25 สิงหาคม 2547 12:52 น.

ไดอารี่เดินทาง...

แอนนาจิว

วันที่ 18 สิงหาคม 2547 เวลา 12.30 น. โดยประมาณ นั่งรถจากสถานีขนส่งอุตรดิตถ์มุ่งหน้าไปสถานีหมอชิต กรุงเทพ ถึงประมาณ 20.00 น. โดยประมาณ ความรู้สึกก็ยังคงเหมือนๆทุกครั้งที่ไป ก็คือ ตื่นเต้นและ ดีใจ ที่จะได้พบกับพี่แอน พอไปถึงก็นั่งแท็กซี่ต่อไปจรัญสนิทวงศ์ 89 พอมาถึง ก็เจอเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ ยิ้มหวานมาแต่ไกล (น่ารักจังเลย) ก็เอาของไปเก็บ ทานข้าว อาบน้ำ เข้านอน แต่ความรู้สึกบอกไม่ถูกเลย นอนไม่หลับ คุยกับพี่แอนไปเรื่อยๆ จนมาถึงเรื่องพี่ทราย และก็จบลงด้วยความเงียบซักพักนึง ต่อมาพี่แอนก็ปล่อยโฮร้องไห้ออกมา ความรู้สึกตอนนั้น ความรู้สึกตอนนั้นเศร้าและเจ็บปวดมาก พี่แอนต้องมาเสียใจมากขนาดนี้เชียวหรือ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่บ่อยนักที่จะเห็นพี่แอนร้องไห้แบบนี้ แต่ก็มีให้เห็น รับรู้ถึงความรู้สึกข้างในที่มี มีครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ที่รู้สึกเสียใจมากๆ ไม่น้อยไปกว่าพี่แอน ครั้งแรก เรื่องของพันธการที่เปิดเผยขึ้น รับรู้ได้ว่าพี่แอนเสียใจมากแค่ไหน กับเรื่องราวในครั้งนั้น กับครั้งที่สอง ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เรื่องพี่ทราย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยังคงต้องการคำตอบในตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลา จบๆๆๆๆ  อยากพยายามให้เรื่องราวทั้งหมดมันจบลง กาลเวลาจะช่วยได้มั้ย มันก็คงต้องรอดูกันต่อไป พยายามคิดแต่ในสิ่งที่ดีๆ  ที่เป็นไปได้ มากกว่าที่จะอยู่กับความฝันเรื่อยไป   สิ่งที่สัมผัสได้ต่อจากนี้ก็คือ การกระทำ ที่จะพิสูจน์ คำพูดของคน อยากให้รู้ว่ารักมากแค่ไหน 
การที่เรารักใครซักคนนึง รักมาก รักแบบมีเหตุผล เค้าเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ที่เราขาดเค้าได้ ไม่ตาย อยู่ได้ แต่ถ้าเรามีเค้า มันก็เป็นเหมือนกับว่า ชีวิตเราสมบูรณ์ที่สุด ก็เหมือนกับการแต่งงาน ที่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา ไม่แต่งก็ได้ อยู่ได้ ไม่ตาย  แต่ถ้าแต่งก็เหมือนกับว่า ชีวิตเราอาจจะสมบูรณ์แบบขึ้น เพราะว่า โลกสร้างของให้มีคู่อยู่เสมอ 
วันที่ 19 สิงหาคม 2547 เวลา 20.00น. โดยประมาณ มาขึ้นรถที่สถานีขนส่งสายใต้ มุ่งหน้าไปสุราษฎร์ธานี  ตลอดระยะทางที่ผ่านไป แอบชื่นชมและประทับใจกับคนที่อยู่ข้างๆที่สุด นั่นก็คือพี่แอน  ถึงแม้ว่าในใจจะเจ็บช้ำแค่ไหน แต่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด.มาถึงอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี เวลาประมาณ 06.00 น. โดยประมาณ มีหลานชายที่น่ารักสองคน กับพี่เขยมารอรับ ขนของกลับมาถึงบ้าน ซักพัก ก็ออกไปเที่ยว เริ่มตั้งแต่ตระเวณไปตามบ้านญาติๆพี่แอน (พี่แอนญาติเยอะจริงๆ) หญิงกาญของเราแอบแซว พี่แอนดูภายนอกเหมือนจะเป็นคนไม่ชอบคุย แต่ที่ไหนได้ คุยเก่งซะไม่มีล่ะ ก็แวะไปเรื่อยๆจนมาถึงบ้านนึง รู้สึกว่าคุยกันถูกคอมาก กับหญิงกาญ แหล่งภาษาเหนือกันใหญ่ หารู้ไม่ว่าตอนหลังกลับมาซี้กันซะเหลือเกิน เพราะคุยภาษาเดียวกัน พี่คนนั้นก็คือ พี่บุญลือ คนสวยของเรานั่นเอง จากนั้นเราก็ยืมจักยานแกนั่นแหละไปเที่ยวกัน แอบอมยิ้มในใจกับความน่ารักของเจ้าถิ่นที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับถิ่นตัวเองซักเท่าไหร่ บอกว่ามาเที่ยวบ่อย (แต่สมัยเด็กๆ) ขึ้นไปอยู่บนที่สูง มาเที่ยวสุราษฎร์ธานีทั้งที ก็อยากจะเห็นเกาะสมุยกับเค้าบ้าง ถามเจ้าถิ่น แต่ก็ได้รอยยิ้มหวานๆกลับมาแทน ก็ไม่เป็นไร เราไม่ว่ากัน คนน่ารักทำอะไรก็น่ารักไปหมดล่ะนะ ถึงว่าล่ะพี่แอนไม่ชอบเที่ยวซักเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยจะรู้ว่า แถวไหนน่าไปเที่ยวบ้าง เอาง่ายๆแค่ในกรุงเทพ พี่แอนก็อาจจะหลงทางได้ ถึงได้คะยั้นคะยอ มีโอกาสให้ไปเที่ยวทางเหนือบ้าง ไกค์คนนี้พร้อมเสมอที่จะพาเที่ยว ไม่คิดตังค์อีกต่างหาก แถมมีที่พักให้ฟรีอีกด้วย จะได้มีโอกาสได้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขาดูบ้าง บรรยากาศทางเหนือ ไม่ได้หาซื้อกันได้ อยากได้ต้องมาสัมผัสกันเองนะจะบอกให้ รับรองว่ามาแล้วจะไม่ผิดหวัง.
หลังจากที่เที่ยวเก็บภาพประทับใจกันได้ซักพัก ก็พากันกลับ  ระหว่างทางก็แวะบ้านแม่นมของพี่แอน ความรู้สึกก็คงจะดีใจน่าดู สำหรับคนที่เคยเลี้ยงเด็กตัวกระปุ๊กลุก คนนึง เผลอแป๊บเดียวอายุ สามสิบ จะออกเรือนไปซะแล้ว แล้ววันหนึ่งเจ้าเด็กตัวกระปุ๊กลุกคนนั้น ก็กลับมาเหมือนๆกับแสดงความกตัญญู ว่าตัวเองยังไม่ลืมบุญคุณที่เคยเลี้ยงดูมาจากนั้นเด็กก็กลับบ้านอาบน้ำอาบท่า เสร็จก็พากันสลบไสลไปตามๆกัน เย็นๆถูกปลุกมาทานข้าว รู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยคุ้นเคยกับทางนี้ ทำอะไรไม่ถูก วัฒนธรรมทางนี้เค้าเป็นยังไง แล้วที่เค้าบอกว่า คนใต้ใจดำน่ะ จะจริงรึเปล่า อันนี้ก็ต้องมาพิสูจน์กันแต่ที่แน่ๆ เจ้าหลายชายทั้งสองคนของพี่แอน ซนอย่างแรง..แต่ก็ซนน่ารักแบบเด็กๆดี น่าสงสารพี่เลี้ยงคนนั้นจริงๆ ท่าทางแกจะเหนื่อยไม่เบาเลยล่ะ
ประมาณ สี่ห้าทุ่มก็เข้านอน ก็หลับๆตื่นๆ สงสัยจะนอนแปลกที่ด้วย แต่ก็อบอุ่น นอนกอดพี่แอนทั้งคืน เผลอพูดออกไปว่า เดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่ได้กอดพี่แอนแย้ว. อืมมมม  อีกหน่อยก็คงต้องนอนกอดตัวเองต่อไปเมื่อก่อนเราไม่ได้กอดพี่แอน เราก็ยังนอนหลับ แล้วมาวันหนึ่งเรา จะต้องกลับไปเป็นแบบนั้นอีก ทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ จริงมั้ย..
วันที่ 20 สิงหาคม 2547 เวลาระมาณ 08.00 น. ถูกพี่แอนปลุก เล่นเอาตื่นเต้นไปตามๆกันว่า เกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไร มันสายแล้ว สำหรับที่นี่ แต่สำหรับเรา อยู่ที่หอพัก นอนยังไงก็ไม่มีวันสาย เพราะเลยบ่ายไปเลย  ฮ่าๆๆ วันนี้ฝนตกทั้งวัน แผนการที่จะไปเที่ยวสำรวจบริเวณใกล้ๆ ก็ต้องยุติลงไปโดยปริยาย ก็ช่วยทำอะไรได้ก็ช่วยเค้าไปเรื่อยๆ  ตั้งแต่มาอยู่สุราษฎร์ธานี ก็ได้ทานอาหารทะเลเอร็ดอร่อยไปตามๆกัน ตอนเย็นๆ คนเยอะแยะเลย แหล่งใต้กันทั้งนั้น เอาล่ะสิ เรามันคนต่างถิ่น แต่ก็พยายามแฝงตัวไปกับเค้าล่ะนะ  แรกๆ ความรู้สึกเหมือนตัวเองมาอยู่ต่างประเทศ เพราะว่า เราฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย แต่พอหลังๆเริ่มชิน ก็เริ่มพยายามหัดพูดบ้าง แต่มันก็ยังไม่แม่งๆ ไม่เหมือนเจ้าของภาษาเค้าจริงๆ จะพูดไปสงสัยปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มแน่เลย ก็เลยเงียบไว้ แอบไปฝึกคนเดียวให้ชัวร์ก่อนล่ะกัน ไว้มีโอกาสจะไปแหล่งภาษาใต้ให้ฟัง เหอๆๆ มีความรู้สึกเหมือนกับว่า จะต้องได้ไปสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะที่อำเภอดอนสักอีกแน่ๆ แต่จะเมื่อไหร่ เท่านั้นล่ะ ฮึ่ม
มืดๆพอไม่ได้ทำอะไร ก็อาบน้ำ เข้านอน คืนนี้ก็นอนกอดพี่แอนทั้งคืนอีกเหมือนกัน รู้สึกดีจัง เวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่เรารัก รู้สึกอุ่นใจ ยังไงไม่รู้สิ แต่ในใจก็ยังคิดวนๆอยู่นั่นแหละ ว่าคงไม่มีโอกาสอีก เราก็คงได้รับโอกาสมาแค่นี้ ก็คงจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้รับ 
วันที่ 21 สิงหาคม 2547 วันนี้วันเสาร์แล้ว พรุ่งนี้พี่แอนก็จะแต่งงานแล้วสินะ รู้สึกใจหายเหมือนกันนะเนี่ย กาลเวลา ทำไมมันผ่านไปไวจัง  แล้วทำไมเรื่องที่เราอยากจะลืม อยากให้มันผ่านไปไวๆ ทำไมมันถึงติดอยู่ในความทรงจำแบบนี้ ก็คงต้องให้เวลากับมันไปอีกเรื่อยๆ จนกว่ามันจะจางๆหายไปวันนี้ฝนก็ตกอีกแล้ว ก็พาพี่แอนไปเสริมสวยซะหน่อย (ที่จริงคนเรางามทั้งข้างนอกและข้างในอยู่แล้วล่ะนะไม่ต้องเพิ่มเสริมอีกก็สวยอยู่แล้ว) แต่ก็เอากับเค้าซักหน่อย ตามใจคุณแม่ที่ตื่นเต้นมากกว่าคุณลูกแอบไปทำเล็บสวยไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้นนน หญิงกาญเพื่อนสาวเราก็ใช่ย่อย ไม่ยอมน้อยหน้าว่าที่เจ้าสาว ขอเล็บสวยซะหน่อยก็ยังดีเนอะ  เสริมสวยได้ประมาณครึ่งวัน ก็กลับมาช่วยทำงานที่บ้าน เตรียมข้าวของเพื่อเตรียมงานพรุ่งนี้  วันนี้คนเยอะกว่าเดิมอีก ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ นั่งปอกกระเทียมไป มีคนป้อนคุกกี้ไป อยากบอกว่า มันเป็นคุกกี้ที่อร่อยที่สุดในโลกเล้ยยย  ถึงแม้ว่ากลิ่นกระเทียมมันจะรบกวนจมูกไปหน่อยก็เถอะนะ  ดีใจที่มีคนมานั่งป้อนคุกกี้ได้ซักพักก็ต้องน้ำตาตก คนป้อนแอบไปหลับ พอดีกับมีคนเอาหัวหอมมาให้ปอก เอาล่ะสิ เล่นเอาแสบตา น้ำตาไหลพรากไปตามๆกัน เมนูอาหารที่ชอบมากก็คือ กั้ง ผัดเผ็ดกั้ง ผัดกระเพรากั้ง หรือว่า อะไรซักอย่างนี่แหละ พอดีมัวแต่อร่อยกับรสชาติ เลยไม่ได้สนใจว่า เค้าเรียกว่าอะไร แบบว่า เดะเหนือบ่เคยทานกั้งนะเจ๊าาา ก็ถ้าอยากทานก็คงต้องมาเที่ยวทางใต้บ่อยๆซะแล้นนน กะจะหาแควนแถวๆนั้นซะหน่อย ที่ไหนได้ มีแต่เด็กกะคนสูงอายุทั้งนั้นเลยยยย แง๊งง นอกนั้นก็ไม่โสดซะแล่ว ง่ะ  
เวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ ขบวนรถทัวร์ว่าที่เจ้าบ่าวก็มาถึง  โอ๊ะโอ ฝ่ายทางโน้นก็ญาติเยอะไม่เบาเลย สรุปก็ญาติเยอะพอๆกันเลย ก็สวมบทพนักงานเสิร์ฟชั่วคราว อันไหนช่วยได้ก็ช่วยเต็มที่ เสิร์ฟๆๆๆๆๆ เต็มโต๊ะ ฮึ่มเอาล่ะ ที่นี้ พี่แอนยุ่งหัวฟูไปเลยย ฮ่าๆๆ  ได้เจอพี่หนิง สหายมือขวาของพี่แอน ที่บอกว่านิสัยคล้ายๆกับพี่แอน อันนี้ก็ใช่ ตรงที่ความมีมนุษยสัมพันธ์ เข้ากับคนได้ง่าย ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่มันก็ส่วนหนึ่ง ที่เหมือน เพราะว่า ไม่มีใครเฟอร์เฟคเหมือนพี่แอนคนนี้อีกแล้นนน  ก็เข้าไปคุยกับพี่หนิงซักพักนึง พอรู้จักกันมากขึ้น พี่บุญลือเจ้าเก่าก็มาเลย ชวนไปร้องเพลงคาราโอเกะ แถวใกล้ๆบ้าน ก็ไปกัน ชวนพี่หนิงไปด้วยล่ะ  โอ้โห ไปสลัวๆได้ที่เลย มีแขกประมาณสองโต๊ะ พี่บุญลืกกับหญิงกาญของเราก็เข้าไปสแตนบายตั้งนานแล้ว เหลือเรากะพี่หนิงที่ยังลังเลว่าจะเข้าไปดีมั้ย  แต่ในที่สุดพี่บุญลือก็ออกมาดึงแขนเข้าไป บรรยากาศเริ่มไม่น่าอยู่ซะแล้ว ทั้งเหล้า บุหรี่ เต็มไปหมดเลยยย โอยๆๆ ถ้าเกเรเหมือนเมื่อก่อนก็  ถึงไหนถึงกัน แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แย้วง่ะ กลายเป็นไม่ชอบไปเลย ก็นั่งซักพักนึง พี่หนิงแอบหนีไปก่อนใครเลย ไอ้เราก็พยายามคิดๆๆ หาวิธีจะออกไปได้ไงว๊า เดินออกไปเฉยๆก็น่าเกลียดแย่เลย ทีนี้มีคนรินเหล้าให้ เอ้าดื่มๆๆ ง่ะ ไม่เอาอ่ะ เหม็นควันบุหรี่มากๆ เวียนหัวเลย ก็เลยำทีเป็นมีโทรศัพท์มา ก็เลยขอตัวออกมาคุยข้างนอก พอเค้าเผลอก็แอบหนีมาเลย ฮ่าๆๆสำเร็จ ก็ไปตามหาพี่แอนกะพี่หนิงดีกั่ว พี่หนิงรีดผ้าอยู่บนบ้าน ก็เลยแอบต่อว่าไปเล้กน้อยว่าทิ้งกันเลยน๊าาา  ก็ไม่อยากกวนแก เลยถามหาพี่แอน พี่แอนอยู่ในห้อง ก็เลยไม่อยากกวนอีก มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างล่าง ซักพักนึง พี่แอนก็ลงมาอาบน้ำ ก็ทะยอยกันอาบ เสร็จก็เข้าห้องไปนอนคุยกัน
คืนนี้ เป็นคืนสุดท้ายแล้วสินะ ที่จะได้นอนกอดพี่แอน รู้สึกใจหวิวๆยังไงก็ไม่รู้สิ ก็พยายามปลอบใจตัวเองมาทุกครั้ง ที่คิดแบบนี้  ไม่เป็นไร ไม่ได้นอนกอดแล้ว แต่ขอหอมแก้มทุกครั้งที่ได้เจอกัน ก็ได้เนอะ (มั้ง)
มาถึงคืนนี้แล้ว ก็ยังได้ยินพี่แอนบ่นว่าไม่อยากแต่งงาน เข้าใจความรู้สึกดีเลยค่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ก็คงได้แต่ปลอบใจ พยายามไม่ให้คิดอะไรมาก มันมาจนถึงเกือบจะสิ้นสุดแล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ นอกจากทำใจ และมองให้มันเป็นอะไรที่ไม่ซีเรียส บางครั้งเรื่องละเอียดอ่อนของเรา คนอื่นมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าเก็บมาคิดมาก เราก็ลองปรับๆดูบ้าง เผื่อเราจะมองเห็นเรื่องที่มันน่าจะคิดมากกว่านี้ก็ได้ อยากอยู่เป็นกำลังใจให้พี่แอนตลอดไป วันไหนไม่มีความสุขแบ่งมาทางนี้บ้าง จะได้รู้สึกดี ยินดีและเต็มใจเสมอ
 วันที่ 22 สิงหาคม 2547 เวลาประมาณ 03.30 น. เสียงเพลงจากโทรศัพท์พี่แอนปลุก แต่ก็ไม่นอนเลยทั้งคืน ตื่นตลอด เป็นไงไม่รู้นอนไม่หลับเลย นอนข้างๆพี่แอนทั้งคืนด้วยความรู้สึกที่อยากเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ แบบนี้ไว้ เพราะโอกาสคงไม่มีอีกแล้ว  พยายามปลุกพี่แอน ให้ลุกมาทำหน้าที่ของตัวเอง  จนตีสี่ ก็ตื่นกัน ไปร้านเสริมสวย ทุกครั้งที่พี่แอนแต่งหน้า แอบมองตลอด พี่แอนชอบทำหน้ามุ่ย ปากจู๋ คิ้วชนกันแบบเด็กๆ (น่ารักน่าชังจริงๆเลย)แต่พี่หนิงบอกว่า พี่แอนทำหน้างงๆมากกว่า อื่ม แล้วสรุปพี่แอนทำหน้าอารมณ์ไหนกันแน่ คงจะอารมณ์ประมาณ แต่งหน้าจัดไปมั้ง ไม่ช๊อบๆๆ เดี๋ยวเจ้าสาวไม่สวยๆๆ ไม่ยอมๆๆ อะไรประมาณนั้น  พอแต่งเสร็จ สวยเชียวแหละพี่สาวเรา สวยมากๆๆ เป็นพี่แอนในอีกบุคคลิกหนึ่งที่ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นกัน พอเสร็จก็ไปกันเลย ทิ้งให้เราต้องมานั่งเสริมสวยอยู่คนเดียว ก็เอากะเค้ามั้ง ไหนๆก็สวยกันหมด ไม่ยอมน้อยหน้าล่ะ งานนี้   พอเริ่มพิธี ก็เป็นช่างภาพมือสมัครเล่นซะหน่อย แซะๆๆ ไหนๆขอมุมที่มองเห็นพี่แอนชัดๆหน่อย เดินไปหน้าบ้าน จ๊ะเอ๋ พี่แอนมองมาแอบส่งยิ้มหวานๆให้เรา อุ๊ยเขินๆๆ เป็นปลื้ม คนตั้งเยอะแยะ มองเห็นเราด้วยแหละ แหะๆๆ พอสายๆก็ ไปตั้งขบวนเป็นฝ่ายเจ้าบ่าวซะอย่างงั้นล่ะ ช่วยๆๆๆ ยกพาน อ่ะจ๊ายตกใจเสียงประทัดดัง พานเกือบหลุดมือ. ใครจะรู้ว่าผลจากการยกพานในวันนั้น ปวดแขนไปอีกสองวัน ง่ะ ก็มันหนักจั๊ง แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ดีใจที่ได้มีส่วนร่วมด้วยช่วยกันกับงานนี้  พิธีหมั้น ไม่ทันเห็นเจ้าบ่าวสวมแหวนหมั้นให้เจ้าสาวเลยยย คนเยอะมากกกก เอ๊า ไทยมุงเลยล่ะ มาทันเห็นตอนในห้องหอ เจ้าสาวป้อนข้าวเจ้าบ่าว เจ้าสาวก็เข้าใจป้อนเนอะ เอาน้ำพริกไปก่อนเลย เหอๆๆ เราก็เลยไปแซวพี่รัตน์ซ๊า เป็นไงเอ่ยพี่รัตน์ น้ำพริกหวานป่าววว แกก็ยิ้มแก้มป่องอย่างเดียวเลย สงสัยจะมีความสุขมากเลย แอบอิจฉาเจ้าบ่าวเล็กน้อย แหะๆๆ (แต่น้ำพริกคงสู้คุกกี้แสนอร่อยของเราไม่ได้ อิอิ อร่อยกั่วว) บ่ายๆ ก็ได้มานั่งคุยกับพี่แอน พยายามไม่ชวนคุยเรื่องที่ไม่น่าคุยกัน แอบถ่ายรูปพี่แอนใส่เกาะอก กระโจมอกไว้ น่ารักเชียวแหละ ก็เก็บไว้ดูเล่นเวลาที่คิดถึงพี่แอนก็แล้วกัน กะว่าถ้าสะสมรูปพี่แอนครบ ซักแสนรูป จะทำห้องพิเศษไว้เก็บรูปพี่แอนเป็นแกลลอรี่เลย อุอุ เวอร์ไปมั้ยเนี่ย สงสัยห้องนั้นคงหวงมากๆเลยแหละ ก็นั่งคุยนอนคุยกันได้ไม่นานคุณแม่พี่แอนก็มาเรียกให้ไปหาแม่นมพี่แอน ก็ยกขบวนไปกัน. จากนั้นพี่แอนก็ต้องไปแต่งหน้าทำผมสำหรับงานตอนกลางคืนอีก  ก็เลยไม่ได้พักผ่อนเลย น่าสงสารพี่แอนเลยล่ะงานนี้  เราก็แอบไปเที่ยวกับพี่บุญลือกัน เค้าก็พาไปไหว้หลวงพ่อจ้อย ที่พี่แอนเคยพูดถึงตั้งนานแล้ว วันนี้เลยมีโอกาสได้มาไหว้ซักที ก็ไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเก็บไว้ด้วย จากนั้นก็ออกมากะว่าจะไปที่อื่นต่อ ที่ไหนได้ ฝนตกหนักเลย ก็เลยยืนคุยกันอยู่ซักพักนึง พี่บุญลือแกก็มีมนุษยสัมพันธ์ดีนะ เห็นเราเป็นคนเหนือเหมือนแกด้วยมั้ง แกก็เลยเทคแคร์เป็นพิเศษเลย พอฝนเริ่มซา แกก็พาไปเที่ยวบ้านพี่ชายของแก ชื่อพี่อะไร จำไม่ได้ รู้แต่ว่าแกขายผลไม้ ก็ไปนั่งทานผลไม้อยู่บ้านแก คุยกันไปเรื่อยๆ จนมาได้ข้อมูลของพี่แอนนี่แหละ อันนี้เป็นอะไรที่รู้สึกประทับใจมากๆเลย เป็นปลื้ม กับตัวเองกับพี่แอน กับตัวเองก็เพราะว่า เราประทับใจไม่ผิดคนจริงๆ ประทับใจแทนพี่แอนก็เพราะว่า  เค้าเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่ง เค้าไปเที่ยวกรุงเทพ แล้วไปพักบ้านพี่แอน พี่แอนดูแลต้อนรับเค้าอย่างดี เค้าก็รู้สึกประทับใจ เค้าก็บอกว่า น้องแอนเป็นคนนิสัยดี มีน้ำใจ ดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยเห็นใครดีแบบนี้มาก่อนเลย โอ๊ะโอ แล้วใครได้ฟังแล้วตัวจะไม่ลอยมั่ง ขนาดเราเป็นคนหนึ่งที่ประทับใจพี่แอนแท้ๆ ยังเป็นปลื้มแทนเลย ส่วนพี่บุญลือแกก็เสริมว่า ถ้าเปรียบเทียบสองพี่สอง คือพี่แอนกับพี่อู๋น่ะ พี่อู๋แกจะเป็นคนที่ดูยาก บางครั้งไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่พี่แอน แกบอกว่า แกดูออกเลยว่าพี่แอนเป็นคนยังไง สงสัยจะเพราะพี่แอนยิ้มแย้มแจ่มใส ช่างพูดช่างคุย เข้ากับคนอื่นได้ดี
มั้ง เค้าถึงมองพี่แอนออก เรื่องนี้ไม่ได้แอบนินทาน๊า เค้าพูดให้เราฟังเฉยๆ เราก็เก็บๆๆข้อมูลไว้ ก็เค้าไม่ได้พูดในทางเสียหายด้วยแหละ เราก็เลยรู้สึกดีมากๆ ก็คุยกันได้ซักพักนึง ก็มาหาพี่แอนที่ร้านเสริมสวย อ๊ะ กะลังแต่งสวยอยู่เลยพี่สาวเรา สวยอีกแง้วๆๆๆ แหม สวยไม่สร่างเลยพี่แอน  ก็นั่งซักพักนึง ก็ไปอาบน้ำแต่งตัวมั่ง โอ้โห คนเรียงคิวกันอาบน้ำยาวเลย คิดๆๆๆ จะไปอาบที่ไหนดีหว่า อื๊ม พี่บุญลือไง๊ ช่วยเราได้ ไหนๆก็จะซี๊กันล่ะ ก็รบกวนอีกหน่อยล่ะกัน อิอิ ไปอาบน้ำบ้านพี่บุญลือกัน อาบๆๆ แต่งตัวๆๆ สายแล้วๆๆ ก็รีบอยู่นะเนี่ย ไม่ใช่ไม่รีบ แต่มันแบบว่า อะไรหลายอย่างเหลือเกิน บวกกับเริ่มไม่มั่นใจแล้วอ่ะจิ ทั้งงานนอกจากเจ้าสาวแล้วมีเราสวยอยู่คนเดียว อ่ะจ๊ายยยย รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้จิ สงสัยจะมาผิดงานแล้วสิเรา แง๊งๆ ก็เลยพากันช้าไปใหญ่ พี่หนิงก็เสร็จตั้งนานแย้วว ก็เร่งๆอยู่ค๊า สรุปงานนี้ สายเจ้าค่ะ ก็เป็นอะไรที่แปลกๆดีเหมือนกันนะ  พอถึงงานบนเวที เค้าให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวพูดอะไรเล็กน้อย อื่มก็จริงแฮะ  เล็กน้อยจริงๆ เจ้าบ่าวพูดนิด แบ่งเจ้าสาวพูดหน่อย โอเค พอถูๆไถๆไปได้ หารู้ไม่มารู้ตอนหลังว่าทั้งคู่ตื่นเต้นน่าดูเลย อิอิ  พอมาตอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวแจกของชำร่วย ก็รอๆๆ อยากถ่ายรูปกับพี่แอน รอ ร๊อ รอ เกือบละๆ อีกนิดๆ มาถึงล่ะ ใกล้เข้ามาแย้ว  แชะ แง่ว ไม่ใช่เรา ไปซะแร้ววว ว๊า อดเรยเรา มารอตรงรูป เผื่อได้ถ่ายกะเค้ามั่ง อื่ม แชะ .โอเค ได้มารูปนึง กลับๆๆๆ มีคนพูด อ่าว กลับแล้วหรอ ยังไม่ทันอะไรเลย ก็เดินงุ่นๆๆๆ กลับมาเก็บข้าวเก็บของ เตรียมกลับกรุงเทพ สองทุ่ม ขนของขึ้นรถ ชะเง้อมองหาพี่แอน ไม่เจอสองทุ่มครึ่ง รถออกแง้ววว แง๊ๆๆๆๆ เศร้าอย่างแรงงงง  ทีนี้ล่ะ น้ำตาร่วงเลยยย รู้สึกใจหายแบบว่าจะไปก็ไปเลย ไม่ได้ร่ำลากันเลย พอร้องไห้น้ำตาหมดไปสองตุ่ม ก็ส่ง ข้อความไปหา ดูแลตัวเองดี มีความสุขมากๆนะคะ รักมาก ก็มานั่งร้องไห้อีกสองตุ่ม ในขณะที่บรรยากาศรอบข้างอึกกระทึกครึกโครม เฮฮาหนุกหนานๆ แต่เรา นั่งทำมิวสิคอยู่คนเดียวง่ะ ก็มันเศร้าง่ะ แง๊ๆๆๆ ไอ้เจ้าคนขับรถคันนี้ก็ยังไงน๊า ขับรถไม่นิ่มเอาซะเลย บ่งบอกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจริงๆเลย เบรคไม่เกรงใจคนนั่งมาเล้ย ให้ตายสิ  ทีนี้ล่ะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็อัญเชิญมาหมดเลย สาธุๆๆ เล่นเอาใจหายใจคว่ำเป็นพักๆ  เราจะถึงกรุงเทพกันมั้ยเนี่ย.มาถึงเพชรบุรี ประมาณ ตีสี่ครึ่ง รถเสีย แง๊ววว ได้ไง แผนที่วางไว้ก็พังหมดจิ แล้วรถไปอุตรดิตถ์จะมีมั้ยนั่น เริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย ปาเข้าไป เจ็ดโมงเช้า รถที่มาเปลี่ยนก็ยังไม่มา เลยตัดสินใจจะโบกรถไปลงในขนส่งเพชรบุรี ไปคุยกับแม่พี่รัตน์เรียบร้อย โอเคๆๆ แต่มีคนบอกให้รออีกนิด เดี๋ยวรถก็มาแล้ว อื่มๆๆๆ เอาว๊า รอก็รอ  รถมาแปดโมงครึ่ง ฮึ่มๆ ก็ไหนๆก็รอละ ไปๆๆกลับๆๆกันดีกว่า ถึงกรุงเทพ ปาเข้าไป สิบเอ็ดโมงเข้าไปแล้ว รีบนั่งรถแท็กซี่ไปลงหมอชิต ได้รถรอบเที่ยงพอดีเลย เฮ้อ โล่งอกๆๆ รีบๆกลับจะได้ไปอ่านหนังสือสอบ ระหว่างทางก็อ่านๆไปมั่ง หลับไปมั่ง บ่ายๆพี่แอนโทรมา เย้ๆๆ ดีใจๆ แต่แบตจะหมด แง๊ว คุยได้แป๊บๆแบ็ตหมดพอดีเลย ว๊า แย่จัง ถึงอุตรดิตถ์ ทุ่มครึ่ง ก็เข้าหอ พอกลับมาจากพี่แอน ใจก็อยากกลับบ้านอีกแย้วง่ะ ก็บอกแล้วว่า สองที่ที่อยากไปมากที่สุดก็คือ ไปหาพี่แอนกับกลับบ้าน มันเป็นอะไรที่รู้สึกอบอุ่นเวลาที่ได้อยู่ทั้งสองที่นี้				
13 สิงหาคม 2547 10:09 น.

ฉันผิดที่คิดมากกว่าเพื่อน...

แอนนาจิว

เรื่องราวต่างๆมากมายเกิดขึ้นในใจฉัน แต่ฉันไม่สามารถที่พูดความในใจออกไปได้ เพราะเหตุผลของความถูกต้อง บวกกับ เธอคนนั้นไม่เคยได้รับรู้เลยด้วยซ้ำว่า แท้จริงแล้วฉันคิดยังไง เราเป็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด เธอมักจะมาคุยปัญหาเรื่องคนรักของเธอให้ฉันฟังอยู่เสมอๆ ฉันก็รับฟังและเข้าใจ แต่ในใจลึกๆของฉันมันมีอะไรมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนไปซะแล้ว ฉันต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดเกินเลยไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันเองนี่แหละที่จะต้องสูญเสียทุกๆอย่างไป รวมทั้งคำว่าเพื่อนที่แสนดี....ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันต้องใช้ความพยายามและอดทนเป็นอย่างมาก ที่จะไม่เผยความรู้สึกนี้ของฉันออกไป เวลาฉันเห็นเธอร้องไห้ ฉันก็แทบจะทำอะไรไม่ได้ คอยปลอบใจอยู่เป็นเพื่อนเธอเสมอ แต่แปลกจัง เวลาที่ฉันเห็นเธอมีความสุข ยิ้มและหัวเราะได้ ฉันกลับมีความสุขไม่น้อยไปกว่าเธอเลย ฉันเคยทำผิดกับเธอ ถึงขนาดที่ถ้าเป็นตัวฉันเองโดนแบบนี้บ้าง ฉันก็คงจะไม่ให้อภัยคนที่ทำแบบนี้กับฉัน แต่เธอกลับให้โอกาสฉัน....เธอให้อภัย และยอมรับในตัวฉัน จากนั้นมาฉันก้ไม่เคยคิดที่จะทำผิดกับเธออีกเลย แต่มาในวันนี้ ฉันขอโทษ ที่ฉันทำผิดอีกแล้ว .....ฉันผิดที่คิดรักเธอมากกว่าคำว่าเพื่อน.....				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแอนนาจิว
Lovings  แอนนาจิว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแอนนาจิว
Lovings  แอนนาจิว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแอนนาจิว
Lovings  แอนนาจิว เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแอนนาจิว