tiki
"สร้างเครือข่ายแห่งความดีให้เต็มประเทศ" โดย ประเวศ วะสี
ทุนไม่ได้มีแต่เงินเท่านั้น
ความดีเป็นทุนที่ใหญ่กว่าเงิน
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าความดีนั้นดี แต่คำถามก็คือทำอย่างไรความดีจึงจะมีพลัง ท่ามกลางพัฒนาด้วยโลภจิตและเงินเป็นใหญ่ในปัจจุบัน เรื่องนี้ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าเราเข้าใจความจริง 2 ประการ คือ
ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีอยู่ในหัวใจ
พลังแห่งความดีเกิดจากการเอาความเป็นมนุษย์มาเชื่อมต่อกัน
มนุษย์มีกิเลสก็จริง แต่กิเลสไม่ได้มีด้านเดียว มนุษย์มีธรรมชาติอีกด้านหนึ่งด้วยทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีอยู่ในหัวใจ อย่างที่บางทีเรียกว่า เมล็ดพันธุ์แห่งโพธิ ถ้าใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวนดินเมล็ดพันธุ์นี้ก็จะงอกและผลิตดอกออกผลแผ่ไพศาล การพัฒนาทุกวันนี้ไปใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวดดินกิเลส ความชั่งจึงกลบความดี
ท่านเคยได้ยินเรื่องพลังนิวเคลียร์ ว่าเมื่อนิวเคลียสของสารเข้ามาเชื่อมผนึกกันที่เรียกว่า nuclear fusion จะปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา เช่นในดวงอาทิตย์เมื่อนิวเคลียสของไฮโดรเจน 2 ตัว เชื่อมผนึกกันเป็นฮีเลียม เกิดพลังงานอันมหาศาลของดวงอาทิตย์
การเชื่อมต่อ ทำให้เกิดพลังงานมหาศาล
ในทางสังคมก็เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่เกิดการเชื่อมต่อทางสังคม หรือ social fusion จะเกิดพลังงานทางสังคม(Social emergy) อันมหาศาล
มนุษย์ถูกแยกให้ตัดขาดจากกันด้วยประการต่างๆ
แม้แต่เด็กนักเรียนก็ไม่อยากคุยกับพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เพราะคุยแล้วมันไม่ได้คะแนน! เพราะคะแนนไปอยู่ที่การท่องวิชา นี้คือการศึกษาที่ทำให้มนุษย์ตัดขาดจากกัน เพราะไปเอา "วิชา" เป็นตัวตั้ง
มนุษย์ถูกทำให้ตัดขาดจากกันเพราะเหตุนานาประการ เช่น เพราะฐานะต่างกัน เพราะกฎระเบียบ เพราะวิชา เพราะเทคนิค เพราะธุรกิจ หมอไม่ยอมให้ญาติไปนั่งจับมือคนไข้ที่กำลังจะตาย เพราะเกะกะการใช้เทคโนโลยี เพราะให้ความสำคัญแก่เทคโนโลยีที่เหนือกว่าการที่มนุษย์จะเอาหัวใจเข้ามาเชื่อมกัน
การตัดขาดทำให้ไร้วิญญาณ
อย่างเช่นการชำแหละโคหรือสุกรออกเป็นส่วนๆ เมื่อตัดขาดเป็นส่วนๆ ก็ไร้วิญญาณ การมีวิญญาณคือการเชื่อมต่อ อย่างร่างกายของเราถ้าทุกส่วนเชื่อมต่อกัน เราก็มีชีวิตมีวิญญาณ การพัฒนาทุกวันนี้เน้นที่การตัดขาดออกจากกัน จึงวิกฤตทุกๆ ทาง
กุญแจแก้วิกฤตคือการเชื่อมต่อ
ลองมาดูตัวอย่างเรื่องการเชื่อมต่อบ้าง
ตัวอย่างที่ 1 อดีตผู้จัดการธนาคารออมสินคนหนึ่ง เมื่อธนาคารออมสินมีนโยบายให้สินเชื่อเกษตรกร เขาโกรธมาก เพราะเคยนั่งสบายอยู่ในห้องแอร์ คราวนี้ต้องออกไปพบเกษตรกรที่หัวไร่ปลายนา แต่ทำไปๆ เขาเกิดความสุขขึ้นอย่างประหลาด เพราะหัวใจของความเป็นมนุษย์ไปสัมผัสกัน เดี๋ยวนี้รายได้เขาน้อยลงแต่ความสุขเขามากขึ้น เขาไม่อยากกลับไปทำอย่างเก่า
ตัวอย่างที่ 2 เกษตรกรตำบลที่ขอนแก่นหลายคน เมื่ออาจารย์บัณฑร อ่อนดำ ถามว่าเกษตรกรในตำบลที่เขาดูแลคนไหนพึ่งตนเองได้คนไหนพึ่งไม่ได้ ตอบว่า "ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมเกลียดมัน เพราะมันดื้อ"
ที่ว่าดื้อนี้คือบอกว่าให้ใช้ปุ๋ยใช้ยาฆ่าแมลงก็ไม่ค่อยจะยอมเชื่อ ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงคือมิติทางเทคนิค เรามักเรียนกันทางเทคนิคแต่ขาดมิติแห่งความเป็นมนุษย์
เมื่ออาจารย์บัณฑรชวนไปคุยกับเกษตกร รู้จักป้าคนนั้น ลุงคนนี้ ใครอยากทำอะไร ทำไมถึงทำไม่ได้ ความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนมีความสุขและงานเดิน เพราะหัวใจของความเป็นมนุษย์เข้าไปเชื่อมกัน
ตัวอย่างที่ 3 นักศึกษาธรรมศาสตร์ 40 คน อาจารย์ส่งเข้าไปอยู่กับชาวบ้านที่พะโต๊ะจังหวัดชุมพร ลึกเข้าไปในป่า อยู่บ้านละคนๆ ชาวบ้านก็ดูแลเลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลานให้กินกบกินเขียดตามประสาจน ปรากฏว่ารักชาวบ้านหมดทุกคน เรียกเขาเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะหัวใจความเป็นมนุษย์เข้าไปเชื่อมกัน ไม่ได้ศึกษาแต่ "วิชา" เท่านั้น
ขณะนี้ ธ.ก.ส. ได้ให้ผู้จัดการสาขาทุกคนไปนอนบ้านชาวบ้านบ้านละคน และร่วมทำงานอย่างที่ชาวบ้านทำ เพื่อปลุกพลังทางปัญญาและพลังทางความดี
ตัวอย่างที่ 4 ครูชบกับคุณอัมพรที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ทำมานานกว่า 20 ปี ส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมตัวกันตั้งกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ เรื่องนี้ไม่ใช่ได้แต่ทรัพย์ แต่ได้ "จิต" และได้ "สังคม" เข้ามาเชื่อมต่อกัน ชุมชนเข้มแข็งมาก เพราะการเอาจิต เอาคนหรือสังคมเข้ามาเชื่อมต่อกัน สามารถทำอะไรๆ ได้เอง และมีความสุขมาก ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้งมันจะไปบาดทำให้ผู้คนตัดขาดจากกัน เพราะขาดการเชื่อมต่อด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
พระสุบิน ปณีโต ที่จังหวัดตราด ก็กำลังส่งเสริมการเชื่อมต่อทางสังคมขยายตัวออกไปมาก ครูชบนั้นบัดนี้ตระเวนไปทั่วทุกภาคเพื่อสอนการเชื่อมต่อความเป็นมนุษย์
มีกระบวนการที่ชาวบ้านในชุมชนมารวมตัวกันทำวิจัยเรื่องชุมชนของเขาเอง ที่ อาจารย์เสรี พงศ์พิศ เรียกว่า "ประชาพิจัย" คือการวิจัยโดยประชาชน แล้วเอาผลการวิจัยมาทำแผนแม่บทชุมชน
ขณะนี้ผู้ใหญ่ โกเมศร์ ทองบุญชู ก็กำลังประสานงานเครือข่ายแผนแม่บทชุมชน 4 ภาค นี้ก็คือกระบวนการที่เอาความเป็นมนุษย์เข้ามาเชื่อมโยงกัน ซึ่งกำลังขยายตัวไปเป็นอันมาก ที่ยกตัวอย่างนี้เป็นส่วนน้อย ยังไม่ได้พูดถึงงานของปราชญ์ชาวบ้านและการพัฒนาอื่นๆ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อความดี งานเหล่านี้มีองค์กรสนับสนุนต่างๆ เช่น พอช. ธ.ก.ส. มูลนิธิหมู่บ้านสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สสส. เป็นต้น จึงเป็นไปได้ที่เครือข่ายความดีนี้จะถักทอขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่างที่ 5 เมื่อวันอังคารที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ผมไปร่วมประชุมสมัชชาสุขภาพคนพิการภาคเหนือ จัดโดยมูลนิธิคนพิการไทยที่มี คุณณรงค์ ปฏิบัติสรกิจ เป็นประธาน ผมได้พบปะพูดคุยกับคนพิการมากที่สุดในชีวิต ได้เรียนรู้เรื่องที่ไม่เคยรู้และเกิดความบันดาลใจในเรื่องการเชื่อมต่อความดีเป็นอันมาก
คนพิการนั้นจิตใจสูงกว่าคนไม่พิการ เพราะเขาผ่านความทุกข์แสนสาหัสอย่างไม่รู้จะหลบหลีกจนเอาชนะมันได้ เมื่อเขาเอาชนะความทุกข์ได้ เขาจึงมีจิตใจดีอยากทำประโยชน์และอยากช่วยเหลือผู้อื่น เขามักมีความสามารถพิเศษ เช่น บางคนเก่งคอมพิวเตอร์ คนตาบอดหลายคนเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารเพราะฟังมาก ที่แน่ๆ เขาสามารถเป็นที่ปรึกษาแก้ทุกข์คนอื่นได้ อาจดีกว่าครูและพระโดยทั่วไป เพราะเขาผ่านความทุกข์ยากมา
บางคนบรรลุธรรมะเอาเสียเลย เช่น คุณกำพล ทองบุญนุ่ม ที่เขียนเรื่อง "จิตสดใสแม้กายพิการ-ทุกวันนี้ผมลาออกจากความทุกข์แล้ว" คนพิการอาสาสมัครทำงานเพื่อสังคมก็มีมาก ผมเคยพบคนพิการร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด
ในด้านองค์กร มีมูลนิธิคนพิการ สมาคมคนพิการ และเครือข่าย สวรส. มีโครงการวิจัยระบบสุขภาพคนพิการ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก สสส. คนพิการได้ร่วมในกระบวนการยกร่าง พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติอย่างเข้มแข็ง
ถ้าไม่มองคนพิการว่าเป็นภาระ(burden)ต่อสังคม แต่
มองว่าคนพิการเป็นทุน(asset) เพื่อการพัฒนา คนพิการประมาณ 3 ล้านคนสามารถถักทอกันเป็นเครือข่ายในการทำความดีขนาดใหญ่ทีเดียว
ตัวอย่างที่ 6 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน สปสช.(สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ได้จัดประชุมเครือข่ายเพื่อนมะเร็ง(Cancer support groups) ที่สวนสามพราน นี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ คือคนที่มีน้ำใจซึ่งอาจเป็นอาสาสมัคร อาจเป็นคนไข้ที่หายแล้ว หรือคนไข้ที่ยังเป็นอยู่ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ก่อตัวกันเป็นกลุ่มอาทรเพื่อนมะเร็ง พากันไปให้กำลังใจคนเป็นมะเร็ง แนะนำเรื่องอาหาร แนะนำการทำสมาธิ แนะนำกิจกรรมต่างๆ การเอาหัวใจความเป็นมนุษย์เข้ามาหากัน ทำให้เกิดความสุขมาก บางคนหายจากมะเร็ง บางคนกล่าวว่า "ฉันดีใจที่เป็นมะเร็ง" เพราะทำให้ได้เจอความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย ความสุขเกิดจากการที่ผู้คนมีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน และเกิดจากการทำสมาธิ
จะเห็นได้ว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นโอกาสที่ผู้คนจะเอาหัวใจของความเป็นมนุษย์เข้ามาเชื่อมโยงกัน แล้วเกิดความสุขความสร้างสรรค์เหลือหลาย ความพิการ มะเร็ง ความเจ็บไข้ได้ป่วยทุกชนิด หรือโดยรวมก็คือความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์นั่นเอง มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นทุนที่มนุษย์จะมีความดีต่อกัน โอกาสที่จะสร้างเครือข่ายแห่งความดีจึงมีอยู่เต็มประเทศ
ตัวอย่างที่ 7 สปิริตแห่งการเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม คนบางคนเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมหรือเพื่อนมนุษย์ เรื่องนี้สามารถทำให้เกิดเต็มประเทศ โดยรัฐบาลมีนโยบายให้นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้าง สามารถใช้เวลาส่วนหนึ่งไปเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม เช่น ไปดูแลคนแก่ เด็ก คนพิการ คนเป็นมะเร็ง คนป่วยอื่นๆ เด็กกำพร้า ฯลฯ
เรียกว่าคนไทยทั้ง 63 ล้านคน เป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งสังคมจะอบอุ่น ปลอดภัยและมีความสุขอย่างยิ่ง ผู้หญิงต้องเดินทางผ่านตรอกผ่านซอยที่เปลี่ยวก็มีอาสาสมัครเดินไปเป็นเพื่อน ไม่ถูกจี้ถูกข่มขืนเยี่ยงปัจจุบัน
เท่าที่ยกตัวอย่างมา จะมองภาพออกว่าคนไทยสามารถสร้างเครือข่ายแห่งความดีโดยเอาหัวใจของความเป็นมนุษย์เข้ามาเชื่อมกัน ให้ความดีเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน ความสุขความงามจะแผ่ไพศาลทั้งแผ่นดิน ในสมัยที่เงินเป็นใหญ่จนน่าเกลียด เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง และการเมืองเรื่องเลือกตั้งยังใช้เงินกันเป็นหมื่นล้าน สังคมไทยจะถูกนำเข้าไปสู่ความไม่เป็นธรรม ความแตกแยก และความรุนแรง ปัญหาใหญ่ๆ ยากๆ นั้นใหญ่เกินที่รัฐบาลใดๆ จะแก้ได้ คนไทยต้องลงมือทำเอง อย่าไปรอหรือเอาแต่ขอร้องให้ใครมาแก้ เขาทำไม่ได้หรอก แต่เราคนไทยทุกคนลงมือทำเองได้ อะไรที่เป็นความดีเราทำ เอาเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิ หรือ หัวใจของความเป็นมนุษย์มาเชื่อมโยงกันเป็น เครือข่ายแห่งความดี ขยายออกไปให้เต็มประเทศ
เมื่อ เครือข่ายแห่งความดี แข็งแรง ก็จะดึงให้ทุกคนทุกฝ่าย รวมทั้งนักการเมืองด้วย เข้ามาอยู่ในตาข่ายแห่งความดี
ความดีเป็นทุนของการพัฒนาที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เงิน
คนไทยจงเอาหัวใจของความเป็นมนุษย์มาเชื่อมกันให้เต็มแผ่นดิน และเป็นผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศให้อยู่บนเส้นทางของความถูกต้อง เพื่อไปพ้นจาก "โมหะ-อบายภูมิ"
ที่มา : มติชน (22 มิ.ย.47)
http://www.nrct.net/modules.php?op=modload&name=News&file=article&sid=1203&mode=thread&order=0&thold=