วีรบุรุษวรรณกรรม..*คำ*ยังหอม..*.ใจ*..ยังสิงห์!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song169.html
(เพราะขอบฟ้ากว้าง)


ที่มาจากไฟฝัน
แรงบันดาลใจ
ด้วยน้ำตาซึมซึ้ง
นับนาทีแรก
ที่สายตาพาสายใจ..จิตวิญญาณ
ได้เห็นภาพท่าน
*วีรบุรุษในดวงใจ*
ที่แสนรัก..แสนเทิดศรัทธายิ่งใหญ่นัก
ในดวงใจแม่ดวงดอกพุดไพรและสาวบ้านนา

 วัยบ่กั้น...ลาว คำหอม คำสิงห์ ศรีนอก คำยังหอม-ใจยังสิงห์


จึงขอน้อมกราบลงแทบเท้า...ท่าน..
ปูชนียบุคคลด้านวรรณกรรมไทย
และ
แม่ดวงดอกพุดไพรจึงเพียรนำบทรจนา
มาวาง
บรรณาการแด่ท่าน
และทุกดวงใจในร่มรักเรือนทองเรือนไทยค่ะ
ณ..บัดนี้..ด้วยรักแสนรักศรัทธาล้นใจแล้วค่ะ
**************************************


ขอบฟ้า บ' กั้น 
บัวไปดูหนัง เรื่อง Vertical Limit มา วันนี้.... 
มีคนว่ากันว่า ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนดูตัว.... 
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคน
ที่รักการปีนเขาสูง ชอบเย้ยหน้าผา ท้ามฤตยู.... 
หนังสนุกและตื่นเต้นเร้าใจทั้งเรื่อง.... 


บัว.... จดจำคำพูด ของตัวแสดงคนหนึ่ง 
ที่พูดถึงความตาย ไว้อย่างน่าฟังว่า.... 
"ความตายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ที่มิอาจหลีกหนีพ้น.... 
แต่การทำอะไรก่อนตายสิสำคัญเสียยิ่งกว่า " 


ทำให้บัวคิดได้ว่า.... ใช่เลย 
คนเราไม่มีใครที่หนีความตายพ้น 
ช้าหรือเร็ว ใกล้หรือไกล ในเส้นทางแห่งชีวิตนี้.... 
ที่เราทุกคนต้องไป ณ.... ที่ที่หนึ่งเหมือนๆกัน 
ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย.... เท่าเทียมกัน.... 
เป็นความเท่าเทียม ที่เรายังมิอาจจะรู้ได้ ว่า


ต่อจากนั้นจะมีการพิพากษาด้วยสิ่งใด 
ที่เราทุกผู้คงต้องไป พบเจอเอาเอง 
ตามบุญกรรมที ่เราได้สร้างสมกันเอาไว้.... 
นี่คือสัจจธรรมมิใช่ดอกหรือ.... เพื่อนมนุษย์....  


อย่า.... คิดว่าเรายังเด็กนัก 
ยังมีเวลาของชีวิตอีกยาวนาน 
เพราะ..
บางครั้งเรามิสามารถกำหนด โชคชะตาของเราได้ ดั่งฝัน.... 
เรามิอาจรู้ว่าจริงๆแล้ว
เวลาแห่งชีวิตนี้เรามีน้อยหรือมากเพียงใด.... 
ทุกคนพยายาม หลอกตัวเอง.... ว่า 
ความพรากจากคงมิกรายกล้ำ มาสู่ตัวเองรวดเร็วนัก.... 


แต่เราจะรู้ได้อย่างไรเล่า.... 
อย่าประมาท ผลัดวันประกันพรุ่ง 
ที่จะรอเริ่มอรุณรุ่งของชีวิตที่แสนดีแสนงาม.... 


เริ่มวันนี้.... คิดเสียใหม่ว่า 
เราจะอยู่และทำสิ่งดีๆ ที่สุดต่อทุกสิ่ง 
ต่อทุกผู้ที่เป็นที่รักของเรา 
ราวโลกกำลังจะแตกแหลกสลายในวันพรุ่ง.... 
ยิ่งเริ่มเร็ว.... ชีวิตเราก็ยิ่งมีค่า เร็วขึ้นเท่านั้น.... 


ทุกดวงใจทั้งหลายที่กำลัง ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ 
หรือคนที่รักและห่วงใยเรารอบข้าง ใจตุ๋มๆต่อมๆ 
กลัวเราจะเดินหลงทางก็ได้โปรด 
หันมาเดินให้ถูกทางกันเลยดีไหมคะ.... นะนาทีนี้.... 


เสียเวลาไปแสวงหา.... 
สิ่งที่เราเคยได้ยินมาจากผู้ไปเยือนมาแล้วว่ามันคือนรก.... 
หลังจากบัวดูหนังแล้ว 
ก็มีเวลาเข้าร้านหนังสือ ที่บัวเป็นสมาชิก.... 
บัวคิดว่า ในชีวิตหนึ่งนี้ ในฝันค้าง
 และฝันกลางฤดูฝนของบัวคือ.... 
การที่บัวจะได้เป็นเจ้าของร้านหนังสือสักร้าน.... 
มีคนที่มีใจรักตัวอักษรเฉกเช่น เดียวกัน
เดินเข้าๆออกๆในร้านของบัว.... 


และร้านควรจะเล็กๆ 
มีมุมให้คนรักการเขียนมาแสดงฝีมือ 
มีกาแฟ 
และเครื่องดื่มหอมๆไว้สร้างความฝันอันบรรเจิด.... 
เพื่อมาแลกเปลี่ยนทัศนะกันและกัน.... 
รักฉบับนี้ของบัวคือ ฉบับถุงหิ้วค่ะ 
เพราะทุกครั้งที่บัวพลัดหลงเข้าไปในดงหนังสือ 
บัวอดไม่ได้ ที่จะอยากได้เล่มนี้ เล่มนั้น เล่มโน้น 
และอีกหลายๆเล่มเลยค่ะ.... 


ยังคิดเลยว่า 
ถ้าเป็นเจ้าของร้านเอง วันๆบัวคงอ่านๆ และอ่าน 
วันนี้เลยต้องหิ้วถุง หิ้วความรัก ความฝัน กลับมา 
และยังมีที่หมายมาดไว้ในใจอีกมากมายหลายสิบเล่ม.... 
และที่ได้มา
มีทั้งหมด 5 เล่มคะ "ฟ้าบ'กั้น " " แมว" ของลาวคำหอม.... 
ที่เคยอ่านหลายครั้งแล้ว 
และถูกยืมจนหายไป 


อ่านทีไรอยากโยนปากกาทิ้ง เลิกหัดเขียน 
เพราะชาตินี้บัวคงไปไม่ถึงไหน.... 
ปรมาจารย์ท่านนี้ 
ท่านเป็น**ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี2535** 
ปัจจุบันท่านอายุ75  ปี แล้วนะคะ.... 
และ
ได้ใช้ชีวิตสงบงามอย่างเรียบง่าย แสนสมถะ ที่บ้านไร่โคราช.... 


ส่วนอีกเล่ม "กล่องไปรษณีย์สีแดง".... 
เป็นสารคดีเข้ารอบสุดท้ายของ "ร้านนายอินทร์" 
บัวชอบใจมาก ที่เขาเขียนถึง "เกาะพะงัน" บ้านเกิดของบัว 
แม้บางแง่มุม จะไม่ชัดเจน 
เพราะเขาแค่นักเดินทางผ่าน 
แต่..!
อยากขอบคุณ.... คุณอภิชาติ เพชรลีลา 
ที่ได้เปิดโลกของ เกาะพะงันในบางด้านตามทัศนะคติของคุณ 
ที่คิดและมองเห็น.... เพื่อให้ผู้อ่านอยากไปสัมผัส ด้วยตัวเอง.... 

 
บัวรู้สึกผิด ที่เกิดที่นั่นแท้ๆ รู้จักที่นั่น แทบทุกเม็ดทราย 
แต่กลับรอ รอ และรอ ทั้งๆที่สัญญาแล้ว สัญญาเล่า...
รออารมณ์ ที่อัดแน่น มากมายให้ระเบิดพวยพุ่ง 
เพื่อจะเขียนให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้.... 


จริงๆวันนี้บัวอยากเขียนถึง 
หนังสือ "ฟ้าบ'กั้น" ที่แสนรัก แสนประทับใจมาก.... 
หนังสือที่เขียนราวร้องทุกข์ 
เสนอภาพความยากไร้ 
ความเสื่อมโทรม ความล้าหลังของชาวไร่ชาวนา 
ด้วยเจตนาจะเรียกขาน "มโนธรรม" ของ "เมือง" 
และนี่คือเจตนารมณ์ของลาวคำหอม.... 


บัวอ่านหลายครั้งหลายหน 
เพื่อซึมซับ ความทุกข์ยากของพี่น้องร่วมชาติ ทางตัวอักษร.... 
ที่แม้กระนั้น บัวยังน้ำตาซึม ด้วยสะเทือนใจ.... 
นี่คือเพื่อน คือพี่น้องไทยผู้ทนทุกข์ยาก 
และบางส่วนได้ตะเกียกตะกายเอา แรงงาน
เพื่อไปแลกกับเงินที่หาเข้ามาในประเทศ 
ที่ยังดีกว่าพวกคอรัปชั่น โกงกินแผ่นดิน 
และขนเงินไป เพลิดเพลินจำเริญใจที่เมืองนอก.... 
เท้าไม่ติดดิน.... ไม่พอเพียง และเพียงพอ.... 
ขอแค่สบายลำพัง 
ชาติจะย่อยยับ อัปราอย่างไรไม่เคยเหลียวแล 


บัวคงต้องจบเพียงแค่นี้นะคะ 
รักฉบับนี้คือรักฉบับทุกข์ทนหม่นหมอง
ไปกับเรื่องราวที่ "ลาวคำหอม" รจนา ขึ้นมา
เพื่อเพื่อนผู้ร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน 
ที่เราเองยังโชคดีนักที่ไม่เคยได้สัมผัสกับตัวตนของเรา 


แต่จิตวิญญาณของเราคงเข้าใจและทุกข์ทนพอกัน 
เพราะเราคือพี่น้อง
ที่เกิดมาในผืนแผ่นดินไทย เดียวกัน ด้วยกัน มิใช่ดอกละหรือ....!!!!!!!
****************


และเรื่องราวนี้คือเรื่องที่พุดไพร
เคยนำเสนอมานานวันแล้ว
และ
กับนาทีนี้
ด้วยดวงใจคารวะด้วยความศรัทธาอันแสนยิ่งใหญ่
ที่อยากนำมาวางพลีเพื่อแสดงความ ชื่นชมแด่ท่าน
ผู้ชึ่งเป็นวีรบุรุษในดวงใจพุดไพร
ในด้านวรรณกรรม 

ที่แม้นวัยวันก็มิใช่อุปสรรคของชีวิต
ท่าน..คือใคร ใครคือท่าน ศิลปินแห่งชาติไทย
โปรดได้ติดตามจากบทความแสนงามข้างล่างนี้
ที่พุดไพรหยิบยกนำมาพลีเทิดเกียรติของท่าน
และ
หวังสร้างแรงใจไฟฝันให้แด่ทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
ที่อยากบอกใบ้ว่า
ให้เพียรอ่านงานยาวย้วยด้วยพลังจิตสมาธินิ่งๆนานๆให้ได้
หากดวงจิตวิณญาณรักที่จะเป็นนักรจนานะคะ
ด้วยรักล้นใจค่ะและหากอยากเห็นภาพท่านที่แสนงามสมถะ
ก็เพียงคลิ๊กเข้าไปที่เวบด้านล่างค่ะ
***************


http://www.dailynews.co.th/sunday/lifestyle.html?strdate=20050508
วิถีชีวิต   
  
 วัยบ่กั้น...ลาว คำหอม คำสิงห์ ศรีนอก คำยังหอม-ใจยังสิงห์
ก็สบายดี สมควรแก่วัย อายุปูนนี้แล้วก็อยู่ได้อย่างนี้แหละ ...ลุงคำสิงห์ตอบคำถามแรก หลังปล่อยให้อาคันตุกะแปลกหน้าพักหายใจคลายร้อนจากการเดินทางชั่วระยะหนึ่ง สุ้มเสียงที่แลดูสดใสกับท่าทางกระฉับกระเฉงของลุงคำสิงห์ คงเป็นพยานช่วยยืนยันสุขภาพที่แข็งแรงได้อย่างดี 
คำสิงห์ ศรีนอก วันนี้ยังคงเป็นสิงห์...
-----------


หลังจากได้พักจนหายใจคล่องก็รีบยิงคำถามกับลุงคำสิงห์ไปอีกว่าจะมีผลงานชิ้นใหม่ๆ ออกมาให้แฟนน้ำหมึกของ ลาว คำหอม คลายความคิดถึงบ้างไหม ซึ่งลุงคำสิงห์ตอบว่า ในระหว่างนี้ที่พอจะมีก็เป็นงานเขียนเล็ก ๆ น้อยๆ ที่มีคนไหว้วานให้ช่วยเขียนเสียส่วนใหญ่ อาทิ คำนำ หรือบทวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนชิ้นงานวรรณกรรมจริง ๆ นั้นคงไม่ได้ทำอะไร เพราะช่วงนี้ใช้เวลาหมดไปเสียกับการอ่านเสียมาก 

จริงๆ อยากจะดู อยากจะลองศึกษางานของคนรุ่นใหม่บ้างก็เท่านั้น อีกอย่างระยะนี้มีงานประกวดวรรณกรรมบ่อยขึ้น ก็เลยต้องตามอ่านงานเขียนต่างๆ ที่เข้าประกวดเพื่อให้ความเห็น ส่วนไร่ที่อำเภอปากช่องนั้น ช่วงนี้น้ำแห้งประกอบกับมีธุระหลายเรื่องที่ต้องทำ มากรุงเทพฯ คราวนี้จึงค่อนข้างจะอยู่นาน  แต่จริงๆ ลุงไม่ค่อยชอบอยู่กรุงเทพฯ เป็นคนติดปากช่อง ถ้าจะลงมาทีก็ต้องวางแผนให้คุ้มค่า ครั้งนี้มีเรื่องหลายเรื่องที่จำเป็นต้องอยู่ ก็เลยอยู่นานหน่อย  
ลุงคำสิงห์พูดถึงความเปลี่ยนแปลงระหว่างเมืองเลยไปถึงเรื่องในชนบทว่า มองเห็นความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้น วิถีชีวิตของชนบทแปรเปลี่ยนและสูญหายไปทีละนิดโดยคนในท้องถิ่นเองก็ไม่รู้ตัว 


แรงดึงดูดจากสังคมเมืองมันดึงคนจากสังคมชนบทไปเยอะ ลุงคำสิงห์พูดสั้นๆ ก่อนจะบรรยายภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่า จากคนทำไร่ทำนาก็กลายเป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นลูกจ้าง มีสังกัดไม่อิสระเหมือนก่อน ในที่สุดก็ทำให้คนที่ต้องอยู่ชนบทจริงๆ กลายเป็นคนเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
ทุกวันนี้หากไม่นับชาติ(ชาติ กอบจิตติ)ที่ไร่อยู่ใกล้กันแล้ว ก็พอมีเพื่อนฝูง คนรู้จักเข้ามาเยี่ยม พวกครูภาษาไทยก็มีอยู่เยอะ มองคนเหล่านี้แล้วก็ยังพอชื่นใจได้อยู่บ้าง ที่ยังเห็นว่ามีคนที่กระตือรือร้นคอยดูแลด้านนี้อยู่ 


เราถามต่อถึงความเงียบเชียบที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมช่างวรรณกรรมที่เพิ่งผ่านไป ลุงคำสิงห์หยุดคิดสักครู่ก่อนตอบว่า จริง ๆ ก็คิดและรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน เข้าใจว่าองค์กรของช่างวรรณกรรมนั้นได้ตายไปแล้ว รูปแบบของงานคราวนั้นก็ดูอิหลักอิเหลื่อ แต่ก็คงไม่ติดใจอะไรนัก 


ที่ไปก็เพราะอยากเห็นการเติบโต และความต่อเนื่อง บางทีรู้สึกว่าบางงานเหมือนเอาวรรณกรรมคลาสสิค เอานักเขียนบางท่านที่พ้นภาวะไปแล้วมารับใช้ความปรารถนาของคนพวกหนึ่ง หรือเอามาใช้เป็นหลังอิง คำนี้อาจหนักไปหน่อย แต่ก็มีความรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ...เป็นความนัย ภายในใจที่ลุงคำสิงห์ถ่ายทอดออกมากับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป


แต่ก็ใช่จะไม่มีแสงสว่าง ณ ปลายทางอุโมงค์ เพราะแม้จะรู้สึกไม่ดีกับเรื่องบางเรื่องที่ต้องเจอะเจอ หรือแม้แต่จะมีบางคนถึงกับทักว่า ปัจจุบันวงการวรรณกรรมดูมืดมน สับสน แต่ลุงคำสิงห์ก็เชื่อว่าจะมีนักเขียนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาผ่องถ่าย จนยึดเป็นหลักให้กับวรรณกรรมไทยได้ อาทิ 
ที่พอจะมีความหวังก็ยังเป็นรุ่นกลางๆ อย่างชาติ กอบจิตติ วินทร์ เลียววาริณ หรือไพฑูรย์ ธัญญา แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มกระจัดกระจาย เริ่มหลากหลายไร้สาระมากขึ้น


แสดงว่าแวดวงวรรณกรรมเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ...เราถามต่อถึงประเด็นต่อเนื่องข้างต้น 
ลุงคำสิงห์มองว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของสังคม โดยงานศิลปะ วรรณกรรมนั้นจัดเป็นดอก เป็นผลโครงสร้างทางสังคม ซึ่งถ้าสังคมปราศจากศิลปะแล้ว สังคมจะกลายเป็นสังคมที่ง่อยเปลี้ยเสียขาและพิกลพิการ ซึ่งโลกยุคปัจจุบันนี้มันทับซ้อนไปหมด มืดมนกับสับสน ดังนั้น ในเมื่อสังคมเป็นอย่างไร วรรณกรรมก็แสดงออกมาอย่างนั้น...เหมือนเป็นกระจกที่สะท้อนบางสิ่งออกมา 
กระจกย่อมไม่โกหกเงา...เป็นคำตอบที่ผุดขึ้นในใจ ขณะคิดตามสิ่งที่ลุงคำสิงห์วิพากษ์


ลุงคำสิงห์บอกว่า ในเมื่อสังคมเป็นแบบนั้น การที่จะให้งานวรรณกรรมชี้นำหรือแสดงออกในสิ่งที่แปลกแยกไปจากสภาพสังคม ก็คงทำได้ยาก แต่ในฐานะคนในวงการก็ยังอยากเห็นการเติบโตที่เข้มแข็งอยู่
หลายเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการอ่านหนังสือของเด็กไทย ดูเหมือนจะสวนทางกับการเติบโตของธุรกิจสิ่งพิมพ์ สำนักพิมพ์ทั้งหลาย....เราถามสิ่งที่คิดไว้ในใจกับนักคิด นักเขียนคนสำคัญ 1 ในรากฐานของวงวรรณกรรมไทย 


ยอมรับว่าเป็นภาพปริศนา 
เพราะเท่าที่สัมผัสมา หรือสังเกตดูตามงานหนังสือใหญ่ๆ จำนวนคนซื้อวรรณกรรมและหนังสือมีมากขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่ามีคนอ่านเพิ่มขึ้น หรือคนจำนวนมากๆ ที่เห็นในงาน เป็นเพียงการแค่มาช็อปปิ้งหนังสือเท่านั้น?!...เป็นสิ่งที่ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์คิดและกำลังหาคำตอบกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้


คนดังหันมาเขียนหนังสือกันเยอะ จนดูเกร่อ อย่างนี้จะมีผลกับวงการนักเขียนตัวจริงบ้างไหม...เป็นคำถามต่อไปที่เราถามความเห็นกับลุงคำสิงห์
เป็นเรื่องของกระแส พูดยาก ว่าตกลงดี หรือไม่ดี แต่หากมองภาพกว้าง เข้าใจว่าคนสมัยนี้มีความอยากที่จะเป็นนักเขียนกันเยอะ เพียงแต่สถานภาพของคนกลุ่มนี้ไม่ชัดเจน เป็นความทับซ้อน จนสร้างความสับสนไปถึงคนอ่าน เพราะไม่แน่ใจว่าจะอ่านงานเขียนในฐานะอะไร เป็นวรรณกรรม หรือแค่บันทึกคนดัง จุดนี้สำนักพิมพ์เองก็แยกไม่ออก


เจตนารมณ์มันไม่เหมือนกับนักเขียนรุ่นก่อน อาจจะมีผลดีในระดับหนึ่งที่ทำให้คนรักอ่านกันมากขึ้น เพียงแต่อาจจะสนใจที่ตัวคนมากกว่าที่จะสนใจความคิดในงานเขียนชิ้นนั้น ทั้งๆ ที่คนนั้น เขาอาจจะเป็นคนดังที่เขียนงานดีคนหนึ่งก็ได้
คนส่วนใหญ่รู้สึกว่านักเขียนเข้าใจยาก เข้าถึงลำบาก สัมผัสจับต้องไม่ค่อยได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ในวงนักเขียนแล้วจะเป็นเหมือนการรู้จักกันเองเสียมากกว่า...เป็นอีกคำถามที่เราถามซ้ำ 


ลุงคำสิงห์บอกว่า นักเขียนที่สนุกสนานก็มีอยู่เยอะ อย่าง อาจินต์ ปัญจพรรค์ ก็เป็นคนเฮฮา สนุกสนาน รงค์ วงษ์สวรรค์ เองก็กระหายที่จะมีมิตร มีเพื่อน แต่ในบรรดาอาชีพทั้งหลายในโลกนี้ อาชีพนักเขียนหรือนักเขียนอาชีพเป็นงานที่ทำคนเดียว เป็นงานที่โดดเดี่ยวโดยสภาพ อยู่กับตัวเองจึงมีสภาพที่ติดจะเป็นคนเหงาหน่อยๆ แต่โดยธรรมชาติแล้วเขาก็โหยหาเพื่อนเหมือนกันกับคนอาชีพอื่นๆ เพียงแต่ธรรมชาติบังคับให้นักเขียนเป็นคนมีโลกส่วนตัว


กับลุงคำสิงห์เอง ใครจะรู้ ? และเชื่อว่าศิลปินแห่งชาติ นักคิด นักเขียนอย่างลุงคำสิงห์เป็นคนที่พร้อมจะเปิดรับ และเรียนรู้โลกใหม่ๆ ใครจะเชื่อ ? ลุงคำสิงห์ติดทีวี และพยายามศึกษาคอมพิวเตอร์ และเรื่องของอินเตอร์เน็ท อีเมล์ ไอทีเช่นกัน


ติดทีวีแต่ติดเฉพาะดูข่าวสารบ้านเมือง ละครอะไรนี่ไม่ดูเลย ดูข่าวอย่างเดียว ดูเพื่อให้ไม่ตกโลก ไม่ตกสมัย โลกมันเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีผลกระทบทั่วถึงกันหมด ส่วนคอมพิวเตอร์นั้น ลุงสนใจเพราะมองเห็นคุณวิเศษ และอยากรู้กลไกว่าใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ก็ใช้พิมพ์งาน แต่พอห่างไปสักสามอาทิตย์ สี่อาทิตย์ ก็สั่งมันไม่ได้แล้ว ทำให้ไม่สนิทสนมกัน ส่วนอินเตอร์เน็ทนั้นลุงก็เคยพยายามใช้ ติดอยู่ที่ว่าบ้านนอกนั้น การสื่อสารไม่ดี ขาดๆ เกินๆ ไป จนรู้สึกว่าไม่คุ้มเท่าไร 
ขนาดคนที่มีประสบการณ์ผ่านโลกมามาก ยังเกรง แต่เด็กปัจจุบันกลับพร้อมที่จะกระโดดเข้าใส่ไฮเทค...เราแสดงความเห็นในเรื่องนี้ 


ลุงคำสิงห์บอกว่า พลังของสิ่งเหล่านี้ มีมหาศาล การจะไปต่อต้าน หรือต่อสู้คงลำบาก ดังนั้น ควรเรียนให้รู้ทันมากกว่า ต้องพยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม เหมือนกับที่ 30-40 ปีก่อนกระแสเมืองเคยไหลบ่าเข้าท่วมสังคมชนบท
มันทรงพลังและแหลมคมมาก สอดคล้องกับวัยของเด็ก ซึ่งรวดเร็ว เราไม่มีทางรู้หรอกว่าที่เห็นลูกเราเล่นอินเตอร์เน็ทอยู่นั้น เขากำลังติดต่อกับใคร และที่ใดบ้างในโลกนี้ ทางแก้คือ ต้องรู้ให้ทัน แต่ไม่ต้องถึงกับห้ามการเรียนรู้
----------


ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องอินเตอร์เน็ท แต่ควรจะเป็นทุกๆ เรื่อง ที่ควรปลูกฝังภูมิคุ้มกันทางสังคมนี้แก่คน
เป็นบทสนทนาสุดท้ายของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2535 เจ้าของนามปากกา ลาว คำหอม เจ้าของผลงาน ฟ้าบ่กั้น กับเรื่องสั้นดีเด่นในรอบร้อยปี หนังสือดีในรอบศตวรรษ 


กับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องกระจุก กระจิก ยันเรื่องกระแสหลักสังคม ด้วยเกร็ดก้อนแห่งความคิดของเสาหลักในแวดวงวรรณกรรมไทยอีกท่าน
...กับ ลาว คำหอม กับ ลุงคำสิงห์ ศรีนอก ในชีวิตปีที่ 75...
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ :เรื่อง/ภาพ
-------------


คิดถึงนักเขียนไทยบ้าง
ลุงคำสิงห์ ศรีนอก เกิดเมื่อ 25 ธ.ค. 2453 ปัจจุบันลุงคำสิงห์อายุ 75 ปี ประวัติครอบครัวเป็นลูกชายคนที่ 6 จากพี่น้อง 7 คนในตระกูลของครอบครัวชาวนา สมรสกับนางประพีร์ ศรีนอก มีบุตรธิดารวม 2 คน เริ่มงานเขียนเรื่องสั้นใช้นามปากกาแรกว่า ค.ส.น. ลงในน.ส.พ.แนวหน้า ต่อมาลาออกมารับราชการเป็นพนักงานป่าไม้ จ.เชียงใหม่ ก่อนจะลาออกอีกครั้งกลับเข้ากรุงเทพฯ ทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยของสถาบันคอร์เนลล์ ประจำประเทศไทย


ในปี 2501 นามปากกา ลาว คำหอม เริ่มปรากฏเป็นหนแรกกับงานเขียนเรื่องสั้น คนพันธุ์ ในนามสำนักพิมพ์เกวียนทอง ต่อมาในปีเดียวกันจึงจัดพิมพ์รวมเรื่องสั้นชุด ฟ้าบ่กั้น ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ได้รับการเผยแพร่ออกสู่สาธารณชนอย่างแพร่หลาย 


...ทั้งจำนวนพิมพ์ซ้ำที่มากครั้ง ทั้งภาษาที่ถูกนำไปแปลหลากภาษาจนถูกยกให้เป็น 1 ในเรื่องสั้นที่ดีที่สุดในรอบ 100 ปี... 
ในช่วงที่เกิดความตึงเครียดเรื่องสิทธิเสรีภาพของนักคิดนักเขียนได้ลดงานเขียนแล้วกลับไปทำไร่ที่ปากช่อง ต่อมาขอลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ประเทศสวีเดน ก่อนจะกลับมาเมืองไทยอีกครั้งในปี 2524 และผลิตงานวรรณกรรมหลายเรื่องออกมาให้บรรดาคอวรรณกรรมได้ชื่นใจสม่ำเสมอ จนได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2535 
คำสิงห์ ศรีนอก หรือลาว คำหอม เปรียบได้กับเสาหลักอีกต้นที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางกระแสโลก และกระแสวรรณกรรมไทยที่เปลี่ยนไป


พยายามไม่ตั้งเงื่อนไขอะไรมาก ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีเรื่องเครียด ลุงคำสิงห์กล่าวสั้นๆ ถึงหลักในการดูแลสุขภาพของกาย และจิต 
ท่ามกลางความแปรเปลี่ยนในโลกทุนนิยม สิ่งที่ลุงคำสิงห์เป็นห่วงก็คือ เรื่องการไหลบ่าเข้ามาของ วรรณกรรมต่างประเทศ และ วรรณกรรมแปล ทั้งหลาย ที่เข้ามาชนิดทะลุทะลวงอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่วรรณกรรมไทยอยู่ในช่วงอ่อนแอ 

เรื่องนี้ชาติ กอบจิตติเองเขาก็วิตกทุกข์ร้อนนะ เห็นพ้องตรงกันว่าเราไม่มีพลังทางวัฒนธรรมพอที่จะไปต่อต้าน นอกจากยกระดับมาตรฐานของเราให้สูงขึ้น และเข้มแข็งพอ

ลุงคำสิงห์ตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันวรรณกรรมกลายเป็นสินค้าที่เข้ามาเสริมพลังเติบโตของสำนักพิมพ์ โดยสังเกตเห็นเวลาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ มักจะเห็นนักจับจ่าย หรือแมวมองต่างๆ ของสำนักพิมพ์ทั้งหลายแทบจะแย่งกันซื้อลิขสิทธิ์การจัดพิมพ์
ก็ไม่ผิดหรอกเพราะเป็นธุรกิจ เพียงแต่ลุงอยากให้หันมาสนับสนุนนักเขียนดีๆ ในบ้านเราบ้าง
...เป็นเสียงแทนความเป็นห่วงเป็นใย จากหัวใจศิลปินแห่งชาติอย่างลุงคำสิงห์ที่มีต่อวรรณกรรมไทย...
...............
....................... 


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song169.html
เพราะขอบฟ้ากว้าง
ป่านนี้แก้วตา นิจจาคอยพี่
โอ้ป่านฉะนี้ คนดีคงทุกข์โศกตรม
คิดถึงคืนวัน ที่สองเรานั้นรื่นรมย์
ต่างชื่น ต่างชม ภิรมย์รักกันมา
บัดนี้พี่ยัง รักเธอไม่หน่าย
สู้อยู่เดียวดาย ไม่คลายความรักแก้วตา
รสรักยังตรึง ซาบซึ้งแน่นดวงวิญญา
ขอเพียงแก้วตา สัญญาไม่เปลี่ยนใจ
แต่เรานี้ต้องอยู่ห่างกัน ต่างคนต่างฝัน
ต่างคนตื้นตันทรวงใน
เห็นดารา นึกว่าเนตรน้อง
พี่หลงพี่จ้อง มองไป
เห็นเงากิ่งไทร พี่ยังเคลิ้มไป ว่ากานดา
อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย
อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย 
........
				
comments powered by Disqus
  • ดอกข้าว

    9 พฤษภาคม 2548 12:06 น. - comment id 462759

    ฟ้าบ่กั้นครับ46.gif
  • แก้วประเสริฐ

    9 พฤษภาคม 2548 12:18 น. - comment id 463991

    16.gif  ผมอ่านงานเขียนคุณแต่แรกจนถึงเรื่องนี้
    ในความคิดผมว่าคุณเป็นเพชรดวงหนึ่งที่หากเจียรนัยแล้วย่อมไม่หนีกวีซีไรท์แน่นอน
    มาอ่านงานเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าใกล้ความจริงขึ้นมากเลยครับ
    หากคุณสามารถบั่นทอนสิ่งไร้สาระไม่จำเป็นออกไป
    ผมรับรองเลยว่า คุณไปไกลแน่นอน อย่าหาว่าผมสอนนะครับ
    เป็นเพียงความรู้สึกในใจในการอ่านมาพอสมควร
    งานท่านกวีซีไรท์จะเน้นหนักในส่วนบางส่วนจะยกให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตามได้เสมอๆ เรียบง่ายไม่รกรุงรังครับ นี่เป็นความเห็นส่วนตัว จะถูกหรือผิด
    อย่างไรแล้วแต่จะคิดเอาครับ เพราะรักดอกจึงบอกให้ขอรับท่าน
    
                 16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • plaing_piu

    9 พฤษภาคม 2548 19:32 น. - comment id 464157

    เคยทำการบ้านเกี่ยวกับฟ้า บ่กั้นให้น้องสาวนานแล้ว  จำงานเขียนนี้ได้โดยเฉพาะ เขียดขาคำ เด่นมาก.  
    
    ชอบงานคนเขียนที่มีชีวิตชีวากับความเป็นจริง  .....มีคุณค่าต่อชีวิตและสังคม...
    
    ลาว คำหอม  หอมในวงวรรณกรรมเสมอ..  คำสิงห์  ศรีนอก  จำได้เสมอ...
  • พุด

    9 พฤษภาคม 2548 20:37 น. - comment id 464192

    นอนริมทะเลฟังคลื่นเห่จูบแง่งหิน
    คลื่นระรินทอยทอดพลอดคำหวาน
    กระซิบแผ่วแว่วเสียงเพ้อในห้วงกาล
    รอคนไกลกลับบ้านพรานทะเล...
    
    เพิ่งกลับมาจากบ้านทะเลชะอำเมื่อไม่นาน
    หางนกยูงริมรั้วบ้านวิมานทะเลทะเล้
    บานสะพรั่งสี
    รับกับลั่นทมหลากสีสัน
    ที่อ้อนได้อ้อนดี
    ฟ้อนอวลอาบแดด
    
    สนพัดซู่ซ่ารับลมทะเลไหวโอนเอน
    ฟ้าสวย
    เสียจนอยากร้องไห้ซุกอกใครสักคน
    หามีไม่..
    
    ได้แต่เดินเดียวดายสยายผมในผ้าถุงสีสด
    ราวนางพรายทะเลอิอิ
    
    ในยามตะวันลา
    รอนรอนอ้อนพรายแสงฟ้าจรัสพร่างรัศมีสีชมพูอมส้ม
    ดูราวสวรรค์ชั้นฟ้า
    มาเยือนแย้มตรงหน้าเลย
    
    มีเสียงเพรียกจากโพ้นฟ้าแดนไกล
    ถึงความรักเรียกหา
    ลอยลมมา
    
    นอนในเต็นท์
    ที่เห็นดาวเดือนเกลื่อนท้องนภาเวหาหาว
    พราวระยิบ
    
    เลย..
    ร้องเพลง*ร้องไห้กับเดือน*
    ฝากลอยลมไป..ให้คนในคะนึง
    ใคร..จะรู้รัก..รับคิดถึง ..นะ น่ะ
    
    ลองนอนเอาหูแนบหอยสังข์ฟังเสียงคลื่น
    ก็แปลกดี 
    ราวมีเสียงทะเลเหว่ว้า
    มาคลอเคล้าพะเน้าพะนอถึงริมหูถึงที่นอน
    วอนเว้าครางครวญ ราวใครครวญ..
    
    
    
    คิดถึงมากกกกกกนะคะเรไร้ เรไร. 
    พุดพัดชาฝากให้เรไรค่ะ 9 พ.ค. 48 - 19:59
  • พุดไพร

    9 พฤษภาคม 2548 20:51 น. - comment id 464200

    มีในฝันรักนิรันดร์ใช่วันนี้
    ตราบชีวีสิ้นชีวารอท่าขวัญ
    ไม่ยากเลยแค่หลับตามารักกัน
    หลอมร่างฝันสู่สวรรค์ไหน..ใจคิดเอา..
    
    
    ฝันเอาเองค่ะ
    ไม่ยากซักกะนิ๊ดค่ะคุณแก้วอิอิ
    
    จะให้หวานซ่านซึ้งสุข
    ทุกรสชาติบรรเจิดเพริศ
    แพร้วพริ้งพรายอย่างไรก็ได้
    
    ทุกดวงจิตกวีแก้วแพรวพิไล
    ย่อมมิจิตบรรเจิดไสว
    จินตนาไปไกลเกินพรรณนาค่ะอิอิ
    
    ยากมั้ยละคะนี่
    เรียกรักแบบนี้ว่า
    รักในฝันอันแสนงามค่ะ
    
    
    ด้วยรักและซาบซึ้งใจมากในคำแนะนำค่ะ 
    พุดไพร..ใจช่างฝันหวานๆๆๆๆ 9 พ.ค. 48 - 16:34  
     
     
     ความคิดเห็นที่ 3 : หมายเลข 467048  
    
    ชาตินี้หมดสิทธิ์คิดฝันแล้วที่รัก
    รอพลีภักดิ์กี่กัปป์กัลป์ยังสงสัย
    อธิษฐานชาติหน้าอย่าพบพันธนาใจ
    ขอจิตใสไปสู่ความว่างร้างไร้รัก...
    
    
    ไม่รักใครแล้วค่ะคุณแก้ว
    เบื่อค่ะอิอิ
    พุดมากราบขอบคุณที่ให้น้ำใจใส
    แสนงามราวแก้วประกายพฤกษ์
    
    
    ที่พลีหยาด
    สายลงพรายพรมห่มนวลใจในเนื้อจิต
    แมดวงดอกพุดไพรให้ไหวกิ่งฝันบันดาลใจ
    ให้มิสิ้นไฟฝันรักรจนาตราบเท่านานค่ะ
    
    ด้วยซึ้งในน้ำใจมากกกกก..ที่สุดแล้วค่ะ
    
     
    แม่ดวงดอกพุดไพรค่ะ 9 พ.ค. 48 - 16:47  
    ฝากให้คุณแก้วนะคะ
  • พุดไพร

    9 พฤษภาคม 2548 20:55 น. - comment id 464203

    36.gif
    รักงานทุกบทplaing_piu
    มากนะคะ
    บอกไม่ถูกว่าเพราะเหดุใด
    งามแบบคลาสสิคในคำสงบๆ
    ไม่ทราบจะบอกอย่างไร
    เป็นว่า
    พี่พุดไพรพบความนวลในเนื้อใจใน
    เนื้องานงามก็แล้วกันนะคะ
    36.gif
    
    และ...นี่คือ
    
    อีกหนึ่งแววกวีศรีเรือนไทยค่ะ
    อยากกระซิบว่า..
    
    หัวใจพุดไพร
    ดวงโบราณแอบตั้งนามปากกาไทยไทยให้ด้วยค่ะ
    ทายสิคะว่าน่าจะเป็นชื่ออะไร
     
    
    
    36.gif
  • พุด

    9 พฤษภาคม 2548 21:12 น. - comment id 464209

    16.gif
    ถึงคุณแก้วอีกรอบนะคะ
    ที่ฝากไว้ข้างบนนั้นคือไปตอบไว้ในงาน
    36.gif
    แม้ยากหากมีสักวันค่ะ
    36.gif
    คุณแก้วคะ
    ซีไรท์เป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมเลยค่ะ
    สำหรับพุด
    
    36.gif
    เพราะพุดไม่มีพรสวรรค์บวกพรขยันและพรแสวงพอดอกค่ะ
    36.gif
    พุดรู้สึกคุรแก้วให้เกียรติและกำลังใจพุด
    อย่างน่ารักน่าเอ็นดูมากค่ะ
    จากจิตดวงดีดวงใสซื่อที่แสนงามนักแล้วค่ะ
    
    
    ที่พุดขอแค่นำมาเป็นพลังไฟฝัน
    ให้ได้รักรจนาระบายฝัน
    แบบ
    นักเขียนสมัครเล่นดีกว่าค่ะ
    เพราะ
    เวลาแห่งชีวีชีวิตพุด
    ไม่ได้ทุ่มเทพอค่ะ
    พุดแค่ขอให้ใครสักคนที่พุดแสนรัก
    ก้าวไปสู่จุดนั้นค่ะ
    ไปเอื้อมคว่าดาวแห่งเกียรติยศมาไว้ในอุ้งมือ
    งามที่แสนพากเพียรค่ะ
    ที่พุดพลีพลังใจเคียงข้างเสมอมา
    และ
    พุดคงนอนนิทราฝันดีค่ะ
    
    
    36.gif
    และพุดคิดว่าหากทุกสิ่งที่เรารจนา
    พลีศรัทธาด้วยจิตวิญญาณรักแสนรักแล้ว
    
    คุณค่านั้น
    ก็จักพลันปรากฎในแง่ให้งาม
    กล่อมเกลาจิตวิญญาณบ้านภายในให้
    ทุกมิ่งมิตรผองเราทุกดวงใจ
    ในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
    แห่งนี้ทันทีแล้วค่ะ
    36.gif
    ที่แสนหวานเอมอิ่ม
    ให้เรายิ้มละไม
    กับทุกบทกวีที่คือ..จะมีความหมายกับใจใครสักคน..ก็แสนดีจริงๆแล้วนะคะ
    
    36.gif
    ด้วยรักทุกคนทุกดวงใจมายาวนานค่ะ
    และ
    ด้วยซึ้งสุดใจ
    กับทุกพลังไฟฝันที่ได้รับ
    ราวหยาดน้ำค้างจากแดนสรวงสวรรค์เลยค่ะ
    รักรักรัก..ล้นใจแล้วนะคะ
    36.gif
  • ร้อยฝัน

    9 พฤษภาคม 2548 23:22 น. - comment id 464270

    เห็นด้วย  อ่านงานเขียนของท่านแล้ว  ลองย้อนดูตัวเอง  ชาตินี้ไม่มีทางเทียบแม้แต่ปลายเล็บ  แต่จะเขียนต่อไปเพราะใจรักเจ้าค่ะ
  • กันเอง

    30 กรกฎาคม 2548 22:25 น. - comment id 497606

    ที่ไร่ของลุงคำสิงห์ บรรยากาศดีมาก อยากให้สมาชิก thaipoem.com ไปเยี่ยมท่านบ้าง บางทีเราอาจได้ข้อคิดดี ๆในการเขียนหนังสือจากท่าน
  • คุณครูกระบี่

    13 กันยายน 2548 01:38 น. - comment id 514620

    เป็นคุณครูสอนวิชาภาษาไทยม.4  กำลังสอนนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องสั้นเรื่องเขียดขาคำ  ของลุงอยู่นะคะ  ได้แก่นเรื่องสำคัญๆจากเรื่องนี้เยอะที่เดียว  ขอบคุณค่ะ31.gif
  • กัลยา ศรีนอก

    17 กันยายน 2551 19:37 น. - comment id 896523

    สวัสดีค่ะคุณลุงคำสิงห์   ขอแนะนำตัวเองนะคะ ชื่อกัลยา   ศรีนอกค่ะ    เคยพบคุณลุงสมัยหนูยังเด็กๆที่บ้านของหนูเอง  คุณลุงมาพบคุณพ่อของหนู  ซึ่งหนูก็ได้รับคำบอกเล่าจากคุณพ่อว่าคุณลุงคือใคร   เป็นใคร มาจากไหน   ทุกครั้งที่คุณพ่อพูดถึงคุณลุงด้วยความชื่นชม  หนูก็พลอยปราบปลื้มไปด้วยเสมอ   หนูติดตามหนังสือของคุณลุงเกือบทุกเล่มเท่าที่หาได้  อ่านแล้วรู้สึกดีจัง เข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น    แต่ตอนนี้หนู่ไม่เคยได้ยินคำกล่าวถึงคุณลุงจากปากของพ่อหนู้อีกเลย   เพราะคุณพ่อท่านจากหนู่ไปเมื่อประมาณเกือบ 3 ปีแล้วค่ะ   
             ตอนนี้หนูเป็นครู พยายามสอนลูกศิษย์ด้วยความตั้งใจ  ยังภคภูมิใจ ในความเป็น "ศรีนอก"  อยู่  ถึงแม้จะสมรสแล้วก็ตาม  สามีเข้าใจค่ะ  
             จะอย่างไรก็ศรัทธาต่อตัวคุณลุงอยู่เสมอค่ะ และจะติดตามผลงานตลอดไปค่ะ
    
    จาก.....คุณครูกัลยา   ศรีนอก
               หลานเองค่ะ
  • ดินสอไม่ได้เหลา

    21 พฤษภาคม 2552 16:14 น. - comment id 988199

    41.gif..."ฟ้าบ่กั้น"
    ผมเคยเอามาเขียนการ์ตูนเล่มละบาท
    เมื่อหลายสิบปีก่อน..ไม่ได้ขออนุญาต
    เพราะไม่รู้จะขออย่างไร...พอดีเพื่อน
    ผมก็นามสกุล "ศรีนอก"................
    คนที่เป็นคุณครูนั่นแหละครับ...อิอิ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน