ความโลภ ความโกรธและความหลง ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า...

คีตากะ

2011_04_16_200332_t4rspguk.jpg









      ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด, บอสตัน แมสซาชูเซตท์, สหรัฐอเมริกา
24 กุมภาพันธ์ 1991 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) 




      ถ : เป้าหมายสุดท้ายชองการทำสมาธิก็คือการหลุดพ้น อาจารย์กรุณาบอกฉันด้วยว่า จิตวิญญาณที่หลุดพ้นแล้วนั้น หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธและความหลง ฯลฯ จริงๆ หรือไม่

อ : จริง ฉันเคยบอกไปแล้วว่า คนที่รู้แจ้งเวลาที่เขาโกรธ มันไม่ใช่เป็นความโกรธที่แท้จริง ภายในลึกๆ ของเขาไม่ได้หวั่นไหวสั่นคลอน หรือว่าคนที่ถูกโกรธนั้นไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนด้วยความเกลียดชังด้วยบรรยากาศในทางลบ บุคคลผู้รู้แจ้งไม่เคยโกรธด้วยวัตถุประสงค์ที่เห็นแก่ตัว เขาไม่เคยโกรธเพราะเธอให้เงินเขาไม่มากพอ เพราะเธอผละจากเขาไป หรือภรรยาของเขาหนีไปอยู่กับชายอื่น หรือในทำนองกลับกัน แล้วเขาก็พยายามที่จะไล่ตามเธอให้กลับมา และหาวิธีอื่นใดที่จะทำร้ายคนผู้นั้น____คู่แข่ง บุคคลผู้รู้แจ้งอาจจะมองดูว่าโกรธแต่ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากนี้

บางครั้งเธอต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าพลังของความก้าวร้าว เพื่อที่จะฝ่าให้พ้นอุปสรรคในการทำงานและเพื่อให้ภาระหน้าที่ของเธอก้าวต่อไป เขาไม่ได้โกรธเนื่องจากไม่มีใครให้อาหารเขา ไม่มีใครให้เงินกับเขา หรือไม่มีใครรักเขา เธอหนีความโกรธไปไม่พ้นหรอก เธอต้องใช้มัน มันมีความแตกต่างระหว่างความโกรธที่แท้จริงกับคนที่รู้แจ้งซึ่งใช้ความโกรธเป็นอาวุธ

ก็เหมือนกับมีดซึ่งอยู่ในมือของหมอผ่าตัด ย่อมแตกต่างไปจากมีดที่อยู่กับฆาตกร มันยังคงเป็นมีดเหมือนกัน ทำให้เจ็บ ทำให้เลือดออก แต่ว่ามันช่วยรักษาให้หายได้ หมอผ่าตัดรู้ว่าควรผ่ามากน้อยเพียงใด ตรงไหน และยาวเท่าใด แต่ฆาตรกรเขาเพียงแต่ฆ่าคนไปอย่างหน้ามืดตามัวด้วยความเกลียดชัง หรือความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว

ความโกรธ ความโลภและความหลง และสิ่งที่เรียกว่า ลักษณะในทางลบต่างๆ ล้วนมาจากแดนนิพพาน ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า ต่างก็เป็นคุณสมบัติที่สูงส่ง ทำไมเราถึงได้มีความโลภต่อสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เป็นเพราะว่าเรามาจากอาณาจักรที่งดงามของพระเจ้า เราเคยชินกับเกียรติยศมาก่อน เราเคยชินกับความร่ำรวยมั่งคั่งมาก่อน เราเคยชินกับสรรพสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อให้ได้มา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเราส่วนมากถึงได้ขี้เกียจไม่อยากทำงาน เราเพียงแต่อยากได้เงินอยากได้เพชร (ผู้ฟังหัวเราะ) เราต้องรู้ว่าในโลกนี้มันแตกต่างออกไป เราใช้ความโลภนี้ผลักดันเราเพื่อฝ่าฟันโลกนี้ ให้ได้รับซึ่งหินล้ำค่าที่อยู่ภายในตัวเรา ---------- แก้วสารพัดนึก ความโลภก็ไม่เลวหรอก ความโกรธก็ไม่ได้เป็นพลังทางลบ กิเลสตัณหาก็ใช้ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องใช้มันให้ถูกทาง ใช้มันเป็นเครื่องมือในการรักษา ไม่ใช่ในการฆ่า แล้วทุกๆ อย่างก็จะเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่เป็นลบ มันเป็นความคิดที่ผิดๆ ของเรานั่นเองที่ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นลบ (เสียงปรบมือ)




คติพจน์ 

    ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

       หลังจากที่เราได้รู้ถึงความลับทั้งหมดของจักรวาล หลังจากที่เราได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งมวลของสวรรค์ เราจะไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไป เราจะกลายเป็นผู้มีความสุขอยู่ภายในตน ไม่ว่าสิ่งใดจะมาก็มา เราจะกลายเป็นเหมือนเด็ก เราจะไม่อยากและความอยากใดๆ ในโลกนี้ก็จะไม่เผาไหม้จิตใจของเราอีกต่อไป และจะไม่มีอำนาจควบคุมเหนือเราอีกต่อไป นั่นคือ อานิสงส์ของการรู้แจ้ง

ถ้าเราเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามีสวรรค์อยู่ภายในตัวเรา มีความสงบสุขอยู่ภายในตัวเรา เช่นนี้แล้ว ทุกๆ แห่งก็คือสวรรค์ ทุกๆ แห่งล้วนสงบสุข...






maha.jpg?et=9U0KG9mNgNzd%2CxAGQXy5Wg&nmi



%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%				
comments powered by Disqus
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    31 พฤษภาคม 2555 22:22 น. - comment id 129456

    ก็แล้วทรัพย์สมบัติทั้งมวลของสรรค์คือสิ่งใดอยู่ที่ไหนเล่า ใครที่ต้องการจะครอบครองเพื่อ
    จะไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไปก็คงจะต้องมีความโลภมากมายเพื่อที่จะหาทางครอบครองให้ได้ใช่หรือไม่เล่า
  • คีตากะ

    2 มิถุนายน 2555 18:08 น. - comment id 129457

    ละทิ้งอัตตาตัวตนแล้วจะพบ
    ปุถุชนคนทั่วไปย่อมไม่มีโอกาสได้พบ
    เพราะผู้ที่ค้นพบแล้ว พระพุทธเจ้าเรียกว่า
    อริยบุคคล เช่น โสดาบัน อนาคามี อรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า เป็นต้น สมบัติที่ได้มาโดยปราศจากความโลภ คือความสงบสุข คือนิพพาน คือแดนพุทธะ คือสุขาวดี คือสวรรค์ และสามารถได้รับโดยยังมีชีวิตอยู่บนโลกด้วย(ยังไม่ตาย) .....จงเคาะประตู แล้วประตูจะเปิด จงค้นหา แล้วจะพบ ....ขอรับผม...
    
    
    36.gif36.gif36.gif
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    3 มิถุนายน 2555 13:59 น. - comment id 129458

    ที่บอกมานั้นเข้าใจว่าเป็นศานาพุทธ นิพพาน
    นั้นจะต้องเพียรด้วยตัวเองไม่ใช่ขอกับพระเจ้าองค์ใด แล้วเกี่ยวกับพระเจ้าตรงไหนล่ะ หรือว่า พระเจ้าเอาพุทธไปเกี่ยวด้วยคงเป็นอย่างนั้นเพราะเกิดทีหลังกว่าตั้งห้าร้อยกว่าปี แถมมีข่าวว่า มีการกล่าวอ้างกันว่า พระเจ้าให้พระพทธเจ้ามาเกิดเพื่อสั่งสอนอริยสัตย์สี่อีกด้วย อิอิ
  • many_love

    9 มิถุนายน 2555 11:00 น. - comment id 129561

    พื้นฐานแต่ละศาสนามุ่งสู่ความดี..
    ที่แตกต่างคือวิธีสอน..
    ใช้มั้ยนะ
  • คีตากะ

    9 มิถุนายน 2555 17:50 น. - comment id 129565

    พระเจ้าไม่ใช่ตัวตน อย่างที่เข้าใจ แต่คือธรรมชาติสูงสุดอันเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง
    พระพุทธเจ้าและสรรพสัตว์ทั้งหลายคือพระเจ้า....ไม่มีใครที่ไม่ใช้พระเจ้า ไม่ว่าคุณหรือผม เพียงแต่จะเข้าใจประเด็นนี้ได้ต้องละทิ้งความเป็น "ตัวกู ของกู" หรือ "อัตตา" เสียก่อน การไม่ยอมละทิ้งอัตตา ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะวิ่งตามความคิดเอาเองว่า "พระเจ้าคือตัวตน คือบุคคล คือชีวิต คือสัตว์" ซึ่งทำให้เข้าใจพระเจ้าหรือ "อนุตรสัมมาสัมโพธิ" ตามที่ศาสนาพุทธเรียกกันผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความจริง...
    
    ความหมายของการรู้แจ้งที่แท้จริงตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำว่าให้ "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ไม่ใช่ขอให้ใครช่วย นั้นหมายความว่าให้พึ่งพระเจ้าภายในตัวเอง หรือเรียกว่าจิตพุทธะซึ่งเป็นธรรมชาติดั้งเดิมที่มีอยู่แล้วในตัวเองก่อนที่ชีวิตจะก่อเกิดขึ้นมาเสียอีก...
    
    พระเจ้าหรือพระพุทธเจ้าสูงสุด ไม่มีอะไรเกี่ยวกับศาสนา โลกนี้จะมีศาสนาหรือไม่..ไม่สำคัญอะไรเลย และไม่ได้ทำให้ธรรมะ หรือพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
    
    ศาสนาคือคำสอนที่เกิดจากศาสดาที่บรรลุถึงพระเจ้าภายใน หรือธรรมชาติดั้งเดิมเท่านั้น
    ทุกคนก็สามารถบรรลุได้เหมือนกัน....
    
    เพราะทุกคนก็คือ "พระเจ้า" ดั่งคำกล่าวที่ว่า
    "จงอยู่นิ่งๆ และรู้ว่าตัวเองคือพระเจ้า" โดยไม่ต้องเพียรพยายามอะไรเลย ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า
    "ตถาคตไม่ได้บรรลุถึงอะไร และไม่มีอะไรยิ่งกว่า " ความหมายก็คือ "จิตคือพุทธะ" อยู่แล้วจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำให้ตัวเองเป็นพุทธะหรือพระเจ้าอีก
    
    เรื่องของเรื่องคือทำให้ตัวเองเห็นแจ้งสิ่งที่มีอยู่แล้วเท่านั้น เสมือนดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างอยู่แล้วเป็นนิตย์ เพียงแต่คุณจะเปิดตาขึ้นเพื่อชื่นชมหรือไม่ ถ้าคุณเอาแต่นอนหลับก็คงไม่มีทางเห็นความงามของมันหรอกจริงไหม?....
    
    ก็การแค่เพียงทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเท่านั้น นิพพานก็อยู่ตรงนั้นอยู่แล้วก่อนที่สรรพสิ่งจะถือกำเนิดเกิดมาเสียอีก
    
    การร้องขอพระเจ้าให้ช่วยหมายถึงพระเจ้าที่อยู่ภายในใจตัวเองเท่านั้น ไม่มีพระเจ้าที่ไหนจะช่วยเราได้ ดังนั้น การไม่ค้นพบพระเจ้าของตัวเอง หรือจิตเดิมแท้ของตัวเอง จึงไม่มีทางร้องขออะไรได้ แต่เมื่อค้นพบแล้ว รู้จักแล้ว จึงสามารถร้องขอได้จริงไหม เหมือนการหลงรักสาวสวยคนหนึ่ง ถ้าไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าจะหลงรักได้อย่างไร? อย่างน้อยต้องเคยเห็นมาบ้าง หรือเคยเห็นก็รูปถ่าย ฯลฯ 
    
    สรุปก็คือดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ยังคงส่องแสงสว่างเป็นนิตย์นิรันดร แต่ถ้าเราปิดตาไม่รับรู้ ไม่เคยสนใจที่จะดู จะมอง หรือบางคนเกิดมาตาบอด จะถือว่าเป็นความผิดของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ได้หรือไม่? สรรพสิ่งคือพระเจ้า แต่คุณไม่เห็นเอง! จะโทษใคร?....
    
    36.gif36.gif36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน