ดีเดย์ วันนี้ที่รอคอย I should love you

Kitima

แสงแดดอ่อนๆส่องกระทบนิ้วเท้าทั้งสองข้างของฉัน สายลมพัดผ่านใบหน้า เส้นผมพัดพลิ้วไหวตามสายลม ชายกระโปรงปลิวไหวตามแรงลม  ดอกลีลาวดีล่วงลงบนพื้น ฉันนั่งรอใครบางคนในสวนสาธารณะริมทะเลแห่งหนึ่งใน(ประเทศสิงคโปร์) ฉันตบเท้าเบาๆเพื่อเข้าจังหวะดนตรีพร้อมพึมพำเพลง”I should love you” แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าให้ความสึกอบอุ่น สายลมพัดเบาๆทำให้คิดถึงใครคนนั้น ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวน เสียงคลื่นทำให้หัวใจฉันผ่อนคลาย ฉันถือกล้องขนมเค้กช็อกโกแลตไว้ในมือด้วยความหวัง หวังว่าเขาคนนั้นจะกลับมารวมฉลอง ในวันครบรอบดีเดย์ ที่เราเคยสัญญากันไว้ในสองปีที่แล้ว ฉันสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆปล่อยลมหายใจออกอย่างช้าๆมันชั่งผ่อนคลาย ในบรรยากาศยามเช้าที่ริมทะเล ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นอาจไม่มาตามสัญญา ในขณะที่ฉันร้องเพลงพึมพำ มีคนสูงอายุมาวิ่งจ๊อกกิ้งผ่านไปคนแล้วคนเล่า มีเด็กฝรั่งปั่นจักรยานผ่านหน้าฉันไป เธอหันมามองฉันแล้วส่งยิ้มหวานแฉ่งให้ เธอน่าจะอายุราวๆสามขวบ แต่เธอปั่นจักรยานอย่างคล่องแคล่วเกินอายุ หนุ่มสาวเดินจับมือริมชายหาด อารมณ์ตอนนี้เหมือนได้ไปฮอลิเดย์ช่วงซัมเมอร์ที่บนเกาะ   เวลาค่อยๆเดินผ่านไปอย่างช้าๆ แสงแดดก็เริ่มเปลี่ยนทิศทาง...ส่องกระทบใบหน้าของฉัน ถึงแม้ว่าศาลาจะมีหลังคา แต่หลังคาก็เล็กเกินกว่าจะปกป้องแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวัน ฉันลุกขึ้นเดินไปมาด้วยอาการกังวลใจ อากาศก็เริ่มร้อนขึ้น แต่ถึงแม้จะมีแสงแดดแรง ตอนนี้ฉันก็คิดถึงแต่หน้าเขา ฉันถอดเสื้อคุ้มที่ใส่มาตอนเช้าออก ว่างมันไว้บนที่นั่ง ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อเลยในการรอค่อยครั้งนี้ กับมีความสุขมากกว่าทุกๆวัน ในรอบสองปี สายตาฉันคอยสอดส่องไปจนทั่วบริเวณ และแล้วเวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง ฉันรู้สึกถึงความหิว แต่ถ้าฉันไปกินข้าวในช่วงนี้ฉันอาจต้องคาดกันกับเขา “ทำไมแกถึงได้โง่ไม่หอข้าวมาน่ะคิม” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเอง  ฉันเหลือบมองกล่องเค้กช็อกโกแลตหลายครั้ง คิดจะหยิบมันขึ้นมากิน   แต่ว่า..ฉันอยากเก็บมันไว้กินกับเขา มันน่าก็จะอร่อยและมีความสุขมากกว่า “เพราะมันเป็นเค้กฉลองนี้น้า...จะกินมันคนเดียวได้ยังไง” ฉันนั่งรอเขาจนเวลาล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็นแต่เค้าก็ยังไม่มา คนเริ่มทยอยมาที่สวนสาธารณะเพื่อมาออกกำลังกายในช่วงเย็น บ้างก็พาน้องหมามาเดินเล่น หนุ่มสาวเดินจูงมือกันสวีทหวานแหววในยามเย็น มันยิ่งตอกย้ำให้ฉันคิดถึงเขามากขึ้น คิดถึงเมื่อก่อน เราสองคนเดินเล่นจนเหนื่อยแล้วทุกครั้งจะแวะมานั่งพักที่นี่ด้วยกัน ฉันถอนหายออกอย่างแรง ด้วยสีหน้าเศร้า ในสมองก็คิดถึงแต่เขา  “ฉันคิดถึงนาย.. ฉันคิดถึงนาย.. ฉันคิดถึงนาย...นายอยู่ที่ไหน..ทำไมนายยังไม่มา”  ฉันจับมือสองข้างของฉันขึ้นประกบกันเพื่อขอพรจากพระเจ้า  “God คะ แค่ห้านาที แค่เพียงหนึ่งนาทีก็ได้ ที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ขอแค่นี้ได้ไหมคะ ขอแค่นี้จริงๆ”  ลมเริ่มพัดแรกขึ้น ตาฉันเปลี่ยนเป็นสีแดงมีน้ำอุ่นๆคลออยู่ในนั้น ฉันยกมือขึ้นปาดหน้าตัวเองสองสามครั้ง มีหลายครั้งเหมือนกันที่คิดจะลืมเขาในช่วงระยะเวลาสองปี แต่ฉันเองทำไม่เคยได้เลย..แม้เพียงสักครั้งเดียว เพราะว่าหัวใจของฉันมันไม่เคยเปลี่ยนเลย นอกจากความทรงจำที่ดีที่มีความสุขแล้ว มันยังมีความทรมานที่เก็บไว้ข้างใน ที่คิดถึงเขา ฉันมีคำถามเป็นร้อยๆคำถาม และมีคำพูดที่อยากจะบอกเขา  จนถึงวันนี้ฉันเองก็ยังหวังว่านายเองก็คงจะยังคิดถึงฉันเหมือนกัน ฉันถึงยอมแพ้ไม่ได้  จะหันหลังกลับไม่ได้ "ฉันจะรอนาย”  ในเวลาหนึ่งทุ่มลมพัดแรงขึ้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เสาไฟในสวนสาธารณะเริ่มเปิดส่องแสงสว่าง รวมถึงศาลาที่ฉันนั่งอยู่ ฉันนั่งพิงเสาของศาลา ผู้คนเริ่มเดินทางออกจากสวนสาธารณะ  แต่ก็ยังมีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่มีปาร์ตี้บาร์บี้คิวตามริมชายหาด เสียงของพวกเขานั้นช่วยเป็นเพื่อนฉันได้มาก คนในสิงคโปร์ส่วนมากแล้วนิยมเดินทางมาพักผ่อนริมชายหาดแห่งนี้กันจนดึก  มีคุณลุงเข็นรถไอศครีมผ่านมา ฉันเลยซื้อกินแทนข้าวเย็นซะเลย  พออิ่มแล้วฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอเขาต่อไป เสียงฟ้าร้องลมก็พัดแรงขึ้น  อาการเหมือนฝนกำลังจะตก ฉันยื่นมือออกนอกหลังคา มีฝนตกลงบนฝ่ามือฉัน  ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้นทำให้ฉันนึกถึงจูบแรกกลางสายฝน ในค่ำคืนที่มีสายฝน เราสองคนจับมือกันวิ่งมาหลบฝนที่นี่ เขาถามฉันว่ากลัวเสียงฟ้าร้องไหม ฉันตอบว่าไม่กลัวเลย..เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตบังฝนให้ฉัน แล้วเราก็เดินกลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางเสียงฟ้าร้องดังขึ้นฉันตกใจมาก  ก็เลยเผลอกอดเขาซะแน่นเลย เขามองมาที่ฉัน ก้มหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มแล้วพูดเบาๆว่า  "ไหนบอกไม่กลัวไง”(ทำหน้าตาทะเล้นใส่)  มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นใบหน้าเขาชัดเจน ใบหน้าเรียว ตาที่มีเสน่ห์ดึงดูด จมูกที่โด่ง ริมฝีปากสีชมพู  หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา เขายิ้มหน้าแดงแล้วพูดว่า   “เสียงหัวใจเธอเต้น...มันดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องซะอีก เธอได้ยินไหม?” (เขายิ้ม) คำพูดนั้นทำให้ฉันทั้งอ้ายและก็เขินมาก ไม่รู้จะทำหน้ายังไงต่อ ก็เลยวิ่งออกไปก่อน  เขาวิ่งตามฉันมาแล้วดึงแขนฉันเอาไว้  “อายเหรอ?” นั้นเป็นคำถาม “อืม..” ฉันตอบเขา และก้มหน้าก้มตาเขินต่อไป   “ผมชอบคุณ ชอบมากกว่าที่คุณชอบผมนะ ผมยังไม่อายเลย” ฉันเงยหน้าขึ้นอมยิ้ม  แอบคิดในใจว่า (ฉันเขินจะตายอยู่แล้ว นายช่วยหยุดพูดก่อนได้ไหม)  ฉันหยุดยืนมองตาของเขาสักพักแต่ไม่ได้พูดอะไร  “คุณชอบผมไหม?”  “ฉัน....”(กระพิบตา ตกใจในคำถาม)  ฉันยังไม่ทันได้ตอบเขาเลยด้วยซ้ำ เขาก็ก้มหน้ามาใกล้ฉัน จนจมูกเราชนกัน  “ว่าไง ชอบผมไหม?” แล้วเขาก็จูบที่ริมฝีปากของฉัน เบาๆหนึ่งครั้ง ตัวฉันเหมือนโดดพลังไฟฟ้าแรงสูง..ช๊อตเข้าให้อย่างจัง ตัวชาทั้งตัวแล้วแอบสั่นนิดๆ ตาเปิดกว้างยิ่งกว่าจอทีวี 52 นิ้ว  “...ฉัน...” “ว่าไงนะ.. ชอบผมไหม?” (เขาจับไหล่ฉันดึงเข้าใกล้ตัวเขา เหมือนกำลังแกล้งฉัน)  “ ฉะ.....ฉัน” แล้วเขาก็จูบฉันอีก ทั้งๆที่อากาศหนาวมากฝนก็ตกหนัก  แต่ฉันไม่รู้สึกกลัวฟ้าร้องเลยไม่รู้สึกหนาวด้วย ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไร มองอะไรก็ไม่เห็น  หัวใจเหมือนมีปีกบินอยู่บนท้องฟ้าที่มีอากาศแจ่มใส พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฝนก็หยุดตกแล้ว (จูบนานมาก...อิอิ) เขาหยุดจูบฉันในขณะที่ปากของเรายังใกล้กันอยู่นั้น เขาก็พูดอีกครั้งว่า  “ผมชอบคุณนะ ชอบมาก ชอบมากจริงๆนะ” (เขายิ้ม) ลมหายใจของเขาผ่านริมฝีปากของฉันด้วยคำบอกรัก นั้นทำให้ฉันตกหลุมรักเขา  ถึงแม้..เราจะสนิทกันมากและถึงแม้..ฉันจะแอบชอบเพื่อนคนนี้อมานานอยู่เหมือนกัน  และฉันพอจะดูออกอยู่เหมือนกันว่าเราสองคนสนิทกันมากกว่าเพื่อนทั่วๆไป  แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าสภาพมันออกมา “ค่ะ”  (ฉันตอบ) ในตอนนั้นใบหน้าฉันรู้สึกร้อนๆปากก็สั่น ทำตัวไม่ถูก คำตอบฉันสั้นไป  ฉันยังคิดว่ามันสั้นไปจริงๆ หลังจากนั้น เขาก็เดินมาส่งฉันที่บ้าน ก่อนที่จะถึงบ้านของฉัน  เขาก็บอกฉันในเรื่องที่ทำให้ทั้งตกใจและก็เสียใจมาก  เขาต้องเดินทางไปทำงานที่อื่นเป็นระยะเวลาสองปี เขาส้วมสร้อยคอรูปหัวใจให้ฉัน  แล้วขอให้ฉันรอ แต่ฉันเองในตอนนั้นก็เสียใจมาก ก็เลยบอกเขาไปว่า  ในระยะเวลาสองปีเราอย่าพึ่งเป็นแฟนกันดีกว่า เพราะสองปีมันอาจจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไป เพราะระยะทางและระยะเวลา  ในตอนนั้นฉันเองก็ไม่อยากปิดกั้นตัวเองและตัวเขา ก่อนเขาเดินทางไปยุโรป เราได้สัญญากันไว้ว่า ถ้าเรายังไม่มีใครเราก็จะกลับมาฉลองวันดีนเดย์ด้วยกัน ในวันนี้..เดือนนี้..ในอีกสองปีข้างหน้า นั้นหมายถึงวันนี้ วัน 23 ธันวาคมในปีนี้ ในระหว่างที่ฉันรอเค้าที่นี่ เราโทรคุยกันบ้างมีอีเมล์บ้างในช่วงแรก แต่แล้วเราก็ขาดการติดต่อกัน  ถึงแม้ฉันจะย้ายบ้านมาสองสามครั้งแต่ฉันเองไม่เคยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมล์เลย  ส่วนอีเมล์ที่ฉันส่งให้เขาทุกอาทิตย์  เขาจะได้อ่านมันหรือป่าวนั้น ฉันเองก็ไม่รู้  แต่ไม่มีการตอบกลับอีเมล์เลย เบอร์โทรเขา...ฉันโทรไปก็ปิดให้บริการเสียแล้ว  ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือป่าว หรือว่าเค้าอาจจะพบกับคนอื่นแล้ว  ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็ยังอยากให้เขามาตามสัญญาเพราะอย่างน้อยเขาก็ควรจะมาบอกลาฉัน ด้วยตัวเขาเอง   ถึงแม้ว่าวันนี้นายจะยังไม่มาตามสัญญา ฉันก็หวังว่าพรมลิขิตจะนำพาให้เรามาเจอกันอีกครั้ง  เที่ยงคืนห้านาที ฉันกลับบ้านนอนแล้ว รักและขอบคุณเวลา.........

"I will never forget you."
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน