27 พฤศจิกายน 2550 18:33 น.

เป็นเพียงอะไร? ที่ใจแคร์

SawPhuThai

2hzlfk4gw3.gifบ่อยครั้ง  บ่อยครั้งจริง ๆ   
ที่ตัวเองวางแผนชีวิตทุกอย่างไว้อย่างสวยหรู
บางครั้งก็ทำได้  บางครั้งก็ล้มเหลว   บางครั้งก็ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น
แต่การวางแผนสำหรับตัวเอง  บ่อยครั้งที่ผิดหวัง  และขมขื่น  แต่ต้องทน



บางครั้ง  บางครั้งจริง ๆ
ที่ตัวเองวางแผนชีวิตทุกอย่างไว้อย่างสวยหรู  เกินความเป็นตัวตน...
บ่อยครั้งที่ล้มเหลว    เพราะฉันเป็นคนมีกรอบ    แต่มากมายด้วยอิสระเสรี
การวางแผนบางครั้งล้มเหลวแม้ว่าอิสระมีอยู่เต็มเปรียบในความเป็นมนุษย์



หลายครั้ง   หลายครั้งจริง ๆ
ที่วางแผนชีวิตแล้วต้องฝืนปรับเปลี่ยนเพื่อบางสิ่งที่   "สำคัญและยิ่งใหญ่"
เพราะฉันไขว่คว้าหาอิสระเสรี  ทั้งที่ความเป็นจริงฉันมีมันน้อย  น้อยจริง ๆ
ไม่อาจทำ  ไม่สามารถกระทำ   เป็นได้เพียงความฝัน  จินตนการ  วาดวิมาน...



อีกครั้ง   อีกครั้งจริง ๆ
การวางแผนในชีวิตล้มเหลว   ไร้คำอธิบาย   ไร้คำตอบ  ไร้ความเป็นมา...
และอาจไร้ที่ไป   ความเป็นจริงมีเหตุ  และมีผล   และข้อจำกัดในทุกครั้ง...
ความเป็นจริงมันต้องมีที่ไป   นั้นคือบทสรุป...



อีกกี่ครั้ง  อีกกี่ครั้งหนอ?
วางแผนมาเกือบจะ  30  ปี  แล้ว  แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ดั่งใจ   ล้มเหลวสิ้น
ทุกอย่างพังทลายไร้ขอบเขต   และอาจทำร้าย  ทำลายบางสิ่งที่เป็นเส้นใย
"เส้นใย"   ที่เส้นบอบบางเหลือเกิน



ขอสักครั้ง     เพียงสักครั้ง...
หวังรักษา  "เส้นใย"   เส้นนั้น   ให้ปลิวเบาบางในสายลมเช่นนั้นตราบนาน
อยากถนอมไว้    แต่เส้นใย  เหมือนยิ่งบางเบา   หวั่นเหลือเกิน   หวั่นเหลือใจ
กลัวเส้นใยนั้นจะขาดรอน....
				
24 มกราคม 2550 17:31 น.

ในความว่างเปล่า

SawPhuThai

ฉันค่อย ๆ  หันมองหน้าคนที่เข้ามานั่งข้างๆ   ให้ชัดๆ
เขายังคงเหมือนเดิม    เหมือนเดิมในความรู้สึก   ของวันแรกที่พบกัน
ฉันยิ้มบาง ๆ   เพื่อต้อนรับ   เขาที่เพิ่งมาถึง....


"คุณมานานแล้วเหรอ?"   เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างเคย
"ค่ะ..."   ฉันสบตาเขาก่อนที่จะละสายตาไปมองผืนน้ำกว้างที่อยู่ตรงหน้า    
"วันนี้หนีงาน    มาอยู่ตรงนี้นานแล้ว"  ฉันพูดต่อ


พูดจบก็มองออกไปสู่ผืนน้ำที่กว้างเหลือเกิน   เหมือนจรดขอบฟ้า...
แต่รู้สึกได้ว่าเขาจ้องมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่วางตา
เหมือนหาข้อสังเกต   หรือหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น


"วางหูโทรศัพท์จากคุณแล้วก็มานั่งตรงนี้"   ฉันบอกเล่าความเป็นมาของวันนี้
เขายังคงไม่พูดอะไรออกมา    ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น
นั่นสิ...ก็คงนิ่งอยู่อย่างนั้น   เขาจ้องมองอยู่อย่างนั้น  เพื่อรอ  รอให้ฉันพูดต่อ...


"แน่ใจ   และมั่นใจ   ชั้นแค่ไหน?"  ฉันพูดขึ้นแล้วสบตาเขาเพื่อหาคำตอบ
เราสบตากันอยู่นานเขายังคงนิ่งไม่มีคำตอบใดใด   เราทั้งคู่ละสายตาจากกันและกัน
แล้วมองออกไปสู่ผืนน้ำกว้างที่อยู่ตรงหน้า...และอยู่ในความเงียบเป็นนาน


"คุณพร้อมจะเดินเคียงผมมั้ย?"  เขาหันมาจ้องมองตาเพื่อหาคำตอบ
ฉันสบตาแว๊ปเดียวก็ต้องหลบดวงตาที่มีอิทธิพลคู่นั้น   ฉันยังคงนิ่งเงียบกับคำถาม...


"ผมถามคำเดียวว่า   กลัวไหม? "เขาถามย้ำเพื่อให้ได้คำตอบ...
เราทั้งคู่นิ่งอยู่กับความเงียบ   เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน  ในวินาทีนั้น...
สักพักในความเงียบมีเสียงถอนหายใจแทรกขึ้น    รู้สึกได้ว่าเหนื่อยล้าเหลือเกิน....


ฉันหันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
ที่รู้ว่าเขาเหนื่อยเพียงใด  แต่ฉันทำสิ่งใดได้ล่ะ   ฉันได้เพียงแต่ตอบคำถามเขาไป...
คำตอบเดียวว่า "กลัว"   ฉันกลัวอะไรก็ไม่รู้   ฉันเองไม่มีคำตอบ...


"คุณจะอยู่...รอใครตรงนี้"  เสียงยังคงเรียบอย่างเคย  นิ่งอย่างเคยในคำถาม
"โลกใบนี้กว้างนะคะ   คุณมองผืนน้ำที่อยู่ตรงหน้าสิคะ  คุณเห็นอะไรบ้าง?"


เขายังคงนิ่ง  สายตามองออกไปที่ผืนน้ำกว้างเหมือนหาคำตอบ
ฉันจ้องมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า   เขายังคงนิ่งมองออกไปไกล  ไกลแค่ไหน?  
ฉันก็ไม่อาจรู้ได้...การรอคอยบางสิ่งเหมือนนาน    แสนยาวนาน...
ฉันเองก็ไม่รู้       แต่รู้สึกเห็นแก่ตัวที่ถามเขากลับไปแบบนั้น...


ฉันรอ....รอให้อดีตที่ปวดร้าวคือกลับมาเหรอ?
ฉันรอ....รอคอยใครเหรอ?
ฉันรอ....ให้เวลาผ่านพ้นไปเพียงเท่านั้นเหรอ?


" ผ ม ไ ม่ เ ห็ น สิ่ ง ใ ด เ ล ย "   เขาหยุดความเงียบลง...
และหยุดความฟุ่งซ่านของฉันลง  ณ  ตอนนั้นเอง....
รู้สึกตกใจจนสะดุ้งแล้วไปมองหน้าเขา   นั้นคงเป็นคำตอบสำหรับหัวใจนี้...


"ผมขอถามคุณอีกครั้ง    คุณรอใคร"  เขาเอ่ยขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบ
ฉันยังคงนิ่งเงียบ   ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย    ฉันหวั่นไหว  
ฉันสับสน   ฉันไม่รู้ต้องตัดสินใจอย่างไร    เรื่องราวมากมายที่เคยผ่านเข้ามา   
เหมือนเป็นเงื่อนไขที่บงการให้ฉันคิดและตัดสินใจ   กับทุกเรื่องราว  
ในความผิดพลาดของคนอื่น    ถูกฝังไว้ในจิตสำนึกเสมอมา  เพื่อเป็นบทเรียน
จนไม่สามารถรื้อถอนออกไปได้แล้ว   ไม่มีความมั่นใจ   ฉันกลัวความผิดพลาดในชีวิต....
 

"คุณอยู่ตรงนี้ก็คงไม่เจอชายในฝัน  ผมมั่นใจ"
"คุณพร้อมเดินเคียงผมมั้ย?   คุณยินดีจะให้ผมอยู่ในความว่างเปล่านั้นไหม?"
"อย่ากลัว"  เขาย้ำเพื่อให้เกิดความมั่นใจ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ฉันรู้....
คุณมีแค่     " มื อ เ ป ล่ า "
คุณมีแค่     " หั ว ใ จ ที่ ว่ า ง เ ป ล่ า "
คุณคือ     " ค ว า ม ว่ า ง เ ป ล่ า "


คุณไม่มีสิ่งใดเลย...ที่ฉันสามารถมองเห็น
แต่รู้สึกและสัมผัสได้ว่า...คุณมี     " รั ก แ ท้ "    ฉันแน่ใจ...				
19 มกราคม 2550 18:33 น.

คำสารภาพ...ของคนบาป

SawPhuThai

วิวสวยดีจัง...
.
.
.
.

ฉันคลายมือที่กำพวงมาลัยแน่น...
มาปาดน้ำตาที่พร่างพรูรินไหล...จนดูเปอะเปื้อนสองพวงแก้ม
เพราะร้องไห้มาตลอดทางพร้อมเหยียบคันเร่งอย่างรีบร้อน...
ฉันมาถึงตรงนี้ได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร?   กันนะ  ทำไม?  
ไม่ตาย ๆ    ไปซะให้สิ้นเรื่องไปเลย...ฉันพ้อกับตัวเอง...


ฉันมาถึงไหน?
เหลียวมองไปรอบๆ   ทำไม?  มีแต่ภูเขานะ
สายตามองไปรอบกาย   ณ   เวลานี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าอยู่ไหน?
ขอเพียงได้อยู่สงบในที่ที่เงียบไร้ผู้คน   ฉันคงคิดหาทางออกให้ตัวเองได้

ฉันซบหน้าอยู่กับพวงมาลัย...
ปล่อยโฮ...ให้สุดเสียง    ให้น้ำตาพร่างพรูออกมาให้หมด
ปล่อยความอัดอั้นที่มีให้มันออกมา    สมกับที่เก็บกักไว้นานเหลือเกิน...
กลับมีเสียงของแม่วนเวียนอยู่ในหู   ไม่ซิคงเป็นใต้จิตสำนึกของฉันเอง
"แม่อยากเห็นลูกเดินในทางอย่างสง่างาม"    ประโยคนี้ยังวนเวียนซ้ำ ๆ

ประโยคที่แม่เคยบอก...
มันกรีดใจฉันปวดร้าว   จนปวดทรมานแทบขาดใจ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้    ในเมื่อฉันก้าวทางผิดแล้วนี่     ฉันเดินไม่สง่างาม...
เพียงเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด   ต้องเสื่อมเสีย   และมีชีวิตไม่งดงาม
อย่างที่แม่เคยคาดหวัง     หนูขอโทษ...

เมื่อ  3    ปีที่ผ่านมา   ฉันไม่น่าพบเขาเลย...
พรหมลิขิต   หรือชะตากรรมที่ทำให้ฉันได้พบเจอเรื่องราวแบบนี้
ทำให้ฉันได้พบเจอเขา...เขาเหมือนเทพบุตร  ที่ฉุดฉันขึ้นจากเหว...
ตอนนั้นฉันเรียนจบแค่อนุปริญญา    แต่เพราะครอบครัวขาดความอบอุ่น
แม่จากฉันไปเพราะตรมใจที่พ่อเจ้าชู้    ฉันเคว้งคว้าง    หลงทิศทาง
ในการดำเนินชีวิต   ทุกคืนฉันจะเจอเขาในสถานเริงรมย์ที่เด็กใจแตกชอบไป

แต่ฉัน...ไม่ใช่เด็กใจแตก    
ฉันไปทำไม?   ไม่รู้....แต่ตอนนั้นคิดเอาเองว่า
แค่อยากลืมความเลวร้ายที่พบเจอเท่านั้นเอง   ขอไปอยู่ในที่ผู้คนเยอะ ๆ  คงดี
ทุกครั้งที่ไปฉันมีความสุข  สนุกกับการที่ได้พูดคุยกับผู้คนมากหน้า   ทั้งชายและหญิง

จนเมื่อพบเขาได้รู้จักสนิทมากขึ้น...
ฉันไม่รู้ว่าเป็นความรักหรือความเหงา   หรือความเคว้งคว้างที่เกิดขึ้น
หรือความไม่รักดีของฉันเอง   เหมือนเปิดใจยอมรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ทั้งที่ฉันไม่ได้รู้จักความเป็นมาของเขาเลย...    

วันเวลาผ่านไป   1  ปีความสัมพันธ์ก้าวหน้าไปด้วยดี
และเริ่มลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ได้แล้ว   ตอนนั้นไม่คิดอะไรปล่อยตัวปล่อยใจไป
เขาเหมือนเป็นศูนย์รวมความเป็นฉัน  ณ  ตอนนั้น    หรือฉันคิดไปเองมั้ง...

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น...
"คะพี่พล  "  ฉันรับโทรศัพท์คนที่ฉันคิดว่าคือชีวิตของฉัน
"เดี๋ยวพี่จะไปรับนะเย็นนี้" เสียงต้นสายตอบกลับมา
"ค่ะเดี๋ยวหวาน  จะแต่งตัวสวยรอนะคะ" ฉันตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุข

มองนาฬิกา  นี่มันห้าโมงเย็นแล้วนิ
พลางนึกในใจว่าเดี๋ยวไม่ทัน  เดี๋ยวพี่พลจะรอ...
ฉันเตรียมตัว  แต่งตัวรอคนที่บอกจะมารับอย่างไม่รีบร้อนเลย...
ความตื่นเต้น   กระวนกระวาน   รนราน   ลุกลี้ลุกลนพิกล    เกิดขึ้น

ความหวานชื่นในทุกครั้งที่เขามารับไปทานดินเนอร์...
คืนนั้นจะจบบนเตียงทุกครั้งเสมอ  ๆ   เป็นแบบนี้มาสองปีแล้ว
ฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องแต่งงาน   ไม่เคยร้องขอ   เพราะเชื่อมั่นว่าเขารักฉัน
ฉันวัดจากสิ่งที่เขาทุ่มเทให้เสมอ...

"ผมซื้อคอนโดให้คุณ   คุณจะได้อยู่อย่างสบาย"
"ผมซื้อรถยนต์ให้คุณ   เพราะไม่อยากให้คุณลำบากโหนรถเมล์"
"ผมซื้อเสื่อผ้าให้คุณ   คุณจะได้สวย ๆ  เพราะคุณคือคนพิเศษของผม"   ฯลฯ
และอีกหลายอย่างมากมาย     จนฉันหลงคิดไปว่านั้นคือความรัก...ของเขา

แสงแดดลอดหน้าต่างห้องสาดเข้ามา
ฉันงัวเงียลุกขึ้น   ตาก็มองคนที่กำลังแต่งตัวอยู่ตรงหน้า...
เขาเปรียบเป็นศูนย์รวมความเป็นฉัน   เพราะฉันรักเขาสินะ....
ฉันเหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน   ที่ยังต้องการผู้ใหญ่ดูแลให้กำลังใจ
ยามล้ม  ยังต้องการผู้ใหญ่ฉุดให้ลุกขึ้น  ฉันจึงอยู่ในโอวาทของเขาทุกอย่าง  
แต่เขาไม่เคยบอกฉันหรือแนะนำสิ่งที่ไม่ดีเลย....

เขาหันมามองฉัน
ที่จดจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา...
"เช็คอยู่บนหัวเตียงนะจ๊ะ"   มือก็ผูกเนคไทไป
"ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ   ถ้าไม่พอก็บอก"   เขาเอ่ยต่อ
"อะไรคะ   "   ฉันเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
"ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ   เพื่อตัวหวานเองนะ"  เขายืนยัน
"ค่ะ ๆ  "  ฉันรับปาก  ไม่อยากทำให้เขารำคาญใจ...
"ไปแล้วนะ   แล้วเจอกันนะ"  สัมผัสที่ละมุนอยู่ข้างแก้มพร้อมเสียงทุ่มนุ่ม...

ฉันลุกขึ้น...
เพื่อหยิบดูเช็คที่เขาวางไว้ให้  โห...นี่ตั้งแสนนึง...
ฉันดีใจที่เขาเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการเสมอ   ทั้งที่ไม่เคยเอ่ย...
ทำให้ฉันวาดฝันว่าเขาคือคนรักแรก   และคนสุดท้ายที่จะมีในชีวิต...

ในทุกครั้งเขาห่วงใยเสมอ...
ทุกครั้งที่ร้องไห้เขาจะรู้เสมอว่าฉันคิดอะไร?
"พี่รักหวาน   แต่พี่ขอเวลาหน่อยนะ"   นั้นคือสิ่งที่เขาบอกเสมอ
จนฉันรู้สึกชิน   และไม่เคยมีอาการแบบนั้นแล้วพักหลัง   เพราะ
ไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวล   นั้นคือสิ่งที่ฉันคิด...


นาน  3   ปีแล้วที่เราอยู่ด้วยกัน
การแต่งงานไม่สำคัญสำหรับฉันหรอก...
ขอเพียงวันนี้ฉันมีเขาเคียง   ฉันก็ไม่เคว้งคว้างแล้ว    ฉันบอกตัวเองเสมอ...
ชีวิตของฉันเมื่อเจอเขาสิ่งที่ดีที่สุด   ที่ฉันเคยพบเจอมา
เขาเป็นเหมือนเทพบุตร   ที่ฉุดฉันจากเหว     เขาไม่ปล่อยให้ฉันตกเหว...

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น...
"คะพี่พล"   เป็นเบอร์เดียวที่ฉันจำได้ดี
"สวัสดีค่ะ   คุณนิลดาหรือเปล่าคะ"   เสียงที่ผ่านมาเป็นเสียงผู้หญิง
ฉันตกใจแทบช็อต    ตื้อตันไปหมด    พยายามตั้งสติ   บอกตัวเอง
อาจจะเป็นญาติเขา  หรือใครก็ได้  เพื่อนเขา    ตอนนั้นฉันบอกตัวเองแบบนี้
ในใจก็แป้วแล้ว    
"ดิฉัน   กาญจนาค่ะ"   เสียงต้นสายบอกกลับมา
"ค่ะ  นิลดาคะ"  ฉันตอบกับไป
"คุณพอมีเวลามาพบฉันได้มั้ยค่ะ     ที่ร้านกาแฟ   ไดมอน"  เสียงพูดเอ่ยนัดหมาย
"ได้ค่ะ   อีก   20  นาทีนะคะ"  ฉันตอบกลับไป

ฉันไปถึงร้านกาแฟเพียงเวลา  10   นาที
เพราะฉันต้องการคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น   ผู้หญิงคนนี้รู้จักฉันได้ไง..
ฉันก้าวเข้าไปในร้านพบผู้หญิงอายุประมาณ  36-37  ได้  ยกมือเป็นสัญญา
ฉันแปลกใจไม่น้อยที่เขารู้จักฉันได้ไง   เพราะเพิ่งเคยเจอครั้งแรก....

"นั่งสิ " ผู้หญิงที่นัดหมายไว้กล่าวคำทักทาย
"ขอบคุณค่ะ "  ฉันเอ่ย  พร้อมกับท่าทางฉงน  และเก ๆ กัง ๆ
"เธอนี่   หน้าตาก็ไม่ขี้ริ้วนะ   นับว่าสวยมากทีเดียว"   เธอพูด
พร้อมใช้สายตาสำรวจแทบจะกลืนกินฉันเลยทีเดียว...ทำให้ฉันอันอัดไม่น้อย
ฉันได้แต่นิ่งเงียบ  ในใจก็เต้นรัวนึกว่าเกิดอะไรขึ้นนะ    เธอเป็นใคร?

"อ้อลืมไป  ฉันขอแนะนำตัวนะ  ฉันภรรยาของคุณ  พ ล ธ น ะ " คำพูดของเธอเสียงดัง
ฟังชัด   แต่หลังจากฟังประโยคนั้นจบฉันกลับไม่ได้ยินสิ่งใดเลย...เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรบ้างหลังจากนั้น   ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น...


ณ  นาทีนี้ฉันต้องการหนี   หนีไปให้ไกล   ไกลเท่าที่จะไกลได้
"แม่คะ   หนูทำผิดพลาดแล้ว"   ฉันบ่นพร่ำบอกคนที่อยู่บนฟ้า    "หนูขอโทษ"  
ลูกทำสิ่งที่เลวร้ายเหลือเกิน  บาปเหลือเกิน   

ตอนนี้ฉันเรียนจบป.โท   แล้ว
ด้วยเงินที่เขาให้ทุกครั้งที่จบบนเตียง
ฉันเป็นเมียน้อย   ไม่ใช่สิ   ฉันเป็นผู้หญิงขายตัว...
ความปวดร้าวทับถม   หัวใจที่มีแตกสลาย   ไม่น่าเชื่อว่าความรัก
ที่บริสุทธิ์ของฉันจะเป็นแบบนี้...   ฉันคงไม่สามารถกลับไปเชิดหน้าอยู่ได้อีก..

ฉันเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่  หมู่บ้านกันดานบนดอย  อยู่กับธรรมชาติ
มันคงทำให้ลืมความปวดร้าวและเจือจางได้บ้าง    เวลาคงช่วยเยี่ยวยา
หัวใจที่แตกสลายนี้...				
10 มกราคม 2550 08:30 น.

เพียงสายลมหนาวที่พัดแผ่ว

SawPhuThai

6-20070110081937.jpgสอง  สามวัน   ที่ผ่านมา....
อากาศหนาวเย็นใยจึงรู้สึกเหงาแบบนี้นะ
ทำให้ปล่อยความคิดล่องลอยไปตามสายลมหนาว
เพื่อคิดถึงใครบางคน   ซึ่งเขาอยู่ที่ไหน?  กันนะ   ณ   เวลานี้...

ฉันเองก็ไม่เข้าใจ...ทำไม?    
จึงคิดถึงคน  คนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้
แอบคิดโทษอากาศที่หนาวเย็น   ที่ทำให้ความเหงาเข้ามาทักทาย   
กลายเป็นความคุ้นเคย  และ มีเดียวดายเกิดขึ้นในแบบที่ปวดร้าว    
เจ็บเงียบเพียงลำพัง    แบบที่ไม่มีใครล่วงรู้   แบบไม่มีใครได้รับรู้
หรือสัมผัสถึงความรู้สึก  ที่ซุกซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายในหัวใจหนึ่งได้...

ลมหนาวพัดพลิ้ว....
หัวใจข้างในก็ปลิวไป  ลอยละลิ้วล่องลมไป
รู้สึกเหมือนใจนั้นล่องไปอย่างอิสระเสรีแต่เดียวดาย  โดดเดี่ยวเหลือเกิน   
หัวใจเสรี...บินท่องเที่ยวไป    สู่โลกเสรีดั่งหัวใจปรารถนา...

หัวใจที่ปรารถนา...
จะนำพาหัวใจที่เดียวดายนี้   โบยบินไปตามหัวใจเรียกร้อง...
หัวใจที่โหยหาหัวใจอีกดวงหนึ่ง   ซึ่งไม่สามารถรู้ว่า   ณ  ตอนนี้อยู่ไหน?
ฤดูกาลที่แสนหนาวใยร้าวหัวใจเหลือ   เพียงคิดถึงใจอีกดวงที่สูญหาย   ก็ปวดร้าวเหลือ...

สายลมหนาว....
คล้ายมาพรากหัวใจอีกดวงหนึ่งไปจาก
ฉันรักหน้าหนาว    รักอากาศแบบนี้     แม้จะเจ็บปวดในฤดูกาลนี้
ทุกครั้งที่ลมเหมันต์พัดแผ่ว   เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องทรมานแล้วนะ
เจ็บปวดทุกครั้ง   และเหมือนจะขาดใจทุกครั้งเมื่อคิดถึงใครอีกคน...    

เนิ่นนานมากแล้ว....
แต่ความปวดร้าวไม่เคยจางหาย     ยังคงฝังลึก...
ความทรงจำเมื่อคิดถึงแล้วมีความสุข   แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดทุกครั้ง
เมื่อคิดถึง   ความทรงจำ    คำสัญญา     และรอยคำแต่ก็อดที่จะโทษตัวเองไม่ได้...

เพียงสายลมหนาวที่พัดแผ่ว...
เหมือนย้ำเตือนให้คิดถึงหัวใจที่เคยมี   แต่วันนี้สูญหาย
หายไปอย่างไม่มีวันได้คืนกลับมา    มีบางประโยคที่ได้ยินอยู่เสมอ
และทุกครั้งที่ได้ยิน   คล้ายมีดกรีดแผลเก่าให้เป็นแผลสดอีกครั้ง....

"เมื่อสูญเสียไป   จึงรู้คุณค่า"
ใช่!  ถ้าไม่สูญเสียไปคงไม่รู้ว่ามีค่ามากเพียงใด
ฉันอยากย้อนเวลาหวนกลับ   เพื่อปรับเปลี่ยนทุกอย่าง
ทั้งที่ใจก็รู้ว่าไม่มีวันความคิดนั้นจะเป็นจริง   เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้...

จึงต้องทนเศร้าเดียวดาย...อยู่ลำพังอย่างนี้    
อยากมีความสุขกับการที่ได้คิดถึงคุณนะ     แต่ว่า...
มันเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อคิดถึงคราใด   ข้างกายกลับพบแต่ความว่างเปล่า...
				
25 ธันวาคม 2549 16:51 น.

"เพื่อน"

SawPhuThai

4.jpg				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟSawPhuThai
Lovings  SawPhuThai เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟSawPhuThai
Lovings  SawPhuThai เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟSawPhuThai
Lovings  SawPhuThai เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงSawPhuThai