กำมะหยี่สีเขียว

สมภพ แจ่มจันทร์

กำมะหยี่สีเขียว...

ผมสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด

สดชื่น...หอมดี... และหอมมากๆ

หนึ่งสัปดาห์ของการเป็นประชากรแฝงในเมืองนี้ ผมไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัวจะรู้จักก็แต่พนักงานห้าหกคนในที่ทำงานของผม และก็มีอาของผมคมเดียวเท่านั้นที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน หลังเลิกงาน ซึ่งเป็นเวลาว่างของผม นอกจากการอ่านหนังสือแล้วเวลาว่างส่วนที่เหลือของผมจะมีกิจกรรมอะไรอีกเล่า

ผมตั้งคำถามให้ตัวเอง

“โทรศัพท์คุยกับเพื่อน” ก็ไม่รู้จะคุยอะไรกันมากมาย

“อินเตอร์เน็ต” ไร้ซึ่งสัญญาณ

3G” ไม่ต้องพูดถึง

“ปั่นจักรยานเที่ยว” คือคำตอบที่ตามมา เมื่อผมเหลือบไปเห็นจักรยานญี่ปุ่น ที่ย่าของผมฝากมาให้ ดังนั้นแล้วเย็นวันหนึ่งในช่วงหลังเลิกงาน ผมจึงเริ่มปั่นจักรยานออกมาจากบ้านเช่า แล้วมุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้านใกล้ๆ ผมว่าหมู่บ้านนี้ดูๆ ไปก็เหมือนเมืองในประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวนะ ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น แต่เอาเป็นว่า เมื่อพ้นเขตหมู่บ้านไปแล้ว ผมยังไม่อยากกลับ ผมยังคงมุ่งหน้าออกแรงปั่นต่อไป เพื่อออกไปยังนอกหมู่บ้าน

แล้วสิ่งที่ผมเลือกก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง...

ผืนกำมะหยี่สีเขียวอ่อนกำลังทาทับบนผืนดิน แล้วมันก็มีกลิ่น หอม...ครับ มันหอมมาก กลิ่นหอมของต้นข้าวที่กำลังโต ผมไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปมาด้วย จะมีก็เพียงโทรศัพท์กลางเก่ากลางใหม่เครื่องเดียวเท่านั้นที่ติดตัวมา

ผมกดปิดเพลง แล้วเอาหูฟังถอดเก็บไว้ในย่ามใบเก่าของผม แม้ว่ากล้องในโทรศัพท์มันจะไม่ชัดสักเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ มันสวยมากเสียจนผมไม่อยากจะเห็นมันเพียงคนเดียว

ปรอยฝนเม็ดเล็กๆ ถูกสายลมพัดมา มันไม่ถึงกับทำให้ผมเปียก แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเย็นสบายดี ข้างหน้าของผมนั้น เป็นนาข้าวเกือบจะสามร้อยหกสิบองศา สุดปลายสายตาเป็นภูเขา หรือจะเรียกว่าเทือกเขาดีล่ะ ที่โอบคลุมนาข้าวเหล่านั้นไว้ เมฆที่กำลังจะเป็นเม็ดฝนก็มันต่ำลงๆ จนผมคิดไปว่าหากผมไปถึงตีนเขา กลุ่มเมฆอาจจะกลืนกินผมไปก็เป็นได้

ความฉ่ำเย็นของละอองฝน กับความเย็นตาของนาข้าว ผมเหนือจะบรรยายจริงๆ ผมได้แต่ถ่ายรูปไว้ หมายว่าจะทำเป็นโปสการ์ดส่งไปให้มิตรที่เพิ่งจากลากันมา

ต้นเดือนสิงหาคม ต้นข้าวยังสูงไม่ถึงหัวเข่า นาบางแปลงมีสระน้ำอยู่ด้วย บางแปลงมีการปลูกผักแทรกตรงร่องน้ำเหมืองก่อนจะถึงแปลงนา ดินที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก ผมสังเกตดูจากสีของดิน ที่มันช่างดำดี (สีไม่ตก) ผักที่ปลูกมีทั้งผักกาด ผักชีไทย ผักชีฝรั่ง โหระพา ฯลฯ อ้อ...ผมลืมบอกไปว่า ทางภาคเหนือนั้นลำคลองเล็กๆ ที่แยกออกมาจากแม่น้ำใหญ่ เขาจะเรียกกันว่าน้ำเหมือง เมื่อมีการขุดร่องน้ำเพื่อผันเข้าสู่พื้นที่การเกษตร ก็จะเรียกว่าร่องน้ำเหมือง ตอนแรกที่ผมได้ยินว่าน้ำเหมือง ผมนั้นคิดไปถึงโน่น...เหมืองแร่ ก็ไอ้คำว่าเหมืองนี่ถ้าเอ่ยขึ้นใครๆ น่าจะคิดเหมือนผมนะครับ

เสียงน้ำเหมืองไหลจ้อกๆ มันไม่ลึกครับ ประมาณเลยหัวเข่า แต่ชาวบ้านบอกว่ามันจะไหลอย่างนี้ทั้งปี ไม่ว่าหน้าฝน หรือหน้าแล้ง เออนะ มันช่างต่างกับอีกหลายพื้นที่ตามข่าวนะครับ ที่ขาดแคลนน้ำทำการเกษตร และที่สำคัญที่เมืองนี้ไม่เคยมีน้ำท่วมหรือฝนแล้งเลย อันนี้เป็นคำบอกเล่าของแม่ค้าขายผักคนหนึ่งในตลาดนะครับ แบบว่าการันตีถึงความอุดมสมบูรณ์ในบ้านตัวเองว่างั้นเถอะ

ลุงกับป้าสองคนปั่นจักรยานสวนทางกันกับผม ผมส่งยิ้มไปให้พร้อมกับพยักหน้าเหมือนการทักทาย ท่านทั้งสองก็ยิ้มตอบให้ผม อีกอย่างหนึ่งที่ผมลืมไปเสียสนิท ผู้หญิงทางเหนือจะสูบบุหรี่กัน เรียกตามภาษาถิ่นคือ “มูลีขี้โย” ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ยายของผมก็สูบเหมือนกัน แต่เมื่อยายจากผมไป ผมก็ลืมไปเลย เมื่อมาเห็นป้าคนที่เพิ่งผ่านผมไป ป้าแกสูบมูลีขี้โยเหมือนยายของผมเลยครับ นี่แหละ “คนบ่าเก่า” ของจริง

ผมปั่นจักรยานออกมาจากหมู่บ้านราวสามกิโลเมตร แต่ทว่าท้องทุ่งสีเขียวยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลงสักที ผมนึกชื่นชมคนในหมู่บ้านนี้ และเมืองนี้ ว่ายังคงทำนาปลูกข้าวกันเป็นล่ำเป็นสัน เพราะที่ผ่านๆ มาผมเห็นชาวนาบางพื้นที่ เปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่น บางทีเปลี่ยนจากนาข้าวเป็นบ่อกุ้ง บางที่ก็ทำสวนยางพารา อีกอย่างหนึ่งคงเพราะที่นี่มีแหล่งน้ำด้วยละมั้ง

การเดินทางของผมมันช่างสวนทางกับผู้คนเสียจริงๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อกลับบ้าน แต่ผมกลับมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้าน ลุงกับป้าอีกคู่หนึ่งเดินแบกจอบกับข้องใส่ปลาสวนทางมา แกถามผมว่าจะไปไหน (เหมือนคนคุ้นเคยกัน) ผมบอกว่าจะไปเที่ยว แกยังถามต่อว่าที่นี่มีอะไรให้เที่ยว มันก็จริงของแกละครับ ลุงกับป้าคงจะอยู่ที่นี่มาชั่วชีวิต และเห็นทุกอย่างจนชินตาจนเป็นภาพปกติ แต่สำหรับผมแล้ว มันน่าตื่นเต้นสำหรับสถานที่พักพิงแห่งใหม่แห่งนี้

“ระวังฝนฮำหัวเน้อ” ป้าตะโกนไล่หลัง

มันก็จริงอย่างที่ป้าเขาว่า ข้างหน้าผมนั้นมีก้อนเมฆสีดำกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในหมู่บ้าน หากผมยังขืนไปต่อมีหวังเปียกแน่นอน เอาวะ แล้วค่อยมาใหม่ ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะเลี้ยวจักรยานกลับโดยมีลุงกับป้าหัวเราะคิกๆ อยู่ด้านหลัง

เหมือนภาพส่งท้ายก่อนกลับบ้าน ระหว่างทางกลับ มีฝูงนกกระยางบินมาร่วมสิบตัว ผมจอดจักรยานแล้วมองตามไป จนกระทั่งมันไปเกาะกลุ่มกันที่ต้นไม้กลางทุ่งนา ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนมากนัก และผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนต้นไม้นั้นก็มีนกกระยางอยู่แล้วกลุ่มหนึ่ง น่าจะเกินกว่าสิบตัว เมื่ออีกกลุ่มหนึ่งบินไปสมทบ ต้นไม้ทั้งต้น ก็กลายเป็นสีขาวเกือบหมด

โอ้โห...สวยอีกแล้วครับท่าน ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มิวายลุงกับป้าคู่เดิมจะเดินตามมาทัน คราวนี้ลุงเป็นฝ่ายบอกว่า มันมาทุกเย็นนั่นแหละ พรุ่งนี้มาก็เห็นเหมือนกัน ผมได้แต่ส่งยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะออกแรงปั่นจักรยานเข้าหมู่บ้าน

ผมได้แต่คิดว่าอีกไม่เดือนข้างหน้านาข้าวพวกนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีทอง ดังนั้นคำว่าทุ่งรวงทองก็กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า และกิจกรรมที่ตามก็คือการลงแขกเกี่ยวข้าว การตีข้าว มันคงจะเป็นภาพที่สวยงามดี ผมจะรอจนถึงวันนั้น และหากมีโอกาสผมอยากจะไปตีข้าวอีกครั้ง หลังจากที่เคยตีข้าวครั้งแรกตอนอายุ 17 ปี มันสนุกมากมายเหลือล้น แต่ตอนนี้ทำได้แค่ รอ...เท่านั้นครับ

แสงสว่างโรยลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปรอยฝนที่กำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นเม็ดฝน โชคดีที่ผมรีบเลี้ยวจักรยานกลับ เพราะหากขืนยังไปต่อ ต้องปั่นจักรยานกลับบ้านฝ่าความมืดพร้อมด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอนเป็นแน่  เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่  แต่ตอนนี้ผมต้องเร่งแรงปั่นก่อนละครับ เพราะแสงสว่างมันกำลังจะหมดจริงๆ เสียแล้ว

comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน