กลอนข้อคิด

เครื่องบินบินได้เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะเครื่องกลไก กระไรนั่น

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


เครื่องบินบินได้เพราะอะไร
ไม่ใช่เพราะเครื่องกลไก กระไรนั่น
ปีกนิ่งๆนั้นบินได้อย่างไรกัน
.. เพราะว่าคนมีความฝัน จึงดั้นบิน
ฝันมุ่งมั่น ฟันฝ่ากล้าจะฝัน
พร้อมพยุงความมุ่งมั่นพลันโผผิน
ปลอบชีวิตปลิดจากทุกข์ปลุกชีวิน
สิ่งทั้งสิ้น มีรากจากความฝัน

สำคัญที่สุด

เชษฐภัทร วิสัยจร


จะมีใครจะมีค่ากว่าคนนี้
คือคนที่อยู่ตรงหน้าพูดจาด้วย
อาจเป็นคนทุกคนจนหรือรวย
ขี้เหร่สวยหล่อไม่หล่อก็สำคัญ

ชีวิตหนึ่งจะพบใครไม่ใช่ง่าย
น่าเสียดายกับชีวิตหากคิดสั้น
ไปสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวกัน
ไม่สร้างสรรค์กับชีวิตให้คิดดู
เวลาไหนจะมีค่ากว่าตอนนี้ คือตอนมีลมหายใจให้หายอยู่ ตรองอดีตผิดพลั้งเป็นดังครู เตรียมไว้สู้อนาคตเป็นบทเรียน ทำวันนี้ดีได้ก็ไม่ยาก เป็นฐานรากรอรับการปรับเปลี่ยน เวลาทองคือปัจจุบันต้องหมั่นเพียร ถวายเศียรสู้สุดซึ้งให้ถึงใจ งานที่มากอานิสงส์อยู๋ตรงหน้า ย่อมมากด้วยคุณค่ากว่างานไหน งานคนอื่นเป็นร้อยล้านจะงานใคร ก็คงไม่มีค่ากว่างานเรา ทำตรงหน้าให้ดีที่สุดได้ อย่าหวั่นไหวฟุ้งซ่านกับงานเขา เสร็จเป็นเรื่องทีละน้อยค่อยขัดเกลา ทุ่มเทเอาความตั้งใจใส่ในงาน ปัจจุบัน ณ ตอนนี้มากมีค่า อยู่ตรงหน้าให้ตามติดความคิดอ่าน สิ่งสำคัญฝึกไว้ให้เชี่ยวชาญ คือการบ้านบอกตัวฉันในวันนี้

กาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้น

NiGhT


กาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้น
ใครบางคนที่เคยหม่นหมอง
ลองนึกใคร่ครวญและไตร่ตรอง
ว่าที่หม่นหมองนั้นเป็นเพราะอะไร
มีประโยชน์อะไรไหมที่เป็นอย่างนี้
เพราะลองดูกี่ที กี่ที ก็ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น
ทำตัวเป็นคนล้มแล้วยังไม่กล้ายืนขึ้น
สักวันหนึ่งเขากลับมาก็คงจะบอกว่าดีแล้วที่ฉันจากไป
ลองทำตัวเองเสียใหม่ดีกว่าไหม
อย่ารอให้ใครยื่นมือมาดึงขึ้น
จงลุกยืนด้วยตัวคุณที่เป็นคุณ
แล้วประกาศว่าฉันอยู่ได้โดยไม่มีเธอ
จงนำบทเรียนที่ได้รับ
กลับมาเป็นครูไว้คอยสั่งสอน
ให้ต่อไปในทุก ๆ ตอน
ฉันมีสิ่งที่สอนแล้วว่ามันเป็นอย่างไร

" ให้ "

กิตติกานต์


...ทุกครั้งที่เป็นผู้ให้ใจเป็นสุข
เหมือนได้ปลุกดวงกมลคนไร้ฝัน
เอาใจเขาใส่ใจเราเฝ้าแบ่งปัน
สร้างสีสันโลกใบใหญ่ให้งดงาม
...เป็นผู้ให้สบายใจมากกว่ารับ
มิต้องจับความคิดคนพ้นเหยียดหยาม
แต่ว่าใช่จะหมายให้ได้ทุกยาม
ก็เพียงตามความสมควรล้วนยินดี
...อยากให้มิตรภาพอาบซ่านผ่านความรัก
สังคมจักสุขได้ไร้หมองศรี
มิตรจิตรมิตรใจในไมตรี
ให้คุณธรรมนำชีวีวิถีไทย
...สิ่งละอันพันละน้อยค่อยต่อสาน
กอปรเก็บกาลผันผ่านวันหวานได้
เมื่อกมลอบอุ่นละมุนละไม
ก็พร้อมให้ด้วยสายใยในกรุณา
...หากเมื่อใดใจเราเฝ้าแต่รับ
ลองสดับเสียงแห่งใจช่างไร้ค่า
จะมืดมิดอับจนหม่นวิญญา
ในอุราเคืองขุ่นวุ่นวายใจ
...เป็นผู้รับ ผู้ให้ได้ตามจิต
ประมวลคิดสถานการณ์อย่าหวั่นไหว
ในยามที่มีเหตุเกิดเภทภัย
แบ่งปันให้สละทรัพย์นับกำลัง
เป็นผู้ให้กำลังใจก็ได้สุข
ได้ปลอบปลุกใจตนคนสิ้นหวัง
ชีวิตนี้อะไรอะไรใช่จีรัง
จึงเหมือนดั่งสอนใจให้ใกล้ธรรม.
...............................................................................
..............................................................กิตติกานต์.

หม้อดินใบร้าว

ครูกระดาษทราย


ชายชาวอินเดียแบกหม้อดินไว้บนบ่า
สะดุดตาสองใบช่างต่างสัณฐาน
หม้อใบหนึ่งสวยงามวาวแวววาว
อีกใบกลับมีร้อนร้าวราวราคี
หม้อใบดีบรรจุน้ำเต็มถึงบ้าน
แสนสำราญภูมิใจในศักดิ์ศรี
หม้อใบร้าวเติมเท่าไรไหลทุกที
กลับถึงที่เหลือเพียงครึ่งจึงเศร้าใจ
หม้อใบร้าวร้าวราญรำคาญจิต
รู้สึกผิดกล่าวขอโทษโกรธฉันไหม
ทำให้ท่านแบกหม้อน้ำไกลแสนไกล
แต่กลับได้น้ำน้อยนิดผิดพลาดจัง
ชายผู้แบกหม้อน้ำย้ำสอนว่า
อย่าโศกาน้อยจิตคิดผิดหวัง
สังเกตไหมดอกไม้ข้างทางงามจัง
เฉพาะฝั่งที่ฉันนั้นแบกเธอ
มวลมาลีสีสดใสจึงได้ผล
เก็บไปให้นายยลอยู่เสมอ
เพราะวารีที่รินไหลไปจากเธอ
ดอกไม้จึงเลิศเลอและตระการ
ฟังหม้อดินใบร้าวแล้วน้องพี่
ค่ำคืนนี้นิทราพาฝันหวาน
มีความสุขสวัสดีราตรีกาล
ให้สำราญยามตื่นสดชื่นเอย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เราเองมีคุณค่าในตัวดีพอ  ถ้าไม่เปรียบเทียบกับคนอื่นมากเกินไป  ถ้าคิดว่าสิ่งที่ไม่ดีก็พยายามแก้ไขทำให้มันดีขึ้น  มันอยู่ที่ความตั้งใจต่างหาก ผลที่ออกมาไม่ใช่คำตอบแห่งชัยชนะของชีวิต
จุดมุ่งหมายและความตั้งใจของเราต่างหาก คือคำตอบที่แท้จริง

อยู่ที่เราลิขิต

เปลวเพลิง


อันคนเราเท่านี้แหละที่ว่า
มีสองมือสองขาสองตานั่น
มีหัวใจเต็มหวังเป็นรางวัล
เพื่อเสกสรรค์ชีวิตเช่นคิดไว้
แม้ต้องการสิ่งใดในหล้าแหล่ง
เพียงลงแรงใช่จักยากคว้าไขว่
สูงเสียดฟ้าต่ำลงดินถิ่นใกล้ไกล
ก็คงได้ใคร่ชิดสนิทนาน
ด้วยสองมือสองเท้าเร่งเข้าสู้
เรียนและรู้ทุกข์สุขสนุกสนาน
สัมผัสแดดสัมผัสฝนทนกรำงาน
ให้ซาบซ่านถึงค่าราคาคน
มีความหมั่นเพียรก่อเป็นบ่อเกิด
ปลูกความรู้ชูเชิดเป็นดอกผล
อดทนเลี้ยงชีพชอบกอปรกมล
ลิขิตตนหมดสิ้นด้วยยินดี
ชีวิตเราคงอยู่คู่กับโลก
ใช่เพราะโชคชะตากรรมนำวิถี
หากเป็นเพราะเลือกลิขิตด้วยฤทธี
ให้สดศรีฤาหมองไหม้ดั่งใจเรา

จุดไต้ต่อไฟ

กวีปกรณ์


จุดไต้ต่อไฟเติมเชื้อเพลิง
เปลวร้อนเร่งระเริงเรืองสว่าง
สะท้อนเงาพาดบนถนนทาง
อย่าหวังเพียงจันทร์กระจ่างร้างอุ่นไอ
แท้ม่านดำดึกดื่นยังหมื่นดาว
ยังพร่างพราวระยับกลับพริบไหว
บ้างบอดลับดับปลงมืดลงไป
ที่ยังเหลืิอบอกใบ้ให้หนทาง
คือคบไฟส่องพื้นกลางคืนค่ำ
กางแผนที่งามล้ำบนฟ้ากว้าง
อาจบางทีจันทร์คล้อยที่ลอยคว้าง
บอกชั่วยามความต่างหว่างเวลา
ดับคบเพลิงก่อไฟในกลางค่ำ
ท้นทบทวนความจำอันล้ำค่า
แต่ละหนึ่งก้าวย่างที่สร้างมา
หลงตนสร้างอัตตาเสียเท่าไร
จันทร์ยังรู้ซ่อนตนให้พ้นเช้า
ประสบการณ์ปลายเท้าทั้งเก่าใหม่
ล้างแล้วล้มตัวนอนท่ามฟอนไฟ
พรุ่งนี้จะอย่างไรตามแต่กรรม
>

วาเลนไทน์.....

ลานเทวา


วาเลนไทน์.....
............................
เสียอะไรได้อะไร ใครต่างรู้
ยังสติดีอยู่ รู้ใช่ไหม
พรุ่งนี้เราจะได้อะไร เสียอะไร
กับวันวาเลนไทน์ ของปีนี้
ได้ความรักมาดื่มด่ำ
กลับเสียตัวถลำ ใช่หรือนี่
พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาตั้งกี่ปี
ทำอะไรดีดี ให้ท่านรึยัง
แม้แต่เงินซื้อดอกกุหลาบ
มาแต่คราบไคลเหงื่อเจือความหวัง
จากแรงแม่แรงพ่อ ก่อพลัง
ให้ลูกยังใช้จ่าย ไม่อายคน
เสียอะไรได้อะไร ต่างใครรู้
ความอดสูจากครู่คราว เหน็บหนาวผล
วันแห่งรักวันแห่งใจ กระไรดล
ยอมเสียตัวเสียตน ให้คนรัก
ค่านิยมต่ำทราม นิยามค่า
เพรียกสาวกบอดตา มิตระหนัก
กุหลาบแดงแฝงกล สับสนนัก
สื่อชวนชัก รักเฟื่องเป็นเรื่องราว
เถอะ ก่อนจะเสียตัว เสียใจ
ถามพ่อแม่สักคำไหม เล่าหนุ่มสาว
ว่าความรักจะสุขชื่น และยืนยาว
ต้องผ่านคาวผ่านใคร่ ที่ไหนกัน
………………….
โดยคำ ลานเทวา

ลิขิตฟ้า...แค่โจทย์

กวีบ้านไร่


หลากหลายร้อยบทโหดเหี้ยม จากฟ้า
โหมเข้ามา จนฟันฝ่า ล่าจุดหมาย
หลายร้อยครั้งเกือบพลาด ชีพเกือบวาย
ตะเกียกตะกาย ต่อสู้ จึงเป็นคน
คำว่าคน คำนี้
ยากเกินที่จะนิยาม จึงขวายขวน
หรือนิยาม คือการต่อสู้ดิ้นรน
หรือว่าคน คือการแย่งชิงกัน
เราเป็นคน คนหนึงที่แข่งฟ้า
หลอกชะตา ที่เล่นกลย์ จนน่าขำ
ชะตาฟ้า ขีดเส้นร่าง ข้างกายนั้น
ไม่ใช่กัลย์ สุ่มร่าง โปรดก้าวเดิน
อย่ายอมให้ฟ้าลิขิตชีวิตนี้
ทุกนาที ต่อสู่น่าสรรเสริญ
หากพลาดพลั้ง อย่ารั้งจงเผชิญ
ก้าวย่างเดิน ต่อสู่ ให้รู้กัน
จริงแท้แล้วฟ้าไม่ได้ลิขิตเขียน
แต่คอยเตือนให้รู้ผล ของขันธ์
ความร้อนรุ่มสุ่มร่างเป็นไฟกัลย์
ก็เพราะนั้น ตัวเราสร้างกรรมขึ้นมา
ตนคิดก่อ อย่ารอผลกรรมที่สร้าง
โปรดจงวางแนวทาง ให้คิดหา
กรรมใดทำ กรรมใดสร้างมันขึ้นมา
สติปัญญา ฟ้าให้ มาแก้ไขดู
หากเรายอมอ่อนตามกรรมลิขิต
ทั้งชีวิตมีสิ่งใด น่าอดสู
อย่าให้ฟ้า มาขีดเส้นให้คิดดู
ก็เพราะรู้ ตัวเราลิขิต เรา
กลอนนี้มอบให้เพื่อนคนหนึ่งที่เข้ามาอ่านกลอนของกวีบ้านไร่ และขอโทษด้วยที่ไม่ได้เขียนกลอนให้ เพราะช่วงนี้ ว ๔ หนาแน่นมาก

หยกในหิน

อินทนนท์(คนเชียงใหม่)


หยกในหิน
มีก้อนหยกถือกำเนิดเกิดในหิน
เป็นก้อนดินสิ้นคุณค่าราคาของ
ไม่มีใครเอาใจใส่อยากได้ครอง
เพียงแค่มองของต่ำค่าราคาดิน
เมื่อทุบหินจึงจะเห็นเป็นก้อนหยก
เพราะดินรกปรกคุณค่าราคาหิน
พอหินแตกก็แยกหยกตกลงดิน
จึงเห็นหินกินก้อนหยกที่ตกตาม
ถึงแม้นเห็นว่าเป็นหยกตกตรงหน้า
แต่คุณค่าหาใช่เป็นเช่นคำถาม
หยกที่เปรอะเลอะด้วยดินสิ้นความงาม
ต้องใช้น้ำชำระล้างอีกทางทำ
เปรียบเช่นคน..ตนไหน…ดูคล้ายหิน
คล้ายก้อนดินสิ้นคุณค่าดูน่าขำ
โดนดูถูกว่ารูปชั่วเนื้อตัวดำ
ไม่อาจนำล้ำหน้ากว่าผู้ใด
เมื่อรู้ตนชนชาติปามาตรต่ำ
แต่เฝ้าทำตามจิตนิมิตรหมาย
พัฒนาตัวตนฝึกฝนไป
จึงเปรียบคล้ายสลายหินที่กินตน
ฝึกแค่ตนใช่หลุดหล่นพ้นไปหมด
จะหมดจดต้องฝึกจิตสัมฤทธิ์ผล
มีธรรมะคอยขัดถูคู่ใจตน
สิ้นกังวลว่าตนต่ำอย่างคำใคร
หินก็คล้ายอย่างกายนอกที่บอกเล่า
หยกคือใจข้างในกล่าวว่าเท่าไหน
หากกายนอกเป็นหยกทำตรงข้ามใจ
แต่ข้างในกลายเป็นหินก็สิ้นดี
จึงฝากกลอนก้อนหินที่กินหยก
เพื่อหยิบยกหยกคือใจในวิถี
หินอยู่นอกหยกอยู่ในไร้ราคี
คนจะดีหยกจะเด่นก็เช่นกัน
อินทนนท์
6 กุมภาพันธ์ 2555

หวังของแม่

บุญพร้อม


ขณะเรา   ร้องไห้   ใครโอ๋อุ้ม
ยามร้อนรุ่ม ใครจัด  พัดวีให้
มีใครบ้าง  สรรสร้าง อย่างห่วงใย
ทุ่มเทใจ   ฟูมฟัก  ให้ตักนอน
   โอ้ละเห่  โอละหึก  จนดึกดื่น
รอวันคืน   หวังไว้     ได้พักผ่อน
เจ้าเติบใหญ่  พอได้ อาศัยนอน
ก่อนต้องจร  จากกัน  วันสิ้นใจ
   
   ถึงวันนั้น  คงเข้าใจ ในหน้าที่
เป็นแม่นี้    ลำบาก ยากแค่ไหน
เว้นแต่เจ้า  ใจดำ   จึงทำไป
ผิดวิสัย  แม่ลูก  ไม่ถูกเลย

มนุษย์เอย

Lunatic


สิ่งที่ฉันแปลกใจในมนุษย์
มากที่สุดเลยนั้นฉันตอบว่า
เขายอมเสียสุขภาพอาบเหงื่อมา
เพื่อยอมเสียเงินตรารักษาตัว
เฝ้ากังวลห่วงหาอนาคต
ลืมเสียหมดความชื่นบานสำราญหัว
ทำงานหนักเหนื่อยนับเหมือนกับวัว
ฤๅเขากลัวความเป็นอยู่ปัจจุบัน
แท้แล้วนั้นเขานี้อยู่ที่ไหน
"อนาคต" ก็มิใช่ไกลเกินฝัน
"ปัจจุบัน" ก็ไม่ใช่อยู่ไหนกัน
สารพันในมนุษย์สุดจะเปรย
เหมือนเขาตรองครวญคิดชีวิตนี้
จะไม่มีวันตายหรือไรเหวย
เขาต้องสิ้นชีพวายตายเปล่าเลย
อย่างไม่เคยมีชีพชูอยู่แท้จริง

ขอโทษที่ปลดปล่อย

ศรีสมภพ


คาราคาซัง.. ยังไม่ไปไหน
ปรองดองผองไทย ยังงัยกันเนี่ย ?
วิ่งไปพักไป อ่อนกายใจเพลีย
มันไขไม่เคลียร์ ..แม้เสียงเชียร์ลั่น
คนโน้นคนนี้ พรรคนี่พรรคนั้น
ต่างคิดต่างกัน กระสันสับสน
แย่งซีนวีนใส่  ใจตั้งหวังผล
เพื่อชาติเพื่อตน เพื่อนคนเพื่อใคร !
ปรองดองป้องผิด ปกปิดคิดใหญ่
ซ่อนดาบหลังไว้ ..ทำร้ายใครนั่น ?
เบื้องหลังฝังลึกยังตรึกตรามั่น
กูไม่เอามัน  ..มัน(ก็)ไม่เอากู!
ละครแนวเก่าไม่เล่าก็รู้
เริ่มเรื่องเฟื่องฟู.. หดหู่ตอนจบ
เอาไงกันแน่ จะแก้หรือกลบ
มัวหลีกปลีกหลบ ไม่จบซักที !
ตีกินตีกัน ทุกวันเลยนี่
แย่งออกทีวี ทุกวี่ทุกวัน
งงงวย งวยงง ยากปลงป่วนปั่น
หนทางสร้างสรรค์ ซอยตันมันตีบ
ต่างอำต่างอ้าง อวดกร่างง้างบีบ
ยื้อหยุดรุดรีบ  ตีนถีบปากกัด
ทิฐิมานะ ไม่ละสลัด
มืดบอดใบ้ขัด เกินปัดเป่าหาย
คาราคาซัง น่าชังน่าหน่าย
แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทำไมกันหนอ ?
ขอโทษปลดปล่อย  ใจหงอยคอยรอ
ระทดหมดท้อ  ขอไขขานมา... อิอิ !

...เคลื่อนนิ่ง....

บนข.


ขุนเขานั้นยังยงคงขุนเขา
นทีเล่ายังคงดำรงไหล
สายลมเย็นก็ยังเช่นสายลมไกว
แดดร้อนไซร้ยังดำรงคงเตโช
ศิลาแกร่งก็ยังแกร่งศิลานั้น
ผืนทรายนั่นยังประจักษ์อยู่อักโข
น้ำยังคงตัวตนบนอาโป
คลื่นยังโชว์คลื่นสาดบนหาดทราย
พฤกษาคงสล้างอย่างพฤกษา
มวลมาลาคงกลิ่นมิสิ้นหาย
ป่ายังคงผืนป่าลดาพราย
สัตว์ทั้งหลายยังคงสัตว์อยู่อัตรา
และฝูงคนยังคงชัดอัตตาอยู่
หญิงชายคู่ยังคงคู่มนุสสา
กิเลสคงกิเลสเหตุมายา
ชักนำพาหมู่สัตว์ทุกบัดใจ
โลกยังคงหมุนวนมิพ้นโลก
สุขทุกข์โศกยังคงโชกตามโลกไหว
วันเวลายังคงกาลและผ่านไป
ชีพใดใดคงย่อยยับไปกับกาล
ปุถุชนยังคงเกิดเตลิดภพ
จนเจนจบภพชาติวาดสังขาร
สะสมกองอวิชชามาช้านาน
มิอาจผลาญภพชาติให้ขาดไป
ขุนเขานั้นมิยิ่งยงคงขุนเขา
นทีเล่าหยุดนิ่งมิติงไหว
สายลมเย็นก็มิเช่นสายลมไกว
แดดร้อนไซร้ก็ไร้ร้อนสะท้อนเงา
สรรพสิ่งที่เห็นว่าเช่นนั้น
แท้ก็ย้อมแปรผันทั้งนั้นเล่า
น้ำหยุดนิ่งแท้จริงตลิ่งเนาว์
กลับร้อนเร่าเคลื่อนไหว...เห็นไหมนั่น

คน ช้าง ป่า

ป๋อง สหายปุถุชน


เวิ้งฟ้าตะวันฉายไกลสุดตา
พงพนากว้างใหญ่ส่องฉายแสง
พืชพันธุ์ไม้พงไพรฟ้านวลแดง
ทั่วทั้งแปลงเติบใหญ่ให้ร่มเงาแสงรำไรส่องผ่านลานโคนต้น
บ้างออกผลแตกหน่อริมโคนเขา
สัตว์น้อยใหญ่อาศัยนอนแนบเนา
มนุษย์เราทำลายป่าไม้งามทั้งไฟป่าเผาผานกันวอดวาย
ไม้ล้มตายสัตว์สูญหายดูรุกราม
ป่าไม้แห้งดินแล้งดูเสื่อมซาม
ก็เพราะความเห็นแก่ได้ของใครกันดูช้างป่าออกหากินพืชไร่
คนถางไถป่าไม้กันทุกวัน
ตัดเตียนโล่งทำลายใช้เลื่อยหั่น
ขุดโค้นฟันปลูกพืชไร่เลื่อนลอยจนมีข่าวอื้อฉาวคนกับช้าง
เดินสวนทางช้างป่าต้องล่าถอย
ต่างต้องกินต้องอยู่ป่าริมดอย
ป่าเหลือน้อยช้างป่าออกหากินรุกแนวป่าเข้าไปทำไร่สวน
ป่าไม้จวนสูญไปเหลือแต่ดิน
ช้างอดหิวต้องออกระลานถิ่น
ฝนหลั่งรินดินโคลนฟังทลาย

นิพพาน ไร้ตัวตน?

ฤกษ์ ชัยพฤกษ์


ทุกสิ่งล้วนมายา
ภาพลวงตาพาลุ่มหลง
สรรพสิ่งไม่มั่นคง
ล้วนสิ้นลงสลายไป
ความรักว่าหนักแน่น
อ้างว่าแก่นแสนโปร่งใส
พริบตาก็เปลี่ยนใจ
เหลือเอาไว้ในความจำ
รูปลักษณ์สำอางองค์
จิตพะวงใจถลำ
ชั่วกาลผ่านเลยล้ำ
ล้วนระยำเสื่อมสิ้นลง
หลักธรรมของพุทธะ
คือธรรมะที่ยืนยง
โลกแตกเป็นผุยผง
ธรรมยังคงอยู่เหมือนเดิม
นิพพานไร้ตัวตน
หากปวงชนใฝ่ริเริ่ม
พากเพียรรู้เรียนเสริม
ผลประเดิมสัมฤทธิ์จริง

ต้องมองดาวทุกคืนค่ำประจำไป มองเพื่อให้เห็นซึ้ง ..ถึงผู้มอง

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


เราก่อสร้างดินแดนที่แสนเศร้า
แล้วก็เฝ้าอยู่อาศัยในที่นั่น
อย่างรางเลือนเชือนแชไม่แลกัน
วันผ่านวัน ผันผ่านเลื่อนเป็นเดือนปี
ต่างคนต่างก็เหงาในเงาตน
ต่างสับสนในหนทางระหว่างที่
ต่างรำลึกนึกหวนทวนฤดี
แปลกตรงที่.. ใจอ้างว้างไม่ต่างกัน
ความฝัน.. ทำให้ใจใฝ่หารัก
แต่แปลกนัก รักลวงล่อก็ด้วยฝัน
หากเพียงแต่แค่ใจเรารู้เท่าทัน
ว่ารักนั้น ฝันไปไม่ใช่จริง
คงไม่ต้องทุกข์หนักเพราะรักล่ม
คงไม่จมจ่อมเศร้าเฝ้าสู่สิง
คงไม่เจ็บเก็บความจำย้ำความจริง
คงไม่ทิ้งให้ฝันคว้างต้องหมางเมิน
ดูดาว.. ดาวก็พร่างอย่างเรืองรอง
แต่ใจหมองครองเศร้าเราห่างเหิน
ประหวั่นนักรักลดละสุดประเมิน
เจ็บใจเกินกว่าจะกลั้น  วันจากไกล
มองดาววันเดียวแท้เห็นแค่แสง
จะเห็นความเปลี่ยนแปลงก็หาไม่
ต้องมองดาวทุกคืนค่ำประจำไป
มองเพื่อให้เห็นซึ้ง ..ถึงผู้มอง
ความเปลี่ยนแปลง.. เป็นนิรันดร์
เป็นเช่นนั้นทุกยามห้ามผยอง
อย่าไปยึดติดสิ่งใดที่ใจปอง
เพื่อไม่ต้องตั้งคำถาม ..ความเปลี่ยนแปลง..