเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหารเพื่อสอบเข้าเป็นนายร้อยตำรวจ  ผมก็ต้องถูกปฏิเสธ  ผมไม่ผ่านการตรวจร่างกาย  แต่ผมก็ไม่ลดละความพยายาม  ผมไปสมัครเข้าโรงเรียนพลตำรวจ  ผลก็ออกมาเหมือนเดิม  เข้าไม่ต้องการคนพิการอย่างผม  ทำไมเขาต้องกีดกันผมด้วย  ผมไม่เข้าใจ  ถึงผมจะพิการ  แต่ผมคิดว่าผมก็สามารถทำหน้าที่ของตำรวจได้อย่างเต็มที่  โดยเฉพาะจิตใจของผมที่พร้อมยอมเสียสละเพื่อธรรมชาติ  เพื่อสิ่งแวดล้อม
	นี่พ่อหนุ่ม   ฟังลุงพูดนะ  ถึงแม้ว่าพ่อหนุ่มจะไม่ได้เป็นตำรวจอย่างที่ฝันไว้  พ่อหนุ่มก็มีทางเลือกอื่นอีกเยอะแยะดูอย่างลุงซิ  ลุงเคยฝันที่จะเป็นหมอ  แต่เมื่อไม่ได้เป็นก็ไม่เป็นไร  เราก็ยังหัวเราะได้  ยิ้มได้  ยังมีความสุขได้เสมอ
	ลุง  แต่มันเป็นวิธีที่ผมจะสามารถปกป้องธรรมชาติจากบรรดาคนเห็นแก่ตัวได้
	นี่พ่อหนุ่ม  เราไม่สามารถควบคุมหรือจัดการทุกอย่างในชีวิตให้เป็นไปได้อย่างที่ใจเราต้องการหรอกนะ  แต่ในที่สุดธรรมชาติก็จะปรับสมดุลของมันเอง  ดูอย่างลุงซิ  แม้ลุงจะตาบอด  แต่ประสาทสัมผัสอย่างอื่นของลุงก็ดีเยี่ยมเพื่อมาชดเชยกัน
	แต่
	อีกอย่าง  ที่พ่อหนุ่มพูดเรื่องธรรมชาติที่ถูกทำลาย  ลุงว่ามันไม่ร้ายแรงถึงขนาดนั้นหรอก  หาดทรายและน้ำทะเลบ้านเรายังคงน่าจะเป็นสีครามสดใสและสวยกว่าที่อื่นๆ  ท้องฟ้าก็ยังคงสวยงาม  ยิ่งตอนพระอาทิตย์ตกดิน  มันสวย  มันเหมือนกับใครเอาสีส้มสดใสไประบายท้องฟ้า
	ลุงพูดเหมือนลุงมองเห็นอย่างนั้นแหละ
	ใช่  ลุงเห็น  แต่ไม่ใช่ตอนนี้  ลุงเคยเห็นเมื่อหลายปีแล้ว
	งั้นลุงก็ไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด
	ใช่  ลุงเคยมีชีวิตที่สดใส  เป็นคนเรียนเก่ง  อนาคตคงได้เป็นนายแพทย์อย่างที่ลุงใฝ่ฝัน  ลุงมีแฟนสาวที่สวยน่ารัก  แต่ทุกอย่างก็มาพังพินาศเมื่อลุงประสบอุบัติเหตุในห้องทดลองจนทำให้ลุงตาบอดทั้งสองข้าง  แรกๆ  ลุงก็ทำใจไม่ได้  คิดจะฆ่าตัวตายเหมือนกัน  แต่เมื่อลุงมีสติและได้คิดว่าชีวิตเรายังคงมีคุณค่าและมีความหมาย  ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนพิการก็ตาม  โลกที่สวยงามยังยินดีต้อนรับเราเสมอ
	ถ้าเป็นจริงอย่างที่ลุงเล่า  ชีวิตของลุงน่าเศร้ากว่าผมเยอะเลย ผมมัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง  คิดว่าตัวเองมีชีวิตที่น่าเศร้าที่สุด
	ใช่  พ่อหนุ่มพูดถูก  ถ้าเรามีความทุกข์ก็ขอให้คิดว่าคนอื่นอีกมากมายที่มีความทุกข์หนักหนาสาหัสกว่าเรา  โดยเฉาพะพ่อหนุ่มที่อายุยังน้อย  ขอให้มองโลกในแง่ดี  มีความหวัง  ขอให้คิดว่ายังมีสิ่งดีๆ รอเราอยู่ในอนาคต
	คำพูดของชายชราทำให้ผมอึ้งไปพักหนึ่ง  ใช่ แกพูดถูก  ชีวิตของผมยังคงมีความหวังอย่างอื่นอีกมาก  แม้ผมจะผิดหวังที่ไม่ได้ทำและเป็นในสิ่งที่ผมตั้งใจมาตลอดก็ตาม
	ผมตัดสินใจปีนข้ามรั้วกลับเข้ามายืนเคียงข้างชายชรา  แล้วเอื้อมมือไปจับแขนของแก
	ลุงครับ  ขอบคุณคุณลุงมาก  ลุงชื้ทางสว่างกับผม  ผมจะไม่คิดฆ่าตัวตายอีกต่อไปแล้ว
	พ่อหนุ่ม  คิดได้ยังงี้ก็ดีแล้ว  ขอให้พ่อหนุ่มโชคดี  ได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต
	งั้นผมขอลาเลยนะครับ
	พ่อหนุ่ม  นั่นจะกลับลงไปแล้วหรือซื้อลอตเตอรี่สักใบมั้ย  เผื่อบางทีโชคดีจะเข้ามาหาพ่อหนุ่มตั้งแต่วันนี้
	ไม่ละครับ  แค่ได้คุยกับลุงแล้วทำให้ผมได้คิด  ได้มีสติ  มันก็ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่อีกครับ
	นั่นพ่อหนุ่มเดินกลับลงไป  ไม่ได้ขึ้นรถขึ้นมาเองหรอกรึแกถามเมื่อได้ยินฝีเท้าของผมไม่ได้เดินไปบริเวณที่จอดรถ
	โธ่ลุง  คนพิการอย่างผม  จะขับรถได้ยังไง  เข้าไม่ทำใบขับขี่ให้หรอกครับ
	เออ  ลุงยังไม่รู้เลยว่าพ่อหนุ่มพิการยังไง
	ผมมองกลับไปยังท้องฟ้าสีเทาดูหมองหม่นอีกครั้ง  ตอนนี้ผมพยายามใช้จินตนาการทำให้มันกลับกลายเป็นภาพท้องฟ้าที่สดใสสวยงามเต็มไปด้วยความหวัง  แม้มันจะยากสักเพียงใด  ก่อนที่ผมจะตอบคำถามชายชรา
	ผมตาบอดสีครับ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟห้วงคำนึง
Lovings  ห้วงคำนึง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟห้วงคำนึง
Lovings  ห้วงคำนึง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟห้วงคำนึง
Lovings  ห้วงคำนึง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงห้วงคำนึง