อัลมิตรา

 
แว่วสำเนียงเสียงหลงพะวงหา
ดุจนกกาบนดอยคอยส่งเสียง 
เฝ้าชะแง้แลมองต้องสำเนียง
ฤๅบ่ายเบี่ยงลี้กายหลีกหายไป 
ครั้นเงียบงันพลันเพ่งเล็งตรงกิ่ง
กระรอกวิ่งแอบกายต้นไม้ใหญ่ 
ชะเง้อแลแค่หน้าพาชื่นใจ
เจ้าสดใสเหลือเกินดูเพลินตา   
ครั้นนกไพรในป่ามารุมจ้อง
ร่วมขับร้องส่งเสียงเยี่ยงหรรษา 
ดุจเจื้อยแจ้วทักทาย "ไปไหนมา..จ๊ะ "
กิริยาดั่งสนุกทุกตัวตน 
คงจะมีเจ้าจ้อยคอยแอบพลอด
เกรงเล็ดลอดพฤกษ์ไพรคล้ายล่องหน 
ยินแต่เสียงกระซิบผ่าวเคล้าลมบน
แสนฉงนตัวอะไรใคร่แอบดู ..
สิบโมงแล้ว ฝนขาดเม็ด.. ผักเผือกก็ตื่นกันพร้อมหน้า พวกเราจึงพากันลงไปทานอาหารเช้ามื้อฟรีมื้อสุดท้ายที่รีสอร์ท .. วันนี้รายการอาหาร ยังไม่ทันอ้าปากสั่งเลย ทางแม่ครัวก็บอกว่า จัดให้แล้ว ... หมูผัดกระเพรา+ไข่ดาวราดข้าว ..กุ้งผัดกระเพรา+ไข่ดาวราดข้าว .. เอาก็เอา กินกันง่ายๆอย่างนี้แหล่ะ ตุนกระเพาะไว้ก่อนละกัน ไม่ถูกใจอย่างไรก็ไปหาเอาข้างหน้า .. แต่ความจริงแล้ว พวกเราก็ง่ายๆแบบนี้แหล่ะ มีให้กินก็กิน สบายๆ .. ไม่เรื่องมาก ขอให้ได้เที่ยวเหอะ เรื่องกินเป็นเรื่องรอง 
นัดแนะกับคนที่จะขับเรือไปส่งอีกฟาก ก็เป็นอันเข้าใจว่า เที่ยงตรงเจอกันตรงนี้ พวกเราจัดการกับอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะเตรียมตัวลงเรือข้ามฟาก เขาบอกว่า รถไฟจะมาประมาณ 13.45 น. มีเวลาชั่วโมงนิดๆที่จะเดินเที่ยวบริเวณนั้นได้ ยังไม่รู้เลยว่าตรงนั้นมีอะไรน่าสนใจบ้าง 
เที่ยงเป๊ะ .. คนเรือก็ยืนยิ้มรอท่าพวกเราอยู่ ร่ำลากันพอเป็นพิธีกับคนแถวๆนั้น ก็พวกที่ให้ยืมรถมอไซด์ไง พวกเขามาส่งกันด้วย รับปากกันว่าคราวหน้ามาใหม่ ยืมใหม่ จ่ายตังค์กันใหม่ ..อิ..อิ.. เล่นไม่ยาก ..
นั่งเรือไปแป๊บเดียว สองนาทีเอง ยังไม่ทันนั่งให้ถนัดขยับให้ดีด้วยซ้ำไป ถึงซะแล้ว ตอนเรือจอดเทียบท่า ต้องระวังลื่น ข้าวของดูเหมือนว่าจะมีเพิ่มมากกว่าตอนขามา แถมตอนนี้ต้องเดินขึ้นบันไดหลายขั้น เล่นเอาหอบเหมือนกันนะ ยังดีที่ว่าลูกลิงพอพอจะมีกำลังอยู่ตัว พอไหว แต่เพื่อนสิ โอดโอยกันเป็นระยะ ..ก็ต้องช่วยพยุงกันไป..
สนานีรถไฟนี้ไม่ใหญ่นะ แต่ทว่ามีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือถ้ำกระแซ ผักเผือกกับลูกลิงคิดว่า ไม่เข้าถ้ำดีกว่า กลัวชุดเลอะ ไม่รู้ลุยกี่มากน้อย อีกอย่าง ถ้ำบาดาลที่ลุยมาวันก่อน ทำให้นึกขยาดนิดๆ ก็มันเหนื่อยมากนี่นา วันนั้นน่ะ เข็ดดิ .. พวกเราก็เลยเดินเที่ยวกันบริเวณนั้น มีร้านขายของที่ระลึกไม่มากนัก เห็นเพื่อนสนใจพัดกระดาษอันใหญ่ที่แบบว่า ม้วนมาแล้วกลายเป็นหมวกได้ด้วย สีสันแสบตาเชียว ราคา 60 บาท เท่ห์ดีเหมือนกัน ลูกลิงไม่ได้ซื้อหรอก เดินเตร่ๆดูของไปเรื่อย มาสะดุดตาที่โมบาย (ไม่ใช่โทรศัพท์นะ) ไอ้ที่ห้อยๆ แล้วเวลาลมพัดมีเสียงกรุ๊งกริ๊งน่ะ แบบนั้นงัย เป็นไม้แกะเป็นรูปช้าง ร้อยเรียงกันประมาณ 30 ตัว ราคาต่อรองแล้ว 200 บาท ลูกลิงอยากได้นะ ก็เลยซื้อ จากนั้น ก็เห็นมีดสั้น แหม ! นึกถึงลี้คิมฮวงทันใด หมอนี่ ลูกลิงไม่ค่อยชอบนะ พระเอกคนนี้ทำให้คนรักต้องร้องไห้ ไม่สบอารมณ์เลยเวลาที่นึกถึงนิยายจีนเรื่องนี้ อีตาเซียวลี้ปวดตอเนี่ย .. อยู่ใกล้ๆบีบคอตายวันละหลายหนแน่เลย ราคาเท่าไหร่น๊า นึกก่อน .. อ้อ 250 มั๊ง ..สหายคนหนึ่งซื้อไว้ .. ลูกลิงลอบมองหน้าแอบคิดไปนิดหนึ่งว่า ตาคนนี้จะออกอาการเหมือนลี้น้อยหรือเปล่า ประเภทที่แกะไม้ไป สะอื้นไป .. ก๊าก คิดแล้วก็ขำ ..
ที่สถานีนี้ไม่ค่อยเห็นเพื่อนร่วมชาติเท่าไหร่เลย มีแต่ฝรั่ง ตัวเบ่อเร่อแบกเป้กันมา ดูแล้วว่า ขืนลูกลิงไปแบกอย่างเขาสงสัยล้มกองเผล่ะ ตรงนั้นแหล่ะ ท่าจะหนักมากๆเลย ..สบสายตาฝรั่งบางครั้ง ก็ไม่รู้จะคุยอะไร ได้แต่ส่งยิ้มไปอย่างเดียว .. พวกเขาทยอยออกมาจากถ้ำกระแซละแวกนั้น ลูกลิงก็ได้แต่เดินเอาเท้าไปแตะๆหมอนรถไฟที่บริเวณสะพานมรณะ เฮ้อ ..สงครามจะมีอะไรดี มีแต่ความพินาศ ทำไมนะ ทุกวันนี้จึงไม่อยู่กันอย่างสงบเสียที ป่านนี้ปักต์ใต้จะเป็นอย่างไรบ้าง จับได้ให้มาขุดภูเขาสร้างรางรถไฟซะให้เข็ด ..
จนกระทั่งรถไฟมา มานะ ไม่ใช่กลับ .. คือว่า มันมาจากกรุงเทพน่ะ พวกลูกลิงได้แต่มอง ยังไม่ขึ้นตอนนี้หรอก ประหยัด 4 บาท ขาล่องลงอีก 4 บาท รวมเป็น 8 บาท คนไม่แยะเหมือนวันที่พวกเรามากัน นี่ก็แสดงว่า เราคงจะมีเวลาอีกประมาณ 40 นาทีขึ้นไป ที่รอให้รถไฟถึงสถานีน้ำตกแล้วล่องขากลับมารับพวกเรา ( กิ..กิ.. ทำอย่างกะว่ารถไฟมีมาเพื่อนเรางั้นแหล่ะ) .. เอ๊า ! มาด้วยกัน กลับด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๊ย .. คนที่เดินดูของก็ดูไป คนไหนเมื่อยก็นั่งเฝ้าของ..เช่นลูกลิงเป็นต้น แบบว่า ได้ของพอถูกใจแล้ว ก็นั่งแหม่ะ ไม่ขยับกายไปไหนแล้วล่ะ รอราชรถไฟมาเกย.. 
"มาแล้ว มาแล้ว รถไฟมาแล้ว... " ลูกลิงตะโกนบอกบรรดาผักเผือกที่กระจายตามละแวกนั้น ต่างก็รีบเข้ามาแบกหิ้วสัมภาระของใครก็ของพวกเรานั่นเอง เอาขึ้นรถไฟ นั่งเกาะกลุ่มกัน จากนั้นก็หันไปบ๊ายบาย แม่ค้าหน้าใสแถวๆนั้น จนกระทั่งรถไฟเคลือนขบวน ข้ามสะพานมรณะ พวกเราทุกคนหันไปเหลียวดู รีสอร์ทที่พวกเราซุกหัวนอนสองคืน พลางโบกไม้โบกมือ ให้คนแถวๆนั้น "ไปก่อนน๊า ...ไว้จะมาใหม่ " ... ลูกลิงป้องปากตะโกนไป
 
ณ บ้านป่าริมธาร เมืองกาญจน์นี้ 
เมื่อครั้งที่พักผ่อนแต่ก่อนเก่า 
เคยชี้ชวนชมเล่นใต้ร่มเงา 
เก็บดอกปีปเสียบเอาไว้ให้กัน 
เคยยินเสียงธารไหลใกล้ใกล้บ้าน 
สนุกสนานเคียงข้างทางน้ำนั่น 
วิหคไพรร่อนถลาฝ่าไพรวัลย์ 
ส่งเสียงร้องรับกันอยู่ทั่วไป 
สายลมพัดกิ่งไผ่ใบร่วงหล่น 
ใจของคนพร่ำเพ้อละเมอไหว 
เพียงชั่วยามลุ่มหลงกับพงไพร 
ถึงเวลาจากไปให้คร่ำครวญ 
อีกเมื่อไหร่จะได้กลับไปหา 
ณ บ้านป่าริมธาร คอยวันหวน 
คิดถึงความครั้งเก่าคอยเย้ายวน 
ใจคร่ำครวญเรียกหาบ้านป่าไพร 				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน