10 มิถุนายน 2547 10:51 น.

สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

เอกมาศ

   .........I follow the Moskva. Down to Gorky park.....lisening to    the wind of change. ............

                                      สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

                     ฉันเดินเท้าเปล่าบนถนนเปลี่ยว       

        ฉันดายเดียว จาก มอสโกว

        กำแพงกั้นใจกั้นห่างใช่ใหญ่โต

        พรากฉันห่างโหนคน ห่างไกลตา

                      ฉันเดินเท้าเปล่าอยู่คนเดียว

        ที่สายลมเชี่ยวเดือนสิงหา

        ฉันเห็นทหารที่พร่ำเพลงมา

        ร่ำ รำพันลาถึงลูกเมีย
       
                      กีดกำแพงที่ กั้นขวาง
        
         ตัดเส้นทางปิดกั้นเสียง
 
         ร่ำเพลงเก่าที่เล่าเรียง

         ยังสายลมที่เปลี่ยนไป 

                       เด็กน้อย แห่ง รุ่งอรุณ  
  
         เจ้าจะฝัน ถึงพรุ่ง วันไหน

         เสียงเจ้าแผดก้องถึง ห่างไกล

         อิสรภาพ ไหน- ใย ต้องจองจำ
            
                      เรื่อยรอน ถึง จรจน
 
         สายลม โพยพัด ฉ่ำ
    
         ใต้ธง เคียว และ ค้อน ค้ำ
 
         กับความทรงจำที่ ปวดใจ
        
                       เฉกวันนี้ ฉันรู้สึก 
 
          ความล้ำลึกเมื่อหลงไหล
 
          อนาคต ยามร่ำไร
 
          รู้สึกได้ ทุกเวลา
 
                       แล้วนั่น ฉัน อัศจรรย์
 
          กับคืนวัน ที่ห่างหา
 
          อิสรภาพที่  จากลา

          สายลมข้า......เมื่อเปลี่ยนแปลง    

      แรงบันดาลใจ นี้จาก ความไพเราะแห่ง เสียงเพลง  ที่ก้องดัง จาก มอสโกว์ ถึง เบอร์ลิน     .....ขอขอบคุณ  The Scorpions   อมตะ ร็อกเกอร์ แห่ง ด๊อยช์ลันด์ และ ที่สำครัญ ที่สุด  ....ขอขอบคุณ  .....The  Wind of change......

          สงวนสิทธิ์   
				
9 มิถุนายน 2547 10:03 น.

เห่...คราครวญ

เอกมาศ

                            ......... เห่.....คราครวญ..........

	      กราบนั้นชายพื้นโลก          วาสนาโบกพัดโพยพา

กึ่งชีพที่อัปรา                           กับกัลยาที่ร้างรัย

กราบเจ้าครองพิภพ                 ให้ตายตกเป็นวิสัย

ห่อนพี่นี้เศร้าใจ                      ซ่อนรักหักไว้ในฤดี

        ตราตรูคู่จันทรา                แต่พี่ยาอาจรัศมี

ทิพาวงศ์คงบ่มี                         เท่าพี่นี้ที่ลำเข็ญ

แฉล้มนวลนางพักตร์               ปฏิพัทธ์แรกพบเห็น

คิดเจ้าอยู่เช้าเย็น                    เห่ เห็น เห็น จ่นสนธยา

        ร้ายนักเรื่องรักใคร่          หมองฤทัยหม่อนโมหา

คิดเจ้าเหงาทุกครา                   บ่ หน่ายนาสักราตรี

โอ้เจ็บใจเจ็บเนื้อ                     เท่าน้องเนืองเคือง อก พี่

คิดเจ้าเร้าฤดี	                         คิดน้องนี้ พี่ วอดวาย

         ปักษีมีหลายชาติ              กรนวยนาด มาดเรืองร่าย

คิดเจ้าเรียม บ่ เนืองหน่าย       คิดหมายอาจเอื้อมนุช

เจ็บข้าเจ็บชีวา                         เจ็บเท่าฟ้า สำแดงแสนสุด

มาดน้องปองนางนุช                 พี่แสนสุดพุด ระกำ 
 
              สงวนสิทธิ์
				
8 มิถุนายน 2547 02:55 น.

คำสาปจาก กรือเซะ

เอกมาศ

                   กรือเซะในเพลงสาป ๒

                        เสียงสาปเสียงส่ง ก้องระงม
            
               ใครจารใครจดใครระกำ

               อีกพี่น้องผองเพื่อนกูชอกช้ำ
      
               ชาตินี้ใครจะจารจำ-ความระยำอันสันดาร
       
                        เสียงสาปจากกุโบร์
 
               ความยโสแสงสำแดงสาร
 
               ดื่มกินเลือดเนื้อเป็นประมาณ

              ผืนดินสิ้นผลาญ-ฟาตอนี
 
                        ความเค้าประวัติศาสตร์
 
              คลั่งชาติโง่งาดขลาดเขลา

              ไทยเยี่ยงกูแบ่งเขาแบ่งเรา

              แล้วเราใครเล่า- แขกมลายู

                        เสียงสาปจากมัสยิด
              
               ปิด กรือเซะ- กลบรบร้างร่างกู

               ฉิบชั่วตัวตายแทนพลั่งพรู
 
               ร่างฝังอยู่ใต้  สยาม-จันทร์เสี้ยวเดือน  


       ๑๗๐๐ แห่งพุทธศาสนา หากแต่ ฟาตอนี-ดารุสซาราม นั้นมุสลิม ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่มากแต่ก็ไม่ใช่เมืองขึ้น สุโขทัย และไม่ใช่ คนไทย ชนชาติไทย คลั่งชาติ จาก น้ำมือกบฎแห่งราชวงศ์จักรี  วิจิตร วิจิตรวาทกาล แล ท่าน แปลก ฝังรากลึกให้เป็นไทยคลั่งชนชาติจนดูแคลนชนชาติอื่น ทุกวันนี้ยังดูแคลนลาวอู่เลย ชั่วฉิบ วิจิตรตั้งแต่สมัยเกลี้ยกล่อมนักเรียนไทยใน ฝรั่งเศสแล้ว   นี่คือเหตุผลหลักแห่งกบฏแบ่งแยกดินแดนทาง ด้ามขวาน สยาม
        สงวนลิขสิทธิ์
Copyright ..All rights reserved  

              				
1 มิถุนายน 2547 01:02 น.

จิตร ภูมิศักดิ์ กวีแห่งวิถีประชา

เอกมาศ

             จิตร ภูมิศักดิ์
          
                       ใครหนอใครใยเล่าจักรู้เรื่อง
           
                 ชายหนึ่งยามนามกระเดื่องเมื่อชีพสิ้น

                 ตารางขังเขาแต่ตัว หัวใจกลับโบยบิน

                 ทุกสิ่งเสียสิ้นเมื่อชีพสิ้นกาล

                        
                          จิตร ภูมิศักดิ์  จากชีวิต

                 นามนั้นลิขิตให้ชีพสิ้นสังขาร

                 เขาตายอย่างไร้ค่าประมาณ
 
                 แต่ต่อมาก้องนาม คนไถ่ถามอยากเรียน


      ขอร่วมไว้อาลัยแก่ จิตร ภูมิศักดิ์ แสงเทียนแห่งวิถีประชา และขออนุญาตินำเสนอผลงานของคุณจิตร หรือ สหายปรีชา  เพื่อประโยชน์แก่ ประชาชาติชาวสยามทุกคน

                                  แสงดาวแห่งศัทธา
 
                            พร่างพรายแสง  ดวงดาวน้อยสกาว
                 ส่งฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล
                 ดั่งโคมทอง ผ่องเรืองรุ่งในหทัย
                 เหมือนธงชัย ส่งนำจากห้วงทุกข์ทน
                             พายุฟ้า ครืนข่มคุกคาม
                เดือนลับยาม แผ่นดินมืดมน
                ดาวศรัทธา ยังส่องแสงเบื้องบน
                ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่มิวาย
                ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
                            คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย
                แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย
                ดาวยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน
               ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง

                         
                                        เสียงเพรียกแห่งมาตุภูมิ

                            ม่านฟ้ายามค่ำ  ดั่งม่านสีดำม่านแห่งความร้าวระบบ 
เปรียบ เหมือนดวงใจ มืดทึบระทม พ่ายแพ้ซานซมพลัดพรากบ้านมา
                            ต่อสู้กู้ถิ่น และสิทธิ์เสรีกู้ศักดิ์และศรีโสภา จึงพลัดมาไกล ทิ้งไว้โรยรา จะร้างดังป่าอยู่นับปี
                            เคยสดใส รื่นเริง ดังนกเริงลม ถลาลอยชื่นชม อย่างมีเสรี แม้ร้อยวัง วิมานที่มี มิเทียมเทียบปฐพีที่รักมั่น
                            ความใฝ่ฝันแสนงาม แต่ครั้งเคยเนาว์ ชื่นหวานในใจเราอยู่มิเว้นวัน ความหวังยังไม่เคยไหวหวั่น ยึดมั่นว่าจักได้คืนเหมือนศรัทธา
                            แว่วเสียงก้องกู่ จากขอบฟ้าไกล แว่วดังจากโพ้นนภา บ้านเอ๋ย เคยเนาว์ กังวานครวญมา รอคอยเรียกข้าทุกวัน 

                              เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
              สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
             แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
              จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน

          บทกวีบทนี้ แปลมาจากบทกวีของ อาเวตีก อีสากยัน กวีประชาชนแห่งอารเมเนีย     แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์   ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ จิตร  ภูมิศักดิ์ ไปแล้วนั้น   บทกวีบทนี้มีเพื่อนสนิทของจิตร ชื่อ โยธิน   มหายุทธนา ได้เริ่มแปลออกมาก่อน ว่า

                             เพื่อขจัดคราบน้ำตาประชาราษฎร์
              ถึงชีวาตม์สิ้นพันครั้งยังหรรษา
             แม้ตนกูเกิดได้อีกสักครา
             จักอุทิศชีวาเพื่อมวลชน

ขอมอบแก่ผู้เป็นกวีด้วยจิตรและวิญญา แห่งประชาราษฎร์

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอกมาศ
Lovings  เอกมาศ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอกมาศ
Lovings  เอกมาศ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอกมาศ
Lovings  เอกมาศ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเอกมาศ