กลอนธรรมะ

สายลมแห่งความรัก

หลี่เหม่ยจิน


เพราะความรักมากไป...แออัด
ขอขจัดละทิ้งความโหยหา
ดูจิตดูใจในเวลา
ที่ไม่มีสัญญาใดๆ
เธอเข้ามาให้ฉันได้เรียนรู้
ว่าความรักจับต้องไม่ได้
สายลมแห่งความรักนำพาไป
ให้ใจไม่วิ่งไล่ไขว่คว้ามา
ขอหยุดพักใจให้นิ่งๆ
ดำดิ่งสู่ห้วง " ความว่าง " หนา
ความรัก แสดงภาวะ  " อนัตตา "
สภาวะนี้กลับไม่เกิดในห้องธรรม์
ธรรมะแท้จริงคือธรรมชาติ
ที่ไม่อาจบังคับได้ดั่งฝัน
อิสระมอบให้แก่กัน
สิ่งเดียวเท่านั้น...มอบแด่เธอ
อาจผูกพันแต่ไม่อยากสร้างพันธะ
รักตอบแทนในรัก..เสมอ
ปลดปล่อย ปล่อยวาง ห่างเธอ
ความรัก ละเมอ เผลอใจ

มังสวิรัติช่วยสัตว์โลก

สุนทรวิทย์


มนุษย์ผู้  มองข้าม  ความวิบัติ
บอกว่าสัตว์  เกิดมา  เป็นอาหาร
คนมีสิทธิ์  ที่จะ  รับประทาน
จึงล้างผลาญ  คุกคาม  ตามชอบใจ
ทีแมลง  กัดต่อย  เท่ารอยข่วน
พลันคร่ำครวญ  โกรธเคือง เหมือนเรื่องใหญ่
ต้องเข่นฆ่า  เคี่ยวขับ  โดยฉับไว
ล้วนเพราะไม่-มีจิต  คิดเมตตาถือประโยชน์  โภชย์ผล  ทั้งชนเผ่า
ชีวิตเขา  ประทุษ  ดุจไร้ค่า
เอาเปรียบเห็น  แก่ตน  จนชินชา
มินำพา  อาทร  ทุกข์ร้อนใครส่ำสัตว์อาจ  ดุร้าย  ในบางครั้ง
กระนั้นยัง  อาทร  สอนเชื่องได้
มนุษย์อ้าง  เจริญ  เกินสัตว์ใด
กลับชอบใช้  อำนาจ  พิฆาตกันงดกินเนื้อ  สักมื้อ  คือกุศล
เท่าฝึกฝน  อารมณ์  การข่มกลั้น
มังสวิรัติ  ช่วยให้  ใจสุขครัน
สัตว์ดื่นพันธุ์  ใหญ่น้อย  พลอยพ้นภัย

" บัวหน้าบ้าน...สื่อแห่งธรรม "

อ.วรศิลป์


บัวสามดอก สามวัย อยู่หน้าบ้าน
เหมือนสื่อสาร เป็นนัย ให้ความหมาย
ชีพอุบัติ เติบใหญ่ แล้วมอดมลาย
สิ่งสุดท้าย ชีวิต อนิจจัง
บังงอกงาม ให้ชม เพียงครู่ยาม
บัวรุ่นหลัง โผล่ตาม มาข้างหลัง
บัวเกิดก่อน ดับก่อน คือสัจจัง
วันทิ้งร่าง ประโยชน์ยัง เจ้าดอกบัว
ขอบคุณเจ้า บัวน้อย ที่ส่งสาร
เป็นธรรมทาน เพื่อจิตคน พ้นมืดสลัว
ได้เป็นไท จากบ่วงกรรม ที่พันพัว
ขอบคุณนะ เจ้าดอกบัว .... สื่อแห่งธรรม
(เสาร์ 14 มกราคม 2555  :  วันเด็กแห่งชาติ)

ปลาบู่.. ตู่หรือจริง !

ศรีสมภพ


ปลาบู่..น่าเบื่อเชื่อหรือ ?
เชื่อถือ ทื่อถ้อย ปล่อยข่าว
กุเก่งเปล่งเปรื่องเรื่องราว
ตู่เก่าเต้ายามสามตา
ได้ยินได้ฟัง ยังหวั่น !
หากมันนั้นแน่ แท้หนา
ปลาบู่ รู้ยิ่งจริงว่า
อวิชชา ท้าทายผายผล
ยังมีส่วนหนึ่ง คะนึงนี้
วิธี วิพากษ์มากล้น
รักตัวกลัวตายวายชนม์
หลงกลจนทุกข์ สุขไม่
พุทธะ.. จะแจ้ง คำสอน
จงนิ่งแน่นอนผ่อนไว้
ทุกสิ่งเห็นชัด ปัจจัย
เบ็ดเสร็จ เท็จไคล้ ..ในความ
กาลามสูตร ..หยุดได้
ตรัสไว้ ไตร่ตรอง มองข้าม
ควรเชื่อหรือไม่? ใช่ตาม
๑๐ ความ.. อย่าเชื่อ เมื่อเจอ !
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ปลาบู่ถามผมว่าอีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? (2544) จะมีเครื่องบินชนตึก
อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร ? (2547) จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก
อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร? (2552) จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ
แต่อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก
จะโดนทั้งไทย พม่า ฯลฯ กรุงเทพฯจมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง
" ในเวลายามสองในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหว
มีคนตายมากมาย" (ยามสอง คือประมาณเวลา 22.00 –24.00 น.)
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ
หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร
หรือเกสปุตตสูตร ก็มี)  กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์
ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ  อย่างงมงายโดยไม่ใช้
ปั

วัดสายตาประกอบใจ

บนข.


วัดสายตา
ก็เพราะคู่นัยนาน่าหวาดหวั่น
อวัยวะดวงตาค่าสำคัญ
หากหมดมันมืดมิดทุกทิศทาง
ฉันมองใกล้ไม่ชัดอึดอัดแท้
ทั้งมองไกลก็แย่ระยะห่าง
ทั้งไกลใกล้เสมือนว่าเลือนราง
เป็นฟ่าฟางซ้อนซ้ำทำไงดี
ไปหาหมอ
เพื่อจะเช็คต้นตอให้ถ้วนถี่
และรักษาป้องกันทันท่วงที
อาการนี้คงเซาทุเลาลง
ฟังคำหมอวินิจฉัยใจระทึก
ว่าโรคนี้ล้ำลึก...หากประสงค์
จะมองเห็นได้อย่างใจจำนง
หมอฟันธงชี้ชัดตัดแว่นตา
ของแปลกปลอม
แต่ฉันก็ยินยอมก็เพราะว่า
อยากมองเห็นเช่นกาลที่ผ่านมา
โลกนี้งามโสภาสักเพียงไร
เมื่อร่างกายนี้ก็ของปลอม
เก่าก็พร้อมจะเปลี่ยนใหม่
สายตาคงวอดวายหากสายไป
ตัดแว่นใส่เห็นชัดในบัดดล
แว่นวิเศษ
ฉันใส่แล้วเกิดเหตุน่าฉงน
เพราะกลับมองโปร่งใสถึงใจตน
เห็นกิเลสสับสนอยู่อัดแอ
เห็นสุขทุกข์คลุกเคล้าอยู่เร่าร้อน
เห็นวัฏฏะสัญจรยิ่งย่ำแย่
เห็นอัตตายึดมั่นมิผันแปร
เห็นสันดานที่แท้แห่งตัวตน
หมดปัญหา
บัดนี้คู่นัยนาน่าฉงน
จะมองใกล้มองไกลไม่กังวล
ที่มืดมนฟ่าฟางก็จางลา
จะมองโลกภายนอกก็ชัดใส
ยิ่งมองโลกภายในสว่างจ้า
ได้เห็นชัดกิเลสขังที่บังตา
หมดปัญหาฟ่าฟาง...สว่างใจ

...เคลื่อนนิ่ง....

บนข.


ขุนเขานั้นยังยงคงขุนเขา
นทีเล่ายังคงดำรงไหล
สายลมเย็นก็ยังเช่นสายลมไกว
แดดร้อนไซร้ยังดำรงคงเตโช
ศิลาแกร่งก็ยังแกร่งศิลานั้น
ผืนทรายนั่นยังประจักษ์อยู่อักโข
น้ำยังคงตัวตนบนอาโป
คลื่นยังโชว์คลื่นสาดบนหาดทราย
พฤกษาคงสล้างอย่างพฤกษา
มวลมาลาคงกลิ่นมิสิ้นหาย
ป่ายังคงผืนป่าลดาพราย
สัตว์ทั้งหลายยังคงสัตว์อยู่อัตรา
และฝูงคนยังคงชัดอัตตาอยู่
หญิงชายคู่ยังคงคู่มนุสสา
กิเลสคงกิเลสเหตุมายา
ชักนำพาหมู่สัตว์ทุกบัดใจ
โลกยังคงหมุนวนมิพ้นโลก
สุขทุกข์โศกยังคงโชกตามโลกไหว
วันเวลายังคงกาลและผ่านไป
ชีพใดใดคงย่อยยับไปกับกาล
ปุถุชนยังคงเกิดเตลิดภพ
จนเจนจบภพชาติวาดสังขาร
สะสมกองอวิชชามาช้านาน
มิอาจผลาญภพชาติให้ขาดไป
ขุนเขานั้นมิยิ่งยงคงขุนเขา
นทีเล่าหยุดนิ่งมิติงไหว
สายลมเย็นก็มิเช่นสายลมไกว
แดดร้อนไซร้ก็ไร้ร้อนสะท้อนเงา
สรรพสิ่งที่เห็นว่าเช่นนั้น
แท้ก็ย้อมแปรผันทั้งนั้นเล่า
น้ำหยุดนิ่งแท้จริงตลิ่งเนาว์
กลับร้อนเร่าเคลื่อนไหว...เห็นไหมนั่น

น้ำตา

บนข.


เมื่อปีติดีใจก็ซาบซ่า
หยาดน้ำตาก็พาลจะหลั่งไหล
รับของขวัญจากคนที่เรามีใจ
มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ก็หลั่งมา
ยินคำบอกว่ารักจากคนรัก
น้ำตาท้นทะลักออกเต็มหน้า
เจอะเพื่อนเก่าเราจากมานานนา
ก็สุขในอุราน้ำตานอง
ได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นชั้นเงินเดือน
หยดน้ำตาไหลเปื้อนอาบแก้มสอง
ครั้นเสื่อมยศหมดค่าราคาครอง
มิวายต้องร้องให้เห็นน้ำตา
ได้รับคำสรรเสริญก็เพลินยิ่ง
ปลื้มใจจริงน้ำตาไหลทำไมหว่า
ประสบคำติฉินคนนินทา
เจ็บอุราน้ำตาตกในอกตน
คนมีรักได้สมอารมณ์ฝัน
มิอาจกลั้นน้ำตาพาสุขล้น
ครั้นเสียหลักรักร้าวคราวทุกข์ทน
น้ำตาหล่นหลากนองทั้งสองปรางค์
คนผิดหวังนั่งหงอยคอยความหวัง
น้ำตาหลั่งหวังผิดคิดอ้างว้าง
คนสมหวังสมสุขมิจืดจาง
สุขอย่าได้เหินห่างน้ำตาริน
ใครเสียตัวนัวเนียเป็นเมียน้อย
น้ำตาย้อยตอกย้ำระกำสิ้น
เป็นเมียหลวงหวงภัสดาเป็นอาจิณ
กล้ำกลืนกินน้ำตาอุราตรม
น้ำตาไหลใครจะรู้ผู้นั้นทุกข์
หรือว่าสุขสดใสใจสุขสม
สัตว์โลกล้วนถูกกลืนคลื่นอารมณ์
ซัดจนล่มอับปาง...กลางน้ำตา....

กาลธรรม

ลักษมณ์


กาลธรรมคงดับสิ้น.....โลกา
กาลชั่วยังชีวา..............อยู่ยั้ง
กาลดีดับชะตา..............ตายตก
ตาลปัตรกลับหมดทั้ง..โลกสิ้นกาลธรรม

ปุถุชน

บนข.


ฉันเป็นปุถุชน
ยังคงว่ายเวียนวนวัฏฏ์สงสาร
สุขทุกข์คลุกเคล้าเนานาน
วันเดือนปีผ่านได้อดทน
รักโลภโกรธหลงคงมีบ้าง
จะหลบหลีกไกลห่างคงมิพ้น
สมนามนิยามคำคน
มนุษย์ปุถุชน...ธรรมดา
คุณเป็นมนุษย์ปุถุชน
ยิ่งดิ้นรนร้อนแรงแสวงหา
มือยาวสาวได้สบายกว่า
มือสั้นเสียท่า...จะคว้าใด
หาเช้ากินค่ำหน้าคร่ำเครียด
ยัด  เยียด  เบียด  บุก  รุกไล่
ผิดหวังสมหวังประดังไป
กินกามเกียรติใคร...ไม่ต้องการ
โลกนี้เป็นของปุถุชน
โลกที่ร้อนรนพลุ่งพล่าน
ตกอับยับเยินแล้ววิญญาณ
เศร้าหมองดักดานปุถุชน
เหมือนสัตว์ถูกยัดขังกรง
แม้ประสงค์หลบหนีไม่มีผล
เวรกรรมซ้ำรุกทุกข์ทน
เขี้ยวเล็บติดตนทำร้ายกัน
สัตว์โลกทั้งมวลล้วนกำเนิด
เวียนว่ายตายเกิดน่าหวาดหวั่น
วัฏจักรขับเคลื่อนเดือนปีวัน
สัตว์โลกทั้งนั้นหลงยินดี
เมื่อไม่เห็นภัยในวัฏฏะ
ใครหรือจะตัดวัฏฏะหนี
แมลงเม่าหลงไฟว่าไมตรี
ปุถุชนเช่นนี้  ก็ดุจกัน....

สำนวน : ขนหน้าแข้งไม่ร่วง

หนังสือ


หมายถึง : คนมั่งมี จ่ายแค่นี้ไม่ทำให้เดือดร้อน
เมื่อมั่งมีควรทำบุญบ้าง.. อย่าหวง
ขนหน้าแข้งไม่ร่วง.. ดอกหนา
ตอนเที่ยวเตร่และสังสรรค์.. เฮฮา
ไม่เคยเห็นเสียดายเงินตรา.. บ้างเลย
การทำบุญ-ให้ทาน ทำให้เรามีความสุขอีกแบบ

ค่าชีวิต

เพชรพรรณราย


เลือดและเนื้อเผื่อแผ่แก่เหล่าท่าน
ทิ้งสังขารอาหารหุงให้ปรุงแต่ง
สับเอาเนื้อเถือกระดูกผูกใส่แกง
ให้เรี่ยวแรงแกร่งกล้าคร่าวิญญาณ
เพราะเกิดมาค่ามันน้อยสองร้อยกว่า
เขาจับมาฆ่าแล้วชั่งตั้งค่าขาน
เป็ดและไก่ใช้เรียกเพรียกช้านาน
อุทิศทานผ่านเนื้อหนังไม่ตั้งใจ
อิ่มหนึ่งมื้อคือชีวิตอันนิดน้อย
มันช่างด้อยน้อยค่าหาที่ไหน
จะโกรธเคืองทำเรื่องให้ในผู้ใด
แล้วมำไมไยฆ่ากันให้ฉันตาย
ผิดด้วยหรือถือกำเนินเกิดเป็นสัตว์
ดิรัจฉานอ่านชัดแจ้งแห่งความหมาย
ใช่มนุษย์สุดประเสริฐเลิศหญิงชาย
จึงทำร้ายหมายรสลิ้นด้วยยินดี
ขอเมตตาข้าเถิดหนอขอวอนไหว้
ฆ่าฉันใส่ในบาตรสงฆ์ผู้ทรงศรี
หากต้องตายมอบกายถวามชีวี
แด่ผู้มีศรีแห่งวัตรปฏิบัติธรรม
เพราะสลดจดเหตุเจตที่เขียน
กับแสงเทียนเวียนชีวิตถูกปลิดปล้ำ
สังเวชใจเมื่อได้เห็นชัดเจนจำ
ในบ่วงกรรมทำไว้ก่อนตัดรอนตน
โปรดเมตตาเถิดท่านในวันนี้
ทำความดีนี้อภัยในสักหน
ให้ชีวิตอันนิดน้อยพลอยดิ้นรน
ให้หลุดพ้นสู่หนทางสร้างบารมี

อนุทินเดือน ๔ ประเพณีบุญผะเหวด

สุริยันต์ จันทราทิตย์


๏ บุญผะเหวดเทศกาลงานเดือน ๔ประเพณีอีสานแต่กาลก่อน
เขาฟังลำกัณฑ์เทศน์เวสสันดรแห่กันหลอนไทยทานงานพิธี
๏ พระมาลัยเหินเหาะเลาะเลียบฟ้าขึ้นบูชาพระสยมบรมศรี
จอมพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณีณ สุขาวดีแดนวิมาน
๏ ได้พบเทวบุตรรอจุติลงสนธิชมพูทวีปสถาน
ทรงนามเดชบารมีพระศรีอาริย์ฯฝากข่าวสารถึงมนุษย์ปุถุชน
๏ ว่าให้ตั้งในศีลสมาบัติทั้งข้อวัตรในธรรมน้อมนำผล
ประพฤติแต่กรรมดีเป็นศรีตนไม่หมองหม่นเมามัวกลั้วอบาย
๏ ทั้งฟังลำผะเหวดเทศน์นั่นแล้ได้บุญแท้กุศลท่วมท้นหลาย
อานิสงส์สูงยิ่งทั้งหญิงชายอย่าได้คลายศรัทธาสาธุการ
๏ ชนใดได้กระทำดังคำว่าปรารถนาตั้งจิตอธิษฐาน
เกิดใต้ร่มบารมีพระศรีอาริย์ฯพบนิพพานหลุดพ้นทุกฅนไป
๏ เขาบอกกล่าวป่าวร้องก้องสนั่นเสียงลือลั่นถึงกาลงานบุญใหญ่
นิมนต์พระหลายวัดจัดรวมใจแบ่งกัณฑ์ให้แจกเทศน์เวสสันดร
๏ ทั้งธงตุง ธงทิวพลิ้วสะบัดฅนขนัดแห่แหนแน่นสลอน
ร่วมฟังเทศน์มหาชาติไม่ขาดตอนแห่กันหลอนม่วนซื่นชื่นเฮฮา
๏ เอิบอิ่มบุญอาบใจในธรรมะได้สืบสานต่อพระศาสนา
ปณิธานฉายชัดแรงศรัทธาเผลอน้ำตารินไหลไม่รู้ตัว๚๛

* คนค้นคน*

บนข.


เกิดเป็นคนจำต้องทนสารพัด
ทนจรจัดเวียนว่ายวัฏฏ์สงสาร
ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายกี่วายปราณ
กี่กัปป์กาลผ่านพ้นทนกันไป
ท่ามวัฏฏะสงสารกี่ล้านชาติ
กองกระดูกมิอาจคำนวนได้
กว่าจะลุถึงฝั่งที่ตั้งใจ
ต้องลุยไฟลุยตมกันนมนาน
เกิดเป็นคนต้องทนให้เขาด่า
ทนให้เขานินทาอย่ากล้าหาญ
เสียงสรรเสริญเยินยอก่อรำคาญ
สุขทุกข์ผ่านกำหนดให้อดทน
แม้ปากหมูปากหมาที่ว่าแย่
ก็ยังแพ้ปากมนุษย์ชั่งขุดค้น
โลกวุ่นวายร้ายดีที่ปากคน
ลมปากพ่นเพียงนิดก็ติดไฟ
เกิดเป็นคนหากไม่ทนให้เขาด่า
ย่อมเสียทีที่เกิดมาคุณว่าไหม
แม้จะทำชั่วดีย่อมมีใคร
ที่ปากไวปากพล่อยคอยนินทา
อยู่เฉยๆท่านเอ๋ยไม่ต้องคิด
ว่าจะรอดจากพิษคำเขาว่า
โน่นแนะองค์พระพุทธปฏิมา
ก็ยังโดนครหาให้ราคิน
เกิดเป็นคนจึงต้องทนสารพัด
กว่าจะหยุดจรจัดวัฏฏะสิ้น
ทนเกิดแก่เจ็บตายกายพังภินท์
อีกติฉินนินทาคำด่าคน
ทั้งสุข-ทุกข์ ดี-ชอบ ระบอบโลก
อันชุ่มโชกซัดมาดังห่าฝน
เป็นบทเรียนเพียรมอบทดสอบตน
ใครผ่านพ้นดลลิบ.....ถึงนิพพาน.....

ลูกกูดี...ขี้กูหอม

อิทิตย์


อันชื่อเสียงเงินทองกองตรงหน้า
แลกยศถาพาศักดิ์อันบาตรใหญ่
แยกชนชั้นสูงต่ำกลางร่ำไป
เส้นกูใหญ่จะทำไมใครกล้าคาน
แค่ไม้ซีกริจักงัดซุงต้น
มึงแค่คนต่ำต้อยร้อยสังขาร
ก็มีแบ๊คตัวโตอันโอฬาร
ย่อมสำราญไร้ผิดลิขิตพาล
อันลูกกูข่มขืนกำแหงข่ม
อยากดอมดมเมียใครได้ผสาน
ฤาลูกใครสวยสดกดกายนาน
ผิดมิคร้านหลุดรอดไป่กลัวเกรง
ยอมอยู่ใต้อำนาจอันบาตรเขื่อง
ยอมขายเรื่องศักดิ์ศรีลี้ข่มเหง
ให้กูรอดกูพ้นกูนักเลง
กูได้เบ่งใครล้มช่างหัวมัน
น่าอนาถความคิดสติอ่อน
ศีลธรรมนอนถับถมดูขำขัน
เอาตัวรอดกอดอำนาจยศถากัน
ศักดิ์ศรีนั้นความเป็นคนเสื่อมถอยลง
ยินคำพูดดูดสติได้สลด
สังคมหดเสื่อมสิ้นน่าสารสง
คุกมีไว้ ขังหมา ขี้เรื่อนปลง
อีกหนึ่งบ่ง คนจน ไร้ทางเดิน
อันกูรวยเงินทองอำนาจส่ง
กฏหมายคงไร้หมายมิขัดเขิน
ทุกวันนี้ตัวกูต้องเผชิญ
ความเจริญเหยียบย่ำธรรมจรรยา
พระท่านว่า
"ต่อไป  คนจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว  ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก  ไร้ศีลธรรมจรรยา"
ใครจะทำไม ??

บ่วงกรรม

แมงกุ๊ดจี่


ฤ ปางก่อนผูกพ่วงสายบ่วงกรรม
หลงเดินย่ำทางเก่าชีพเศร้าหมอง
ผิดศีลธรรมนำชีวันผิดครรลอง
เพื่อสนอง  "กิเลส"  เหตุปัจจัย...
สร้างกรรมใหม่ไม่หยุดฉุดตกต่ำ
ตามก้าวย่ำกงเกวียนวกเวียนไป
เสมือนตกลงเหวแห่งเปลวไฟ
เปรียบเผาไหม้ทุกชาติมิอาจขืน....
จึงน้อมนำพระธรรมแนวคำสอน
หวังตัดทอนกรรมเก่าจิตเร้าฝืน
มุ่งสวดมนต์เป็นผู้...จิตรู้ตื่น
รั้งสติคืน....น้อมรับสดับธรรม...
ชำระล้างจิตใจใสสะอาด
สิ่งพลั้งพลาดลบเลือนอย่าเตือนจำ
นับจากนี้ปล่อยวางมุ่งทางธรรม
ละเว้นกรรม...ด้วยสัจเพื่อตัดเวร...

** ธรรมะ **

อ.วรศิลป์


ดุจแสงทอง งดงาม ยามรุ่งสาง
ธรรมะส่อง นำทาง สู่จุดหมาย
ธรรมะชี้ ทางรอด พ้นวอดวาย
ธรรมะคลาย ทุกข์หนัก ได้พักใจ
ดุจสายฝน จากฟ้า สู่หล้าโลก
ธรรมะช่วย ขจัดโศก ที่หม่นไหม้
ธรรมะช่วย ปลดปล่อยชน พ้นอบาย
ธรรมะช่วย จุดประกาย ให้พลัง
ดุจดวงดาว ระยิบระยับ บนฟากฟ้า
ธรรมะพา สู่จุดหมาย ปลายทางหวัง
ธรรมะคือ เข็มทิศ บอกทิศทาง
ธรรมะพร้อม เคียงข้าง เส้นทางจร
ธรรมะคือ คำตอบ ของชีวิต
ธรรมะคือ เพื่อนสนิท ยามทุกข์ร้อน
ธรรมะคือ สหาย ผู้อาทร
ธรรมะคือ พุทธพร....สาธุชน
ฉะนั้นพึง เพียรยึด ถือธรรมะ
ฉะนั้นพึง ลดละ อกุศล
ฉะนั้นพึง สร้างกรรม นำมงคล
เพื่อสักวัน เก็บเกี่ยวผล บนพิมาน

" สุขสันต์วิสาขบูชา 2553 "

อ.วรศิลป์


สุขสันต์วิสาขะ
ลดเลิกละอบายมุข
ก่อเกิดกำเนิดสุข
พ้นบ่วงทุกข์พันธนาการ
สุขสันต์วิสาขะ
ด้วยธรรมะอันเฉิดฉาน
กล่อมเกลาจิตวิญญาณ
สุขชื่นบานใต้ร่มธรรม
สุขสันต์วิสาขะ
ด้วยพุทธวจีพร่ำ
แสงทองแห่งพระธรรม
ที่ชี้นำสู่นิพพาน
สุขสันต์วิสาขะ
ตัดราคะที่เผาผลาญ
กลลวงบ่วงแห่งมาร
ขอจงผ่านก้าวพ้นไป
สุขสันต์วิสาขะ
สู่ชัยชนะอันสดใส
รื่นเริงบันเทิงใจ
ชนทั้งหลาย....ผู้ใฝ่ธรรม
" สุขสันต์วิสาขบูชา แด่ดวงจิตใฝ่ธรรมทุกดวง "
หน้า / 6  
ทั้งหมด 93 กลอน