ข่าวสังคมตามสื่อต่าง ๆเกี่ยวกับเด็กและสตรีเกี่ยวกับดารา มักจะมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องเพศ เรื่องเซ็กส์ ดังระเบิดเถิดเทิงภาพที่ออกมาทางสื่อก็ล่อแหลมจะเป็นขั้นอนาจาร แถมพวกสื่อลามกมีทั้งหนังสือ วีซีดี และอินเตอรเนท ช่างโจ่งแจ้งแดงแจ๋ ไม่ปิดกั้นทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่ เห็นง่ายเกิดอารมณ์ร่วมง่ายดายไม่ต้องใช้จินตนาการอะไรทั้งสิ้น ต่างกับเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน สมัยที่ผมเริ่มแตกพาน สื่อพวกนี้ไม่ค่อยแพร่หลาย ถึงมีก็ไม่มีปัญญาจะหาดูเอง เมื่อเราสนใจก็จะต้องหาอ่านหนังสือทุกประเภท ทั้งหนังสือเริงรมณ์และวรรณคดีเก่า ๆ
สำนวนที่ติดปากในกลุ่มเรามักจะพูดถึง"จูบต่ำจับสูง"หัวเราะหัวใคร่กันเป็นที่ครื้นเครงก็ได้มาจากนิยายเรื่อง จันดารา นั่นแหละ สำหรับผมชอบเสาะหาบทอัศจรรย์อ่าน ซึ่งเป็นการสร้างจินตนาการอันวิไล ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งชอบความละเมียดละมัยของบรมครูกวีเก่า ก่อนท่านรู้จักหาคำและเรื่องราวมาแต่งให้สอดคล้องจนเราเห็นภาพอัศจรรย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้จึงอยากจะนำมาให้อ่านกันเล่น ๆ
จากวรรณคดีสังสองสามเรื่อง เพื่อให้เห็นว่า จินตานาการเกิดขึ้นได้ยังไง จากเรื่องพระอภัยมณี มีแฟนหลายคนยกตัวอย่าง
ผีเสื้อสมุทร
" เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด
กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง
ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง
ปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด
จะแก้ไขไม่หลุดสุดความคิด
ประกบติดตกผางลงกลางดิน "
นางเงือก
" พลางอิงแอบแนบน้องประคองเคล้า
ค่อยต้องเต้าเต่งอุรามารศรี
พระเชยปรางค์ทางฉะอ้อนอ่อนอินทรีย์
ร่วมฤดีเดือนหงายสบายใจ
อัศจรรย์ครั่นครื้นเป็นคลื่นคลั่ง
เพียงจะพังแผ่นผาสุธาไหว
กระฉอกฉานหาดเหวเป็นเปลวไฟ
พายุใหญ่เขยื้อนโยกกระโชกพัด
เมฆขลาล่อแก้วแววสว่าง
อสูรขว้างเขวี้ยงขวานประหารหัต
พอฟ้าวาบปลาบแปลบแฉลบลัด
เฉวียนฉวัดวงรอบขอบพระเมรุ
ผลาหกเทวบุตรก็ผุดพุ่ง
เป็นฝนฟุ้งฟ้าแดงดังแสงเสน
สิขรินทร์อิสินธรก็อ่อนเอน
ยอดระเนนแนบน้ำแทบทำลาย "
คราวนี้ถึงที ระเด่นลันได กับนางประแดะ บ้าง
" อัศจรรย์ลั่นพิลึกกึกก้อง
ฟ้าร้องครั่นครื้นดังปืนใหญ่
เกิดพายุโยนยวบสวบสาบไป
หลังคาพาไลแทบเปิดเปิง
ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่
ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง
คางคกขึ้นกระโดดโลดลองเชิง
อึ่งอ่างเริงร่าร้องแล้วพองคอ
นกกระจอกออกจากรังวิมาณมะพร้าว
ต้องฝนทนหนาวอยู่งอนหง่อ
ขนคางหางเปียกจนมอซอ
ฝนก็พอขาดเม็ดเสร็จบันดาล "
ส่วนพระลอก็ไม่ใช่ย่อย สำเร็จโทษทั้งเพื่อนพี่แพงน้องเลยละ
เพื่อนพี่
" เชยชมชู้ปากป้อน..........แสนอมฤตรสข้อน
สวาสทเคล้าคลึงสมร ฯ
กรเกี้ยวกรกอดเกื้อ........เนื้อแนบเนื้อโอ่เน้อ
อ่อนเนื้อเอาใจฯ
พักตราใสใหม่หม้า..........หน้าแนบหน้าโอ่หน้า
หนุ่มหน้าสรสมฯ
นมแนบนมนิ่มน้อง.........ท้องแนบท้องโอ่ท้อง
อ่อนท้องทรวงสมรฯ
สมเสน่หอ่อนใหม่หมั้ว......กลั้วรสกลั้วกลิ่นกลั้ว
เกลสกลั้วสงสารฯ
บุษบาบานคลี่คล้อย...........สร้อยแลแสร้อยซ้อนสร้อย
เสียดสร้อยสระศรีฯ
แพงน้อง
สะเทือนฟ้าพื้นลั่น................สรวงสวรรค์
พื้นแผ่นดินแดยรร.............หย่อนไส้
สาครคลื่นอึงอรร- ณพเฟื่อง...ฟองนา
แลทั่วทิศไม้ไหล้..................โยกเยื้องอัศจรรย์ฯ
ขุนสีหคลึงคู่เคล้า..................สาวสีห์
สารแสบนางคชลี..................ลาสเหล้น
ทรายทองย่องยงกรี-ฑาชื่น.....ชทนา
กระต่ายกระแตเต้น..............ตอบเต้าสมสมรฯ
ทินกรกรก่ายเกี้ยว...............เมียงบัว
บัวบ่บานหุบกลัว...................ภู่ย้ำ
ภุมรีภมรมัว..........................เมาซราบ บัวนา
ชอนนอกในกลีบกล้ำ.............กลิ่นกลัวเกสรฯ
เพื่อน ๆ คงจะเบื่อ วรรณคดีจนเอียนเต็มทีแล้วคราวนี้ลองหันมาดูสำนวนของเพื่อนในไทยโพเอ็มกันบ้าง
จากโคลงฝนเอยฝนตก ของ คุณม้าลาย
" เริงเนื้อเนาแนบเนื้อ.........สนิทใจ
กายโอบกายอุ่นไอ.................ออดอ้อน
หนาวฟ้ากลับคุไฟ..................กลางอก
พลิงสวาทสุมทรวงร้อน...........รุ่มเร้าเคล้าฝน
ยลหยดน้ำกระทบน้ำ..............รอบกาย
คลายรักฤๅจักคลาย................จิตคล้อง
เกลียวกอดสอดเป็นสาย.........สร้อยสวาท
ร่ำร่ำระงมร้อง.........................กระเส่าโอ้อัศจรรย์ "
ส่วน ฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ก็อุตส่าห์มีบทอัศจรรย์กับเขาบ้างนิดหน่อยเหมือนกัน อยู่ในกลอนตื่นเถิดชาวไทย ไง
" ฝ่าเปลวแดดแผดเผาเข้าพายุ
ทะลวงทะลุเมฆาผ่านห่าฝน
สายฟ้าแลบแปลบปลาบวาบกมล
ทั้งเวหนพลันพิโรธโกรธคำราม
ดั่งวิหคเปียกฝนทนหนาวเหน็บ
แปลบเสียวเจ็บปีกหักปักพงหนาม
ร้าวสะท้านรานกายหลายชั่วยาม
จึงฝ่าข้ามวังวนลมฝนคราง "
สำหรับสำนวนที่น่ารักน่าเอ็นดูละเมียดละมัย คงจะเป็นของคุณอัลมิตรา ซึ่งแต่งไว้ในกลอนโฉบเฉี่ยวเธออุปมาอุปมัยไว้งดงามเหมือนขี่เครื่องบินเจ็ท เมื่อมีผู้ถามถึงอารมณ์อ้อยอิ่งเธอชี้แจงอย่างเอียงอายว่า ไม่ใช่เป็นแบบ ควบสมบุกสมบัน อย่างกะรีบไปนางเลิ้งนี่นา ลองอ่านดูสิครับ
๑.
..๏ ปล่อยใจให้พลิ้วปลิวลม
เบิกฟ้านภาพรหม
สูงลิ่วเริงรมย์สมฤดี
ปล่อยใจอิสระเสรี
สุขเกษมเปรมปรีดิ์
เกินที่พรรณนาสาธยาย
มุ่งสู่สรวงสวรรค์พรรณราย
รุกล้ำกล้ำกลาย
คาดหมายพบสิ่งมหัศจรรย์
แทรกสู่เมฆาสารพัน
เสมือนม่านแพรพรรณ-
พิลาสอัศจรรย์งามจริง ฯ
๒.
..๏ ลึกลับซับซ้อนจนประวิง
หวาดระแวงในสิ่ง-
แอบสิงซุกซ่อนหลอนลวง
เกินหยั่งชั่งใจทั้งปวง
เกรงจิตติดบ่วง
เล่ห์ร้ายในปวงเมฆา
พุ่งผ่านยิ่งสะท้านอุรา
แม้นมาดปรารถนา
ยิ่งประหม่ายังประเมินเหตุการณ์
ร้อนรุ่มคลุมจิตพิสดาร
สับสนลนลาน
ซาบซ่านทั้งสนุกสุขแสน ฯ
๓.
..๏ อัสนีลือเลื่องเมืองแมน
ปรากฏทดแทน
ทั่วแดนอึกทึกครึกโครม
ลมพลันกรรโชกโกรกโพยม
ฤๅสวรรค์บรรโลม
หักโหมห้าวหาญกระนั้นเอง ?
ร้อนผ่าวหนาวสั่นหวั่นเกรง
สับสนอลเวง
โคลงเคลงเคลื่อนคล้อยลอยลำ-
บ้างสะเทือนเลื่อนลั่นพลันนำ-
ลำบากตรากตรำ
ยิ่งย้ำความสุขปลุกใจ ฯ
๔.
..๏ เสียดสีบรรยากาศไป
เสียงสนั่นทันใด
เหตุไฉนร้อนผ่าวหนาวเย็น
มวลเมฆเสกสรรธารกระเซ็น
หลั่งชโลมให้เห็น
แท้เป็นเช่นฉะนี้แลฤๅ
อัสนีสาปสั่งพลางระบือ
สรวงสวรรค์บันลือ
หัวตื้อทั้งตัวตื่นตะลึง
สยิวกายไฉนกันมั่นตะบึง
ฝ่าเสียงอื้ออึง
ปานประหนึ่งซึ่งให้ใจคะนอง ฯ
๕.
..๏ เบื้องลึกนึกชอบตอบสนอง
ด้วยใจใคร่ลอง
แคล่วคล่องเคว้งคว้างกลางนภา
เมฆแยกแตกรูปแปลกตา
ชวนให้หรรษา
แผลงท่าฉวัดเฉวียนเวียนวน
ผาดโผนโจนทะยานซ่านกมล
กลางเมฆแลฝน
หนาวร้อนคละระคนจนสะท้าน
ล่วงกาลผ่านยามสำราญ
เริงระรื่นชื่นบาน
ซาบซ่านพลันสุขสนุกนัก ฯ
๖.
..๏ เครื่องบินโฉบเฉี่ยวให้ประจักษ์
แม้นนึกคึกคัก
แล้วจักพักเครื่องผ่อนคลาย
จึงได้ถลาเลี้ยวดังหมาย
พ้นเมฆประปราย
ผ่านสายวสันต์ก่อนร่อนลง
ปรากฏการณ์นี้ยังคง
ชวนให้ใจหลง
ยิ่งประสงค์อีกครั้งดั่งเดิม
ความสุขสนุกนั้นพลันเสริม-
สร้างให้ใจเหิม
ขอเริ่มขึ้นเครื่องอีกคราว ๚ะ๛
ต้องยอมรับว่าอาจจะมีเพื่อนนักกลอนที่เก่งกาจระดับบรมครูแต่งไว้อีกมากในไทยโพเอ็ม แต่ผมไม่มีปัญญาจะอ่านได้หมด ถ้าใครมีอะไรดี ๆ แจมมาให้ได้เห็นกันบ้างสิครับผม
1 พฤษภาคม 2550 09:16 น. - comment id 96019
ก็อยู่ที่วิธีนำเสนอน่ะ..แต่ละสำนวนก็ต่างกันไป ตามแต่จินตนาการค่ะ แต่ส่วนตัวเราชอบเรื่องว่าว เพราะเปรียบเปรยดี...นึกถึงบรรยากาศสนามหลวงด้วย..อิอิ :) ส่วนของเพื่อนๆ ก็ตามสมัยค่ะ ผาดโผนดี ส่วนที่นายฤกษ์เขียนเหมือนดูหนังกำลังภายใน อิอิ

1 พฤษภาคม 2550 09:57 น. - comment id 96020
++ รมณียรส ++ ( ราม ลิขิต ) ..๏ พัวพันรรรรักร่วม..................ใจรอน กรต่อกรกุมกร...........................ก่ายกลุ้ม ภุชงค์กระหวัดชร........................กลเช่น แลเร่าระริกรุ่ม............................ผูกร้อนโรมรึง ฯ ..๏ คลึงคลอนบรบุษย์เบื้อง..........บานบง ผึ้งผ้ายผ่ายผายพง.......................ปีกพล่าน ผาณิตชิดแนบองค์......................อิงเอิบ เริงกลั้วตลอดก้าน.......................กลัดสู้เกสร ฯ ..๏ ดอนรินดินชุ่มแช่ม................ชลธาร กล้าสักปักดิ่งดาน........................เดาะแยก หนามไหน่ไต่ระพาน...................วัชพืช รกโร่ละเมาะแมก- .....................ไม้ปลูกปางไหน ฯ ..๏ โซมสินธุ์เสโทท่วม................ถึงพรหม แรงรื่นอภิรมย์............................หลั่งหล้า เกษียรสมุทรระดม..................... ดรงค์สาด ทบท่าวฤทัยท่า...........................เทียบน้องนานฉนำ ๚ะ๛ ++ ขุนกระบี่ ++ ( อัลมิตรา ) ..๏ คมดาบตราบแอบซ่อน..........ในฝัก คงไม่อาจแจ้งประจักษ์................ฤทธิ์แล้ว หากยามเมื่อใครชัก....................ออกจาก- ฝักแฮ ดาบจักแทงชีพแคล้ว...................มิดด้ามดาบคม ฯ ..๏ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง...........ปฐพี ดาบดื่มเลือดกี่ที.........................ไป่สิ้น ชักเข้าชักออกมี.........................โลหิต โดนปักเสียบด่าวดิ้น....................ร่ำร้องครวญคราง ฯ ..๏ ดาบทื่อทื่อแต่เบื้อง................ปลายดาบ หากแต่อาจกำราบ......................ทั่วหล้า ยังสามารถฟันปราบ....................อีกฝ่าย นึงแล ดาบทื่อท่านอย่าท้า.....................ว่าไร้สรรพคุณ ฯ ..๏ ชักทีมีเลือดคลุ้ง.....................เวหา แทงยับใช่ชีวา.............................มอดม้วย ดวงจิตมุ่งปรารถนา.....................รสดาบ- ทื่อแฮ ขุนศึกต่างคึกด้วย........................ดาบนี้ตลอดกาล ๚ะ๛ ++ สาง ++ ( ม้าลาย ) ..๏ ซ่อนพรางไพรพฤกษ์จ้อง.....โจนทะยาน คว้าตะปบเหยื่อเพียงพราน.........ล่าเนื้อ สบเขี้ยวคร่าสังขาร....................ทรายรุ่น เอมโอชรสอาบเอื้อ....................โอษฐ์ด้วยเสน่หา ฯ ..๏ เย็นลมพาแผ่วพลิ้ว..............ยะเยือกกาย พรมพร่ำหยาดพิรุณคลาย..........พิโรธฟ้า หนาวใดกว่าหนาวดาย...............เดียวดั่ง นี้นอ พายุอารมณ์ว้า..........................อกว้างหวั่นไหว ฯ ..๏ ดอมกลิ่นกายกรุ่นเจ้า..........จอมขวัญ แก้มแนบแก้มนวลพรรณ..........พิลาสไล้ เคล้าเคลียร่างราวสวรรค์...........เสวยสุข นาสิกกำซาบไซ้........................สนิทแก้มเนียนนาง ฯ ..๏ ครวญครางรินหลั่งน้ำ..........ตาทราย งามเนตรดุจดาวราย.................เบิกค้าง หนั่นเนื้อระริกกาย....................ระรัวสั่น โลมลูบเลียร่างล้าง....................เลือดด้วยชิวหา ฯ ..๏ เอมโอชารสเนื้อ..................ทรายนวล โลหิตโซมร่างยวน.....................ยั่วข้าฯ หัวใจแผ่วยามจวน.....................จบชีพ ควักออกกลืนช้าช้า.....................ชื่นแท้เพียงสวรรค์ ๚ะ๛

1 พฤษภาคม 2550 10:11 น. - comment id 96022
ดุจดังฟ้าคำรามทำป่วนปั่น แผ่นดินสั่นภพแตกแยกเป็นส่วน ต้นไม้โอนแอ่นเอนไม่เป็นขบวน พายุหวนฝนหอบรอบริมบึง ปลาชะโดทั้งฝูงมุ่งเริงร่า รีบรุดฝ่าหญ้าแฝกแซกซอนฉึ่ง* ต่างกระโจนน้ำกระจายไขว่เคล้าคลึง ครั้นเมื่อถึงจุดหมายว่ายไม่เป็น กลอนสองบทนี้ คัดมาจาก คืนบาป..คนพิปริต (๕) ที่ตนเองเคยเชียน ๔ ปีที่แล้ว เป็นบทอัศจรรย์ที่อยากจะบรรยายถึงเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจในคราวนั้น คราวที่ ..หญิงสาวโชคร้ายคนหนึ่งถูกกระทำย่ำยีและฆาตกรรมโดยฝูงชนที่เหี้ยนกระหือ

1 พฤษภาคม 2550 12:14 น. - comment id 96026
ต้องขออภัยเพื่อน พี่น้อง มีข้อความและอักษรหลายแห่งผิดพลาด พยายามจะแก้ไขเหมือนกับการแต่งกลอน แต่เรื่องสั้นกลับแก้ไขไม่ได้ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ระบบของเครื่องคอมเครื่องนี้เสียหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เมื่อท่านอ่านแล้วก็พิจารณาด้วยถ้าจะเอาไปแอ้งอิงขอให้ไปดูของจริงก็แล้วกันนะครับ ต้องขอบคุณ อัลมิตรา ที่กรุณา หามาเพิ่มเติมให้ครับ
