30 มีนาคม 2552 16:54 น.

เพื่อประชาธิปไตย

เทพธัญญ์

...กว่าจะเห็น เป็นปึกแผ่น แก่นนำไทย
ประชาธิปไตย ได้เป็นร่าง
กว่าจะปัก ให้หลักแน่น เป็นแกนกลาง
เป็นแนวทาง วางการเมือง รุ่งเรืองมา
   ต้องหลั่งเลือด เดือดร้อน ก่อนจะพบ
ต้องประสบ พบคืนวัน อันผวา
วีระชน คนเรียกร้อง ต้องจากลา
จึงได้มา ประชาธิปไตย
   เป็นเรี่ยวแรง แห่งมวลชน คนใจกล้า
เป็นคุณค่า น่าชื่นชู คู่สมัย
เป็นอำนาจ ราษฎร์ประชา ฝ่าเอาชัย
เป็นครรลอง ปกครองไทย ให้ร่มเย็น
   ได้หมุนเวียน เปลี่ยนระบบ พบระเบียบ
สุดจะเทียบ เปรียบสิ่งใด มาให้เห็น
เป็นต้นไม้ ให้สังคมได้ร่มเย็น
เปลี่ยนยุคเข็น เป็นยุคทอง ของชาติไทย
   ขอมวลชน คนไทย ในวันนี้
สดุดี วีรชน คนหลับใหล
จงปกปัก รักษา ประชาธิปไตย
อยู่คู่แคว้น แผ่นดินไทย ไปชั่วกาล
   ชนรุ่นหลัง เลือดหลั่งรินไม่สิ้นเปล่า
เพียงพวกเรา เผ่าผองไทย ใจผสาน
ยึดความซื่อ ถือความสัตย์ ปฏิบัติงาน
เพื่อสืบสาน การเมืองไทย ให้รุ่งเรือง
   แต่วันนี้ ที่เป็นอยู่ ดูอนาถ
คนในชาติ ขาดสามัคคี สีแดงเหลือง
เอาประชาธิปไตย ใช้การเมือง
สร้างเป็นเรื่อง เครื่องต่อรอง ของใครกัน
   ต่างต่อสู้ กู้ประชาธิปไตย
เพื่อเมืองไทย หรือใครนั้น มันสงสัย
เหลืองก็แรง แดงก็ซ้ำ ทำเพื่อใคร
ถือประชาธิปไตย ของใครมัน
   เหลืองก็ไทย ใยไม่ร่วมรวมกันไว้
แดงก็ไทย ใยแบ่งแยก แตกความฝัน
ร้องบรรเลง เพลงชาติไทย เพื่อใครกัน
หรือประชาธิปไตยนั้น มันเพื่อกู				
17 มีนาคม 2552 13:56 น.

สวรรค์บ้านนา

เทพธัญญ์

...อัศดง ตรงขอบฟ้า คราเย็นคล้อย
ตะวันย้อย ลอยลงต่ำ ล้ำเวหา
ลมพัดแผ่ว แว่วสำเนียง เสียงนกกา
ท้องทุ่งนา คราเย็นย่าง ช่างวิไล
   ทุ่งขจี สีเขียว เหลียวแลจ้อง
แดดอ่อนต้อง ทั่วท้องนา หญ้าไสว 
ลมเย็นโชย โบยโบก โยกก้านใบ
โอนอ่อนไหว ในทุ่งนา คราสายัญ
   มองเจ้าทุย ลุยกินหญ้า คราแดดร่ม
ดูสุขสม ก้มกินหญ้า น่าสุขสัน
นกเอี้ยงน้อย คอยเลี้ยงดู อยู่หลังมัน
ร้องขบขัน ประชันเสียงสำเนียงไพร
   จูงเจ้าทุย ลุยคันนา มากระท่อม
เดินครวญเพลงบรรเลงกล่อม พร้อมคันไถ
เลาะชายทุ่ง มุ่งเถียงนา มาไม่ไกล
ถึงบ้านไพร ใกล้กองฟาง กลางทุ่งนา
    ในราตี ที่ท้องนา คราพบค่ำ
เป็นประจำ สำเนียง เสียงพฤกษา
จักจั่นร้อง พร้องเรไร ไขวาจา
แว่วบรรเลงเพลงบ้านนา พาสุขใจ
   ใกล้สว่าง กระจ่างฟ้า ครารุ่งเช้า
ลมแผ่วเบา เคล้าน้ำค้าง ช่างสดใส
เจ้าไก่โต้ง โก่งคอขัน ลั่นทุ่งไกล
ปลุกชาวนาคราหลับใหล ให้ตื่นกาย
   เตรียมคาดไถ ใส่เจ้าทุย ลุยไถหว่าน
พร้อมสู้งาน ผ่านแดดอุ่น อรุณฉาย
จัดข้าวปลา อาหารห่อ พอเลี้ยงกาย
ตะวันสาย หมายมุ่งสู่ทุ่งนา
   เป็นวิถีที่เรียบง่าย มาหลายยุค
คือความสุข คลุกเค้าดิน ถิ่นหรรษา
แดนสวรรค์ อันสุขี ที่บ้านนา 
มีคุณค่า น่าหลงใหล ในครรลอง				
12 มีนาคม 2552 11:21 น.

หลง

เทพธัญญ์

...ก้มหน้าตา บูชารัก ปักดวงจิต                                        
ทุ่มชีวิต จิตใจ ให้กับเขา                                                 
วาดหวังไว้ ให้รักนี้ มีเพียงเรา                                        
เชื่อใจเขา เฝ้าหวงแหน แสนคำนึง
(เทพธัญญ์)

   ทุกถ้อยคำที่เธอย้ำและพร่ำบอ ก
อาจกลับกลอกแต่ไม่เคยคาดถึง
ทุกทุกวันเพ้อฝันและรำพึง
เธอคือหนึ่งคนเดียวในหัวใจ
(somebody)

  เชื่อมั่นเธอ เสมอใจ ไม่หวาดหวั่น
แม้ทางฝัน นั้นลำบาก ยากเพียงไหน
ยังแน่วแน่ แม้เขาทำ ให้ช้ำใจ
ให้อภัย ไม่เคยโกรธ โทษตัวเรา
(เทพธัญญ์)

  จะกี่ครั้ง กี่ทีที่จับได้
ต้องร้องไห้กับตัวเองอย่างเหงาเหงา
เธอนอกใจแอบมีใคร ไม่สนเรา
ได้แค่เศร้า เก็บเอาไว้เพียงคนเดียว
(somebody)

   คำคนเตือน เหมือนไร้ค่า อย่ามาบอก
ฝืนใจหลอก บอกตัวว่า อย่าเฉลียว
ยอมเปิดใจ ให้เขาฉีก อีกครั้งเดียว
แต่สุดท้ายเจ็บหลายเที่ยว  เดี๋ยวคงชิน
(เทพธัญญ์)

จนวันนี้วันที่ใจนั้นได้คิด
ใจหลงผิดคิดว่าเขานั้นตงฉิน
คำเตือนคนมากมายที่ได้ยิน
พิสูจน์สิ้น รู้ทันคน กลลวงเธอ
(somebody)				
4 มีนาคม 2552 14:45 น.

สัญญาดอกจาน

เทพธัญญ์

สิ้นเหมันต์ อันเหน็บหนาว คราวลมล่อง
แสงแดดส่อง ท้องทุ่งนา คราคิมหันต์
ลมแล้งหวน มวลแมกไม้ ไร้ชีวัน
เมื่อคิมหันต์ อันร้อนเร่า เข้ามาวน
   มองท้องนา หญ้าเคยเขียวก็เหี่ยวแห้ง
แสงแดดแรง แห้งเหือดน้ำ ซ้ำขาดฝน
หนุ่มบ้านนา ตาละห้อยรอคอยคน
ดั่งป่าดอยคอยหยาดฝน หล่นระริน
   นั่งใจลอย คอยน้องนาง กลางท้องทุ่ง
น้องจากไกลไปอยู่กรุง มุ่งถวิล
ยังตามข่าว สาวบ้านนาเป็นอาจิณ
โอ้ยุพิณ บินอยู่ไหน ไม่หวนมา
   หรือลืมแล้ว แก้วตาพี่ ที่กระท่อม
เคยโอบอ้อม กล่อมบังอร นอนเถิดหนา
กบเขียดร้อง ก้องประสาน ขานวาจา
แสงจันทร์ส่องท้องทุ่งนา ราตรีกาล
   ลมพัดแผ่ว แว่วสำเนียง เสียงหรีดร้อง
พี่โอบน้อง คล้องแขนกอด พรอดคำหวาน
อุ่นไอดิน กลิ่นท้องนา พาสำราญ
ผูกสองใจให้ผสาน กาลเวลา
   ลมพัดหวิว ปลิวยอดไม้ ไหวสะท้าน
ทุ่งดอกจาน บานสะพรั่งกลางเมษา   
เก็บดอกจานผสานใจ ให้สัญญา
กลางทุ่งนา คราคิมหันต์ไม่ผันใจ
   สัญญาใจ ใต้ต้นจาน พยานรัก
ผูกสมัคร รักคงมั่นไม่หวั่นไหว
สองหัวใจ ไม่ผันแปร แม้ห่างไกล
นานตราบใด ใจเราสอง ครองคู่กัน
   สิ้นเมษาเจ้าลาพราก จากบ้านทุ่ง
เข้าเมืองกรุง อันรุ่งเรืองเมืองสวรรค์
แม่ดอกจาน บ้านนา ลาจากกัน
ไปตามฝัน อันรุ่งเรืองที่เมืองไกล
   ก่อนจากกัน สัญญาใจ ให้คงมั่น
แม้ลาล้างห่างไกลกัน อย่าหวั่นไหว
ฝากดอกจาน พยานรัก สลักใจ
แซมผมไว้ ให้แก้วตา คราห่างกัน
   เฝ้าตามข่าว สาวบ้านนา คราไกลห่าง
ระยะทาง ห่างเพียงใด ใจเฝ้าฝัน
คิดถึงมาก อยากพบเธอ เจอหน้ากัน 
คอยมองจันทร์ วันใจเหงา เฝ้าห่วงใย
   เฝ้าโทรตาม ถามข่าว สาวตลอด
คอยพร่ำพรอด ยอดคำถาม งามเหนื่อยไหม
ห่วงสาวน้อย กลอยมีสุข หรือทุกข์ใจ
คอยห่วงใย ไถ่ถามข่าว สาวบ้านนา
   ย่างเดือนหกฝนตกริน กลิ่นฝนคลุ้ง
น้ำหลากทุ่ง มุ่งฤดู สู่พรรษา
กบเขียดร้อง ก้องบรรเลง เพลงบ้านนา
สุขอุรา หน้าวสันต์ อันฉ่ำเย็น
   พอสิ้นฝน คนอยู่ไกล ใจเริ่มห่าง
ส่อหนทาง ร้างลา มาให้เห็น
เพราะอะไร ใยเปลี่ยนได้ ใจเนื้อเย็น
ไม่เคยเป็น เช่นเมื่อก่อน ตอนอยู่นา
   ได้ข่าวมา ว่าสาวน้อย กลอยใจพี่
เจ้าได้ดี ที่เมืองกรุง รุ่งหนักหนา
แม่ดอกจาน บานเด่นเป็นดารา
เป็นขวัญใจในคลับบาร์ ดาราดัง
   เจ้าหลงเดิน เพลินแสงสี ที่เมืองฟ้า
หลงมายา พาใจปลื้ม ลืมคนหลัง
เที่ยวดึกดื่น ครื้นเครงใจ ในบาร์ดัง
ลืมความหวัง ครั้งจากนา มาทำงาน 
   หรือลืมแล้ว แก้วตาสัญญาลั่น
ตอนคิมหันต์ สัญญาเอ่ย เคยขับขาน
มีดอกจาน บานเด่น เป็นพยาน
คำสัญญา สาบาน ผ่านทุ่งนา  
    ทุ่งดอกจาน บานสะพรั่ง อีกครั้งแล้ว
แต่ไร้แวว แก้วตาพี่ ที่ห่วงหา
ยังรอข่าว สาวดอกจาน แห่งบ้านนา
จะคืนมา หาคนคอย กลอยหวนคืน
   จนดอกจาน บานแล้วหล่น คนก็เศร้า
ทุ่งนาร้างว่างเปล่า เหงาสุดฝืน
วอนลมข่าว สาวบ้านทุ่ง มุ่งหน้าคืน
สะกิดใจให้ขวัญยืน คืนกลับมา
   กลับมาเป็น เช่นดอกจาน บานสะพรั่ง
หวนคืนรัง พลั้งพลาดไป ไม่ถือสา
เจ้าดอกจาน ควรบานอยู่ คู่ท้องนา
คืนกลับมา หนุ่มนาพร้อม ยอมอภัย				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเทพธัญญ์
Lovings  เทพธัญญ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเทพธัญญ์
Lovings  เทพธัญญ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเทพธัญญ์
Lovings  เทพธัญญ์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเทพธัญญ์