รัก (ไม่)ข้ามโขง : Love (won't) across Mekhong river

Prayad

รัก(ไม่)ข้ามโขง

“โน่นแน่ะ ขึ้นทางโน้นอีกดอกแล้วพี่ สวยงามและขึ้นสูงมากทีเดียว” ดวงตาเธอลุกวาวและจับจ้องไปที่ลูกไฟมหัศจรรย์นั้นด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

 “ใช่ สวยงามจริงๆด้วย...แต่ว่าก็ยังสวยน้อยกว่าใบหน้าของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆนี่นะ” พูดพลางฉันก็หันไปจ้องตาเธอ เพื่อบอกเป็นนัยว่าฉันหมายถึงตัวเธออย่างมิมีเป็นอื่น

“อย่ามาแกล้งชมฉันเล๊ย...จ้างให้ก็ไม่หลงคารมของพี่ร๊อก” เธอทำทีเป็นมองหาคนที่ฉันบอกว่านั่งอยู่ข้างๆ (ทั้งๆที่มีเพียงเราสองคนนั่งอยู่ตามลำพัง) แล้วเธอก็ทำเป็นมองเลยผ่านดวงตาของฉันออกไปยังลำน้ำโขงยามค่ำคืน

“คารมอะไรกัน...พี่เป็นคนไม่มีคารมคมคายอะไรกับเค้าหรอก คุณดูสวยก็บอกว่าสวยสิ คุณเป็นคนสวยจะให้บอกว่าขี้เหล่ คุณก็คงจะตำหนิพี่ได้ว่าปากกับใจไม่ตรงกันอีกนั่นแหละ จริงไหมล่ะ” ฉันละสายตาลงต่ำจากดวงตาของเธอมาสะดุดอยู่ที่ริมฝีปากบางๆราวกับกระจับฝานด้วย Microtome(อุปกรณ์หั่นชิ้นเนื้อให้บางสุดๆที่มักใช้ในงานพยาธิวิทยา)

“ฉันก็เพิ่งจะได้รับการยืนยันนี่เองว่าพี่เป็นคนที่ได้ชื่อว่าปากกับใจตรงกัน คุณแน่ใจแล้วนะที่พูดเช่นนั้น” เธอลดน้ำเสียงลงและจ้องมองมาที่ฉัน

“แหม...คุณกระต่ายนี่ ผมไม่ยักกะรู้ว่าคุณกลายเป็นคนขี้สงสัยขั้นรุนแรงมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ร้อยเปอร์เซ็นก็ยังดูจะน้อยไปเสียอีกสำหรับความแน่ใจของผม มีรึคนเราจะอำพรางความจริงเอาไว้ได้ตลอดไป อย่างความรู้สึกลึกๆที่แอบแฝงอยู่ภายในหัวใจของผมเวลานี้ ผมก็อยากจะให้คุณได้รับรู้อยู่บ้างเหมือนกันนั่นแหละ” เสียงฉันแผ่วเบาลงที่ตอนท้ายๆของประโยค

“ไม่ต้องบอกฉันก็รู้ ว่าหัวใจของคุณรู้สึกได้ยังไง” เธอพูดขณะที่ยังอมยิ้มอยู่เล็กน้อย

“ไม่ให้บอกแล้วคุณจะรับรู้ได้อย่างไร” ฉันถามและรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเริ่มสั่นระรัว

“รับรู้ได้สิจ้ะเพราะหัวใจของฉันก็รู้สึกได้เหมือนกัน” เธอยิ้มพร้อมกับฉายความแวววาวผ่านออกมาทางดวงตา

“จริงเหรอ...คุณกระต่าย บอกผมได้ม้าย...ว่าหัวใจของคุณรู้สึกยังไง” หัวใจของฉันสั่นระริก สรีระทุกส่วนชะงักงันและตื่นตัว ฉันแทบจะไม่ยอมให้ลมหายใจมันผ่านเข้า-ออกทางช่องจมูกได้เพราะเกรงว่ามันจะส่งเสียงมากลบรบกวนสำเนียงของเธอ ในขณะที่ฉันกำลังเงี่ยหูคอยฟังคำตอบจากเธออยู่อย่างใจจดใจจ่อ

“บอกได้จ้ะ ก็คือหัวใจของฉันรู้สึกว่ามันยังคงเต้นตามปกติ ก็หมายความว่ามันยังคงทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะและส่วนต่างๆของร่างกายตามหน้าที่หลักของมันตามปกตินั่นเอง” เธอพูดขณะที่สีหน้านั้นฟ้องอยู่ในทีว่ากำลังบรรยายถึงวิชาสรีรวิทยาในห้องเลกเชอร์

“โธ่...คุณกระต่าย คุณจะกลั่นแกล้งคนโง่อย่างผมไปถึงไหนกันล่ะเนี่ย คือผมไม่ได้หมายถึงหัวใจอันที่มันกำลังเต้นตุ้บตั้บได้อะไรอย่างนั้นหรอก แต่ผมหมายถึงหัวใจที่มันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของคนอื่นต่างหากเล่า” ฉันรู้สึกเคอะเขินขึ้นมาทันทีขณะที่พูด

“ใครบอกล่ะว่าคุณเป็นคนโง่ คุณไม่ได้โง่สักหน่อย เพียงแต่มุมมองและแง่คิดของคุณอาจจะเห็นแตกต่างไปจากมุมมองของฉันอยู่บ้างเท่านั้นเอง” ดูเหมือนความเป็นนักปราชญ์ของเธอจะฉายแววออกมาข่มความเป็นตัวตนฝ่ายเนื้อหนังของเธออยู่เป็นครั้งคราว

“ก็ในเมื่อคุณไม่ได้เห็นว่าผมเป็นคนงี่เง่า เหตุไฉนเล่าคำตอบถึงได้เฉไฉไปจากคำถามของผมจนกลายเป็นคำตอบของตลกคาเฟ่ไปซะยังงั้นล่ะ” ฉันได้โอกาสพูดค่อนแคะย้อนคืนไปบ้าง

“เปล่า ฉันเปล่าพูดเฉไฉนะ แต่ตรงกันข้ามเลยฉันพูดความจริงตามที่หัวใจฉันรู้สึกได้ แต่สิ่งที่ฉันรับรู้ได้จากคุณนั้น...มัน...เออ” เธอหยุดชะงักและหันไปจ้องมองดูลูกไฟมหัศจรรย์ที่กำลังผุดขึ้นค่อนข้างถี่อยู่ชั่วขณะก่อนที่จะหันกลับมาและเอ่ยต่อ

“อืมม์...คุณค่อนข้างจะคาดหวังไว้สูงมากและดูเหมือนจะเป็นการบีบบังคับให้ฉันต้องตอบคำถามของคุณให้อยู่ในวงจำกัดหรือขอบเขตที่ๆคุณกำลังเล็งเห็นและต้องการอยู่นั้น โดยที่คุณเองก็มิได้คำนึงถึงหัวอกของฉันเลยว่าจะกระอักกระอ่วนใจเพียงใดต่อการตอบคำถามของคุณ หากจะว่าไปแล้วการที่คุณตู่ฉันว่าเป็นคนพูดเฉไฉก็ยังจะมีน้ำหนักน้อยกว่าการที่ฉันจะตู่ว่าคุณพูดเอาแต่ได้ หรือพูดง่ายๆก็คือเห็นแก่ตัว ตามสันดานที่แท้จริงของผู้ชายทุกคนนั่นแหละ จริงไหมล่ะ” พูดจบเธอก็ทอดสายตาออกไปยังเวิ้งน้ำท่ามกลางแสงเดือนโดยไม่คิดที่จะสนใจนักหรอกว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะเป็นอะไรหลังจากนั้น

“อือ อา...ผมว่าพวกเรากำลังสนทนากันไปคนละเรื่องเดียวกันรึเปล่าครับเนี่ย” ฉันพยายามจะตะล่อมเข้าสู่ประเด็นเดิม

“ไม่ผิดหรอกค่ะ เป็นเรื่องเดียวกันอย่างแน่นอน” เธอเอ่ยยืนยัน

“แล้วคุณกระต่ายคิดว่าพวกเรากำลังสนทนากันด้วยเรื่องอะไรล่ะ” ฉันย้อนถามเธออย่างได้ที

“ก็แล้วคุณพี่เองล่ะคะ กำลังคิดว่าพวกเราคุยกันด้วยเรื่องอะไร” เธอชายตาเป็นเชิงรู้อยู่ในทีว่าเราทั้งคู่ต่างก็รู้คำตอบกันดีอยู่แล้ว

“เรากำลังคุยกันเรื่อง ความรัก!” ฉันเน้นเสียงอย่างหนักแน่นตรงสองพยางค์สุดท้ายของประโยค

“ฉันไม่มีความเห็นขัดแย้งหรอกนะคะ เพียงแต่ยังไม่มั่นใจคำว่าความรักที่พี่เข้าใจและที่ฉันเข้าใจนั้นมันมีความหมายตรงกันทั้งโดยอรรถและโดยธรรมมากน้อยเพียงใด” สีหน้าเธอดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“ไม่เอาน่า พวกเราไม่ควรจะไปซีเรียสกับคำนิยามของสิ่งที่ไม่สามารถจะให้คำนิยามได้ แถมยังจะทำให้ยุ่งสมองและเสียเวลาคิดไปเปล่าๆนะ” ฉันเอ่ยตัดบท

“ไม่ได้สิ อย่างน้อยฉันก็ควรจะได้รับรู้ไว้บ้างว่าพี่มีทัศนคติอย่างไรต่อคำว่าความรัก พอจะบอกฉันได้ไหมล่ะ” เธอเอียงหน้ามาทางฉันเล็กน้อยก่อนที่จะทอดสายตาออกไปชมลูกไฟตามลำน้ำโขง

“ผมน่ะบอกได้...แต่คุณจะรับได้ไหมล่ะ” ฉันช้อนสายตาขึ้นไปสบตาเธอเป็นครั้งแรก

“ได้สิ” เธอตอบ

“ผม...รักคุณกระต่าย” ฉันไม่พูดอ้อมค้อม

“บ้า...ฉันหมายถึงทัศนคติต่อคำว่าความรักต่างหากล่ะ ที่พี่ควรจะบอกฉัน” เธอปั้นหน้าไม่ค่อยจะถูกระหว่าง โกรธ หงุดหงิด พึงพอใจ รำคาญ และอีกหลายๆความรู้สึก

“ทัศนคตินั่นเหรอ ไม่รู้สิ แต่รู้ว่ามันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่นำความรู้สึกดีๆเข้ามาสู่ชีวิต คือทำให้รู้สึกว่ามีชีวิตชีวา และรู้สึกว่าโลกมันนี้น่าอยู่กว่าเมื่อก่อนที่จะรู้จักกับคำว่าความรักขึ้นอีกตั้งเยอะ” ฉันรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่อุตส่าห์คิดหาคำตอบขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

“แต่ฉันกลับคิดว่าพอมีความรักแล้วจะทำให้หนักใจและเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น ทำให้ชีวิตขาดความเป็นอิสระเพราะถูกผูกพันไว้กับคนที่เรารักหรือคนที่รักเรา ฉันจึงคิดว่าโลกนี้ไม่น่าจะโสภาสถาพรเท่าไหร่นักหรอกหากจะต้องหนักใจเพราะความรัก” เธอมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากฉัน

“บางทีถ้าเรายังไม่ประสบเข้ากับตนเอง แนวความคิดและทัศนคติต่อความรัก ก็มักจะได้มาจากความเข้าใจของคนอื่น อย่างเช่น จากการดูหนัง ดูละคร การอ่านนิยาย หรือ อ่านพวกพ็อคเก็ตบุ๊คต่างๆ แต่ต่อเมื่อมีโอกาสได้ประสบพบเข้าด้วยตนเอง ก็อาจจะเห็นว่ามันไม่ใช่อย่างที่เคยมีความเข้าใจมาก่อนก็เป็นได้” ฉันหยิบยกถึงที่มาของทัศนคติที่มีต่อความรักโดยผ่านทางสื่อต่างๆ

“แหม พูดยังกะตัวเองได้ประสบพบรักมาก่อนอย่างนั้นแหละ” เธอพูดโดยที่ไม่ยอมหันหน้ามาทางฉันเลย

“ก็ไม่เชิง แต่ก็รู้ว่าพอเราหลงรักใครเข้าสักคน ถึงได้รู้ว่ามันไม่มีหนังสือหรือตำราเล่มใดจะบอกเราได้เลยว่าจะทำอย่างไร เค้าคนนั้นถึงจะรักเราบ้าง” ฉันกล่าวอย่างแฝงความรู้สึกท้อแท้

“ฉันคิดว่าคงจะต้องให้เวลาเธอบ้าง พี่ว่าจริงไหม” เธอแสดงความคิดเห็น

“ก็แน่นอนล่ะ แต่ต้องนานเพียงใดถึงจะได้รับคำตอบ...” ฉันเผลอตัวมองสบตาเธออีกครั้งเมื่อเธอหันมาอีกที

“ก็สุดแท้แต่ละบุคคลนะ บางคนที่เธอไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก ก็อาจจะไม่นานเกินรอ แต่สำหรับบางคนที่มีภาระทางใจมาก และยังมีปัจจัยและเงื่อนไขทางครอบครัวและผู้คนรอบข้างอีกเยอะแยะ ก็คงจะต้องใช้เวลารอนานขึ้น” เธอพูดและลดสายตาจากลำน้ำพร้อมกับก้มลงต่ำราวกับกำลังคิดย้อนเข้าหาตัวเอง

                ถึงเราจะได้พูดคุยเฉาะเราะต่อกระซิกกันอยู่บ้างในค่ำคืนนั้น แต่ฉันก็ไม่อยากจะจดจำบทสนทนาอื่นๆต่อจากนั้นให้มันเปลืองพื้นที่ของสมองอีกต่อไป เพราะห้วงเวลาอันทรมานที่ฉันเฝ้ารอคอยสัญญาณตอบแห่งความหวังของฉันนั้นมันได้เลือนรางจางหายไปในที่สุด เพราะหลังจากที่เธอกลับกรุงเทพฯไปแล้วภายหลังเสร็จสิ้นเทศกาลออกพรรษา ฉันก็ได้แต่เฝ้าภาวนาว่าวันหนึ่งเธอจะกลับมา จดหมายมา โทรมา หรือฝากข่าวมาถึงฉัน แม้ฉันจะพยายามติดต่อเธอด้วยสื่อใดๆก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าฉันเสียเองที่กลายเป็นตัวประหลาดเฝ้าคอยทำลายโอกาสดีๆที่เธอจะพบรักกับใครๆที่ไม่ใช่ฉัน              นั่นสิ...รู้จักตัวเองเสียมั่งก็ดีแล้วล่ะ ฉันรู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองขึ้นมาในบางครั้ง ฉันคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีหรือคงไม่ใช่เพศผู้ที่พึงประสงค์ของเพศเมียในการดำรงสืบสานเผ่าพันธุ์ตามกฎการคัดเลือกตามธรรมชาติ หรือ Natural selection ของชาร์ล ดาร์วินเป็นแน่แท้                 แต่ก็ช่างเถอะ ฉันพยายามปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยตัวฉันเองก็ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในสปีชีส์เดียวกันกับพวกสัตว์ตระกูลใดๆในโลก กฎเกณฑ์เหล่านั้นคงจะเอามาใช้กับฉันไม่ได้แน่ เพราะฉันเป็นมนุษย์ฉันก็ย่อมมีกฎเกณฑ์ที่เป็นแบบแผนของมนุษย์ต่างหาก และแบบแผนเหล่านั้นก็สมควรที่จะมีความเป็นอารยะมากกว่า กฎของ Natural selection อยู่บ้างเป็นอย่างน้อยอย่างแน่นอน แต่จะเรียกว่ากฎของอะไรนั้น ฉันยังไม่รู้ แต่ฉันอาจจะเรียกมันว่า กฎเหนือธรรมชาติไปพลางๆก่อนก็ได้ หรือ Supernatural selection ก็น่าจะใกล้เคียงกับความหมายที่ฉันเข้าใจ

                ถึงคุณกระต่ายจะเหินห่างและร้างไกลไปจากฉันเพียงใด แต่หัวใจของฉันก็ไม่เคยลบชื่อของเธอออกไปจากการถูกจารจารึกผนึกตราไว้แต่ต้นว่า...ฉันรักเธอ และยังเก็บงำคำว่ารักนั้นต่อมาจนกลายเป็นปัจจุบัน โดยไม่ยอมอนุโลมให้ความหลังเหล่านั้นตกค้างเหลือไว้ให้เป็นเรื่องของอดีตเอาเสียเลย ใช่จริงๆด้วย ฉันอาจจะเห็นแก่ตัวอย่างที่เธอเคยตู่ฉันเอาไว้ไม่มีผิดเลยจริงๆ ฉันมันเห็นแก่ตัวที่หลงรักเธอ ส่วนเธอไม่เห็นแก่ตัว จึงไม่รักไม่หลงฉัน โอ๊ย! ฟังดูมันคล้ายจะเป็นตรรกะบ้าบอคอแตกอะไรสักอย่าง ที่ฉันคิดว่าคงจะไม่มีวันทำความเข้าใจกับมันได้แน่ๆ ฉันได้แต่เดินเตร่ไปมาและนั่งลงตรงบริเวณเก่าที่เราเคยเคียงคู่มองดูลูกไฟด้วยกันในคืนวันอันแสนจะโรแมนติก (สำหรับฉันแล้วรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) เธอยังถามหยั่งเชิงฉันว่าหากเธอเกิดเป็นสาวชาวฝั่งตรงกันข้ามทางโน้น พี่ยังจะรักอยู่รึเปล่า เธอถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อฉันตอบว่า ต่อให้เธออยู่ฟากฝั่งไหน สุดแสนไกลเพียงใดฉันก็จะตามไปรัก ไม่ให้ข้ามสะพานนะแต่ให้ว่ายเอา เธอตั้งเงื่อนไขสำหรับผู้บ่าวจากฝั่งไทยที่จะไปหาเธอยังฝั่งลาว พอฉันทำท่าโยงโย่โยงหยกกำลังจะกราบไหว้ลำน้ำโขง เธอยังขำจนตัวงอ แล้วฉันก็ยังบอกว่าความรักทำให้คนตาบอด จะบอกให้เขาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเมื่อเขาตกหลุมรัก ฉันเอ่ยสำทับเพื่อที่เธอจะได้เห็นใจฉันบ้าง แต่เธอก็ยังเงียบเฉย ฉันมักจะหวนกลับมาที่เก่าของเราครั้งเคยนั่งด้วยกัน ฉันมาที่นั่นจนนับจำนวนครั้งไม่ถ้วน เพราะที่ตรงนั้นมันทำให้หัวใจของฉันรู้สึกอบอุ่นและรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของความรัก ฉันรู้เป็นอย่างดีว่า คงจะไม่มีโอกาสที่คืนวันอันหวานชื่นเช่นนั้นจะหวนกลับมาให้ยลยินอีกสักครั้งอย่างแน่นอน ทว่าอย่างน้อยการกลับมาเยี่ยมเยือน ณ ที่เก่าตรงนี้ก็นับว่าเป็นการให้โอกาสและเวลาสำหรับการเยียวยาหัวใจของฉัน เพื่อให้มันยังพอมีกระจิตกระใจอยากจะประคับประคองรูปสังขารอันซอมซ่อของฉันพอให้มันต่อลมหายใจไปได้อีกสักระยะหนึ่ง พวกชาวบ้านร้านตลาดมักจะพูดปลอบโยนฉันอยู่บ่อยๆว่า อย่าไปคิดมากเลยพ่อหนุ่มเอ๊ย รู้จักปลงๆเสียบ้างก็จะดี คงไม่มีคนชื่อกระต่ายเพียงคนเดียวหรอกในโลกนี้ พวกเขามักจะมีตรรกะอะไรแปลกๆมาให้ฉันขบคิดอยู่เสมอ บางทีฉันก็รู้สึกหงุดหงิดที่พวกเขาพูดเป็นเชิงดูแคลนเธอเช่นนั้น เพราะฉันเข้าใจว่าพวกเขากำลังจะเชียร์ให้ฉันไปตามล่าหารัก เอาจากผู้หญิงคนอื่นๆทั่วทั้งโลกที่ชื่อกระต่ายเช่นเดียวกันกับเธอ ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เธอเองก็รู้ดีว่าปากกับใจของฉันตรงกันและเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่อย่างว่าแหละเธอก็เคยบอกว่าฉันไม่ได้รักเธอ หากแต่เป็นอาการของคนที่ลุ่มหลงในตัวเธอมากกว่า นั่นสิ...เธอก็ยังไม่ยินยอมอยู่ดีที่จะให้ฉันใช้คำว่ารักกับเธอ แต่พยายามเฉไฉที่จะให้ฉันใช้คำว่าหลงแทนคำว่ารักกับเธอไปโน่นแน่ะ รู้ไหมฉันถึงกับปล่อยให้น้ำตามันไหลย้อนกลับลงไปซับหัวใจอันปวดร้าวของฉัน มันเจ็บปวดนะ...เจ็บปวดมาก ฉันไม่มีความรู้มากพอที่จะไปโต้ตอบวาทีเกี่ยวกับคำนิยามของคำว่ารักหรือหลงอะไรเหล่านั้นของเธอหรอกนะ ฉันรู้แต่เพียงว่าผลพวงที่เป็นความปวดร้าวนั้นมันก็เป็นความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจอย่างเดียวกันนั่นเองไม่ว่ามันจะเป็นรักหรือหลง

                ดวงดาราอันดาษดื่นถูกรัตติกาลนำพวกมันขึ้นแสดงไว้บนเบื้องนภาคืนแล้วคืนเล่า หากแต่คืนนี้ยังพ่วงพาเอาพระจันทร์วันเพ็ญขึ้นมาส่องแสงสีนวล ชวนให้ฉันรำลึกนึกถึงเธอ ฉันนั่งเหม่อมองดวงจันทร์ที่สุกสกาวขาวนวล ฉันมองเห็นเป็นภาพเขียนเลือนราง ไม่ต่างจากที่คนโบราณเขาเห็นกันว่าเป็นรูปกระต่าย นั่นสินะถึงแม้จะอยู่ไกลถึงโลกพระจันทร์ ชื่อของคุณกระต่ายก็ยังไปปรากฏอยู่ที่นั่นอีกจนได้ แล้วจะไม่ทำให้ฉันคิดถึงเธอได้อย่างไร มิหนำซ้ำคืนนี้เมื่อปีกลายเธอยังนั่งถกถ้อยก้อยเกี่ยว เกี้ยวกันอยู่กับฉัน พวกเรายังได้พูดถึงคำว่าความรักกันอย่างออกรส แต่ทว่าคืนนี้มีฉันนั่งอยู่เพียงลำพัง ถึงจะมีเสียงผู้คนดังอึงมี่ขึ้นเป็นระยะๆเมื่อมีลูกไฟมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นเหนือลำน้ำ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับพวกเขาเลยแม้แต่นิด เพราะดวงจิตของฉันมันถูกปลดปล่อย ลอยล่องไปกับจินตนาการจนเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ทันใดนั้นฉันก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงของใครมาเรียกอยู่ใกล้ๆ

“โอ๊ะ! ให้ตายสิ คุณกระต่าย คุณมาได้ยังไงเนี่ย คุณมาถึงที่นี่ได้ยังไง” ฉันตื่นเต้นดีใจจนพูดแทบจะไม่เป็นประโยค

“ดิฉัน มิใช่กระต่ายค่ะ” น้ำเสียงเธอราบเรียบราวกับพื้นผิวแม่น้ำโขง

“จะมาในฟอร์มไหนอีกล่ะคราวนี้ อย่ามาล้อพี่เล่นนะ ยิ่งใจคอไม่ค่อยดีอยู่  มาเล่นเซอร์ไพรส์กันแบบนี้พี่มีหวังช็อคตายแน่ๆเลย ทำไมถึงไม่ส่งข่าวคราวพี่บ้างเลย แล้วกลับมาจากกรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้ว...” ฉันกำลังจะซักต่อให้สิ้นความสงสัย แต่ต้องชะงักลงเพราะมีบางอย่างที่ฉันเห็นว่าเธอแปลกไปมาก ดวงตาที่เคยหยิ่งทะนงราวกับหงส์ผยองนั้นกลับส่อแสดงถึงความเชื่องราวกับสุนัขที่รักเจ้านาย

“ดิฉันมาในฟอร์มของคุณกระต่าย เป็นความจริงมิได้ล้อพี่เล่น ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจที่ว่าทำให้ เซอร์ไพรส์ ใจคอไม่ค่อยดีและมีหวังช็อคนั่น ดิฉันมิจำเป็นต้องส่งข่าวพี่ เพราะดิฉันมิได้มาจากกรุงเทพฯ” เธอหยุดพูดแต่เพียงแค่นั้น

“เออ...อ้า...ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอโทษคุณอย่างมากด้วยนะครับ แหม คนอะไรช่างมีหน้าตาคล้ายคลึงกันเอามากราวกับเป็นคู่แฝดอะไรกันอย่างนั้น เชิญนั่งตามสบายนะครับ มุมนี้อาจจะไม่ค่อยมีลูกไฟโผล่ขึ้นมาให้เห็นมากนักหรอก แต่ก็เป็นมุมที่เงียบสงบและมองเห็นได้ไกลดีเหมือนกัน คุณบอกว่าคุณไม่ได้มาจากกรุงเทพฯ ก็แสดงว่าคุณอยู่ใกล้ๆแถวนี้เองสิครับ” ฉันพยายามจะพูดคุยกับเธอเฉกเช่นการทักทายกับนักท่องเที่ยวทั่วๆไปเพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเพื่อนคุยเลยสักคน

“ดิฉันอยู่ที่นี่แหละค่ะ คืนวันก่อนดิฉันยังได้ยินคุณพูดถึงเรื่องความรักกันอยู่เลย วันนี้คุณไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้วเหรอคะ” ดวงตาคู่ที่เชื่องและอ่อนโยนของเธอเปลี่ยนเป็นความมีเสน่ห์และหวานเยิ้มอย่างน่าพิศวง

“ผมไม่อยากจะเอ่ยถึงมันอีกแล้วล่ะครับ บางทีอาจจะต้องให้เวลากับมันในการเริ่มต้นอีกครั้ง” ฉันพูดถึงเรื่องความรักอย่างเนือยนาย

“ดิฉันก็พอจะรู้ว่าการเริ่มต้นจากความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นมันคงจะเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง แต่หากความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นมิได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสมก็รังแต่จะนำไปสู่ความทรมานที่เรื้อรัง ซึ่งถือว่าเป็นการทำร้ายตนเองโดยมิมีความจำเป็นเอาเสียเลย จริงไหมคะ” พูดจบเธอก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆฉัน

“นั่นสิครับ บาดแผลทางใจที่เกิดจากใคร ความเจ็บปวดก็ย่อมจะบรรเทาเบาบางลงได้ด้วยใครคนนั้น ผมถึงได้ตกใจตื่นเต้นและดีใจยังไงล่ะเมื่อคุณเดินเข้ามาหาผม เพราะคิดว่าบาดแผลของผมคงจะได้รับการเยียวยาก็คราวนี้เป็นแน่” ฉันสารภาพออกมาอย่างง่ายดาย

“เพื่อบรรเทาความหิวกระหาย นาโคทั้งหลายย่อมดื่มน้ำได้โดยมิต้องเลือกว่าเป็นน้ำจาก ลำน้ำชี น้ำมูล หรือ น้ำโขง บาดแผลอันเกิดจากความรักที่มิสมหวัง ก็ย่อมบรรเทาได้ด้วยการทำให้สมหวังด้วยความรักโดยมิต้องเลือกถึงแหล่งที่มาของความรักมิใช่ดอกหรือคะ” น้ำเสียงของเธอช่างหวานล้ำและไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก จนฉันรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของเธอ

“เธอช่างมีหลักปรัชญาและตรรกศาสตร์อันแปลกประหลาดยิ่งนัก ใครเล่าหนอจักเป็นแหล่งแห่งความรักที่ว่านั้น ผมยังไม่ทันได้พบเห็นหญิงใดในหล้าโลกจะมาทดแทนสิ่งที่ผมรู้สึกว่าสูญเสียไปได้เลย” ฉันเผลอตัวโอดครวญออกมาอย่างไม่อาย

“ก็ไหนคุณคิดว่าคุณเป็นคนที่ปากกับใจตรงกัน มาบัดนี้กลับเป็นตรงกันข้ามไปได้อย่างไร คุณได้ทักทายดิฉันแต่กลับบอกว่าไม่เคยได้พบเห็นหญิงใด การที่คุณรู้สึกว่าสูญเสียไปก็มิใช่ว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนไม่ได้ หากดิฉันจะบอกว่าดิฉันเองเป็นแหล่งแห่งความรักที่ว่านั้นบ้างล่ะคะ คุณยังอยากได้รับการเยียวยาอยู่มิใช่ดอกหรือ” เธอมีท่าทีน้อยอกน้อยใจไปบ้างเล็กน้อย

“ผมรู้สึกละอายใจแก่คุณเอามากเลย ที่ผมกลายเป็นคนอ่อนแอทางใจได้ถึงขนาดนี้ ทำไมผมถึงไม่เคยมีอำนาจเหนือคุณกระต่ายเหมือนกับที่คุณมีอำนาจเหนือผมอยู่เวลานี้เอาบ้างเลย ผมอ่อนแอเกินไปจริงๆ” ฉันรู้สึกอยากร้องไห้ แต่ก็กลั้นไว้ได้ หากแต่น้ำตาสิมันกลั้นไม่อยู่

“ในหมู่นาโค หากเพศเมียปรารถนาจะสมสู่กับเพศผู้ตนใดแล้ว เธอก็จะเข้าถือครองเอาประหนึ่งว่าเป็นของๆตนโดยเพศผู้มิมีทางเลือกนอกจากยอมตนเป็นคู่สมสู่แต่โดยดีเท่านั้น” เธอชอบพูดอุปมาอุปมัยถึงนาคน้ำนาโคอยู่ค่อนข้างบ่อย เธอพูดจบก็เอื้อมมือมาจับมือฉันเบาๆ ฉันรู้สึกว่ามือของเธอออกจะเย็นกว่ามือของคนธรรมดาทั่วๆไป แล้วเธอก็ยังเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งมาเช็ดน้ำตาให้ฉัน ฉันยังรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเธอมองเห็นน้ำตาของฉันในยามค่ำคืนได้อย่างไร เธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันมีน้ำตาในเวลานั้น

“ขอบคุณมากครับ ที่มานั่งคุยเป็นเพื่อนผมและช่วยปลอบใจในเรื่องส่วนตัวของผม ถ้าหากว่าผมไม่เคยมีใครในหัวใจมาก่อนเลย ผมก็อาจจะ...เออ...คุณชื่ออะไรนะครับ” ฉันจับมือเธอยกขึ้นจุมพิตเพื่อแสดงออกถึงการขอบคุณ

“ขอบคุณค่ะ ชื่อนั้นจะสำคัญอย่างไรก็หาไม่ ในหมู่นาโค การจุมพิตสนิทแนบแอบไออุ่น นับเป็นบุญร่วมกันสวรรค์เห็น มีลูกไฟเป็นสักขีศรีผ่องเพ็ญ จึงสมเป็นคู่เกี่ยวกอดยอดชู้กัน...”ฉันได้ยินเธอพึมพำอะไรทำนองนี้ ในขณะที่เกิดเสียงอึงมี่ของผู้คนที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนั้น เพราะปรากฏว่ามีกลุ่มลูกไฟผุดขึ้นมาจำนวนมากอย่างถี่ยิบเหนือผิวน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ฉันนั่งอยู่

“ดิฉันต้องไปแล้วล่ะ ทางวังใต้ส่งสัญญาณถี่ยิบเรียกตัวกลับแล้ว” เธอลุกขึ้นและส่งสายตาละห้อย โดยมิทันได้คาดคิดเธอโผเข้ามากอดและซบลงที่ราวอกของฉัน เธอช้อนดวงตาที่แฝงเสน่ห์อันหวานล้ำขึ้นมาสบตาฉัน ริมฝีปากอันเรียวบางที่ทรงอานุภาพนั้นมีพลังอำนาจเหนือแรงทัดทานใดๆ ฉันราวกับถูกมนต์อะไรสักอย่างครอบงำ ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันเผลอโน้มตัวลงจูบเธอและลิ้มรสเสน่หาอย่างดูดดื่มนั้นเสียจนลืมตัว

                ฉันได้ยินเสียงอึงมี่ของผู้คนดังขึ้นในเวลาต่อมาอีกราวสองหรือสามระรอก นั่นแสดงว่ามีกลุ่มลูกไฟผุดขึ้นอย่างหนาแน่นเป็นระยะๆ แต่อ้อมกอดและรสเสน่หาของเธอและฉันในเวลานั้นดูเหมือนมันจะไม่ต้องการให้สิ่งอื่นใดในหล้าโลกเข้ามารบกวน แต่แล้วตัวเธอเองก็เป็นฝ่ายผละออกจากวงแขนของฉันไปอย่างตัดอกตัดใจในที่สุด เธอล้วงเอาอะไรบางอย่างเหมือนกับมันเหน็บอยู่ที่เอวของเธออยู่ตลอดเวลา แล้วเธอก็เอื้อมมาจับมือฉันและคลี่ฝ่ามือของฉันให้แบออกเพื่อรับเอาของสิ่งนั้น เธอทำเหมือนกับให้มั่นใจว่ามันตกอยู่ในกำมือของฉันอย่างแน่นอน เธอเดินเลี่ยงออกจากฉันไปอย่างช้าๆ ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองตกอยู่ในภวังค์ ไม่มีกำลังที่จะทำอะไรได้ด้วยตนเอง ฉันรู้ว่าโดยมารยาทฉันควรจะเดินตามเธอไป เพื่อส่งเธอ ซึ่งจริงๆแล้วฉันก็รีบผลุนผลันตามเธอไปติดๆ ด้วยกำลังและสติสัมปชัญญะที่พึงจะรวบรวมได้ในเวลานั้น ฉันยังคิดว่าเธอคงจะเดินกลับไปทางเสียงอึงมี่ของผู้คนเสียอีก เธอพลาดสายตาฉันแค่เพียงพุ่มไม้เล็กๆบริเวณทางแยกเท่านั้นเอง ฉันรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ที่หลังจากเที่ยวสอบถามผู้คนที่เดินผ่านหรือควรจะสวนกันกับเธอตรงบริเวณนั้น แต่กลับไม่มีใครเลยสักคนเดียวที่บอกว่าได้เห็นหญิงสาวเดินสวนขึ้นมาจากทางเดินแคบๆที่ฉันเดินตามเธอมาติดๆนั้น

                ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยเทศกาลออกพรรษาไปแล้วตั้งนาน แต่ฉันก็ยังพยายามวนเวียนกลับมานั่งอยู่ที่ฝั่งโขงตรงบริเวณเก่าที่เราเคยพบกันนั้นอยู่เนืองๆ จนชาวบ้านร้านตลาดต้องอดที่จะเข้ามาปลอบใจฉันไม่ได้ อ้าว! ยังมีความฝังใจด้วยรักอะไรกันนักกันหนาพ่อหนุ่มเอ๊ย... จนเวลาป่านนี้แล้วยังตัดอกตัดใจไปจากคุณกระต่ายไม่ได้เชียวเหรอ แต่คราวนี้ฉันไม่รู้สึกว่าพวกเขาพูดด้วยตรรกะอันแปลกประหลาดอีกต่อไปแล้ว แต่ฉันรับรู้ว่าพวกเขาพูดด้วยสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วๆไปเท่านั้นเอง เพราะเวลาจนป่านนี้แล้ว คุณกระต่ายก็คงจะมีใครสักคนเข้ามาครอบครองหัวใจของเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นแน่แท้ นั่นก็แสดงว่ากฎเกณฑ์การคัดเลือกเหนือธรรมชาติหรือ Supernatural selection ที่ฉันทึกทักขึ้นเอาเองคงจะมีอยู่จริงในโลกนี้หรือในสากลจักรวาลเสียด้วยซ้ำ

                ฉันหวนคิดถึงคำพูดของคุณกระต่าย ที่เธอเคยให้ความเห็นเรื่องระยะเวลาและเงื่อนไขหรือปัจจัยต่างๆต่อการรอคอยสัญญาณตอบแห่งความรัก บัดนี้ฉันเริ่มเห็นจริงๆแล้วว่าบางทีความรักมันต้องการระยะเวลา ความเจ็บปวดรวดร้าวจากบาดแผลทางใจก็ต้องการระยะเวลาในการเยียวยาเช่นเดียวกัน ฉันจึงเริ่มเห็นว่าวัดวาอารามคือสถานที่ๆพึ่งพิงอันสงบในยามที่จิตคิดว้าวุ่น ใช่...จิตใจของฉันเริ่มนิ่งเมื่อหันหน้าเข้าหาวัดดุจเดียวกันกับน้ำขุ่นข้นที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในภาชนะให้ตั้งนิ่ง  พวกตะกอนทั้งหลายก็จะนอนก้น และความใสสะอาดของน้ำก็ย่อมเป็นผลที่จะได้ตามมานั่นเอง เช้าวันนี้ฉันก็มีโอกาสเข้าไปในวัดอีกครั้ง หลังจากเข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถในขณะที่กำลังเดินกลับออกมาตามบันไดนาคหน้าโบสถ์ พลันสายตาของฉันก็ไปปะเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าโดยมิคาดคิด มันทำให้หัวใจฉันแทบจะหยุดเต้น คุณกระต่ายนั่นเอง! เธอเพิ่งจะลงจากรถเก๋งสีครีม และกำลังยืนรอชายคนขับ ชายคนนั้นเดินอ้อมไปหยิบเอาห่อดอกบัวและธูปเทียนจากเบาะหลังของรถ พอปิดประตูและล็อครถเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินจับมือกันตรงมาทางหน้าโบสถ์ที่ฉันกำลังยืนอยู่อย่างเก้ๆกังๆ ฉันอยากจะทักทายคุณกระต่ายอยู่อย่างเต็มแก่ แต่ผู้ชายที่เดินเคียงคู่กันมานั่นสิ ทำให้ฉันต้องตัดสินใจเอี้ยวตัวถอยเข้าไปหลบอยู่ใต้เศียรพญานาคด้านข้างของทางขึ้นเพื่อหลบสายตาของคนทั้งคู่

“กระต่ายคิดดีแล้วนะที่ตัดสินใจจะข้ามไปฝั่งลาวด้วยกัน” เสียงทุ้มๆของฝ่ายชายที่ฉันพอจะได้ยินอย่างถนัดหู

“ต่อให้...พ่อคุณ...อยู่ฟากฝั่งไหน สุดแสนไกลเพียงใดฉันก็จะตามไปเพราะรักจ้ะ” เสียงที่คุ้นเคยหูของคุณกระต่ายนั่นเอง หากแต่ได้ยินเสียงแผ่วลงตรงสรรพนามของฝ่ายชาย ขณะที่ทั้งคู่เดินเหยียบย่างตามบันไดนาคผ่านเลยฉันขึ้นไปภายในโบสถ์

ฉันไม่เข้าใจว่าแค่คำสนทนาแต่เพียงสั้นๆเท่านั้นทำไมถึงได้ทรงพลังและอิทธิพลต่อฉันยิ่งนัก มันถึงกับป่วนปั่นสั่นสะเทือนให้ตะกอนที่นอนก้นนิ่งอยู่ในใจของฉันนั้น ถึงคราวต้องพวยพุ่งขึ้นมาราวกับลูกไฟมหัศจรรย์ในคืนวันออกพรรษา มันยังทำให้น้ำตาของฉันเล็ดรินออกมาโดยหามูลเหตุอันแท้จริงไม่ได้อีกด้วย เธอคงจะติดตามไปอยู่กินกับชายคนรักที่ฟากฝั่งลาวโน้นล่ะกระมัง...ฉันสรุปในใจ ในขณะที่มือของฉันยังกอดเกี่ยวเหนี่ยวรั้งอยู่กับประติมากรรมรูปพญานาคตรงตำแหน่งวงเข็มขัดอันงามวิจิตร ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้ฉันล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาวัตถุอย่างหนึ่งที่หญิงสาวคนนั้น ซึ่งฉันอาจจะเรียกเธอว่า คุณกระต่าย๒ ได้ให้แก่ฉันไว้ตั้งแต่คืนวันนั้น ฉันนำมันออกมาวางทาบลงกับวงเกล็ดของพญานาคใต้ราวเข็มขัด  โอ๊ะ! คุณพระช่วย มันช่างเข้ากันได้อย่างแนบเนียนลงตัวกันสนิทพอดิบพอดีราวกับเป็นเกล็ดพญานาคที่เพิ่งหลุดร่วงออกมาจากตรงตำแหน่งนั้นๆเลยทีเดียว พลันฉันก็คิดถึงคุณกระต่าย๒ขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ รสเสน่หาอาลัยในห้วงแห่งเพลิงพิศวาสที่กำลังลุกโหมท่ามกลางกลุ่มลูกไฟจากลำน้ำโขงในคืนนั้น ผุดขึ้นมาเติมเชื้อแห่งไฟรักในห้วงหัวใจฉันให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้        ฉันคงจะคร่ำครวญ และอาลัยอาวรณ์อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่และด้วยอากัปกิริยาอันแสนจะน่าสมเพชเวทนาเพียงใด ฉันจำไม่ได้เสียแล้ว เพราะฉันไม่มีกระจิตกระใจที่จะไปทำสำรวมกับสังขารอันซอมซ่ออะไรของฉันให้มันสิ้นเปลืองแรงและเวลา เพราะฉันไม่เห็นว่าตัวเองจะมีค่าอะไรและสำหรับใครอีกต่อไปแล้ว จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคยนั่นแหละฉันถึงได้รู้เนื้อรู้ตัว

“อ้าว! พ่อหนุ่ม ทำไมไม่เข้าไปช่วยคุณกระต่ายกับคุณพ่อของเธอหอบหิ้วเครื่องสังฆทานเข้าไปถวายพระท่านในศาลาด้วยกันเสียล่ะ ก็มาเล่นหลบหน้าหลบตากันอย่างนี้นี่เอง สาวๆเขาถึงได้กลายเป็นแม่สายบัวแต่งตัวรอเก้อไปซะอย่างนี้”

comments powered by Disqus
  Prayad

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน