25 มิถุนายน 2547 11:46 น.
เกี้ยมอี๋
ความน่ากลัวที่มาพร้อมกับความคิดที่พยายามจะเอาชนะความกลัว
ผมชื่อ สมพงษ์ เป็นคนเก่ง คนกล้า คนดี ไม่เคยคิดที่จะกลัวอ่านหนังสือเรียน ไม่เคยคิดที่จะจะกลัวที่จะทำสิ่งดีๆให้กับสังคม ถ้าหลายๆคนคิดได้อย่างสมพงษ์ สังคมที่ว่าห่วยแตกคงจะไม่มีใครพูดถึง ไม่แน่อาจจะลืมไปเลยด้วยซ้า แบบนี้ใครๆก็รู้จะมาบอกทำไม ก็ใช่อยู่ครับ เคยดู advertisement ชิ้นหนึ่งมั้ยหละครับที่ว่า "อย่ากลัว อย่ากลัว อย่ากลัว" อะไรนั่นหนะ แค่เห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่า ad ตัวนี้ มองข้ามจุดด่างดำ จุดแตกลายงาม ลอ่งรอยเล็กๆน้อยๆตามส้นเท้า หรือ ซอกแขนอะไรประมาณนั้น
เคยได้ยินคำว่า "พ่อแม่รังแกฉันหรือ" ป่าวครับ หากนำมาเปรียบเทียบกับ ad ตัวนี้ชั่งละม้ายคล้ายคลึงกันเหลือเกิน คือการที่คิดจะหวังดีอะไรกับใครสักคนนึง 2คน 3คน หรือเป็นประชาชนทั้งประเทศอย่างที่ adตัวนี้กำลังทำอยู่ มันก็ดีอยู่หรอกครับ ดีสัก 1,000,000 คน แต่เฮี้ย ไม่ถึง 10 คนเนี่ย ถามผมว่าad ตัวนี้สอบผ่านมั้ย f ผมจะให้หรือปล่าวก็ยังไม่รู้ ต้องไปดูคะแนนความตั้งใจ ที่พยายามจะสื่อสิ่งดีๆออกมาอีกทีไม่งั้นเทอมนี้ คงต้องไปขอตังแม่มาลงตัวนี้อีกครั้งเป็นแน่ แล้วอะไรหละที่ว่าสอบไม่ผ่าน เออน่าคิดมั้ยหละครับ หนึ่งล้านคนกับสิบคน มันต่างกันจะตาย ถามจริงๆคิดแบบนั้นจริงหรอ เอาแม่คุณตายแค่คนเดียว กับ คนสักแสนนึง ให้เลือกว่าถ้าคุณสามารถขีดชีวิตได้ว่า2 อันนี้ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องตาย เอาข้อแรกดีมั้ยหละ
คงคล้ายๆกับพวกที่นั่งงอมืองอเท้าในที่ที่สบายๆ นอกเหนือจาก3จังหวัดชายแดนภาคใต้แหละมั้งที่บอกว่า "โจรในสามจังหวัดชายแดนเก่งจัง เก่งทั้งๆที่ไม่มีความรู้ ไม่มีอาวุธพรั่งพร้อมอะไรเลย แต่วางแผนเล่นงานตำรวจทหารได้เป็นกอง ทำไมมันกล้าแบบนี้ มันไม่กลัวตายกันหรือยังไง" นี่แหละครับอีกหนึ่งตัวปัญหา ถึงแม้จะเป็นตัวอย่างใหญ่ๆที่นำมายกให้ดู แต่เชื่อเหอะครับว่านี่แหละคือปลายทางของการพยายามเอาชนะความกลัว แล้วกลายเป็นปัญหาหายนะที่แม้แต่มดตัวเล็กๆก็ใกล้ที่จะสะกดคำนี้เป็นกันแล้ว
เอาชนะความกลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวที่จะถูกเพื่อนล้อว่าไม่แน่ ไม่เจ๋ง ไม่แมน ไม่ทันสมัย ไม่อะไรอีกหลายๆอย่าง ไม่เห็นมากับตาผมไม่กล้าพูดหรอกครับ เล่นร้องเพลง อย่ากลัว อย่ากลัว หน้างานบ้านนอกๆนี่แหละตะลุมบอนใส่กัน โอ้ยวุ่นวาย จนถึงตำรวจต้องมาทำหน้าที่พระเอกขี่มาขาวอยู่เรื่อย
ลองเลยอย่ากลัวไม่ติดหรอก บ้างแหละ ลองเลยเดี๋ยวไม่เท่ห์นะไม่ต้องกลัวใครๆก็ทำ นี่แหละครับที่ผมต้องการสื่อ
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าที่สื่อต้องการสื่ออีกอย่าง เขาต้องการสื่อไปในทางที่ดี แต่รู้ไหมครับสื่อจะดีหรือไม่ดีมันดูได้จากผลที่ตามมาต่างหาก ข้อมูลดี จริง แต่ผลกระทบเหลวไหลดูไม่ได้ แต่พอ ข้อมูลไม่ดี มั่วอีกต่างหาก แต่ผลดีเกินคาดและสังคมหน้าอยู่ เอาอย่างไหนดีหละคนไทยครับ คงไม่ต่างจากคำขอของท่านนายกทักษิน ที่อยากให้สื่อเสนอผลงานที่ส่งผลในทางบวกต่อประเทศชาติบ้างเรื่อง3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช่ครับท่านไม่พูดหรอกว่าโกหกบ้างก็ได้ มั่วข่าวมั่งก็ได้นะ ถึงไม่บอกตรงๆ แต่ใครๆที่ได้ยินคำเหล่านี้ที่ท่านพูดก็คงรู้กันเป็นนัยๆอยู่ดีแหละ บางคนอาจไม่เห็นด้วยเพราะเชื่อว่ามีไม่กี่คนหรอกที่คิดอย่างผม
แล้ว ถ้าสักวันหนึ่งผมกำลังแต่งตัวหล่อไปงานเลี้ยงหรูๆสักที่ ผมไม่สนใจส้นเท้าและ ซอกแขนหรอกของผมหรอก ไม่มีใครสนใจนี่หว่า แต่พอผมกำลังเอื้อมมือเพื่อจะตักอาหาร กลิ่นเต่ากลับเล่นงานผมเข้าให้อย่างจัง ส่วนส้นเท้าที่แตกอยู่ถึงแม้ไม่ใช่ปัญหาที่คุณคิดออก แต่มีใครบ้างหละอยากให้ส้นเท้าของตัวเองแตก
ผมไม่ต้องการให้ประเทศไทยของเราเกิดการแตกแยก และผมก็ไม่อยากไปลบหลู่ดูหมิ่นความคิดของใครๆหรอก โดยเฉพาะบุคคลที่พยายามจะเสนอผลงานดีๆออกมาเพื่อสังคม ขอแสดงความนับถือจืตใจของคุณ แต่ผลงานของคุณคยละเรื่องนะครับ
อย่าให้ต้องมาชนะความกลัว อย่างพวกอเมริกา หรือ อิรัก แม้แต่กระทั่งตัวก่อการร้ายเลยครับ
เอาชนะความกลัวได้แต่ อย่าให้หมดเลยครับคนเรามันต้องกลัวบ้างถึงจะสงบสุขกันทั่วหน้า
23 มิถุนายน 2547 22:34 น.
เกี้ยมอี๋
ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า
" มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า
พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ
ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด
อีกคนคัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า
ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน "
นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า
" ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ "
ไอสไตน์ พูดว่า
" งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ
คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควัน
เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไปเก่าเหมือนกัน
ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย
ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า
ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน
ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า
ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ "
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
" อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก
ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรก
เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย
ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย
..... ถูกไหมครับ...."
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน
ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้
ไอสไตน์ ค่อยๆพูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
" คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน
จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก
นี่แหละที่เขาเรียกว่า " ตรรก " "
เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด
ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล
แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ " ตรรก "
จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก
" พันธนาการของความเคยชิน "
หลบเลี่ยงจาก
" กับดักทางความคิด "
หลีกหนีจาก
" สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง "
ขจัด
" ทิฐิแห่งกมลสันดาน "
จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด
ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้