23 กุมภาพันธ์ 2547 18:20 น.

" รัก " คืออะไร ? (-ตอน 3-)

mini_pk

" รัก " คือสิ่งเลวร้าย
	" หากคุณคิดจะมีความรัก  คุณจงเตรียมใจให้พร้อมกับการที่จะได้พบกับความเสียใจ  เพราะมันเป็นสิ่งคู่กัน  เมื่อคุณมีความรัก  ความรักย่อมนำปัยหามาสู่คุณ   และเมื่อคุณแก้ไขมันไม่ได้  มันย่อมจบลงด้วยการเลิกรา  และแน่นอน คุณย่อมเสียใจ  คุณคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณไม่เสียใจ  แต่ถ้าคุณปฏิเสธ แสดงว่าคุณรักษาฟอร์มที่มีอยู่จนล้นในตัวคุณ  การเสียนำตาไม่ใช่เรื่องน่าอาย  หากคุณมีเหตุผมพอที่จะเสียมันไป  หากคุณมีความรักแล้วความรักของคุณไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง มี2วิธีที่คุณควรปฏิบัติ  วิธีที่ 1 คุณจงหาปัญหาของหัวใจคุณให้พบ  แก้ไขให้ตรงจุด  พูดคุยกับคนรักของคุณให้เข้าใจ  จงใช้เหตุผล  คุณจงอย่าคิดที่จะหนีปัญหา เพราะถึงแม้คุณจะไหนมัน คุณก็หนีมันไม่พ้นหรอก  เผชิญหน้ากับมันซะ (-กับปัญหานะ  ไม่ใช่คนรัก-) ถ้าคุณแก้ไขมันได้ ทุกๆอย่างที่คุณที่คุณมี คุณก็ไม่ต้องเสียมันไป  แต่หากคุณไม่สามารถแก้ไขอะไรให้มันดีขึ้นได้แล้ว งั้นวิธีที่ 2  คุณก็ปล่อยมันไปเหอะ  อย่าไปเสียดาย  เพราะถึงคุณจะรั้งมันไว้ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร  แถมมันยังคอยทำร้ายให้คุณเจ็บ(-ใจ-)ซะเปล่าๆ  คุณจงทิ้งมันแล้วเดินหน้าหาใหม่ดีกว่า (-เดินระวังท่อด้วยนะ  เดี๋ยวเสียฟอร์มหมด-) แต่ถ้าคุ่ณหาคนใหม่ไม่ได้  เราว่าคุณอยู่คนเดียวจะดีกว่านะ  สบายใจดี อิอิ " -^_^-				
20 กุมภาพันธ์ 2547 20:11 น.

" รัก " คืออะไร ? (-ตอน 2-)

mini_pk

" รัก " คือสิ่งดีๆ
	" หากคุณมีความรัก  คุณจงถูมิใจ  เพราะคนหลายคนในโลกนี้ยังหาความรักไม่พบ  เมื่อคุณมีความรัก  คุณจงดูแลรักษามันเยี่ยงชีวิต  คุณจงทุ่มเทเพื่อมันและเขาหรือเธอที่คุณรัก  หาใช่สิ่งมีค่าไม่  มันเป็นสิ่งที่คุณไม่ต้องใช้เงินแลกเปลี่ยนมันมา  แต่มันกลับมีค่ายิ่งกว่านั้น  สิ่งๆนั้นคือ เวลา ความเข้าใจ ความห่วงใย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความรัก  คุณต้องรู้จักยอมซะบ้าง  ใช่คิดแต่จะเอาชนะ  เพราะชนะไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น  คุณชนะเขา เขาคงจะไม่มานั่งชมคุณว่าคุณเก่งหรอกนะ  มันกลับจะทำให้พวกคุณทะเลาะกันเสียเปล่าๆ  เถอะน่า ยอมเค้าไปเหอะ   อาจมีบางครั้งที่คุณรู้สึกอึดอัด  เค้าเป็นแฟนเรา แต่เค้ากลับเหมือนมาเป็นพ่อแม่เราซะนี่  เข้าใจเถอะว่าเค้ารักคุณ "				
19 กุมภาพันธ์ 2547 14:58 น.

" รัก " คืออะไร ? (-ตอน 1-)

mini_pk

" รัก " คืออะไร ? ฉันยังไม่แน่ใจกับสิ่งๆนี้   มันเป็นสิ่งที่ดีหรือเลวร้ายกันแน่...ฉันไม่รู้  ฉันรู้แต่เพียงว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมมีความรัก " ความรัก " คือ สิ่งมหัสจรรย์   มันคือทุกๆสิ่ง  แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร  มันสามารถทำให้ทุกคนรวมทั้งฉันมีทั้งความสุขและความทุกข์ได้ในเวลา  เดียวกัน   มันสามารถทำให้เราเกิดความรู้สึกต่างๆได้  " ความรัก " เป็นสิ่งที่ดีงั้นหรือ?  ทำไมทุก  คนจึงอยากมีความรัก  หรือ " ความรัก " เป็นสิ่งที่เลวร้าย? เหตุใดคนที่มีความรักจึงมีทุกข์  ถึงยังไงคุณยังไม่สามารถรู้ความหมายของ " ความรัก " ได้...หากคุณยังไม่เคยสัมผัสมัน!
	รัก	คือ	ความสวยงาม
	รัก	คือ	นิยามของความสดใส  		รัก	คือ	ความเข้าใจ
	รัก	คือ	ความห่วงใยระหว่างเรา  
	รัก	คือ	โลกกว้าง
	รัก	คือ	เส้นทางแห่งความเหงา  
	รัก	คือ	ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเรา
	รัก	คือ	ความเศร้าเคล้านำตา  
	รัก	คือ	ชิวิต
	รัก	คือ	พรหมลิขิตแห่งความห่วงหา
	รัก	คือ	การพึ่งพา
	รัก	คือ	สิ่งมีค่าเกินกว่าสิ่งใด
PS.ขอยืมกลอนหน่อยนะคะ  มันเข้ากับเรื่องของหนูพอดีเลย ไม่ว่ากันนะคะ... 
   -^_^-				
17 กุมภาพันธ์ 2547 19:30 น.

เธอ....

mini_pk

" อยู่ไหนว้าอยู่ไหน โครม! "   " ณัฐ!ทำอะไรลูก "    " ผมกำลังหาของอยู่คร้าบบ..บ...  แม่  แม่เห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงกล่องเล็กๆของผมมั้ย "   ผมตะโกนถามแม่ที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว   " หาดูดีๆซิลูก  เดี๋ยวก็เจอ "   โถ! คำตอบของแม่มันช่วยผมได้มากเลยครับ     " ขอบคุณฮะแม่ "   ผมตะโกนตอบกลับ   ผมกำลังหาสิ่งๆนั้นอยู่   ของขวัญชิ้นพิเศษที่ผมเตรียมไว้ให้เธอสุดที่รักของผม    มันมีค่าสำหรับผมมากครับ   ผมเก็บมันไว้เป็นอย่างดีดีที่สุด   ดีจนผมเองหามันไม่เจอ   มันต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งในรัง  เอ้ย!ห้องๆนี้แหละ   ผมใช้ความรีบเร่งในการหาอย่างสุดขีด   " เร็วๆซีไอ้ณัฐ   ขิมรอแกอยู่นะ "  ผมคอยเร่งตัวเองอยู่ตลอด   " เจอแล้ววว..ว.ว "   ผมตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ   มันตกอยู่ใต้กองผ้าในตู้เสื้อผ้าของผมนี่เอง   โห่!หาตั้งนาน   ผมค่อยๆเปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงกล่องนั้นแล้วหยิบสิ่งๆหนึ่งออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ    ผมต้องรีบไปแล้ว   ผมวิ่งลงบันไดด้วยอัตราความเร็ว 120 กม./ชม.   แต่แล้วอิริยาบทของผมมันก็เปลี่ยนไป   ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นกลิ้งแล้วครับ   ผมกำลังกลิ้งลงบันได   ตัวผมใกล้จาถึงพื้นแล้ว   ใกล้แล้ว   ใกล้แล้ว   แล้วตอนนี้มันถึงแล้วครับ   ผมยังมีชีวิตอยู่   ผมรีบลุกขึ้นแล้วสำรวจสารรูปของตัวเอง   มีเลือดออกนิดๆ   แผลก็นิดหน่อย  ไม่เป็นไรครับ   ไม่ถึงตายหรอก   ผมมองดูนาฬิกาข้างฝาผนัง   ผมช้าไป 15 นาทีแล้ว   ผมต้องไปแล้วขิมรอผมอยู่   ผมวิ่งออกจากบ้านไปรอรถแท็กซี่   วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย   ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาเลยซักคัน   ผมรอไม่ไหวแล้ว   " ไปมอร์ไซค์ก็ได้วะ! อย่าคิดว่าจะง้อ "  ผมบ่นกับตัวเองแล้วโดดขึ้นมอร์ไซค์รับจ้างที่ผ่านมาพอดี   " พี่ครับ ไปที่นั่นด่วนเลยครับ "  ผมสวมหมวกกันน็อกแล้วบอกจุดหมายกับคนขับ  " พี่ เร็วกว่านี้ได้มั้ยครับ "   ผมเร่ง  " โห่น้อง  นี่พี่เร่งจนสุดแล้วนะ  ให้เร็วกว่านี้น้องอยากไปสวรรค์หรอวะ "  พี่คนขับตอบผมกลับ   ผมเงียบเลยครับ  " ก็คนมันรีบนี่หว่า   งั้นจะเร่งทำทำไมวะ "   ผมบ่นในใจ   แต่มันก็จริงของพี่เค้านะ   เร็วกว่านี้ได้ขึ้นสวรรค์แน่   ผมค้านความคิดของตัวเอง   ผมเป็นคนใจร้อนครับ   ทำอะไรต้องเร็วไว้ก่อน   ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย   คงเป็นเพราะผมตื่นเต้นมั้ง   ตื่นเต้นที่จะได้ให้ของขวัญชิ้นนี้กับเธอด้วยตัวผมเอง  " รอผมก่อนนะ   ผมกำลังไป ">> 16 ปีที่แล้ว   ทุกสิ่งมันเริ่มต้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2532  วันเปิดเทอมวันแรกของโรงเรียนแห่งหนึ่ง   วันนั้นเป็นวันที่น่าเบื่อสุดๆครับ   เพราะไม่ว่าผมจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่เด็กเด็กทั้งนั้น   เปล่าครับผมไม่ใช่ครูหรือผู้ใหญ่ที่เกลียดเด็กที่ไหนหรอก   ผมก็เป็นเด็กอนุบาลเหมือนๆกับพวกเค้าน่ะแหละ   เพียงแต่ผมเบื่อที่ต้องมาทนฟังเสียงร้องไห้ของพวกเค้า   ผมไม่เข้าใจจริงๆเลยครับ   เพื่อนก็เยอะแท้ๆ   แต่ดันมาร่วมใจร้องไห้ประสานเสียงกันซะนี่   ผมเริ่มจะทนไม่ได้กับเสียงร้องไห้ที่ดังกระหึ่มไปทั้งโรงเรียน   ผมจึงจึงร้องไห้ไปกับพวกเขา   แฮะๆ   แต่ไอ้การร้องไห้ของผมเนี่ยมันไม่มีน้ำตานะครับ   แหกปากร้องเฉยๆ   ไม่รู้สิครับ   เผอิญผมเป็นคนร้องไห้ยากยากจนอธิบายไม่ถูก   ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องมาเสียน้ำตาให้กับเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วย   แต่ผมก็ยังคงแหกปากต่อไป   จนกระทั่ง   ผมเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ มัดแกละสองข้างนั่งอยู่บนตักนางพยาบาล   เธอกำลังร้องไห้   ผมหยุดแหกปากทันที   ผมรีบวิ่งไปหาเธอโดยสัญชาตญาณ   แต่แล้วมันก็มีอุปสรรคเกิดขึ้น   มีหินก้อนหนึ่งขวางทางผม   และแล้วความซุ่มซ่ามของผมก็บังเกิด   ผมสะดุดมันล้ม   แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเธอ   แต่กลับกลายเป็นว่าเธอและคุณพยาบาลเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาผมแทน  " เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะหนู "   คุณพยาบาลถามผมด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย   ผมหันไปมองหน้าเด็กหญิงผมแกละคนนั้น   ผมงงอยู่ครู่หนึ่ง   ก็เมื่อตะกี๊เธอยังร้องไห้อยู่เลย   แต่ตอนนี้เธอกำลังหัวเราะ   หัวเราะอะไรไม่รู้   คงหัวเราะผมมั้ง   ก็หินตั้งก้อนเบ้อเร่อดันมองไม่เห็น    " ไม่เป็นไรคั๊บ "   ผมรีบลุกขึ้นทันทีและไม่รอช้าที่จะชวนเธอไปเล่นด้วยกัน   " ไปเล่นกันเถอะ "    " เค้าหรอ "   เธอถามผมกลับด้วยสีหน้างงๆ   ผมว่าตอนนี้ผมก็คุยอยู่กับเธอนะครับ    แล้วเธอคิดว่าผมชวนใครล่ะ    " คั๊บผม "  ผมตอบเธอ   เธอหันกลับไปมองหน้าคุณพยาบาลเหมือนกับว่าขอความเห็นใจ " ไปสิ จ๊ะ "  คุณน้าพยาบาลตอบอนุญาตเหมือนจะรู้ว่าเธอต้องการอะไร   เท่านั้นแหละครับเธอรีบคว้ามือผมแล้ววิ่งไปที่สนามเด็กเล่นทันที   ผมยอมรับครับว่าผมตกใจมาก   ก็เธอเล่นไม่บอกไม่กล่าวผมเลย   ผมก็ไม่ทันตั้งตัวสิครับ   ไม่น่าเชื่อว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะมีพลังมากมายมหาศาลขนาดนี้   ตัวของผมแทบปลิวไปตามแรงดึงของเธอ   ผมวิ่งตามเธอแทบล้มหัวคมำ    ดูเธอตื่นเต้นและมีความสุขเหลือเกินครับ   เหมือนเธอไม่เคยได้มีโอกาสได้เล่นอะไรแบบนี้มาก่อน   แต่ผมไม่สนใจหรอกครับตอนนี้ผมกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการดูเธอไต่บันไดลิง   และแล้วก็จังๆเลยครับ   วู้!!!สีแดง   ขณะที่ผมกำลังใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่เธอ   แต่แล้วก็มีมารพจญมาขวางความสุขของผม   มีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งขึ้นไปไต่บันไดลิงกับเธอ   ผมไม่อยากจะมองเลยครับ   ก็เธอช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักเหลือเกิน   ผมก็หยิก  อ้วนก็อ้วน  ดำก็ดำ  ตาก็หยี เอ่อ..ตาตี่ดีกว่าครับ   เธอน่ารักไม่ได้ครึ่งของเด็กหญิงผมแกละของผมเลยครับ   ผมเลยต้องจำใจเลิกภารกิจแอบครั้งนี้   ผมว่าผมชวนเธอไปเล่นอย่างอื่นดีกว่า   ไปให้ไกลๆจากยัยอ้วนนี่   แต่ผมจะเรียกเธอยังไงดีล่ะ   ผมยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย   เอาอย่างนี้ละกันผมมีวิธีแล้ว   ผมยืนคอยเธออยู่เฉยๆตรงนี้  รอให้เธอมองมาทางผมแล้วผมค่อยกวักมือเรียกเธอดีกว่า   ง่ายดีมั้ยล่ะ   โห!คิดได้งัยเนี่ยเก่งจัง   เหอะๆ   3 ปีผ่านไป   เธอไม่ยอมมองมาทางผมซะทีครับ   เธอคงจะสนุกจนลืมผมไปแล้ว   ไม่ ผมจะไม่รอต่อไปแล้วนะ   ผมไปเรียกเธอใกล้ๆดีกว่า   แต่ผมจาเรียกยังไงล่ะ   ทำไมมันลำบากขนาดนี้   เอางี้!ไปดึง เอ้ย!กระตุกกระโปรงเธอละกัน   มันเป็นการสะกิดให้รู้ตัวอีกวิธีหนึ่งนะครับ   และแล้วก็ได้ผลครับ   ได้มาพร้อมกับคำด่าด้วยแหละ   พอดีผมกระตุกแรงไปนี๊ดเธอเกือบตกครับ   แต่เธอก็ไม่ได้โกรธผมหรอก   เธอแค่ตกใจแล้วหลุดปากมาเฉยๆ   ผมคิดว่างั้นนะ   แต่ตอนเวลาเธอตกใจเธอดูน่ารักดีนะ   ผมอยากรู้ชื่อเธอจัง  ทำไงดีอะ   โง่อีกและ!ก็ถามสิวะณัฐเอ้ยผมด่าตัวเองครับ   ทำไมผมโง่ได้ขนาดนี้เนี่ย   เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ออก  " ชื่อไรหรอ " ผมเลิกโง่แล้วถามเธอ  " ขิม "  เธอตอบผมแบบไร้ความรู้สึกมากๆ   เธอไม่สนใจผมเลยครับ   เธอเอาแต่เล่น เล่นอย่างเดียวเลย   ไม่เป็นไร   ยังไงผมก็ได้รู้ชื่อเธอแล้ว   ไปเล่นกับเธอดีกว่า   และแล้วเธอก็พูดกับผม   " แล้วตัวชื่อไรอะ "   เธอถามผมกลับ   " ผมชื่อณัฐคั๊บ "   ผมแอบดีใจอยู่ลึกๆที่เธอยังอยากรู้จักชื่อผม   ในวันนั้นขิมเป็นคนเดียวที่ผมคุยและเล่นด้วย   นับจากวันนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันเรื่อยมา   อันที่จริงผมไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนหรอกนะครับ   ผมอยากจะขอเธอแต่งงานด้วยซ้ำแต่ผมทำไม่ได้   เพราะผมเพิ่งจะอายุ 4 ขวบเอง   อิอิ  เราเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ   ผมจะเจอเธอและคุณน้าพยาบาลทุกวันที่โรงเรียน   ยกเว้นวันที่เธอไม่มาเพราะอะไรไม่รู้   ทุกเดือนเลยครับ   ในแต่ละเดือนต้องมีซักวันที่เธอไม่มา   แต่ผมก็ไม่สนใจ   ตอนแรกผมก็นึกว่าคุณพยาบาลคือแม่ของขิมเค้า   แต่ไม่ใช่ครับ   คุณพยาบาลเค้าเป็นพยาบาลประจำตัวของขิม   ขิมเค้าเป็นลูกคุณหนูครับ   ร่างกายของเธอไม่ค่อยจะแข็งแรง   เธอเป็นโรคอะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้จัก   ผมเคยถามเธอว่าเธอเป็นอะไร  เธอก็บอกผมว่าเธอเป็นโรค " รู "  ชื่อมันตลกดีนะครับ   เธอมักจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ  จึงต้องมีพยาบาลมาคอยดูแล   ขิมเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากครับ   เธอจะตัวเล็กๆและชอบมัดผมแกละ   เพราะความที่ขิมเค้าตัวเล็กกว่าผม   ผมจึงชอบเรียกเธอว่า  " น้องแกละ "   อันที่จริงขิมเค้าเป็นรุ่นพี่ผมตั้งเกือบครึ่งปีแหนะ   แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ    ผมจะไม่ยอมให้อายุของเรามันมาเป็นอุปสรรคหัวใจของผมเด็ดขาด   ตอนนี้เราสนิทกันมากครับ.มากจนบอกไม่ถูก   เราเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาล 1 จนขึ้นป.6   เราจะรู้ใจกันดีครับ   26  ธันวาคม  พรุ่งนี้ก็วันเกิดผมแล้ว   ขิมรู้และจำมันได้  ขิมเค้าเข้ามาถามผม  " ณัฐจ๋า   วันเกิดณัฐ  ณัฐอยากได้อะไรเป็นของขวัญจ๊ะ "   ผมคิดอยู่นาน   ผมไม่อยากให้ขิมต้องมาเสียเงินซื้อของขวัญให้ผม   แต่ผมก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของเธอ   ผมคิดออกแล้ว " เอ่อณัฐ  ณัฐอยากเป็นแฟนขิมอะ "  อาจจะดูแก่แดดไปนิด   แต่เด็กประถมอย่างผมก็จริงจังนะครับ   " ได้สิ  ขิมให้ณัฐได้อยู่แล้ว "  เธอตอบผมแล้วบิดตัวไปมา    ผมคิดว่าเธอเขินนะ   เอ๊ะ!  หรือว่าเธอบิดขี้เกียจหว่าผมชักไม่แน่ใจซะแล้ว   เราสองคนคบกันมาเรื่อยๆ  และแล้ววันนี้ก็วันเกิดผมอีกแล้วครับ   ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีขอบางสิ่งกับเธอ   " เอ่อขิม วันเกิดณัฐปีนี้  ณัฐ ขอหอมแก้มขิมได้มั้ย "   เธอทำหน้าอึ้ง   ตอนนั้นเธอหน้าแดงมากเลยครับ   ผมคิดว่าผมคงไม่ได้อย่างที่ขอแน่   ผมจึงบอกเธอว่า  " ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับขิม "  ผมทำหน้าจ๋อย   เธอรีบแย้งผมขึ้นทันที   เธอคงกลัวผมงอนเธอมั้ง   " ได้สิณัฐ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ "   ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็ต้องหอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านทุกวัน   วันไหนถ้าผมไม่ได้หอมแก้มเธอ   วันนั้นผมเป็นอันกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียวล่ะครับ   เราสองคนคบกันมาเรื่อยๆจนจบป.6  พอจบป.6 เราสองคนก็ไปต่อมัธยมที่โรงเรียนเดียวกัน   เราไม่ยอมห่างกันหรอกครับ   ทีแรกแม่ของขิมจะให้ขิมไปเรียนเมืองนอก   แต่เธองอแงไม่ยอมไป   ก็บอกแล้วไงครับว่าเราไม่ยอมห่างกันหรอก   แต่คราวนี้เราได้อยู่คนละห้องเพราะผลการเรียนเราต่างกัน   ขิมเค้าเป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่งครับ   อาจเป็นเพราะสุขภาพร่างกายของเธอจึงทำให้เธอเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง   ส่วนผมสุขภาพกาย  สุขภาพจิต  หน้าตา  นิสัยดีหมดพร้อมความซุ่มซ่ามที่มีอยู่ในตัวก็เต็มเปี่ยม   มันจึงส่งผลทำให้ผมเรียนไม่ได้เรื่องเลย   สรุปว่าโง่ดักดานน่ะครับ   ขิมเค้าได้อยู่ห้อง 4   แต่ผมได้อยู่ห้อง 10 แหนะ   เราสองคนต้องห่างกันซะแล้วล่ะครับ   ผมล่ะกลัวว่าเธอจะไปมีคนใหม่ซะจริงๆ   แต่ไม่ครับ   ทุกอย่างยังเหมือนเดิม   ขิมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป   ผมยังคงเจอเด็กหญิงผมแกละและคุณน้าพยาบาลทุกวันที่โรงเรียน   เราจะไปทานข้าวด้วยกันทุกวัน   ไปไหนก็ไปด้วยกันจนเพื่อนทุกคนรู้หมดครับว่าผมกะขิมเป็นแฟนกัน   ไม่เว้นแต่อาจารย์   เราสองคนจะถูกแซวเสมอเวลาเราคุยกัน   แต่ดีครับผมชอบ  แฮะๆ  เราสองคนยังเหมือนเดิมทุกอย่าง   เมื่อก่อนยังไง   ตอนนี้ก็อย่างนั้น   แต่ก็มีบางสิ่งที่อาจเปลี่ยนไป   เราสองคนโตแล้วครับ   จะทำอะไรเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ค่อยได้แล้ว   เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะมองไม่ดี   ไอ้ตัวผมคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก   แต่เดี๋ยวขิมเค้าจะพลอยเสียหายไปด้วย   ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นครับ   แต่ถึงยังไงผมก็ยังต้องหอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านเหมือนเดิม    แม้ขิมจะโตขึ้น   แต่ดูเหมือนว่าสุขภาพร่างกายเธอจะอ่อนแอลงทุกที   ตอนนี้เราอยู่ม. 3 แล้วครับ   ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอหน้ากันซักเท่าไหร่   เพราะผมเป็นนักฟุตบอลโรงเรียน   ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนซุ่มซ่ามอย่างผมจะมาเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนได้   แต่เพราะไอ้ความวซุ่มซ่ามของผมเนี่ยแหละมันจึงทำให้ผมยิงลูกเข้าประตูโดยที่ไม่รู้ตัว   เรียกง่ายๆว่า ฟลุคนะครับ   ผมต้องขาดโรงเรียนไปซ้อมกับทีมเพื่อไปแข่งอยู่บ่อยๆ   ส่วนขิมก็ไม่ค่อยมาโรงเรียนเพราะไม่สบาย   แต่ทุกครั้งที่ผมแข่ง แม้ขิมเค้าจะไม่สบายหนักแค่ไหนเธอก็จะไปให้กำลังใจผมทุกครั้งเลยครับ   ผมรักเธอจัง   ทุกครั้งที่เราไม่เจอกันเราจะโทรคุยกันตลอดครับเลยไม่มีปัญหา   แต่แค่การโทรคุยกันเนี่ยมันไม่ได้ช่วยให้ผมหายคิดถึงเธอหรือคิดถึงเธอน้อยลงเลย   มันกลับยิ่งทำให้ผมคิดถึงเธอมากขึ้นเข้าไปอีก   แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เจอเธอมา 2 อาทิตย์กว่าแล้ว   โทรไปหาก็ไม่มีคนรับสาย   ผมทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงเธอมากเลยครับ   ผมถามเพื่อนเธอทุกคนว่าเธอไปไหน   พวกเค้าบอกผมว่าขิมลาออกไปแล้ว   แค่นั้นยังไม่พอพวกเค้ายังพูดเยอะเย้ยผมอีกว่าผมถูกทิ้ง   ผมไม่เชื่อพวกเค้าหรอก   ถ้าผมเชื่อพวกเค้าผมก็โง่สิครับ   ผมรู้ว่าพวกเค้าหลอกผมเล่น  แต่ผมก็กลัวเหลือเกิน   กลัวว่ามันจะเป็นความจริง   ทำไงดีตอนนี้กะจิตกะใจของผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ   เรียนก็ไม่เป็นอันเรียนมัวคิดอยู่แต่เรื่องเธอ    ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่อาทิตย์กว่าแล้ว   ผมต้องทำอะไรซักอย่าง    ผมตัดสินใจไปถามอาจารย์ประชั้นของเธอ    " อาจารย์ครับ   ไม่ทราบว่าอาจารย์ทราบมั้ยครับว่าทำไมขิมขวัญถึงไม่มาโรงเรียน "   ผมถามอาจารย์ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด   " อ้าวเธอยังไม่รู้หรอกหรอว่าขิมขวัญเค้าลาออกไปแล้ว "   ผมอึ้งกับคำตอบของอาจารย์   ผมไม่แน่ใจว่าหูผมมันได้ยินถูกรึเปล่า   ผมถามอาจารย์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ   " เมื่อกี๊อาจารย์ว่าไงนะครับ "   อาจารย์ท่านย้ำกับผมอีกครั้ง " ขิมขวัญลาออกไปแล้วลูก " มันเป็นความจริง   พวกนั้นไม่ได้หลอกผม   เธอทิ้งผมไปแล้ว    ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย   ผมรีบวิ่งไปหลังห้องน้ำ   ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นมันน้ำตาของผม    น้ำตาผมมันไหลลงมาเป็นทางไม่หยุด   นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเสียน้ำตา   น้ำตาลูกผู้ชายที่ผมไม่เคยเสียมันให้กับใคร   เธอไปไหน   ทำไมเธอถึงไม่บอกอะไรผมซักคำ   " เธอไม่รักผมแล้ว "    ผมได้แต่คิดอยู่อย่างนี้   แต่ผมก็ยังรอให้เธอกลับมา   นี่ 1 ปีแล้วที่ผมรอเธอ   แต่เธอก็ยังไม่กลับมา   ผมไม่อยากรอเธออีกต่อไปแล้ว   ผมไม่อยากจะเสียใจอยู่อย่างนี้   ผมต้องลืมเธอให้ได้   ผมเพิ่งรู้ว่าการพยายามลืมใครซักคนมันช่างยากเย็นเหลือเกิน    แต่ผมก็ทำได้   ผมใช้เวลาอยู่ปีเศษกว่าจะลืมเธอลง   ตอนนี้ผมอยู่ม. 5  แล้วครับ   ตลอด 3 ปีที่ผมไม่มีเธอ   มีผู้หญิงมากมายเข้ามาในชีวิตของผม    ผมไม่เคยปฏิเสธใครเลยครับ    แต่ผมก็ไม่ได้จริงจังกับใครเลยซักคน    วันนี้อาจารย์บอกว่าเราจะได้เพื่อนใหม่   สรุปว่ามีนักเรียนเข้าใหม่มาเรียนห้องเรา   เป็นเด็กผู้หญิง   เห็นอาจารย์บอกว่าน่ารักด้วย   และเป็นปกติของเด็กผู้ชายที่จะตื่นเต้นกันเป็นธรรมดา    เมื่อเธอเดินเข้ามาในห้อง   พระเจ้าอาจารย์พูดถูกครับ   เธอน่ารักเอ่อน่ารักมากดีกว่า   ผมตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว   ผมอยากรู้จักชื่อเธอจัง   และเหมือนว่าเธอจะรู้ใจผม   เธอแนะนำตัว   ( เปล่าหรอกครับ   มันเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว   เพียงแต่ผมคิดไปเอง )   " ชื่อขิมขวัญ   นันทไพศาล   ชื่อเล่นชื่อขิมค่ะ "   ผมรู้สึกว่าชื่อเธอจะคุ้นๆ นะ   มันคุ้นมากเลยทีเดียว   ผมพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่ง   และแล้วผมก็นึกออกเมื่อเธอมองมาที่ผม   ขิม ขิมกลับมาแล้ว   ผมจำแววตาของเธอได้เสมอ   ถึงแม้เธอจะดูเปลี่ยนไปมากก็ตาม   ตอนนี้เธอไม่มัดแกละเหมือนก่อนและไม่มีคุณน้าพยาบาลตามดูแลอีกต่อไปแล้ว   ผมอยากวิ่งเข้าไปกอดเธอเหลือเกิน   แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะผมเกรงใจชาวบ้านเค้า   ผมคิดว่าหัวใจผมตอนนี้มันเต้นเร็วประมาณ 150ครั้ง/นาทีได้แล้วล่ะมั้ง  " นายณัฐที   ช่วยลุกขึ้นกล่าวต้อนรับเพื่อนใหม่หน่อยซิ "  เสียงอาจารย์เรียกให้ผมกล่าวต้อนรับเพื่อนใหม่   ผมตกใจสะดุ้งจนตกเก้าอี้   เพื่อนทั้งห้องรวมทั้งขิมหัวเราะในความซุ่มซ่ามของผม   ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผมด้วย   ผมพูดไม่ออกครับ   ก็ผมดีใจหนิที่ขิมกลับมา  " เอ่อยินดีต้อนรับครับ ขิม "   ผมพูดพร้อมกับยืนจ้องหน้าเธอ    ผมไม่รู้ว่าเธอจำผมได้รึเปล่า   ผมแสร้งทำเป็นจำเธอไม่ได้   ตอนนี้สายตาของผู้ชายในห้องทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เธอคนเดียวไม่เว้นแต่กระเทย   ผมเริ่มเกิดความรู้สึกไม่พอใจหรือที่เค้าเรียกกันว่าหึงเข้าแล้ว   ผมอยากจะลุกขึ้นตะโกนเหลือเกินครับว่า " ขิมน่ะแฟนกู " แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวจะน่าแตก  ผมไม่แน่ใจว่าเธอใช่ขิมรึเปล่า  ผมเฝ้ามองเธอมาตั้งแต่คาบนั้นแบบไม่ละสายตาไปไหนเลย   จนมาถึงคาบนี้   คาบนี้เป็นคาบชมรม   เพื่อนทุกคนในห้องต่างแยกย้ายไปเข้าชมรมกันหมด   ตอนนี้ในห้องจึงเหลือเพียงผมกับขิมสองคนเท่านั้น   เรานั่งอยู่คนละฟากกันเลยครับ   เราสองคนกำลังเก็บของใส่กระเป๋า   ผมรู้สึกเหมือนขิมกำลังมองผมอยู่   เหมือนว่าเธออยากเข้ามาคุยแต่ไม่กล้าเข้ามาหาผม   ไม่เป็นไร   เดี๋ยวผมเป็นฝ่ายไปหาเธอเอง    ผมฟอร์มทำทีเข้าไปถามเธอ   "  มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ  "   " เอ่อมะ  ไม่ ไม่มีอะไรค่ะ "   เธอตอบผมแบบตะกุกตะกัก   ผมหันหลังกลับแล้วเดินไปที่โต๊ะนั่ง   ผมคิดว่าเธอคงจำผมไม่ได้จริงๆ   จนกระทั่ง   " เดี๋ยวก่อนณัฐ  "   เสียงเธอร้องเรียกให้ผมหยุด   "  ณัฐจำขิมได้รึเปล่า   ขิมแฟนณัฐ ไง "   ผมคิดผิดครับ   เธอยังจำผมได้   และที่ยิ่งไปกว่านั้น   เธอจำได้ครับว่าเราเป็นแฟนกัน   "  ขิมกลับมาแล้ว   กลับมากลับมาหาณัฐ"   ผมหันกลับไป   เธอกำลังร้องไห้   คราวนี้เธอไม่มีคุณน้าพยาบาลคอยปลอบเหมือนแต่ก่อน    ผมต้องทำหน้าที่แทนคุณน้าพยาบาลซะแล้ว  ผมเดินกลับไปหาเธอ   เดินนะครับขอย้ำว่าเดิน   แต่ผมก็ไม่วายสะดุดขาโต๊ะล้มอีกจนได้   แล้วก็เหมือนเดิมครับ   เธอเป็นฝ่ายเดินมาหาผมแทน   " เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ " ผมมองหน้าเธอแล้วยิ้ม   เธอยื่นมือมาให้ผมพลางหัวเราะ   เธอยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลย   ผมจับมือเธอลุกขึ้นแล้วโผเข้ากอดเธอ    นับจากวันนั้นทุกสิ่งก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติครับ   เราไปไหนก็ไปด้วยกัน    ไปทานข้าวด้วยกันทุกวัน   หอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านทุกวัน   คุยโทรศัพท์ด้วยกันทุกวันเหมือนเดิม    ทุกคนเค้ารู้กันหมดอีกแล้วครับท่านว่าเราเป็นแฟนกัน   อันที่จริงถึงเราจะคบกันมาหลายปีแล้ว   แต่ทั้งผมและเธอก็ไม่เคยบอกรักกันเลยซักหน   อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงวันเกิดขิมแล้ว   ผมกะว่าจะบอกรักเธอในวันนั้นแหละครับ   แล้ววันนี้ก็มาถึง   ผมเฝ้ารอตั้งแต่เช้า รอจนถึงคาบชมรม   ผมเดินจูงมือเธอไปที่สวนวรรณคดี   ในตอนนี้ที่นี่มีเพียงผมและขิมสองคนเท่านั้น   ผมกุมมือเธอไว้แน่นแล้วกระซิบที่ข้างหูเธอ  " Happy   Birth   Day ครับขิม   วันนี้ณัฐไม่มีอะไรจะให้ขิมหรอกนะ  แต่มีอยู่อย่างนึงที่ณัฐอยากบอกกับขิม ณัฐรักขิมนะ"  ผมได้บอกมันกับเธอแล้วครับ   ผมรู้สึกได้เลยครับว่าตัวเธอสั่น   ผมมองหน้าเธอ   หน้าเธอแดงมากเลย   ผมล่ะกลัวว่าเธอจะเป็นลมไปซะจริงๆ    ผมถามเธอต่อว่า   " แล้วขิมล่ะ "   เธอทำหน้างงๆแล้วถามผมกลับ  " อะไรนะณัฐ "   ผมกลัวว่าถ้าผมได้ยินคำตอบของเธอผมจะหัวใจวายเอาซะก่อน          " เปล่าๆ ไม่มีไรหรอก "   ผมปัดป่าย   " ขิม ขิมสัญญากับณัฐได้มั้ยว่าขิมจะไม่ทิ้งณัฐไปไหนอีก "  ผมถามเธอด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง   แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถให้สัญญากับผมได้  " ทำไมหรอขิม  หรือว่าขิมจะทิ้งณัฐไปไหนอีก   คราวนี้ณัฐจะไม่ยอมให้ขิมจากณัฐไปไหนอีกแล้วนะ "   น้ำตาขิมเริ่มไหลรินลงมาเป็นทาง     เธอเข้ามากอดผมแล้วบอกผมว่า   " สัญญาขิมสัญญา "  ผมค่อยๆผละตัวออกแล้วเช็ดน้ำตาให้เธอ   สักครู่เสียงออดหมดเวลาก็ดังขึ้น  " เราไปกันเถอะณัฐ "   เธอพูดแล้วจูงมือผมวิ่งขึ้นอาคาร   ผมได้แต่หวังในใจว่าต่อไปมันจะไม่มีอะไรมาพรากเธอไปจากผมได้อีก    ผมไม่อยากจะเสียเธอไป  ตลอด 3 ปีที่เธอทิ้งผมไป   ผมยอมรับว่าผมโกรธเธอมาก   แต่พอผมได้เจอเธอผมก็ใจอ่อนขึ้นมาทันที   ผมเกลียดเธอไม่ลงครับ   ช่างมันเถอะมันผ่านไปแล้วมาเริ่มต้นใหม่ดีกว่า    ตอนนี้เราอยู่ ม.6แล้วครับ    เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆเลยนะ   เผลอแป๊บเดียวเราก็จะ Ent แล้ว   ผมกะขิมเลือก Ent เข้าคณะสถาปัตย์เหมือนกัน   ผมไม่รู้ชตากรรมครับว่าถ้าผม Ent  ไม่ติดผมจะไปเรียนที่ไหนดี   แต่ขิมเค้ามีทางไปอยู่แล้วล่ะ   เธอบอกผมว่าถ้าเธอ Ent ไม่ติดแม่เธอจะส่งไปเรียนเมืองนอก   เธอรวยนี่ครับ   พอผมรู้อย่างนั้นผมก็ชวนเธอไปบนไว้ซะ 7 วัด 7 วาเลยล่ะ   ผมไม่อยากให้เธอจากผมไปอีก   แล้ววันประกาศผล Ent ก็มาถึง  ผมไปรับขิมที่บ้านไปดูผล Ent ด้วยกัน   " ณัฐ ขิมกลัวไม่มีชื่อขิมอยู่บนบอร์ดจัง  ขิมยังอยากอยู่กับณัฐ "  เธอพูดกับผมตอนอยู่บนรถ   เธอตื่นเต้นจนหน้าซีด  " ขิมไม่ต้องกลัวหรอก   มันต้องมีชื่อเราอยู่แล้วน่า   ตั้ง 7 วัดนะขิม "  ผมพูดตลกให้เธอสบายใจ   และแล้วก็ถึงจุดหมาย  ผมจอดรถแล้วเปิดประตูลงจากรถ " ขิมรออยู่นี่นะ   เดี๋ยวณัฐไปดูให้ "  ผมบอกกับเธอแล้วเดินเบียดเสียดกับกับผู้คนนับพันเข้าไปดูบอร์ดรายชื่อ    " ขิม เราทำได้ "   ผมตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจ    ผมรีบวิ่งกลับไปหาเธอ   หน้าเธอดูกังวลเอาซะมากๆ  " เป็นไงบ้างณัฐ "  เธอถามผมด้วยความกระวลกระวาย   ผมวิ่งเข้าไปกอดเธอ " เราทำได้ขิม  เราทำได้ "  ทั้งผมและขิมต่างดีใจกันสุดขีด  สายตาของผู้คนแถวนั้นต่างมองมาที่ผมและขิมกันหมด   เราคงจะดีใจมากไปจนเวอร์   แล้วชีวิตของเราในมหาวิทยาลัยก็เริ่มขึ้น   ชีวิตของเราในมหาวิยาลัยไม่ได้แตกต่างอะไรจากประถมหรือมัธยมเลย   มันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง   เราสองคนก็เช่นกัน    ตอนนี้เราสองคนอยู่ปี 2 แล้วครับ   เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ   เหมือนผมฝันไป   และอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเกิดเธออีกแล้ว   ผมกะว่าของขวัญวันเกิดของเธอปีนี้ต้องพิเศษกว่าปีที่แล้วๆมา   ผมกำลังเก็บเงินซื้อของขวัญชิ้นพิเศษให้เธอ   ตอนนี้ผมซื้อมันมาแล้ว   ผมเก็บมันไว้อย่างดี   ถึงแม้มันจะไม่ได้สวยหรือราคาไม่ได้แพงอะไรมากมาย   แต่ผมก็พยายามจนเก็บเงินไปซื้อมันมาได้   ผมภูมิใจมากครับเพราะผมไม่เคยเก็บเงินได้สำเร็จมาก่อน   ก็ทุกครั้งที่ผมเก็บเงิน   เงินที่ผมเก็บได้ก็มิวายหายทุกครั้งไป   แต่ครั้งนี้ผมทำได้   ผมเก็บเงินซื้อของขวัญให้เธอได้แล้ว   คงเป็นเพราะเธอมั้ง   เธอคือกำลังใจของผม   คราวนี้ก็รอแต่เวลาเท่านั้น   แล้ววันเกิดเธอก็มาถึง   วันนี้เธอเข้ามาถามผม " ณัฐ รู้มั้ยวันนี้วันอะไรเอ่ย "   " วันวันพุธไง "   ผมตอบเธอแกมกวนส่วนที่เดินได้ของเธอ   " ไม่ช่ายยย..ย.. "   เธอพูดเชิงอยากให้ผมนึก   " นึกดีๆสิ  นึกๆๆๆๆ "   เธอย้ำให้ผมนึกอยู่นั่นแหละ   " นึกไม่ออกอะ "  ผมบอกกับเธอ   ที่จริงผมรู้ครับว่าวันนี้คือวันเกิดของเธอ   ผมไม่เคยลืมมันหรอก   แต่ครั้งนี้ผมต้องทำเป็นจำไม่ได้เพราะผมยังไม่กล้าให้สิ่งๆนั้นกับเธอ   " ณัฐจำไม่ได้จริงๆหรอ "   เธอถามผม   " จำไม่ได้จริงๆ "   ผมตอบเธอเพื่อย้ำความมั่นใจ   น้ำตาเธอกำลังจะไหลแล้ว   ผมจะทำยังไงดี   " ไปทานเข้ากันเถอะขิม "  ผมชวนเธอไปทานข้าวเป็นการตัดบท   ผมไม่อยากเห็นเธอร้องไห้เพราะผม   หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ยอมพูดกับผมเลยซักคำ   เธอคงเสียใจมากที่ผมจำวันเกิดเธอไม่ได้   แล้ววันเกิดเธอก็ผ่านไป   ผมยังไม่ได้ให้มันกับเธอเลย   ผมไม่กล้าครับ   ไม่กล้าที่จะให้เธอ   บอกตามตรงผมเขิน   ผมยังไม่พร้อม   ผมขอเวลารวบรวมความกล้าซัก 2-3 วันละกัน   3 วันผ่านไป   วันนี้ผมพกความกล้ามาเต็มเปี่ยมครับ   ผมซักซ้อมมาเต็มที่หน้ากระจก  ผมพร้อมแล้ว   แต่แล้วเธอก็ไม่มามหาวิทยาลัย   ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ก็ได้   ผมบอกกับตัวเอง   แต่แล้ววันแล้ววันเล่าเธอก็ไม่มา   นี่มัน 2 อาทิตย์แล้ว   ผมชักเป็นห่วงเธอแล้ว   ผมโทรไปหาเธอทุกวันแต่ก็ไม่มีคนรับสาย   เธอคงจะโกรธผมมาก   ผมชักหวั่นๆ กลัวเธอจะทิ้งผมไปอีกครั้ง   ผมได้แต่คิดเข้าข้างตัวเอง    " ไม่มีทาง   ขิมเค้าสัญญากับเราแล้ว   เค้าไม่มีทางผิดสัญญา "   แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังกลัว   ผมพยายามโทรหาเธอทุกวัน   แต่ก็ไม่มีคนรับสายเช่นเดิม    แล้ววันหนึ่งเธอก็โทรมาหาผม  " ณัฐ  ขิมมีอะไรจะบอก ขิม ขิมรักณัฐนะ   รักมากมากเท่าที่"  แล้วเธอก็เงียบไป   เสียงเธอสะอื้นเหมือนกำลังร้องไห้   ผมอยากจะถามเธอว่าเธอเป็นอะไร   แต่ผมก็ไม่อยากจะขัดจังหวะเธอ  "  ณัฐเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ขิมรัก   ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาขิมร้องไห้เพราะคิดถึงณัฐทุกวันเลยรู้มั้ย   และที่ขิมกลับมา   ก็เพื่อกลับมาหาณัฐ   ขิมกลัวขิมจะไม่มีโอกาสได้บอกณัฐ  แต่ตอนนี้ขิมสบายใจแล้ว   ขิมได้บอกณัฐแล้ว   ถึงแม้มันจะช้าไปหน่อย"   ผมเริ่มรู้สึกเอะใจกับคำพูดของเธอ   " ทำไมขิมพูดอย่างนั้นล่ะ "     " เอ่อไม่มีอะไรหรอกณัฐ "   ผมรู้ว่าเธอตอบเพียงเพื่อให้ผมสบายใจ   " งั้นแค่นี้นะณัฐ   ขิมต้องไปแล้ว   ขิมรักณัฐนะ "   แค่นั้นครับแล้วเธอก็วาง   ผมไม่รู้ว่าเธอจะรีบไปไหนกัน  หลังจากวันที่เธอโทรมาหาผมเธอก็ยังไม่ไปมหาวิทยาลัย   ถึงผมจะห่วงเธอมากผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย   ตอนนี้ผมทำได้เพียงรอ   รอโทรศัพท์จากเธอเท่านั้น   แล้ววันนี้ขิมก็โทรมาอีกครั้ง   เสียงเธอเบามากจนฟังแทบไม่ได้ยิน  " ณัฐ ณัฐมาหาขิมที่โรงพยาบาลหน่อยได้มั้ย   ขิมคิดถึงณัฐ  ขิมอยากเจอณัฐ  อย่าช้านะ  เดี๋ยวขิม จะรอ "   ผมดีใจมากครับที่เธอโทรมา   เธอคงจะป่วยอีกแล้ว   ผมวางสายแล้วรีบออกมาหาเธออย่างที่เห็น   ตอนนี้ผมถึงโรงพยาบาลแล้วครับ   ผมลงจากรถมอร์ไซค์รับจ้างจ่ายตังค์   แล้วเดินไปสู่จุดหมาย   ขณะที่ผมกำลังเดินบนฟุตบาตใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว   ผมก็ดันซุ่มซ่ามเดินสะดุดฝาท่อล้มอีกจนได้   ของขวัญที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผมก็หล่นกลิ้งหายไปไหนไม่รู้   ผมใช้เวลาอยู่ตั้ง 10 นาทีกว่าจะหามันเจอ   มันไปหลบผมอยู่ข้างถังขยะครับ   แกล้งกันชัดๆเลย   ผมรีบหยิบมันขึ้นมาทำความสะอาดแล้วไม่รอช้าที่จะเข้าไปหาเธอ   ผมหาเธอไม่เจอครับ   ผมรีบเกินไปจนลืมถามเธอว่าเธออยู่ห้องไหน   ผมต้องใช้สมองแก้ปัญหาซะแล้ว   อ้า!ผมไปถามเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ดีกว่า   " พี่ครับ  ขิมขวัญ   นันทไพศาลอยู่ห้องไหนครับ "  " รอซักครู่นะคะ  ห้อง 508 ค่ะ "  " ขอบคุณครับ "  ผมกล่าวขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่แล้วรีบขึ้นไปหาเธอ   ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันดูว่ามาถูกห้องรึเปล่า   ผมเห็นทุกคนที่อยู่ในห้องกำลังร้องไห้   ผมว่าผมเข้ามาผิดห้องแน่ๆ   ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง   แต่แล้วก็มีเสียงคนเรียกผม  " ณัฐ  ณัฐมาแล้วหรอลูก "     ผมจำได้ว่านี่เป็นเสียงของคุณน้าพยาบาล   ผมหันกลับไปยังที่มาของเสียง   ผมเห็นคุณน้าพยาบาลกำลังร้องไห้  " มีอะไรกันหรอครับ "  ผมถามทุกคนด้วยความสงสัย   ผมเดินเข้าไปหาคุณน้าพยาบาลที่อยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วย   " ขิมรอณัฐนานแล้วลูก "  คุณน้าพยาบาลบอกกับผม   " แล้วขิมอยู่ไหนครับ "  ผมถามคุณน้าพยาบาลพลางมองหาเธอจนทั่วห้อง    และแล้วสายตาผมมันก็ไปหยุดอยู่ตรงเตียงผู้ป่าย   ผมเห็นร่างเล็กๆนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ " ใครหรอครับ " ผมหันไปถามคุณน้าพยาบาลที่อยู่ข้างๆผม   คุณน้าพยาบาลสะอื้นไห้   เธอค่อยๆดึงผ้าคลุมออกช้าๆ   ร่างๆนั้นเริ่มปรากฏ   ร่างเล็กๆร่างนั้นคือร่างของขิม   สุดที่รักของผม    ผมมาช้าไป   ผมปล่อยให้เธอต้องรอนาน   ขิมจากผมไปแล้ว   คราวนี้เธอทิ้งผมไปจริงๆ   เธอไม่สามารถกลับมาหาผมได้อีกแล้ว   ผมโผเข้ากอดร่างอันไร้วิญญาณของเธอ   ไหนเธอบอกว่าเธอจะรอผม   เธอผิดสัญญา   หรืออาจผิดที่ผมเองที่มาช้าไป   น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง   ผมไม่เคยเสียน้ำตาให้ใครเลยนอกจากเธอ   เธอที่ผมรักที่สุด   ผมไม่สามารถจะรั้งเธอไว้ได้   ผมเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดจากคุณน้าพยาบาล   ที่ขิมเคยบอกผมว่าเธอเป็นโรครู   ที่จริงแล้วมันคือ โรครูคีเมียร์  เธอต้องขาดโรงเรียนทุกเดือนเพื่อไปเปลี่ยนเลือดที่โรงพยาบาล  ขิมเป็นโรครูคีเมียร์มาตั้งแต่เกิด   ครั้งแรกที่เธอต้องจากผมไป   เธอไปเพื่อรักษาโรคที่อเมริกา   เธอไม่อยากบอกผมเพราะกลัวผมเสียใจ   แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าที่เธอไม่บอกผมมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเสียใจยิ่งกว่า   ตลอด 3 ปี แพทย์พยายามรักษาเธอแต่ก็ไม่มีหวัง   ร่างกายของเธออ่อนแอเกินไปบวกกับอาการของเธออยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว   แพทย์บอกว่าเธอเหลือเวลาที่จะอยู่บนโลกนี้เพียง 3 ปี  3 ปีเท่านั้น   เวลา 3 ปีที่เหลือเธอเลือกที่จะกลับมาหาผม   เธอกลับมาเพื่อฟังและบอกสิ่งๆนั้นกับผม   คุณน้าพยาบาลเล่าบางสิ่งให้ผมฟังต่อว่า   " ก่อนที่ขิมเค้าจะไปขิมเค้าฝากน้าบอกบางอย่างกับณัฐ "   " คุณน้าขา ถ้าณัฐมาไม่ทัน  หนูฝากคุณน้าบอกณัฐด้วยนะคะวันนั้นมันเป็นวันเกิดขิมเอง "  " ขิมพูดกับน้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด "  คุณน้าพยาบาลบอกกับผม    " ผมขอโทษขิมผมขอโทษ "  ผมกอดร่างเธอไว้แน่นแล้วพร่ำคำขอโทษซ้ำๆ   ผมไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินคำขอโทษของผมไหม  "  ผมรู้ วันนั้นวันเกิดขิม  ผมจำได้  ผมไม่เคยลืม "  ผมพูดพร่ำทั้งน้ำตา   " นี่ไงของขวัญที่ผมเตรียมไว้ให้ขิม "   ผมพูดพร้อมกับล้วงมือไปในกระเป๋าเสือเพื่อหยิบสิ่งๆนั้น   " แหวนวงนี้ไง "   ผมหยิบแหวนทองวงเล็กที่สลักชื่อ ณัฐ กับ ขิม ไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ  แล้ววางมันลงบนมือของขิม   "  สุขสันต์วันเกิดครับขิม " ผมพูดกับร่างอันไร้วิญญาณของเธอ   น้ำตาของผมมันยังคงไม่หยุดไหล   ผมทำให้ต้องเธอเสียใจ   ทำไมทำไมผมต้องไม่กล้า   เพียงแค่เพราะความรู้สึกไม่กล้าเท่านั้นมันทำให้ผมเสียโอกาสที่สำคัญที่สุดไป   " ผมเสียใจ "   ผมไม่ได้ให้มันกับตัวของเธอ  ตอนนี้เธอจากผมไปแล้ว  ผมควรทำอย่างไร   ผมเสียเวลากับแหวนวงนี้ไปมากจนทำให้ผมต้องเสียเธอที่ผมรักไป   แต่นี่คือของขวัญของเธอ   ในเมื่อผมตั้งใจนำมันมาให้เธอแล้วผมก็ต้องทำอย่างที่ผมตั้งใจไว้  ถึงแม้เธอจะไม่รับรู้อะไรแล้วก็ตาม   ผมค่อยๆพยุงมืออันบอบบางของเธอขึ้นมา   บรรจงสวมแหวนวงนั้นให้เธอ  " ผมรักขิมนะ "  ผมกล่าวแล้วจูบที่มือลาเธอด้วยน้ำตา  " หลับให้สบายเถอะนะคนดีของผม   เราคงจะมีโอกาสได้พบกันเพียงในฝันนะ "  นี่คงเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมจะได้บอกกับเธอ " ไม่มีอะไรจะช่วยให้เธอกลับมา   ฉันเข้าใจเพียงแค่อยากบอกกับเธอว่าหลับให้สบาย   จะจับมือเธออยู่ข้างๆไม่ไปไหน   ตราบจนนาทีสุดท้ายที่ยังมี   จะมองหน้าเธอสบตาเธออย่างวันนั้น   และมีความผูกพันให้เธออย่างเต็มที่   อย่าหวั่นไหวกับน้ำตาของฉันเลยคนดี   สักวันฉันคนนี้จะตามไป "  จะรักเพียงเธอ.ณัฐ				
17 กุมภาพันธ์ 2547 19:29 น.

เธอ....

mini_pk

" อยู่ไหนว้าอยู่ไหน โครม! "   " ณัฐ!ทำอะไรลูก "    " ผมกำลังหาของอยู่คร้าบบ..บ...  แม่  แม่เห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงกล่องเล็กๆของผมมั้ย "   ผมตะโกนถามแม่ที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว   " หาดูดีๆซิลูก  เดี๋ยวก็เจอ "   โถ! คำตอบของแม่มันช่วยผมได้มากเลยครับ     " ขอบคุณฮะแม่ "   ผมตะโกนตอบกลับ   ผมกำลังหาสิ่งๆนั้นอยู่   ของขวัญชิ้นพิเศษที่ผมเตรียมไว้ให้เธอสุดที่รักของผม    มันมีค่าสำหรับผมมากครับ   ผมเก็บมันไว้เป็นอย่างดีดีที่สุด   ดีจนผมเองหามันไม่เจอ   มันต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งในรัง  เอ้ย!ห้องๆนี้แหละ   ผมใช้ความรีบเร่งในการหาอย่างสุดขีด   " เร็วๆซีไอ้ณัฐ   ขิมรอแกอยู่นะ "  ผมคอยเร่งตัวเองอยู่ตลอด   " เจอแล้ววว..ว.ว "   ผมตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ   มันตกอยู่ใต้กองผ้าในตู้เสื้อผ้าของผมนี่เอง   โห่!หาตั้งนาน   ผมค่อยๆเปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงกล่องนั้นแล้วหยิบสิ่งๆหนึ่งออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ    ผมต้องรีบไปแล้ว   ผมวิ่งลงบันไดด้วยอัตราความเร็ว 120 กม./ชม.   แต่แล้วอิริยาบทของผมมันก็เปลี่ยนไป   ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นกลิ้งแล้วครับ   ผมกำลังกลิ้งลงบันได   ตัวผมใกล้จาถึงพื้นแล้ว   ใกล้แล้ว   ใกล้แล้ว   แล้วตอนนี้มันถึงแล้วครับ   ผมยังมีชีวิตอยู่   ผมรีบลุกขึ้นแล้วสำรวจสารรูปของตัวเอง   มีเลือดออกนิดๆ   แผลก็นิดหน่อย  ไม่เป็นไรครับ   ไม่ถึงตายหรอก   ผมมองดูนาฬิกาข้างฝาผนัง   ผมช้าไป 15 นาทีแล้ว   ผมต้องไปแล้วขิมรอผมอยู่   ผมวิ่งออกจากบ้านไปรอรถแท็กซี่   วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย   ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาเลยซักคัน   ผมรอไม่ไหวแล้ว   " ไปมอร์ไซค์ก็ได้วะ! อย่าคิดว่าจะง้อ "  ผมบ่นกับตัวเองแล้วโดดขึ้นมอร์ไซค์รับจ้างที่ผ่านมาพอดี   " พี่ครับ ไปที่นั่นด่วนเลยครับ "  ผมสวมหมวกกันน็อกแล้วบอกจุดหมายกับคนขับ  " พี่ เร็วกว่านี้ได้มั้ยครับ "   ผมเร่ง  " โห่น้อง  นี่พี่เร่งจนสุดแล้วนะ  ให้เร็วกว่านี้น้องอยากไปสวรรค์หรอวะ "  พี่คนขับตอบผมกลับ   ผมเงียบเลยครับ  " ก็คนมันรีบนี่หว่า   งั้นจะเร่งทำทำไมวะ "   ผมบ่นในใจ   แต่มันก็จริงของพี่เค้านะ   เร็วกว่านี้ได้ขึ้นสวรรค์แน่   ผมค้านความคิดของตัวเอง   ผมเป็นคนใจร้อนครับ   ทำอะไรต้องเร็วไว้ก่อน   ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย   คงเป็นเพราะผมตื่นเต้นมั้ง   ตื่นเต้นที่จะได้ให้ของขวัญชิ้นนี้กับเธอด้วยตัวผมเอง  " รอผมก่อนนะ   ผมกำลังไป ">> 16 ปีที่แล้ว   ทุกสิ่งมันเริ่มต้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2532  วันเปิดเทอมวันแรกของโรงเรียนแห่งหนึ่ง   วันนั้นเป็นวันที่น่าเบื่อสุดๆครับ   เพราะไม่ว่าผมจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่เด็กเด็กทั้งนั้น   เปล่าครับผมไม่ใช่ครูหรือผู้ใหญ่ที่เกลียดเด็กที่ไหนหรอก   ผมก็เป็นเด็กอนุบาลเหมือนๆกับพวกเค้าน่ะแหละ   เพียงแต่ผมเบื่อที่ต้องมาทนฟังเสียงร้องไห้ของพวกเค้า   ผมไม่เข้าใจจริงๆเลยครับ   เพื่อนก็เยอะแท้ๆ   แต่ดันมาร่วมใจร้องไห้ประสานเสียงกันซะนี่   ผมเริ่มจะทนไม่ได้กับเสียงร้องไห้ที่ดังกระหึ่มไปทั้งโรงเรียน   ผมจึงจึงร้องไห้ไปกับพวกเขา   แฮะๆ   แต่ไอ้การร้องไห้ของผมเนี่ยมันไม่มีน้ำตานะครับ   แหกปากร้องเฉยๆ   ไม่รู้สิครับ   เผอิญผมเป็นคนร้องไห้ยากยากจนอธิบายไม่ถูก   ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องมาเสียน้ำตาให้กับเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วย   แต่ผมก็ยังคงแหกปากต่อไป   จนกระทั่ง   ผมเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ มัดแกละสองข้างนั่งอยู่บนตักนางพยาบาล   เธอกำลังร้องไห้   ผมหยุดแหกปากทันที   ผมรีบวิ่งไปหาเธอโดยสัญชาตญาณ   แต่แล้วมันก็มีอุปสรรคเกิดขึ้น   มีหินก้อนหนึ่งขวางทางผม   และแล้วความซุ่มซ่ามของผมก็บังเกิด   ผมสะดุดมันล้ม   แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเธอ   แต่กลับกลายเป็นว่าเธอและคุณพยาบาลเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาผมแทน  " เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะหนู "   คุณพยาบาลถามผมด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย   ผมหันไปมองหน้าเด็กหญิงผมแกละคนนั้น   ผมงงอยู่ครู่หนึ่ง   ก็เมื่อตะกี๊เธอยังร้องไห้อยู่เลย   แต่ตอนนี้เธอกำลังหัวเราะ   หัวเราะอะไรไม่รู้   คงหัวเราะผมมั้ง   ก็หินตั้งก้อนเบ้อเร่อดันมองไม่เห็น    " ไม่เป็นไรคั๊บ "   ผมรีบลุกขึ้นทันทีและไม่รอช้าที่จะชวนเธอไปเล่นด้วยกัน   " ไปเล่นกันเถอะ "    " เค้าหรอ "   เธอถามผมกลับด้วยสีหน้างงๆ   ผมว่าตอนนี้ผมก็คุยอยู่กับเธอนะครับ    แล้วเธอคิดว่าผมชวนใครล่ะ    " คั๊บผม "  ผมตอบเธอ   เธอหันกลับไปมองหน้าคุณพยาบาลเหมือนกับว่าขอความเห็นใจ " ไปสิ จ๊ะ "  คุณน้าพยาบาลตอบอนุญาตเหมือนจะรู้ว่าเธอต้องการอะไร   เท่านั้นแหละครับเธอรีบคว้ามือผมแล้ววิ่งไปที่สนามเด็กเล่นทันที   ผมยอมรับครับว่าผมตกใจมาก   ก็เธอเล่นไม่บอกไม่กล่าวผมเลย   ผมก็ไม่ทันตั้งตัวสิครับ   ไม่น่าเชื่อว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะมีพลังมากมายมหาศาลขนาดนี้   ตัวของผมแทบปลิวไปตามแรงดึงของเธอ   ผมวิ่งตามเธอแทบล้มหัวคมำ    ดูเธอตื่นเต้นและมีความสุขเหลือเกินครับ   เหมือนเธอไม่เคยได้มีโอกาสได้เล่นอะไรแบบนี้มาก่อน   แต่ผมไม่สนใจหรอกครับตอนนี้ผมกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการดูเธอไต่บันไดลิง   และแล้วก็จังๆเลยครับ   วู้!!!สีแดง   ขณะที่ผมกำลังใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่เธอ   แต่แล้วก็มีมารพจญมาขวางความสุขของผม   มีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งขึ้นไปไต่บันไดลิงกับเธอ   ผมไม่อยากจะมองเลยครับ   ก็เธอช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักเหลือเกิน   ผมก็หยิก  อ้วนก็อ้วน  ดำก็ดำ  ตาก็หยี เอ่อ..ตาตี่ดีกว่าครับ   เธอน่ารักไม่ได้ครึ่งของเด็กหญิงผมแกละของผมเลยครับ   ผมเลยต้องจำใจเลิกภารกิจแอบครั้งนี้   ผมว่าผมชวนเธอไปเล่นอย่างอื่นดีกว่า   ไปให้ไกลๆจากยัยอ้วนนี่   แต่ผมจะเรียกเธอยังไงดีล่ะ   ผมยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย   เอาอย่างนี้ละกันผมมีวิธีแล้ว   ผมยืนคอยเธออยู่เฉยๆตรงนี้  รอให้เธอมองมาทางผมแล้วผมค่อยกวักมือเรียกเธอดีกว่า   ง่ายดีมั้ยล่ะ   โห!คิดได้งัยเนี่ยเก่งจัง   เหอะๆ   3 ปีผ่านไป   เธอไม่ยอมมองมาทางผมซะทีครับ   เธอคงจะสนุกจนลืมผมไปแล้ว   ไม่ ผมจะไม่รอต่อไปแล้วนะ   ผมไปเรียกเธอใกล้ๆดีกว่า   แต่ผมจาเรียกยังไงล่ะ   ทำไมมันลำบากขนาดนี้   เอางี้!ไปดึง เอ้ย!กระตุกกระโปรงเธอละกัน   มันเป็นการสะกิดให้รู้ตัวอีกวิธีหนึ่งนะครับ   และแล้วก็ได้ผลครับ   ได้มาพร้อมกับคำด่าด้วยแหละ   พอดีผมกระตุกแรงไปนี๊ดเธอเกือบตกครับ   แต่เธอก็ไม่ได้โกรธผมหรอก   เธอแค่ตกใจแล้วหลุดปากมาเฉยๆ   ผมคิดว่างั้นนะ   แต่ตอนเวลาเธอตกใจเธอดูน่ารักดีนะ   ผมอยากรู้ชื่อเธอจัง  ทำไงดีอะ   โง่อีกและ!ก็ถามสิวะณัฐเอ้ยผมด่าตัวเองครับ   ทำไมผมโง่ได้ขนาดนี้เนี่ย   เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ออก  " ชื่อไรหรอ " ผมเลิกโง่แล้วถามเธอ  " ขิม "  เธอตอบผมแบบไร้ความรู้สึกมากๆ   เธอไม่สนใจผมเลยครับ   เธอเอาแต่เล่น เล่นอย่างเดียวเลย   ไม่เป็นไร   ยังไงผมก็ได้รู้ชื่อเธอแล้ว   ไปเล่นกับเธอดีกว่า   และแล้วเธอก็พูดกับผม   " แล้วตัวชื่อไรอะ "   เธอถามผมกลับ   " ผมชื่อณัฐคั๊บ "   ผมแอบดีใจอยู่ลึกๆที่เธอยังอยากรู้จักชื่อผม   ในวันนั้นขิมเป็นคนเดียวที่ผมคุยและเล่นด้วย   นับจากวันนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันเรื่อยมา   อันที่จริงผมไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนหรอกนะครับ   ผมอยากจะขอเธอแต่งงานด้วยซ้ำแต่ผมทำไม่ได้   เพราะผมเพิ่งจะอายุ 4 ขวบเอง   อิอิ  เราเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ   ผมจะเจอเธอและคุณน้าพยาบาลทุกวันที่โรงเรียน   ยกเว้นวันที่เธอไม่มาเพราะอะไรไม่รู้   ทุกเดือนเลยครับ   ในแต่ละเดือนต้องมีซักวันที่เธอไม่มา   แต่ผมก็ไม่สนใจ   ตอนแรกผมก็นึกว่าคุณพยาบาลคือแม่ของขิมเค้า   แต่ไม่ใช่ครับ   คุณพยาบาลเค้าเป็นพยาบาลประจำตัวของขิม   ขิมเค้าเป็นลูกคุณหนูครับ   ร่างกายของเธอไม่ค่อยจะแข็งแรง   เธอเป็นโรคอะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้จัก   ผมเคยถามเธอว่าเธอเป็นอะไร  เธอก็บอกผมว่าเธอเป็นโรค " รู "  ชื่อมันตลกดีนะครับ   เธอมักจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ  จึงต้องมีพยาบาลมาคอยดูแล   ขิมเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากครับ   เธอจะตัวเล็กๆและชอบมัดผมแกละ   เพราะความที่ขิมเค้าตัวเล็กกว่าผม   ผมจึงชอบเรียกเธอว่า  " น้องแกละ "   อันที่จริงขิมเค้าเป็นรุ่นพี่ผมตั้งเกือบครึ่งปีแหนะ   แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ    ผมจะไม่ยอมให้อายุของเรามันมาเป็นอุปสรรคหัวใจของผมเด็ดขาด   ตอนนี้เราสนิทกันมากครับ.มากจนบอกไม่ถูก   เราเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาล 1 จนขึ้นป.6   เราจะรู้ใจกันดีครับ   26  ธันวาคม  พรุ่งนี้ก็วันเกิดผมแล้ว   ขิมรู้และจำมันได้  ขิมเค้าเข้ามาถามผม  " ณัฐจ๋า   วันเกิดณัฐ  ณัฐอยากได้อะไรเป็นของขวัญจ๊ะ "   ผมคิดอยู่นาน   ผมไม่อยากให้ขิมต้องมาเสียเงินซื้อของขวัญให้ผม   แต่ผมก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของเธอ   ผมคิดออกแล้ว " เอ่อณัฐ  ณัฐอยากเป็นแฟนขิมอะ "  อาจจะดูแก่แดดไปนิด   แต่เด็กประถมอย่างผมก็จริงจังนะครับ   " ได้สิ  ขิมให้ณัฐได้อยู่แล้ว "  เธอตอบผมแล้วบิดตัวไปมา    ผมคิดว่าเธอเขินนะ   เอ๊ะ!  หรือว่าเธอบิดขี้เกียจหว่าผมชักไม่แน่ใจซะแล้ว   เราสองคนคบกันมาเรื่อยๆ  และแล้ววันนี้ก็วันเกิดผมอีกแล้วครับ   ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีขอบางสิ่งกับเธอ   " เอ่อขิม วันเกิดณัฐปีนี้  ณัฐ ขอหอมแก้มขิมได้มั้ย "   เธอทำหน้าอึ้ง   ตอนนั้นเธอหน้าแดงมากเลยครับ   ผมคิดว่าผมคงไม่ได้อย่างที่ขอแน่   ผมจึงบอกเธอว่า  " ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับขิม "  ผมทำหน้าจ๋อย   เธอรีบแย้งผมขึ้นทันที   เธอคงกลัวผมงอนเธอมั้ง   " ได้สิณัฐ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ "   ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็ต้องหอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านทุกวัน   วันไหนถ้าผมไม่ได้หอมแก้มเธอ   วันนั้นผมเป็นอันกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียวล่ะครับ   เราสองคนคบกันมาเรื่อยๆจนจบป.6  พอจบป.6 เราสองคนก็ไปต่อมัธยมที่โรงเรียนเดียวกัน   เราไม่ยอมห่างกันหรอกครับ   ทีแรกแม่ของขิมจะให้ขิมไปเรียนเมืองนอก   แต่เธองอแงไม่ยอมไป   ก็บอกแล้วไงครับว่าเราไม่ยอมห่างกันหรอก   แต่คราวนี้เราได้อยู่คนละห้องเพราะผลการเรียนเราต่างกัน   ขิมเค้าเป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่งครับ   อาจเป็นเพราะสุขภาพร่างกายของเธอจึงทำให้เธอเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง   ส่วนผมสุขภาพกาย  สุขภาพจิต  หน้าตา  นิสัยดีหมดพร้อมความซุ่มซ่ามที่มีอยู่ในตัวก็เต็มเปี่ยม   มันจึงส่งผลทำให้ผมเรียนไม่ได้เรื่องเลย   สรุปว่าโง่ดักดานน่ะครับ   ขิมเค้าได้อยู่ห้อง 4   แต่ผมได้อยู่ห้อง 10 แหนะ   เราสองคนต้องห่างกันซะแล้วล่ะครับ   ผมล่ะกลัวว่าเธอจะไปมีคนใหม่ซะจริงๆ   แต่ไม่ครับ   ทุกอย่างยังเหมือนเดิม   ขิมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป   ผมยังคงเจอเด็กหญิงผมแกละและคุณน้าพยาบาลทุกวันที่โรงเรียน   เราจะไปทานข้าวด้วยกันทุกวัน   ไปไหนก็ไปด้วยกันจนเพื่อนทุกคนรู้หมดครับว่าผมกะขิมเป็นแฟนกัน   ไม่เว้นแต่อาจารย์   เราสองคนจะถูกแซวเสมอเวลาเราคุยกัน   แต่ดีครับผมชอบ  แฮะๆ  เราสองคนยังเหมือนเดิมทุกอย่าง   เมื่อก่อนยังไง   ตอนนี้ก็อย่างนั้น   แต่ก็มีบางสิ่งที่อาจเปลี่ยนไป   เราสองคนโตแล้วครับ   จะทำอะไรเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ค่อยได้แล้ว   เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะมองไม่ดี   ไอ้ตัวผมคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก   แต่เดี๋ยวขิมเค้าจะพลอยเสียหายไปด้วย   ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นครับ   แต่ถึงยังไงผมก็ยังต้องหอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านเหมือนเดิม    แม้ขิมจะโตขึ้น   แต่ดูเหมือนว่าสุขภาพร่างกายเธอจะอ่อนแอลงทุกที   ตอนนี้เราอยู่ม. 3 แล้วครับ   ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอหน้ากันซักเท่าไหร่   เพราะผมเป็นนักฟุตบอลโรงเรียน   ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนซุ่มซ่ามอย่างผมจะมาเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนได้   แต่เพราะไอ้ความวซุ่มซ่ามของผมเนี่ยแหละมันจึงทำให้ผมยิงลูกเข้าประตูโดยที่ไม่รู้ตัว   เรียกง่ายๆว่า ฟลุคนะครับ   ผมต้องขาดโรงเรียนไปซ้อมกับทีมเพื่อไปแข่งอยู่บ่อยๆ   ส่วนขิมก็ไม่ค่อยมาโรงเรียนเพราะไม่สบาย   แต่ทุกครั้งที่ผมแข่ง แม้ขิมเค้าจะไม่สบายหนักแค่ไหนเธอก็จะไปให้กำลังใจผมทุกครั้งเลยครับ   ผมรักเธอจัง   ทุกครั้งที่เราไม่เจอกันเราจะโทรคุยกันตลอดครับเลยไม่มีปัญหา   แต่แค่การโทรคุยกันเนี่ยมันไม่ได้ช่วยให้ผมหายคิดถึงเธอหรือคิดถึงเธอน้อยลงเลย   มันกลับยิ่งทำให้ผมคิดถึงเธอมากขึ้นเข้าไปอีก   แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เจอเธอมา 2 อาทิตย์กว่าแล้ว   โทรไปหาก็ไม่มีคนรับสาย   ผมทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงเธอมากเลยครับ   ผมถามเพื่อนเธอทุกคนว่าเธอไปไหน   พวกเค้าบอกผมว่าขิมลาออกไปแล้ว   แค่นั้นยังไม่พอพวกเค้ายังพูดเยอะเย้ยผมอีกว่าผมถูกทิ้ง   ผมไม่เชื่อพวกเค้าหรอก   ถ้าผมเชื่อพวกเค้าผมก็โง่สิครับ   ผมรู้ว่าพวกเค้าหลอกผมเล่น  แต่ผมก็กลัวเหลือเกิน   กลัวว่ามันจะเป็นความจริง   ทำไงดีตอนนี้กะจิตกะใจของผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ   เรียนก็ไม่เป็นอันเรียนมัวคิดอยู่แต่เรื่องเธอ    ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่อาทิตย์กว่าแล้ว   ผมต้องทำอะไรซักอย่าง    ผมตัดสินใจไปถามอาจารย์ประชั้นของเธอ    " อาจารย์ครับ   ไม่ทราบว่าอาจารย์ทราบมั้ยครับว่าทำไมขิมขวัญถึงไม่มาโรงเรียน "   ผมถามอาจารย์ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด   " อ้าวเธอยังไม่รู้หรอกหรอว่าขิมขวัญเค้าลาออกไปแล้ว "   ผมอึ้งกับคำตอบของอาจารย์   ผมไม่แน่ใจว่าหูผมมันได้ยินถูกรึเปล่า   ผมถามอาจารย์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ   " เมื่อกี๊อาจารย์ว่าไงนะครับ "   อาจารย์ท่านย้ำกับผมอีกครั้ง " ขิมขวัญลาออกไปแล้วลูก " มันเป็นความจริง   พวกนั้นไม่ได้หลอกผม   เธอทิ้งผมไปแล้ว    ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย   ผมรีบวิ่งไปหลังห้องน้ำ   ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นมันน้ำตาของผม    น้ำตาผมมันไหลลงมาเป็นทางไม่หยุด   นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเสียน้ำตา   น้ำตาลูกผู้ชายที่ผมไม่เคยเสียมันให้กับใคร   เธอไปไหน   ทำไมเธอถึงไม่บอกอะไรผมซักคำ   " เธอไม่รักผมแล้ว "    ผมได้แต่คิดอยู่อย่างนี้   แต่ผมก็ยังรอให้เธอกลับมา   นี่ 1 ปีแล้วที่ผมรอเธอ   แต่เธอก็ยังไม่กลับมา   ผมไม่อยากรอเธออีกต่อไปแล้ว   ผมไม่อยากจะเสียใจอยู่อย่างนี้   ผมต้องลืมเธอให้ได้   ผมเพิ่งรู้ว่าการพยายามลืมใครซักคนมันช่างยากเย็นเหลือเกิน    แต่ผมก็ทำได้   ผมใช้เวลาอยู่ปีเศษกว่าจะลืมเธอลง   ตอนนี้ผมอยู่ม. 5  แล้วครับ   ตลอด 3 ปีที่ผมไม่มีเธอ   มีผู้หญิงมากมายเข้ามาในชีวิตของผม    ผมไม่เคยปฏิเสธใครเลยครับ    แต่ผมก็ไม่ได้จริงจังกับใครเลยซักคน    วันนี้อาจารย์บอกว่าเราจะได้เพื่อนใหม่   สรุปว่ามีนักเรียนเข้าใหม่มาเรียนห้องเรา   เป็นเด็กผู้หญิง   เห็นอาจารย์บอกว่าน่ารักด้วย   และเป็นปกติของเด็กผู้ชายที่จะตื่นเต้นกันเป็นธรรมดา    เมื่อเธอเดินเข้ามาในห้อง   พระเจ้าอาจารย์พูดถูกครับ   เธอน่ารักเอ่อน่ารักมากดีกว่า   ผมตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว   ผมอยากรู้จักชื่อเธอจัง   และเหมือนว่าเธอจะรู้ใจผม   เธอแนะนำตัว   ( เปล่าหรอกครับ   มันเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว   เพียงแต่ผมคิดไปเอง )   " ชื่อขิมขวัญ   นันทไพศาล   ชื่อเล่นชื่อขิมค่ะ "   ผมรู้สึกว่าชื่อเธอจะคุ้นๆ นะ   มันคุ้นมากเลยทีเดียว   ผมพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่ง   และแล้วผมก็นึกออกเมื่อเธอมองมาที่ผม   ขิม ขิมกลับมาแล้ว   ผมจำแววตาของเธอได้เสมอ   ถึงแม้เธอจะดูเปลี่ยนไปมากก็ตาม   ตอนนี้เธอไม่มัดแกละเหมือนก่อนและไม่มีคุณน้าพยาบาลตามดูแลอีกต่อไปแล้ว   ผมอยากวิ่งเข้าไปกอดเธอเหลือเกิน   แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะผมเกรงใจชาวบ้านเค้า   ผมคิดว่าหัวใจผมตอนนี้มันเต้นเร็วประมาณ 150ครั้ง/นาทีได้แล้วล่ะมั้ง  " นายณัฐที   ช่วยลุกขึ้นกล่าวต้อนรับเพื่อนใหม่หน่อยซิ "  เสียงอาจารย์เรียกให้ผมกล่าวต้อนรับเพื่อนใหม่   ผมตกใจสะดุ้งจนตกเก้าอี้   เพื่อนทั้งห้องรวมทั้งขิมหัวเราะในความซุ่มซ่ามของผม   ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผมด้วย   ผมพูดไม่ออกครับ   ก็ผมดีใจหนิที่ขิมกลับมา  " เอ่อยินดีต้อนรับครับ ขิม "   ผมพูดพร้อมกับยืนจ้องหน้าเธอ    ผมไม่รู้ว่าเธอจำผมได้รึเปล่า   ผมแสร้งทำเป็นจำเธอไม่ได้   ตอนนี้สายตาของผู้ชายในห้องทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เธอคนเดียวไม่เว้นแต่กระเทย   ผมเริ่มเกิดความรู้สึกไม่พอใจหรือที่เค้าเรียกกันว่าหึงเข้าแล้ว   ผมอยากจะลุกขึ้นตะโกนเหลือเกินครับว่า " ขิมน่ะแฟนกู " แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวจะน่าแตก  ผมไม่แน่ใจว่าเธอใช่ขิมรึเปล่า  ผมเฝ้ามองเธอมาตั้งแต่คาบนั้นแบบไม่ละสายตาไปไหนเลย   จนมาถึงคาบนี้   คาบนี้เป็นคาบชมรม   เพื่อนทุกคนในห้องต่างแยกย้ายไปเข้าชมรมกันหมด   ตอนนี้ในห้องจึงเหลือเพียงผมกับขิมสองคนเท่านั้น   เรานั่งอยู่คนละฟากกันเลยครับ   เราสองคนกำลังเก็บของใส่กระเป๋า   ผมรู้สึกเหมือนขิมกำลังมองผมอยู่   เหมือนว่าเธออยากเข้ามาคุยแต่ไม่กล้าเข้ามาหาผม   ไม่เป็นไร   เดี๋ยวผมเป็นฝ่ายไปหาเธอเอง    ผมฟอร์มทำทีเข้าไปถามเธอ   "  มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ  "   " เอ่อมะ  ไม่ ไม่มีอะไรค่ะ "   เธอตอบผมแบบตะกุกตะกัก   ผมหันหลังกลับแล้วเดินไปที่โต๊ะนั่ง   ผมคิดว่าเธอคงจำผมไม่ได้จริงๆ   จนกระทั่ง   " เดี๋ยวก่อนณัฐ  "   เสียงเธอร้องเรียกให้ผมหยุด   "  ณัฐจำขิมได้รึเปล่า   ขิมแฟนณัฐ ไง "   ผมคิดผิดครับ   เธอยังจำผมได้   และที่ยิ่งไปกว่านั้น   เธอจำได้ครับว่าเราเป็นแฟนกัน   "  ขิมกลับมาแล้ว   กลับมากลับมาหาณัฐ"   ผมหันกลับไป   เธอกำลังร้องไห้   คราวนี้เธอไม่มีคุณน้าพยาบาลคอยปลอบเหมือนแต่ก่อน    ผมต้องทำหน้าที่แทนคุณน้าพยาบาลซะแล้ว  ผมเดินกลับไปหาเธอ   เดินนะครับขอย้ำว่าเดิน   แต่ผมก็ไม่วายสะดุดขาโต๊ะล้มอีกจนได้   แล้วก็เหมือนเดิมครับ   เธอเป็นฝ่ายเดินมาหาผมแทน   " เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ " ผมมองหน้าเธอแล้วยิ้ม   เธอยื่นมือมาให้ผมพลางหัวเราะ   เธอยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลย   ผมจับมือเธอลุกขึ้นแล้วโผเข้ากอดเธอ    นับจากวันนั้นทุกสิ่งก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติครับ   เราไปไหนก็ไปด้วยกัน    ไปทานข้าวด้วยกันทุกวัน   หอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านทุกวัน   คุยโทรศัพท์ด้วยกันทุกวันเหมือนเดิม    ทุกคนเค้ารู้กันหมดอีกแล้วครับท่านว่าเราเป็นแฟนกัน   อันที่จริงถึงเราจะคบกันมาหลายปีแล้ว   แต่ทั้งผมและเธอก็ไม่เคยบอกรักกันเลยซักหน   อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงวันเกิดขิมแล้ว   ผมกะว่าจะบอกรักเธอในวันนั้นแหละครับ   แล้ววันนี้ก็มาถึง   ผมเฝ้ารอตั้งแต่เช้า รอจนถึงคาบชมรม   ผมเดินจูงมือเธอไปที่สวนวรรณคดี   ในตอนนี้ที่นี่มีเพียงผมและขิมสองคนเท่านั้น   ผมกุมมือเธอไว้แน่นแล้วกระซิบที่ข้างหูเธอ  " Happy   Birth   Day ครับขิม   วันนี้ณัฐไม่มีอะไรจะให้ขิมหรอกนะ  แต่มีอยู่อย่างนึงที่ณัฐอยากบอกกับขิม ณัฐรักขิมนะ"  ผมได้บอกมันกับเธอแล้วครับ   ผมรู้สึกได้เลยครับว่าตัวเธอสั่น   ผมมองหน้าเธอ   หน้าเธอแดงมากเลย   ผมล่ะกลัวว่าเธอจะเป็นลมไปซะจริงๆ    ผมถามเธอต่อว่า   " แล้วขิมล่ะ "   เธอทำหน้างงๆแล้วถามผมกลับ  " อะไรนะณัฐ "   ผมกลัวว่าถ้าผมได้ยินคำตอบของเธอผมจะหัวใจวายเอาซะก่อน          " เปล่าๆ ไม่มีไรหรอก "   ผมปัดป่าย   " ขิม ขิมสัญญากับณัฐได้มั้ยว่าขิมจะไม่ทิ้งณัฐไปไหนอีก "  ผมถามเธอด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง   แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถให้สัญญากับผมได้  " ทำไมหรอขิม  หรือว่าขิมจะทิ้งณัฐไปไหนอีก   คราวนี้ณัฐจะไม่ยอมให้ขิมจากณัฐไปไหนอีกแล้วนะ "   น้ำตาขิมเริ่มไหลรินลงมาเป็นทาง     เธอเข้ามากอดผมแล้วบอกผมว่า   " สัญญาขิมสัญญา "  ผมค่อยๆผละตัวออกแล้วเช็ดน้ำตาให้เธอ   สักครู่เสียงออดหมดเวลาก็ดังขึ้น  " เราไปกันเถอะณัฐ "   เธอพูดแล้วจูงมือผมวิ่งขึ้นอาคาร   ผมได้แต่หวังในใจว่าต่อไปมันจะไม่มีอะไรมาพรากเธอไปจากผมได้อีก    ผมไม่อยากจะเสียเธอไป  ตลอด 3 ปีที่เธอทิ้งผมไป   ผมยอมรับว่าผมโกรธเธอมาก   แต่พอผมได้เจอเธอผมก็ใจอ่อนขึ้นมาทันที   ผมเกลียดเธอไม่ลงครับ   ช่างมันเถอะมันผ่านไปแล้วมาเริ่มต้นใหม่ดีกว่า    ตอนนี้เราอยู่ ม.6แล้วครับ    เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆเลยนะ   เผลอแป๊บเดียวเราก็จะ Ent แล้ว   ผมกะขิมเลือก Ent เข้าคณะสถาปัตย์เหมือนกัน   ผมไม่รู้ชตากรรมครับว่าถ้าผม Ent  ไม่ติดผมจะไปเรียนที่ไหนดี   แต่ขิมเค้ามีทางไปอยู่แล้วล่ะ   เธอบอกผมว่าถ้าเธอ Ent ไม่ติดแม่เธอจะส่งไปเรียนเมืองนอก   เธอรวยนี่ครับ   พอผมรู้อย่างนั้นผมก็ชวนเธอไปบนไว้ซะ 7 วัด 7 วาเลยล่ะ   ผมไม่อยากให้เธอจากผมไปอีก   แล้ววันประกาศผล Ent ก็มาถึง  ผมไปรับขิมที่บ้านไปดูผล Ent ด้วยกัน   " ณัฐ ขิมกลัวไม่มีชื่อขิมอยู่บนบอร์ดจัง  ขิมยังอยากอยู่กับณัฐ "  เธอพูดกับผมตอนอยู่บนรถ   เธอตื่นเต้นจนหน้าซีด  " ขิมไม่ต้องกลัวหรอก   มันต้องมีชื่อเราอยู่แล้วน่า   ตั้ง 7 วัดนะขิม "  ผมพูดตลกให้เธอสบายใจ   และแล้วก็ถึงจุดหมาย  ผมจอดรถแล้วเปิดประตูลงจากรถ " ขิมรออยู่นี่นะ   เดี๋ยวณัฐไปดูให้ "  ผมบอกกับเธอแล้วเดินเบียดเสียดกับกับผู้คนนับพันเข้าไปดูบอร์ดรายชื่อ    " ขิม เราทำได้ "   ผมตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจ    ผมรีบวิ่งกลับไปหาเธอ   หน้าเธอดูกังวลเอาซะมากๆ  " เป็นไงบ้างณัฐ "  เธอถามผมด้วยความกระวลกระวาย   ผมวิ่งเข้าไปกอดเธอ " เราทำได้ขิม  เราทำได้ "  ทั้งผมและขิมต่างดีใจกันสุดขีด  สายตาของผู้คนแถวนั้นต่างมองมาที่ผมและขิมกันหมด   เราคงจะดีใจมากไปจนเวอร์   แล้วชีวิตของเราในมหาวิทยาลัยก็เริ่มขึ้น   ชีวิตของเราในมหาวิยาลัยไม่ได้แตกต่างอะไรจากประถมหรือมัธยมเลย   มันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง   เราสองคนก็เช่นกัน    ตอนนี้เราสองคนอยู่ปี 2 แล้วครับ   เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ   เหมือนผมฝันไป   และอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเกิดเธออีกแล้ว   ผมกะว่าของขวัญวันเกิดของเธอปีนี้ต้องพิเศษกว่าปีที่แล้วๆมา   ผมกำลังเก็บเงินซื้อของขวัญชิ้นพิเศษให้เธอ   ตอนนี้ผมซื้อมันมาแล้ว   ผมเก็บมันไว้อย่างดี   ถึงแม้มันจะไม่ได้สวยหรือราคาไม่ได้แพงอะไรมากมาย   แต่ผมก็พยายามจนเก็บเงินไปซื้อมันมาได้   ผมภูมิใจมากครับเพราะผมไม่เคยเก็บเงินได้สำเร็จมาก่อน   ก็ทุกครั้งที่ผมเก็บเงิน   เงินที่ผมเก็บได้ก็มิวายหายทุกครั้งไป   แต่ครั้งนี้ผมทำได้   ผมเก็บเงินซื้อของขวัญให้เธอได้แล้ว   คงเป็นเพราะเธอมั้ง   เธอคือกำลังใจของผม   คราวนี้ก็รอแต่เวลาเท่านั้น   แล้ววันเกิดเธอก็มาถึง   วันนี้เธอเข้ามาถามผม " ณัฐ รู้มั้ยวันนี้วันอะไรเอ่ย "   " วันวันพุธไง "   ผมตอบเธอแกมกวนส่วนที่เดินได้ของเธอ   " ไม่ช่ายยย..ย.. "   เธอพูดเชิงอยากให้ผมนึก   " นึกดีๆสิ  นึกๆๆๆๆ "   เธอย้ำให้ผมนึกอยู่นั่นแหละ   " นึกไม่ออกอะ "  ผมบอกกับเธอ   ที่จริงผมรู้ครับว่าวันนี้คือวันเกิดของเธอ   ผมไม่เคยลืมมันหรอก   แต่ครั้งนี้ผมต้องทำเป็นจำไม่ได้เพราะผมยังไม่กล้าให้สิ่งๆนั้นกับเธอ   " ณัฐจำไม่ได้จริงๆหรอ "   เธอถามผม   " จำไม่ได้จริงๆ "   ผมตอบเธอเพื่อย้ำความมั่นใจ   น้ำตาเธอกำลังจะไหลแล้ว   ผมจะทำยังไงดี   " ไปทานเข้ากันเถอะขิม "  ผมชวนเธอไปทานข้าวเป็นการตัดบท   ผมไม่อยากเห็นเธอร้องไห้เพราะผม   หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ยอมพูดกับผมเลยซักคำ   เธอคงเสียใจมากที่ผมจำวันเกิดเธอไม่ได้   แล้ววันเกิดเธอก็ผ่านไป   ผมยังไม่ได้ให้มันกับเธอเลย   ผมไม่กล้าครับ   ไม่กล้าที่จะให้เธอ   บอกตามตรงผมเขิน   ผมยังไม่พร้อม   ผมขอเวลารวบรวมความกล้าซัก 2-3 วันละกัน   3 วันผ่านไป   วันนี้ผมพกความกล้ามาเต็มเปี่ยมครับ   ผมซักซ้อมมาเต็มที่หน้ากระจก  ผมพร้อมแล้ว   แต่แล้วเธอก็ไม่มามหาวิทยาลัย   ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ก็ได้   ผมบอกกับตัวเอง   แต่แล้ววันแล้ววันเล่าเธอก็ไม่มา   นี่มัน 2 อาทิตย์แล้ว   ผมชักเป็นห่วงเธอแล้ว   ผมโทรไปหาเธอทุกวันแต่ก็ไม่มีคนรับสาย   เธอคงจะโกรธผมมาก   ผมชักหวั่นๆ กลัวเธอจะทิ้งผมไปอีกครั้ง   ผมได้แต่คิดเข้าข้างตัวเอง    " ไม่มีทาง   ขิมเค้าสัญญากับเราแล้ว   เค้าไม่มีทางผิดสัญญา "   แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังกลัว   ผมพยายามโทรหาเธอทุกวัน   แต่ก็ไม่มีคนรับสายเช่นเดิม    แล้ววันหนึ่งเธอก็โทรมาหาผม  " ณัฐ  ขิมมีอะไรจะบอก ขิม ขิมรักณัฐนะ   รักมากมากเท่าที่"  แล้วเธอก็เงียบไป   เสียงเธอสะอื้นเหมือนกำลังร้องไห้   ผมอยากจะถามเธอว่าเธอเป็นอะไร   แต่ผมก็ไม่อยากจะขัดจังหวะเธอ  "  ณัฐเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ขิมรัก   ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาขิมร้องไห้เพราะคิดถึงณัฐทุกวันเลยรู้มั้ย   และที่ขิมกลับมา   ก็เพื่อกลับมาหาณัฐ   ขิมกลัวขิมจะไม่มีโอกาสได้บอกณัฐ  แต่ตอนนี้ขิมสบายใจแล้ว   ขิมได้บอกณัฐแล้ว   ถึงแม้มันจะช้าไปหน่อย"   ผมเริ่มรู้สึกเอะใจกับคำพูดของเธอ   " ทำไมขิมพูดอย่างนั้นล่ะ "     " เอ่อไม่มีอะไรหรอกณัฐ "   ผมรู้ว่าเธอตอบเพียงเพื่อให้ผมสบายใจ   " งั้นแค่นี้นะณัฐ   ขิมต้องไปแล้ว   ขิมรักณัฐนะ "   แค่นั้นครับแล้วเธอก็วาง   ผมไม่รู้ว่าเธอจะรีบไปไหนกัน  หลังจากวันที่เธอโทรมาหาผมเธอก็ยังไม่ไปมหาวิทยาลัย   ถึงผมจะห่วงเธอมากผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย   ตอนนี้ผมทำได้เพียงรอ   รอโทรศัพท์จากเธอเท่านั้น   แล้ววันนี้ขิมก็โทรมาอีกครั้ง   เสียงเธอเบามากจนฟังแทบไม่ได้ยิน  " ณัฐ ณัฐมาหาขิมที่โรงพยาบาลหน่อยได้มั้ย   ขิมคิดถึงณัฐ  ขิมอยากเจอณัฐ  อย่าช้านะ  เดี๋ยวขิม จะรอ "   ผมดีใจมากครับที่เธอโทรมา   เธอคงจะป่วยอีกแล้ว   ผมวางสายแล้วรีบออกมาหาเธออย่างที่เห็น   ตอนนี้ผมถึงโรงพยาบาลแล้วครับ   ผมลงจากรถมอร์ไซค์รับจ้างจ่ายตังค์   แล้วเดินไปสู่จุดหมาย   ขณะที่ผมกำลังเดินบนฟุตบาตใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว   ผมก็ดันซุ่มซ่ามเดินสะดุดฝาท่อล้มอีกจนได้   ของขวัญที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผมก็หล่นกลิ้งหายไปไหนไม่รู้   ผมใช้เวลาอยู่ตั้ง 10 นาทีกว่าจะหามันเจอ   มันไปหลบผมอยู่ข้างถังขยะครับ   แกล้งกันชัดๆเลย   ผมรีบหยิบมันขึ้นมาทำความสะอาดแล้วไม่รอช้าที่จะเข้าไปหาเธอ   ผมหาเธอไม่เจอครับ   ผมรีบเกินไปจนลืมถามเธอว่าเธออยู่ห้องไหน   ผมต้องใช้สมองแก้ปัญหาซะแล้ว   อ้า!ผมไปถามเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ดีกว่า   " พี่ครับ  ขิมขวัญ   นันทไพศาลอยู่ห้องไหนครับ "  " รอซักครู่นะคะ  ห้อง 508 ค่ะ "  " ขอบคุณครับ "  ผมกล่าวขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่แล้วรีบขึ้นไปหาเธอ   ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันดูว่ามาถูกห้องรึเปล่า   ผมเห็นทุกคนที่อยู่ในห้องกำลังร้องไห้   ผมว่าผมเข้ามาผิดห้องแน่ๆ   ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง   แต่แล้วก็มีเสียงคนเรียกผม  " ณัฐ  ณัฐมาแล้วหรอลูก "     ผมจำได้ว่านี่เป็นเสียงของคุณน้าพยาบาล   ผมหันกลับไปยังที่มาของเสียง   ผมเห็นคุณน้าพยาบาลกำลังร้องไห้  " มีอะไรกันหรอครับ "  ผมถามทุกคนด้วยความสงสัย   ผมเดินเข้าไปหาคุณน้าพยาบาลที่อยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วย   " ขิมรอณัฐนานแล้วลูก "  คุณน้าพยาบาลบอกกับผม   " แล้วขิมอยู่ไหนครับ "  ผมถามคุณน้าพยาบาลพลางมองหาเธอจนทั่วห้อง    และแล้วสายตาผมมันก็ไปหยุดอยู่ตรงเตียงผู้ป่าย   ผมเห็นร่างเล็กๆนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ " ใครหรอครับ " ผมหันไปถามคุณน้าพยาบาลที่อยู่ข้างๆผม   คุณน้าพยาบาลสะอื้นไห้   เธอค่อยๆดึงผ้าคลุมออกช้าๆ   ร่างๆนั้นเริ่มปรากฏ   ร่างเล็กๆร่างนั้นคือร่างของขิม   สุดที่รักของผม    ผมมาช้าไป   ผมปล่อยให้เธอต้องรอนาน   ขิมจากผมไปแล้ว   คราวนี้เธอทิ้งผมไปจริงๆ   เธอไม่สามารถกลับมาหาผมได้อีกแล้ว   ผมโผเข้ากอดร่างอันไร้วิญญาณของเธอ   ไหนเธอบอกว่าเธอจะรอผม   เธอผิดสัญญา   หรืออาจผิดที่ผมเองที่มาช้าไป   น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง   ผมไม่เคยเสียน้ำตาให้ใครเลยนอกจากเธอ   เธอที่ผมรักที่สุด   ผมไม่สามารถจะรั้งเธอไว้ได้   ผมเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดจากคุณน้าพยาบาล   ที่ขิมเคยบอกผมว่าเธอเป็นโรครู   ที่จริงแล้วมันคือ โรครูคีเมียร์  เธอต้องขาดโรงเรียนทุกเดือนเพื่อไปเปลี่ยนเลือดที่โรงพยาบาล  ขิมเป็นโรครูคีเมียร์มาตั้งแต่เกิด   ครั้งแรกที่เธอต้องจากผมไป   เธอไปเพื่อรักษาโรคที่อเมริกา   เธอไม่อยากบอกผมเพราะกลัวผมเสียใจ   แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าที่เธอไม่บอกผมมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเสียใจยิ่งกว่า   ตลอด 3 ปี แพทย์พยายามรักษาเธอแต่ก็ไม่มีหวัง   ร่างกายของเธออ่อนแอเกินไปบวกกับอาการของเธออยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว   แพทย์บอกว่าเธอเหลือเวลาที่จะอยู่บนโลกนี้เพียง 3 ปี  3 ปีเท่านั้น   เวลา 3 ปีที่เหลือเธอเลือกที่จะกลับมาหาผม   เธอกลับมาเพื่อฟังและบอกสิ่งๆนั้นกับผม   คุณน้าพยาบาลเล่าบางสิ่งให้ผมฟังต่อว่า   " ก่อนที่ขิมเค้าจะไปขิมเค้าฝากน้าบอกบางอย่างกับณัฐ "   " คุณน้าขา ถ้าณัฐมาไม่ทัน  หนูฝากคุณน้าบอกณัฐด้วยนะคะวันนั้นมันเป็นวันเกิดขิมเอง "  " ขิมพูดกับน้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด "  คุณน้าพยาบาลบอกกับผม    " ผมขอโทษขิมผมขอโทษ "  ผมกอดร่างเธอไว้แน่นแล้วพร่ำคำขอโทษซ้ำๆ   ผมไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินคำขอโทษของผมไหม  "  ผมรู้ วันนั้นวันเกิดขิม  ผมจำได้  ผมไม่เคยลืม "  ผมพูดพร่ำทั้งน้ำตา   " นี่ไงของขวัญที่ผมเตรียมไว้ให้ขิม "   ผมพูดพร้อมกับล้วงมือไปในกระเป๋าเสือเพื่อหยิบสิ่งๆนั้น   " แหวนวงนี้ไง "   ผมหยิบแหวนทองวงเล็กที่สลักชื่อ ณัฐ กับ ขิม ไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ  แล้ววางมันลงบนมือของขิม   "  สุขสันต์วันเกิดครับขิม " ผมพูดกับร่างอันไร้วิญญาณของเธอ   น้ำตาของผมมันยังคงไม่หยุดไหล   ผมทำให้ต้องเธอเสียใจ   ทำไมทำไมผมต้องไม่กล้า   เพียงแค่เพราะความรู้สึกไม่กล้าเท่านั้นมันทำให้ผมเสียโอกาสที่สำคัญที่สุดไป   " ผมเสียใจ "   ผมไม่ได้ให้มันกับตัวของเธอ  ตอนนี้เธอจากผมไปแล้ว  ผมควรทำอย่างไร   ผมเสียเวลากับแหวนวงนี้ไปมากจนทำให้ผมต้องเสียเธอที่ผมรักไป   แต่นี่คือของขวัญของเธอ   ในเมื่อผมตั้งใจนำมันมาให้เธอแล้วผมก็ต้องทำอย่างที่ผมตั้งใจไว้  ถึงแม้เธอจะไม่รับรู้อะไรแล้วก็ตาม   ผมค่อยๆพยุงมืออันบอบบางของเธอขึ้นมา   บรรจงสวมแหวนวงนั้นให้เธอ  " ผมรักขิมนะ "  ผมกล่าวแล้วจูบที่มือลาเธอด้วยน้ำตา  " หลับให้สบายเถอะนะคนดีของผม   เราคงจะมีโอกาสได้พบกันเพียงในฝันนะ "  นี่คงเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมจะได้บอกกับเธอ " ไม่มีอะไรจะช่วยให้เธอกลับมา   ฉันเข้าใจเพียงแค่อยากบอกกับเธอว่าหลับให้สบาย   จะจับมือเธออยู่ข้างๆไม่ไปไหน   ตราบจนนาทีสุดท้ายที่ยังมี   จะมองหน้าเธอสบตาเธออย่างวันนั้น   และมีความผูกพันให้เธออย่างเต็มที่   อย่าหวั่นไหวกับน้ำตาของฉันเลยคนดี   สักวันฉันคนนี้จะตามไป "  จะรักเพียงเธอ.ณัฐ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟmini_pk
Lovings  mini_pk เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟmini_pk
Lovings  mini_pk เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟmini_pk
Lovings  mini_pk เลิฟ 0 คน
  mini_pk
ไม่มีข้อความส่งถึงmini_pk