กลอนให้ข้อคิด

คอยข่าวคราวคืน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


คอยข่าวคราวคืน
ริ้วลมหนาวตื่นสัญญาซานาน้อย
ลอมฟางคอยหยัดยืนคนคืนถิ่น
นกดอกซาดสะแบงหล่นลงปนดิน
หอมอวลกลิ่นเช้าตรู่อยู่ข้างปราง
หนาวน้ำหมอกเกาะเปื้อนเรือนใบหญ้า
ควายเสี่ยวนายังเพ้อละเมอสาง
ตื่นจากฝันขวัญนาหว่างฟ้าราง
แนบเนาว์ร่างพรมดอกน้ำหมอกนั้น
เผยเหมันต์วันหนาวเช้าใหม่เยือน
ซาหมอกเปื้อนชายแฝกชายคาขวัญ
แว่วกระดิ่งกริ่งอ่อนจากดอนตาล
คือควายขานไต่ถามการกลับมา
คุ้งควันไฟไรฟืนขึ้นยอดพร้าว
หนีลมหนาวหยอกย้ายส่ายเซหา
ควันข้าวจี่สีไหม้หอมกรายมา
กรุ่นไข่ทาปนน้ำอ้อยค่อยรวยริน
คนถึงคนใจร้ายหนีไกลบ้าน
สาวดอกจานหนีหน่ายไปไกลถิ่น
ลืมแล้วทิ้งสัญญาหล่ายุพิน
เจ้าดอกดินหมายฟ้าป่าดงปูน
หนอแพรวาสไบไหมลายมันเก่า
หูกไนเศร้าข้าวกล้าปลาร้าสูญ
น้อยกระดิ่งควายหาไห้อาดูร
น้ำเต้าปูนเหือดแห้งจะแล้งลา
บ่าวชาวนาร้องไห้ไม่ให้เห็น
สะอื้นเร้นหลบเศร้าเหงาหนักนา
บิดลอมฟางแค้นคั่งหลั่งน้ำตา
วาสนาบ่าวนั้นด้วยมันจน
หนาวลมเหนือเจือมาน้ำตาร่วง
เหน็บในทรวงมาร้าวหนาวอีกหน
ครั้นเอื้อมแขนทวยทอดกอดกายตน
ว้าเหว่จนลืมหนาวคราวเดียวดาย
ทิ้งรอยต่อกาลฤดูอยู่อ้างว้าง
ร้างรอยทางหว่างฝันจะพลันหาย
ซับน้ำตาพร่าพรางรดร่างกาย
ทิ้งสัญญาคาตายไว้ริมทาง
ห้ามหักให้ห่างเหินเกินห้ามนัก
ห้ามใจรักเหลือเกินต้องเมินหมาง
หนาวน้ำตาหน่วงหนักฤารักจาก
หวั่นรักร้างจำตรุอยู่ก้นใจ
รอยังรอรอคอยสาวน้อยกลับ
รับคอยรับบ่เลือนเดือนปีไหน
มองเหม่อมองสองฝั่งฟากทางไกล

ชาวนา

อิสรชัย รัตน


กว่าจะเป็นข้าวหนึ่งเม็ดแสนเหน็ดเหนื่อย
ความปวดเมื่อยอ่อนล้า น่าเศร้ายิ่ง
เตรียมต้นกล้า ไถดะ คราดชะทิ้ง
เมื่อทุกสิ่ง พร้อมพรัก เริ่มปักดำ
ต้นข้าวเขียว เรียงราย เอนกายไหว
ศัตรูพืช กัดใบ มากระหน่ำ
ตั๊กแตนปาทังก้า มาท้าย้ำ
ผู้ชอกช้ำ ชาวนา พาทุกข์ใจ
ทั้งยาฉีด สารพิษ คอยปลิดฆ่า
ศัตรูพืช นานา ไม่ปราศัย
น้ำคอยผัน เข้าสู่นา พาห่วงใย
เพื่อต้นข้าว เติบใหญ่ ไม่ตายลง
ต้นข้าวแก่ รวงดอก ก็ออกผลิ
ความปิติ ของชาวนา หน้าชี้บ่ง
หมดหนี้สิน ปีต่อไป ได้มั่นคง
หากฟ้าคง ปรานี มีเมตตา
เสียงครืนครืน คืนนั้นสั่นหัวอก
ฝนหลั่งตก เหมือนดังจะสั่งฟ้า
เสียงจ๊อกแจ๊ก ไหลริน ริมชายคา
เช่นเดียวกับ น้ำตา ชาวนานอง
ผืนน้ำข้น เวิ้งว้าง กว้างดุจอ่าว
ท่วมยอดข้าว ชาวนา หน้าเศร้าหมอง
ข้าวจะกิน หนี้จะใช้ ใครรับรอง
หรือจะต้องสร้างหนี้ นี้ต่อไป

ธรรมฤดู

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ธรรมฤดู
หริ่งเรไรย่ำรุ่งกล่อมทุ่งนา
พิรุณฟ้าอุ้มสรวงปวงสรรค์
พร้อมหล่อเลี้ยงนาข้าวคราวตั้งครรภ์
ลมจำนรรจ์ผ่านทุ่งปรุงท้องนา
ริ้วเมฆฝนค้างฟ้าเวลารุ่ง
สลัวทุ่งครองทางหว่างอุษา
แผ่วเสียงเพลงโพระดกโฮกป๊กมา
ปลุกนิทรางัวเงียเพลียอรุณ
ค่อยค่อยลืมเปลือกตาลอดคาแฝก
เค้าฝนแรกครองฟ้าตั้งท่าหนุน
เบียดเรือนกายกอดหมอนอ่อนละมุน
เสพสมดุลบุญวสันต์รับขวัญไพร
ลุกขึ้นห่มแพรไสบลายดอกขิด
มาจุ่มพิตดวงหน้าแววตาใส
หอมหมอกซึมลอดด้ายสายแพรไพร
ชื่นหัวใจชื่นเช้าพอหนาวเจือ
กระบวยน้อยจ้วงน้ำล้างใบหน้า
ซึ้งฝนฟ้าพระพิรุณเป็นบุญเหลือ
หนาวหน่วงร่างซ่านขวัญจนสั่นเครือ
หนาวนวลเนื้อลมลูบจูบเรือนกาย
ให้หวั่นยิ่งกริ่งกมลองค์สมภาร
ผู้สร้างทานผ่านยุคทุกสมัย
เมื่อลมฝนตั้งท่ามาโปรยปราย
ทำฉันใดกันเล่าเหล่าพุทธชน
จักรั้งรอไหมนั้นธรรมทายาท
ฤาเพียรทานใส่บาตรกลางหยาดฝน
วงกระเพื้อมเลื่อมน้ำทั้งลำชล
กระแซะเซ็นกระเด็นโจนฝนลงไพร
แม้นข้าวขาวสุขสวยนองด้วยน้ำ
สมภารธรรมตักฉันไม่หวั่นไหว
มิหมายลิ้มชิมซดในรสใด
หมายแรงกายปฏิบัติเพรียขัดเกลา
กระแสฝนหล่นหลั่งอยู่พรั่งพราย
กระแสธรรมอวลอายอุ่นในหนาว
เติมธาราห้วยหานลำธารยาว
เติมธาราสุขสกาวพราวนิพาน
หอมแสนหอมกลิ่นบุหงาระดาไม้
คราวลมไล้ลมลิ่วลอยผิวผ่าน
หลังเค้าฝนเผยฟ้ามาตระกาน
ธรรมชาติไขลานเผยกาลบุญ
ฝนเกิดก่อสะกิจใจให้ได้คิด
เฉกชีวิตเกิดนับและดับสูญ
ผู้สดับรับค่าพุทธาคุณ
เห็นต้นทุนธรรมสร้างหว่างฤดู

เป็นไปได้หรือ

เปลวเพลิง


เมื่อวานผมได้ไปหาซื้อบทกวีนิพนธ์ ชุด ขอบฟ้าขลิบทอง ของ อุชเชนี มาอ่าน
อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากๆครับ  เลยอยากนำมาแบ่งปันให้ชาวบ้านกลอนได้อ่านกัน  บทที่ผมนำมาเสนอวันนี้มีชื่อว่า "เป็นไปได้หรือ" ลองไปอ่านกันครับ
ฉันมองเงาเขาขุนละมุนซ้อน
หว่างเมฆมออรชรร่อนเรียงอยู่
มองอุษาอ่าแสงแจ้งดำรู
ฉาบผาภูผ่องผาดเพียงดาดทอง
ฉันมองคลื่นรื่นเร่เข้าเห่ฝั่ง
พร่ำฝากฝังภักดีไม่มีสอง
มองดาวเฟี้ยมเยี่ยมพักตร์ลักษณ์ลำยอง
จากคันฉ่องชลาลัยใสสะอาง
ฉันมองไม้ดอกขาวพราวทุ่งหญ้า
จำนรรจาเอียงอายสายลมสาง
มองนกน้อยจ้อยแฝงแข่งน้ำค้าง
สดุดีฟ้ากว้างพร่างตะวัน
ฉันมองแสงเดือนสอดลอดร่มไผ่
เหมือนยองใยเงินยวงอันสรวงสรร
เสกฉลุปรุระยับสลับชั้น
เป็นมิ่งขวัญตาคิดพินิจครวญ
หวามหัวใจเหมือนได้รัดสัมผัสหล้า
ห้วงนภานิรันดรอาวรณ์หวน
สรรพสิ่งโสภิตดุจชิดชวน
ใจรัญจวนจอดรักไม่พักเลือน
โฉดไฉนใจมนุษย์มาฉุดชัก
ทำหาญหักโหดกระหายหมายฉะเฉือน
ทลายงามเพื่อสงครามย่ามใจเยือน
ทลายเรือนทลายรักหลักโลกา
เมื่อทุ่งราบยังอาบเดือนเหมือนอย่างนี้
เมื่อราตรียังรวยรื่นชื่นนาสา
เป็นไปได้หรือนี่ที่มนตรา
สงครามฆ่ารักเสียแล้วแคล้วใจคน
ปล.เจอกันอีกทีหลังสอบกลางภาคนะครับ  หนังสือกองพะเนินรออยู่  ขอให้ดื่มด่ำกลับกลอนนะครับ

ต่าง

อรุโณทัย


พระจันทร์ส่องแสงนวลยามกลางคืน
ดาวนับหมื่นระยิบระยับวับวาวแสง
ยังสลัวมัวหม่นบนฟ้าที่แสดง
ไม่อาจแข่งแสงนวลของจันทรา
ชาย...แข็งแรงด้วยกำลังธรรมชาติ
หญิง...ไม่อาจต่อสู้อยู่ต่อหน้า
หญิง...จึงใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นธรรมดา
ชาย...เสียท่าเพราะไม่ทันนั่นความจริง
น้ำ...เป็นของเหลวอยู่ได้ทุกสถานะ
เพชร...ถึงจะแข็งแกร่งกว่าทุกสิ่ง
ยังสิ้นสูญได้ด้วยไฟที่ร้อนยิ่ง
เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย
สีขาวบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์
สีดำจุดความโศกเศร้าขอเฉลย
ถึงความต่างนำมาเปรียบเปรย
ต่าง ต่าง ชดเชย ซึ่งกันและกัน
อรุโณทัย
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

ข้าพเจ้า ไปไหนมา…

ลานเทวา


 
ข้าพเจ้า ไปไหนมา…
………………….
 
สะเทือนท่วงความจริง เสียงจิ้งหรีด
ประหนึ่งคมกดกรีด ประสาทหู
อวลลมไหวละลอก นอกประตู
คุเคล้าเสียงคลื่นกรู โถมกระทบ….
 
สะท้านท่วงทำนอง ก้องวิเวก
ปลุกเดียวดายปัจเจก สิ้นสงบ
เอกาลมพรมผ่าน ใจซ่านซบ
ลุบางสิ่งเร้ารบ ในหัวใจ….
 
คว้างชีวิตงุ่นงง ปลงชีวิต
ท่ามทางทิศโยงเชื่อม กระเพื่อมไหว
แต่ลืมตาเกิดดับ อยู่กับใด
มิต่างกัน เช่นไร ก็เช่นนั้น….
 
คว้างพะวงปลงปรุง  ใจฟุ้งเฟ้อ
ไปกับการพบเจอ ที่เหลื่อมหลั่น
เสาะแสวงหัวใจ ลุวัยวัน
ประหนึ่งภาพอัศจรรย์ ของชีวิต….
 
วาดเป็นความเข้าใจ ในตัวตน
ผ่านเหตุผล  กิเลส ตัณหา มายา จริต
หลากคุณค่า ความหมาย สหายมิตร
แต่งปรุงคิด แลปลงวาง กระจ่างมา…
 
ถึงที่สุด อจีรังแห่งฝั่งฝาก
ทุกข์ท้นความลำบาก พิพากษา
วัฏฏะนี้มีคำตอบ ใดมอบพา
ให้ก้าวย่ำธรรมดา ได้จบ รู้….
………………………
โดยคำ ลานเทวา

ในวิถีชีวิตวิถีนี้

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ในวิถีชีวิตวิถีนี้
ฟ้าเอิ้นสั่งร่ำร้องฮำฮอนฮัก
ควายนอนปรักฮักแพงแห่งเขตถิ่น
เย็นหยาดนุ่มลุ่มอยู่อณูดิน
หอมหวนกลิ่นสาบกล้าสุดนาไกล
เถียงนาน้อยคอยฮักคนจากบ้าน
มัดคันเบ็ดเสร็จงานข้างคันไถ
น้ำข่อนแห้งจวนขอดกู้ลอบไซ
ระวางไว้เก็บฝันเป็นตำนาน
หอมตอกไผ่สานชะลอมย้อมแววคิด
จุดประกายชีวิตได้ขิดสาน
สืบภูมิรู้ปัญญาแต่บุราณ
เริ่มเกิดงานถักทอรอเหมันต์
เมื่อเริ่มห่างจากฝนหล่นทิ้งช่วง
ฟ้ากว่ากว้างบอกลาหน้าวสันต์
การเก็บเกี่ยวเติบตื่นฟื้นทวงงาน
ฤดูกาลสอนเยาว์จวบเฒ่าวัย
หาปูปลาเลี้ยงตัวพอตัวรอด
สวิงกอดข้างแขนพอควงได้
แล้วชีวิตก็ระบำร่ำคลองไกล
เลือกปลาใหญ่เลี้ยงครัวพอตัวกิน
เก็บตำลึงทอดยอดอวบกอดรั้ว
เร่งคนครัวโหมไฟอุไอกลิ่น
รินน้ำข้าวซาวเกลือพอเผื่อกิน
รองท้องสิ้นหิวหน่อยค่อยเร่งมือ
ตำน้ำพริกปลาต้มสักหนึ่งครก
สำรับวางขันโตกพอยกถือ
เรียกครอบครัวร่วมสันต์อีกวันมื้อ
ล้วนก็คือวิถีชีวิตเรา
เปิดนีออนแทนไฟไต้ตะเกียง
นั่งล้อมเรียงพึงพักพนักเสา
ฟังผญาจ่ายขับค่อยรับเอา
จากตายายแก่เฒ่าท่านเฝ้าสอน
แล้วค่อยเข้าในมุ้งมุ่งผ่อนพัก
ซบแก้มรักวางเฉยเกยเหนือหมอน
เก็บเรื่องราวหว่างวันที่สัญจร
จวบอุษามาย้อนต้อนออกงาน
ในวิถีชีวิตวิถีนี้
คือวิถีสืบไว้ให้ลูกลาน
เหลือพอเพียงเลี้ยงกายกรำลายงาน
ทุกเฮือนบ้านล้วนเช่นนี้มานานแล้ว
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

ฝนใหม่ฮวยอีสาน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ปลายฤดูคิมหันต์ตะวันพลบ
จะเข้าหลบหลืบฟ้าเวลาฝน
เร่งควายขึ้นจากน้ำลาลำชล
สู่ฟางป่นคอกเก่าเสาเซเอียง
ลมไล่หลังครางครืนทวงผืนนา
ระหว่างฟ้าเอื้อนคำสำเนียงเสียง
นกถลาจากดินขึ้นบินเรียง
คงอยากเคียงลูกอ่อนก่อนฝนริน
หนอพี่ชายไอ้ตัวเล็กเก็บผ้าอ้อม
เหนือรั้วล้อมราวตากรักเขตถิ่น
ชายคารองรางไม้ไว้ดื่มกิน
เมื่อฝนรินตุ่มงามน้ำเติมเต็ม
เขียวมัดกล้าแต่ละมัดที่หยัดยืน
ต่อคนฝืนทั่งแกร่งเป็นแท่งเข็ม
ทุกปักดำกล้าไหวใบโลมเล็ม
จางเหงื่อเค็มเจือน้ำฉ่ำโคลนตม
เมื่อมวลเมฆอวบน้ำเต็มโอบอุ้ม
เตรียมปิดคลุมถ่านไม้ใช้ผ้าห่ม
หลบละอองฝนใหม่เริงสายลม
หากเปียกพรมถ่านแห้งหมดแรงไฟ
ท้วงทำนองจั๊กจั่นแต่วันวาน
จะขับขานร้องรับกับฝนใหม่
สังกะสีหลับนอนแต่ตอนใด
จะรัวไหวลายบรรเลงเพลงหลังคา
ทุกเรือนชานบ้านไหนในตำบล
คอยรับฝนสู่วันที่ฝันหา
ต้นวสันต์ผ่านร้อนค่อนเวลา
ความเป็นนาแต่หลังก็พรั่งพร้อม
พลิ้วเสียงฝนแรกตกกระทบโสตฯ
รินสะกดลานดินโชยกลิ่นหอม
งามดอกไม้ภูมรินเคยบินตอม
ก็ถูกย้อมน้ำฟ้ามาแต่บน
หอมเอยหอมกรุ่นกลมเมื่อฝนต้อง
ฟ้าร่ำร้องสั่งว่าสู่หน้าฝน
สังกะสีร้องขานบันดาลดล
แล้วเสียงมนต์เพลงสวรรค์ก็บรรเลง
-----------------------------------------------
หวานน้ำรองชายคาแรกหน้าฝน
ดื่มกับมนต์เพลงสวรรค์ที่บรรเลง
“วันฝนแรกแห่งฤดูฝนเดือนหก”
“เบื้องหน้าข้าพเจ้าขณะนี้ลมฝนใหม่
กำลังพัดพลิ้วยอดใบไม้ใบหญ้า
อุ้มไอความเย็นมาจากไหนก็ไม่รู้แสนฉ่ำเย็

แด่...เจ้า

เปลวเพลิง


เมื่อพ่อแม่ยังกรำทำนาไร่
เจ้าผลาญใช้เงินทองถูกต้องหรือ
พ่อแม่ถอนกล้า ดำ ด้วยกำมือ
ซ้ำยังถือคมเคียวเกี่ยวรวงทองเจ้าอาจบ่นว่ากรำร่ำเรียนหนัก
แทบกระอักกับวิชาตำราผอง
ที่บ้านเจ้าพ่อปรุงทุ่งลำยอง
แม่ประคองร่างระหงเดินลงนาแต่เช้าตรู่คู้หลังกระทั่งค่ำ
แม้ยามย่ำกายเหนื่อยเมื่อยนักหนา
มีความหวังแจ่มใสในแววตา
เพื่อลูกยาสู่ฝันแสนไกลเจ้าจึงควรรู้คิดสักนิดว่า
พ่อแม่หาเงินลำบากยากแค่ไหน
ค่าต่างต่างวันนี้ที่จ่ายไป
อย่าคิดให้หมดเกลี้ยงเพียงวันวัน“พ่อเกิดมาจนยิ่งจริงที่รัก
แต่เจ้าจักต้องไม่มีใครหยัน
ด้วยวิชาไม่ร้างเหมือนทางตัน
นำชีพนั้นจำเริญอีกเนิ่นนานแม่ก็ไร้เงินทองมากองให้
ทั้งยังไร้สมบัติพัสถาน
มีก็เพียงกายแกร่งกับแรงงาน
พอเป็นทานส่งให้เจ้าได้เรียน”เจ้าจึงควรมุ่งงานการศึกษา
แก้วปัญญาพิรามงามเสถียร
อาวุธซึ่งเกิดจากความพากเพียร
กำจัดเสี้ยน หนามไหน่ ไกลจากตัวเงินวันนี้อย่าใคร่ใช้ถนัด
มัธยัสถ์เพิ่มพูนนะทูนหัว
พ่อแม่สวมเสื้อจนหม่นมัวซัว
ด้วยเพราะกลัวเงินร่อยถอยกำลังนี่คือคำฝากไว้ให้พินิจ
เป็นข้อคิดชำเลืองดูเบื้องหลัง
เจ้าทำทุกนาทีดีหรือยัง?
หรือมัวนั่งโชว์ของในห้องเรียน?
..................................................
ด้วยความปรารถนาดี

พี่น้อง

กันนาเทวี


เดินโดดเดี่ยวเหลียวไหนใครคู่สอง
มีพี่น้องตามติดพิศมัย
ยามจำพรากจากกันแสนอาลัย
ซ้อนอยู่ในกายหนึ่งต่างพึ่งกัน
แม้ลุกนั่งเดินย่างต่างร่วมกิจ
ทำพูดคิดตรงแน่ไม่แปรผัน
น้องอยู่นอกพี่อยู่ในแฝดสัมพันธ์
หากดึงดันหลบลี้อาจมีตรม
สามัคคีคุมสติดำริพร้อม
ใจนึกน้อมกุศลดลสุขสม
ทุกขณะหายใจใฝ่เกลียวกลม
ย่อมรื่นรมย์พี่น้องท่องเดินไป
ทางสองแพร่งมิรู้เห็นเป็นบุญบาป
เมื่อกายหยาบเหินห่างสว่างใส
ลืมรำลึกสำนึกน้อมภายใน
ชวนพี่ให้หลงเพลินเดินตามมาร
น้องเข้าใจห่วงใยในตัวพี่
เฝ้าชวนชี้ตั้งมั่นหมั่นสังหาร
คราเผอเรอมืดมัวตัวซาตาน
จิตวิญญานพาลหลงคงซึมเซา
เดินโดดเดี่ยวเกี่ยวพันกันอยู่สอง
ตามครรลองธรรมชาติมิขลาดเขลา
สำรวมตนทำดีพี่น้องเรา
จึงรู้เท่าทันมายาประสาคน...
พี่....ธาตุรู้ หรือจิตวิญญาน
น้อง....กาย รวมองค์ประกอบธาตุ 4
แฝดพี่น้องทำหน้าที่ร่วม
เดินทางชีวิต
ป้ากันนา
14  พฤษภาคม 2555

ขอแค่ยังไม่ตาย

เชษฐภัทร วิสัยจร


ความล้มเหลวคิดให้ดีมีแต่ได้
เหมือนเถลไถลหลงทางอยู่กลางป่า
ยิ่งเจ็บใจยิ่งจดจำเป็นธรรมดา
ยิ่งรู้ค่าทางที่หลงเคยงงกัน
ให้เปรียบเทียบทางที่ถูกผูกความคิด
ให้ตั้งจิตปรับมุมมองต้องมุ่งมั่น
สิ่งที่ฆ่าเราไม่ตายจงใช้มัน
มาสร้างสรรค์ชีวิตไว้ให้เติบโต
ผิดร้อยครั้งพันครั้งยิ่งสั่งสม
ยิ่งถูกข่มถูกด่า ถูกฮาโห่
ยิ่งกลบความไม่ดีขี้คุยโว
ความยโสไม่รุกล้ำมากล้ำกราย
ที่เราถูกเพราะเคยผิดคิดเสียก่อน
คำนวณย้อนประสบการณ์การแพ้พ่าย
เอาตัวรอดเอาไว้แค่ไม่ตาย
ยังไม่สายโอกาสหน้าฟ้าใหม่มี

นางฟ้าของซาตาน

din


ฉันเห็นเธอก้าวไปอย่างไร้ทิศ
ใช้ชีวิตแกร่งกร้าวอย่างห้าวหาญ
ไม่กลัวรักจะแยกลงแหลกราน
เรื่่องวันวานผ่านผันไม่หันแล
หัวใจเธอยอมปรับให้จับผิด
จึงชีวิตหมองไหม้ใจมีแผล
ถูกเขาเย้ยหยันย้ำกระหน่ำแด
สิ้นไร้แม้คนหวงเป็นห่วงกัน
ไม่รู้ตัวว่าพญามัจจุราช
หมายพิฆาตเข่นฆ่าให้อาสัญ
ในมุมที่ไม่เห็นเป็นสำคัญ
รักจึงบั่นขาดลงเป็นผงคลี
เธอจึงต้องร้อนรุ่มในมุมอับ
แว่วเสียงขับคร่ำครวญชวนหมองศรี
ว่า "นางฟ้าของซาตาน" รานฤดี
ป่านฉะนี้...เธอหมองหม่้น...อยู่หนใด

หายากนะเพื่อนเอ๋ย

เปลวเพลิง


เห็นเอ็งหันมองขวา ซ้าย หน้า หลัง
เอ็งกำลังหาอะไรหรือไม่หนอ?
บอกข้าหน่อย ข้านี้ยินดีพอ
ไม่ต้องง้อ ข้าช่วยด้วยเต็มใจเอ็งยิ้มแล้วพูดตอบ “ขอบใจ-เพื่อน”
ก่อนเอ่ยเอื้อนจนแจ้งแถลงไข
“ข้ากำลังหาคนบนโลกัย
ที่นอก-ในสะอาดปราศมลทิน”ฟังเอ็งกล่าว ตรองตรึก ข้านึกหัว
คนไร้ชั่ว ทราม ชัง หมดกังฉิน
คิดเสาะหาจวบวารลาญชีวิน
คงไม่ผินพบหน้าสบตากันจึงบอกว่า “หยุดหาเถิดสหาย
สิ่งที่หมายจะได้ยลบนสวรรค์
เหนือพิภพโลกมนุษย์ที่สุดนั้น
ไม่มีวันรู้จักสักชีวีไม่มีใครเลิศเลอดอกเหนอเพื่อน
ชีวิตเปื้อนดีร้ายหลากหลายสี
จะหาคนสะอาดสรรพไร้อัปรีย์
ยากกว่ามีลูกเป็นควายหลายเท่าตัวที่กล่าวมาหมดนั้นมันจริงหรือ
หรือว่าคือเรื่องขันอันน่าหัว
เหอะ! ลองสืบค้นไปจะได้ชัวร์
ว่ามันมั่วหรือว่าจริงกว่าใครเอ็งจะหันซ้าย ขวา หน้าหรือหลัง
อดีตยังอนาคตอันสดใส
เชื่อเถอะว่าสัจธรรมยังอำไพ
มีผู้ใด“ดีเต็มตัว-ชั่วเต็มตน”?
.....................................................

บ้านแสนสุข

เจ็บ แต่ก็...โอเค


….บ้านแสนสุข….
บ้านเอยบ้านแสนสุขไม่ทุกข์เศร้า
พ่อแม่เราร้อยรักสมัครสมาน
ไม่เมามายอบายมุขร้ายรุกราน
เป็นสื่อรักลูกหลานในบ้านเรือน
เราอยู่กันด้วยรอยยิ้มเอมอิ่มจิต
พ่อคือมิตรที่แท้แม่คือเพื่อน
เราอยู่กันด้วยความดีทุกปีเดือน
สมานเสมือนสรวงสวรรค์ในบ้านเรา
พ่อรักแม่คนเดียวอย่างเหนียวแน่น
ไม่มีแฟนซ้ำสองให้หมองเศร้า
แม่รักพ่อเบิกบานเนิ่นนานเนา
ลูกคือเงาแห่งรักประจักษ์จริง
จึงเป็นบ้านแสนสุขไม่ทุกข์โศก
ร่วมพัดโบกในโลกเย็นเป็นสุขยิ่ง
ถ้าเพื่อนไทยทำให้เห็นให้เป็นจริง
แดนสยามจะสุขยิ่งแท้จริง…เอย ฯ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สันดานกา

ศรีสมภพ


“ สันดานกา..”

ห่มผ้าเหลืองเรื่องมากอยากไม่หยุด
จิตไม่หลุดจากกิเลสนั่นเหตุผล
รับการไหว้กราบหรูจากผู้คน
แต่ทำตนทำตัวจนมัวหมอง..
คะนองใจ..ใต้ผ้ากาสาวพัตร์ อวดตัวเก่งเคร่งครัดจัดจนผ่อง ต่อหน้าดีหลังชั่วฉลหลบคนมอง หวังลาภผองมอมเมาคน.. รวยล้นฟ้า ก่อนจะบวชสวดคำขอ ก็ดังชัด จะปฏิบัติหัดจิตไม่ผิดหนา ศีลกี่ข้อ กี่ร้อยพันนั้นรับมา ปรารถนานิพพาน..หรือนับตังค์ ! พฤติกรรมสำส่อนซ่อนลามก สกปรกต่ำช้า ไม่น่าขลัง คฤหัสถ์ศีลห้าแท้แม้ขาดมั่ง ดูแล้วยังดีกว่าพระคฤหาสน์.. โลภโกรธหลง ปลงไม่ได้ใช่ไหมเล่า ? ออกจากวัดกลับบ้านเก่าอย่าเขลาขลาด ยิ่งอยู่นานยิ่งบาปหนักจักพลั้งพลาด ฉุดพระศาสน์ให้ตกต่ำทำจัญไร ? ปลดเปลื้องผ้าเหลืองออก! ขอบอกเจ้า สันดานเก่าเจ้ายังอยู่ ดูไฉน ? เดรัจฉาน “ สันดานกา ” นั้นน่าอาย จงกลับไปยังที่เก่า..เหมือนเจ้ามา !! ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ภาพภิกษุสันดานกา เป็นผลงานภาพวาดของ อนุพงษ์ จันทร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาจิตรกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ภาพภิกษุสันดานกา มีปัญหาต่อกลุ่มพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งนำโดย พระมหาโชว์ ทัศนีโย แกนนำสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ ซึ่งกล่าวว่าเป็นการดูหมิ่นสงฆ์ โดยภาพที่แสดงพระภิกษุ 2 รูปหลับตาเอาศีรษะชนกันและมีปากเป็นปากของกา นอกจากนี้ยังมีรอยสักเต็มตัว และแสดงกิริยาแย่งสายสิญจน์กับตะกรุดที่อยู่ในบาตร ส่วนลายสักเป็นรูปกบก

ทางที่ไม่ได้เลือกเดิน

เชษฐภัทร วิสัยจร


The Road Not Taken: Robert Frost
ทางที่ไม่ได้เลือกเดิน: เชษฐภัทร วิสัยจร
Two roads diverged in a yellow wood,
And sorry I could not travel both
And be one traveler, long I stood
And looked down one as far as I could
To where it bent in the undergrowth;
Then took the other, as just as fair,
And having perhaps the better claim,
Because it was grassy and wanted wear;
Though as for that, the passing there
Had worn them really about the same,
ทางแพร่งแยกป่าใหญ่เหลืองอยู่เบื้องหน้า
ฉันพะว้าพะวงยังลังเลอยู่
อยากจะเลือกทั้งสองทางก้าวย่างดู
พลางมองลู่ทางด้านหนึ่งซึ่งยาวไกล
มองทางซึ่งลดเลี้ยวคดเคี้ยวลับ
จนหายวับแวะลงเข้าพงใหญ่
แต่ฉันกลับเลือกอีกทางก้าวย่างไป
ทางซึ่งให้ภาพงดงามตามอย่างกัน
เพราะว่าเส้นทางหลังร้องดังกว่า
ยิ่งผืนหญ้ายิ่งรกร้องก้องใจฉัน
พอได้ลองเดินดูก็รู้พลัน
ทางสายนั้นไม่แตกต่างอีกทางเลย
And both that morning equally lay
In leaves no step had trodden black.
Oh, I kept the first for another day!
Yet knowing how way leads on to way,
I doubted if I should ever come back.
I shall be telling this with a sigh
Somewhere ages and ages hence:
Two roads diverged in a wood, and I –
I took the one less traveled by,
And that made all the difference.
ทางเดินเช้าวันนั้นเหมือนกันหมด
ทั้งเคี้ยว

การเดินทางยังไม่สิ้นสุด (The Endless Journey)

ลำน้ำน่าน


ฤดูกาลครั้งหนึ่งจึงกลับมา
เคลื่อนชะตาอีกครั้งในรังหนาว
กลางแสงจนหม่นหมองของเรือนดาว
มาฝากข่าวรำไรในสำนึก
ข่าวโพ้นฟ้าอีกฝั่งรั้งใส่ย่าม
เมื่อโมงยามหอบหิ้วพริ้วลมดึก
เร่ลมหนาวพราวฟ้ามารำลึก
ปลุกสำนึกอีกครั้งเมื่อยังเยาว์
สุดยอดภูอยู่เดี่ยวเกลียวหมอกขาว
ลมกรูกราวรับลมจมความเหงา
เสียงสะอื้นครืนแว่วมาแผ่วเบา
ท่ามทึมเทาท้องฟ้าดาราลับ
ใบหูกวางไหวหวิวพริ้วแก่อ่อน
วิถีจรก้องมาคราเดือนดับ
ใบไม้เหลืองพลีกายแล้วหายวับ
ยอดระยับ..ผลิใหม่ในรุ่งวัน
หน้าต่างเก่าแง้มน้อยค่อยเอียงเห็น
ความลำเค็ญหน่วงล้อพอเคลื่อนฝัน
รอเปิดวับรับแสงแห่งตะวัน
จากยอดภูชูชันมาส่องทาง
อีกหนึ่งวันวังวนยังหมุนโลก
ดวงดอกโศกแย้มน้อยทุกรอยถาง
เพลงใบไม้หล่นหายรายริมทาง
กี่ใบร้างร่วงพรูสู่ใจเรา
เคยปีนป่ายไม้ใหญ่ใบเขียวปรก
เด็ดรังนกโยนวางอย่างโง่เขลา
ตัวเด็กแดงนกน้อยค่อยซุกเงา
นานแดดเผาดับวางกลางวังเวง
ก้าวเดินมาตามแรงแห่งชีวิต
พรหมลิขิตขีดวางอย่างคร่ำเคร่ง
ล้านทำนองสร้อยเศร้าร้าวบรรเลง
ขับบทเพลงเคว้งไปไร้สิ้นสุด
เป็นครรลองสายน้ำตามเกรียวคลื่น
ยามต้นคืนเป็นไต้ไฟให้โชนจุด
เปลี่ยนอรุณหมุนนามตามพระพุทธ
เป็นมนุษย์เวียนว่ายทุกข์สายธาร
ความทรงจำแสนนานผ่านทายทัก
ในความรักเพลงร้อยค่อยขับขาน
เพลงดอกไม้โรยร่วงลงห้วงธาร
เพลงฤดูทางกาลยังยลยิน
ตราบระฆังเหง่งหง่างกลางสงัด
วิหคพลัดหลงอยู่พรูผกผิน
สดับค่าโลกหมุนจนคุ้นชิน
หาได้สิ้นหนทางให้ย่างเดิน