...ถึง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์"...

แทนคุณแทนไท

mataree270208kanokpong_s.jpg---๑---
กวียังคงเป็นกวี
นิรันดร์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
งดงาม ในความธรรมดา
หลุดจากโลกมายา ที่วุ่นวน
ขอให้กวีมีความสุข
เสมอคำที่ปลอบปลุกผู้ทุกข์ท้น
งามเหมือน มุ่นเมฆสรรค์เสกมนต์
เท่าถ้อยที่ หุบเขาฝนโปรยไพร
---๒----
ในหุบเขา เขาเคยเขียนบทกวี
จิตเสรี อักษร สุนทรสมัย
เสพย์แดดเช้า ที่สาดส่องอยู่รองไร
และเขียนคำซึ้งซึ้งไว้ ให้ฉันยล
เขียนป่า เอาไว้ให้เห็นป่า
และเขียนฟ้าทั้งฟ้าด้วยห่าฝน
เมื่อรู้สึก เขาเขียนเขานิพนธ์
ท่วมท้น ด้วยความรักเกินจักประมาณ
---๓---
คิดถึง คิดถึง "เสมอ
ได้พบเจอในฝันอันพรายหวาน
ในดอกไม้ ในท้องฟ้า ในสายธาร
เสมอท่วม จินตนาการ หวานละไม
---๔---
กวียังคงเป็นกวี
จากกัน ณ โลกนี้ถึงโลกใหม่
เธอจากไป ในหุบเขาฝนโปรยไพร
ขณะโลกนี้ขื่นไข้เหลือเกินแล้ว
มิรู้ว่า โลกเธอสวยหรือไม่
แต่โลกฉันขื่นไข้เหลือเกินแล้ว
รำลึกถึง กนกพงศ์  สงสมพันธุ์ 
ผู้ล่วงลับ เมื่อกุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ 
 
..พระศุกร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๕๔/แทนคุณแทนไท..				
comments powered by Disqus
  • เอื้องคำ

    11 มีนาคม 2554 18:10 น. - comment id 1187242

    สวัสดีครับท่านแทนคุณแทนไท
    ...คิดถึงพี่กนกพงษ์แล้วรู้สึกเสียใจเหลือเกินกับการจากไปอย่างกระทันหันของพี่ งานของพี่กนกพงษ์เข้มข้นและลึกซึ้งมากครับ อ่านงานของพี่กนกพงษ์ทีไรภาษาและสไตล์งานเขียนผมเป๋ไปทุกครั้ง จนผมหวาดที่จะอ่านไปเลยครับ หลังจากฝึกงานที่นาครจบ ผมกะจะไปหาแกตอนกลับบ้านที่นครศรีฯ แม้อีกเพียงสองอาทิตย์เท่านั้นก็ช้าไปครับ  10.gif10.gif10.gif
  • -ร้อยแปดพันเก้า-

    11 มีนาคม 2554 09:20 น. - comment id 1187248

    เป็นนักเขียนและกวีคนโปรดคนหนึ่งของเรา
    ไม่ทราบคุณอ่านเล่มล่าสุดเค้าหรือยัง
    "จดหมายถึงเพื่อน" 
    เข้มข้นมาก มีมุมมองที่น่าสนใจมากทีเดียว
    
    ด้วยความระลึกถึง
  • แทนคุณแทนไท

    11 มีนาคม 2554 09:26 น. - comment id 1187249

    1189881699.jpg"ผีเสื้อตายอยู่บนลานหญ้า
    ชีวิตแสนสั้น
    แต่อิ่มเอมในคุณค่า
    ด้วยผ่านความงามแห่งกลีบดอกไม้"
    
    ๑๘ มิถุนา ๔๕
    
    เป็นอิสระทางความงามที่เขาเขียนไว้ อ่านเจอรู้สึกเหมือนเขียนเขาคำนิยามให้ตัวเขาเองยังไงพิกล แม้ชีวิตเขาแสนสั้นกว่าที่ควรเป็น แต่เส้นทางอักษราของเขางดงาม นิรันดร์ และอิ่มเอมยิ่งนัก
    
  • แทนคุณแทนไท

    11 มีนาคม 2554 09:43 น. - comment id 1187254

        Sarakadee สารคดี
        
        
        
        
        
        logo.gif
    
    
        บุคคลในข่าว : ศรัทธาต่อการเขียนคือศรัทธาแห่งชีวิต  รอยจารึกที่เหลืออยู่ของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์
    
        วิรพา อังกูรทัศนียรัตน์ : รายงาน
    
    news1.jpgหาใช่สิ่งใดอื่น ศรัทธาต่างหาก คือปัจจัยสำคัญสุดที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ และอยู่อย่างเป็นชีวิต 
    
    น่าดีใจแค่ไหน ที่วันนี้เรายังมีศรัทธา... 
    
    ที่ผ่านมาจะเป็นเช่นไร...ช่างเถอะ ! สิ่งสำคัญคือวันเวลาที่เหลือ เรายังคงเขียน...เพราะนั่นเป็นทั้งภาระและพันธะของการมีชีวิต เช่นเดียวกับที่เราต้องหายใจ 
    
    ชีวิตคือสิ่งมหัศจรรย์ และเราหาได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งเราไม่ได้ตายไปพร้อมความว่างเปล่า... ศรัทธาต่อการเขียนชักนำไปสู่ศรัทธาต่อชีวิต และเพราะมีศรัทธาต่อชีวิตนั่นเอง ทำให้เราเขียน 
    
    กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เขียนไว้ในคำนำ โลกหมุนรอบตัวเอง รวมเรื่องสั้นเล่มสุดท้ายที่ตีพิมพ์ก่อนเขาจะจากไป... 
    
    แม้ว่าวงวรรณกรรมได้สูญเสียประพันธกรคนสำคัญแห่งยุคสมัย แผ่นดินได้สูญสิ้นคนดีไปอีกหนึ่ง พื้นถิ่นแดนใต้ได้สูญเสียนักอุดมคติ ตัวจริง ไปอีกคน กระนั้น ความสูญเสียก็เพียงร่างและลมหายใจที่ลาลับ หากรอยเล็กๆ ที่เขาทิ้งไว้แก่โลก หาได้สิ้นสูญตามไปไม่ 
    
    กนกพงศ์ สงสมพันธุ์, ชาตะ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๙, มรณะ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ สิริอายุได้ ๔๐ ปี ๔ วัน 
    
    news2.jpgnews3.jpgnews4.jpgnews5.jpgnews6.jpg
    เทือกเขาบรรทัด ที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เด็กชายกนกพงศ์เกิดและเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความคุกรุ่นของสงครามเย็น หมู่บ้านของเขาถูกกำหนดเป็นเขตพื้นที่สีแดงภายใต้บรรยากาศการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่รุนแรงยิ่ง อัตชีวประวัติในวัยเด็กนี้ถูกเล่าผ่านเรื่องสั้น สะพานขาด (๒๕๓๒) และ บ้านเกิด (๒๕๓๖) กนกพงศ์เคยให้สัมภาษณ์ถึงแรงผลักเบื้องลึกของงานหลายชิ้นของเขา ใน ไฮคลาส (ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๔๙ กันยายน ๒๕๓๙) ตอนหนึ่งว่า ยุคของเขาเป็นยุคที่รัฐใช้นโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ขั้นเด็ดขาด คือติดอาวุธให้อันธพาล ก่อตั้งหน่วยทหารพรานขึ้นมาสู้กับคอมมิวนิสต์ หมู่บ้านที่เขาอยู่ก็เป็นพื้นที่เป้าหมายที่ทหารพรานเข้าไปและก็มีการปะทะกันอย่างรุนแรง ไม่ต่างกับยุค ถีบลงเขา เผาลงถังแดง ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง แทบทุกเหตุการณ์ใน บ้านเกิด มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง อย่างเหตุการณ์จริงในงานศพในหมู่บ้าน ทหารพราน ๓-๔ คนเมาเข้าไปแล้วเอะอะโวยวาย เจ้าภาพก็ไล่ให้ไปนอนเสีย เขาก็ไม่พอใจ ในที่สุดก็ไปจับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายกชูขึ้นแล้วเอาเอ็ม ๑๖ จ่อหัวเด็ก...เช้าวันนั้นเขาขนศพ ๘ ศพใส่รถเข็นเป็นแถวยาวไปกลางทุ่งนา... เหตุการณ์ทำนองนี้ละครับที่ผมพบเห็นอยู่เป็นปรกติในวัยเด็ก ด้วยสภาพเช่นนี้ วัยเด็กของเขาจึงถูกบังคับให้ตั้งคำถามกับสังคมรอบตัวและความหวาดกลัวรอบบ้าน บวกกับได้รับอิทธิพลการอ่านที่เข้มข้นจากผู้เป็นพ่อมาแต่เล็ก ไล่มาตั้งแต่ ชัยพฤกษ์, วิทยาสาร, วิทยาศาสตร์น่ารู้, หนังสือของเฮมิงเวย์, ร้อยป่า ของ อรชร พันธุ์บางกอก ไปจนถึงวรรณกรรมเพื่อชีวิตอย่าง ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์, ฟ้าบ่กั้น ของ ลาว คำหอม, จนกว่าเราจะพบกันอีก ของ ศรีบูรพา ฯลฯ เนื้อนาดินเหล่านี้ส่งให้กล้าอ่อนค่อยๆ แทงยอดขึ้น ผมนึกอยากเขียนกวีขึ้นมาหลังจากอ่านหนังสือ ๓ เล่มซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ในการอ่านของผม ได้แก่ ก่อนไปสู่ภูเขา ของ พนม นันทพฤกษ์, ทางเลือกและฟ้าหม่น ของ คมสัน พงษ์สุธรรม, ในอ้อมกอดของภูผา ของ สำราญ รอดเพชร ผมรู้สึกตกใจที่เนื้อหางานทั้ง ๓ เล่มนี้พูดถึงสิ่งที่ผมเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน นั่นคือที่มาของกวีบทแรก ความจริงที่เป็นไป ตีพิมพ์ใน สยามใหม่ (๒๕๒๓) ขณะที่เขาเรียนอยู่ชั้น ม. ๒ โรงเรียนพัทลุง บทกวีชิ้นนี้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำทารุณของทหารพรานอย่างถึงพริกถึงขิง ระหว่างนี้กนกพงศ์ยังส่งผลงานไปตามที่ต่างๆ และเรื่องสั้นเรื่องแรก ดุจตะวันอันเจิดจ้า ได้ตีพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ขณะเรียนชั้นมัธยมปลาย (๒๕๒๗) นอกจากนั้นยังได้ร่วมก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมสานแสงทองกับพี่ชาย (เจน สงสมพันธุ์) เมื่อปี ๒๕๒๒ ก่อนรวมตัวเป็นกลุ่มนาคร กลุ่มศิลปวรรณกรรมที่โดดเด่นของภาคใต้นับเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถ้าจะมีจุดพลิกผันในชีวิตสำหรับกนกพงศ์ก็คงเพราะหนังสือเล่มที่ชื่อว่า ถนนนักเขียน ของ เออร์สกิน คอลด์เวล (แปลโดย สิทธิชัย ธาดานิติ) ผมว่ามันเป็นพลังอย่างมากที่ทำให้ผมหลงใหลใฝ่ฝันในรูปแบบชีวิตของเขา ผมเริ่มรู้สึกอยากที่จะเป็นนักเขียน และคิดว่าหนทางเดียวที่จะเป็นนักเขียนได้ก็คือต้องทำงานหนัก ต้องเอาจริงเอาจัง หนังสือเล่มนี้เป็นเหตุให้กนกพงศ์หันหลังเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ มาดำเนินรอยตามคอลด์เวล ใช้ชีวิตเป็นนักเขียนเต็มตัว เขียนหนังสือตั้งแต่เช้าไปจรดค่ำ เช้าไปจรดค่ำทุกวัน แล้ววันหนึ่งความฝันก็บรรลุ... เมื่อเขาสามารถแจ้งเกิดในวงการวรรณกรรมด้วยเรื่องสั้น สะพานขาด ซึ่งได้รับรางวัลช่อการะเกดเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๒ และ โลกใบเล็กของซัลมาน ก็ได้รับการประดับช่อการะเกดในปีถัดมา กนกพงศ์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตอนได้ซีไรต์ยังตื่นเต้นน้อยกว่าเมื่อครั้งได้ช่อการะเกดครั้งแรก ซึ่งถือเป็นใบเบิกทางสู่ถนนนักเขียนที่เขาใฝ่ฝัน สุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตบรรณาธิการ ช่อการะเกด ในขณะนั้นย้อนความทรงจำว่า เรื่องสั้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องสั้นคุณภาพที่ผมก็แปลกใจ เพราะขณะนั้นเขายังเป็นนักเขียนใหม่ แต่เขียนเรื่องสั้นได้มีคุณภาพแล้วผ่านเกิดเลย แต่สำหรับนักเขียนช่อการะเกด ผมคิดว่ามันยังไม่ได้พิสูจน์อะไรจนกว่าเขาจะทำงานต่อเนื่อง และกนกพงศ์ก็ได้พิสูจน์สิ่งนี้แล้วจากเรื่องสั้น โลกใบเล็กของซัลมาน ซึ่งผมถือว่าในแง่พลังสร้างสรรค์มีสูงกว่าเรื่องแรก ถ้า สะพานขาด (๒๕๓๔) เป็นงาน สด เปี่ยมไปด้วยพลังในวัยหนุ่ม รวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น (๒๕๓๙) ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นงานตกผลึกของคนหนุ่มที่เติบโตทางวุฒิภาวะเต็มที่ ผ่านการเคี่ยวกรำ ครุ่นคิดทำความเข้าใจชีวิตและสังคมอย่างจริงจัง กนกพงศ์ฝังตัวเองอยู่ในหุบเขาหลวง นครศรีธรรมราช ลงพื้นที่เก็บข้อมูลราวทำวิจัยในรูปเรื่องสั้น เพื่อจะสะท้อนปัญหาของสังคมภาคใต้ทั้งหมด ว่าแท้จริงแล้วนี่คือสังคมที่เราไม่เข้าใจมันเลย นี่คือ แผ่นดินอื่น สำหรับเราที่อยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน และในแผ่นดิน (อื่น) นี้เองที่เรา จะสอนให้เด็กๆ รักสันติได้อย่างไร ในเมื่อเพียงหันหน้าออกนอกห้องเรียน พวกเขาก็เห็นผู้ใหญ่ถือปืนอยู่เต็มสนาม ในขณะที่ความตายของฮารานใน แมวแห่งบูเก๊ะกรือซอ หมายถึงความหวังที่จะทลายกำแพงแห่งความแตกต่างได้ดับสลายลง วิกฤตความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับยิ่งตอกย้ำว่าเราจำเป็นต้องมีคนอย่างฮารานมากขึ้น และนี่เองคือพันธกิจที่กนกพงศ์ยึดมั่นและกระทำผ่านงานของเขา คือการพยายามเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้คนที่ถูกทำให้แตกต่างทั้งทางสภาพเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เขาประกาศว่า มันเป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิตแบบยุคเก่าทีเดียวละ จะต่างก็ตรงที่ว่าลงลึกถึงจิตวิญญาณของผู้คน ลงไปให้ถึงที่เป็นน้ำเนื้อของชีวิต สุชาติ สวัสดิ์ศรี ให้ความเห็นว่า ผมคิดว่ากนกพงศ์ไม่ใช่เพื่อชีวิตในความหมายเก่า เพื่อชีวิตในสมัยรุ่นบุกเบิก รุ่นกุหลาบ สายประดิษฐ์ รุ่นนายผี หรือแม้แต่รุ่น ๑๔ ตุลาแล้ว เขาเป็นเพียงแรงเฉื่อยของคนกลุ่มก่อนหน้านี้ ลักษณะของเพื่อชีวิตก่อนหน้านี้กับเพื่อชีวิตในยุคของเขามันค่อนข้างแตกต่างกันมาก สิ่งที่ผิดไปจากงานรุ่นก่อนก็คือว่าเขามีวรรณศิลป์ในการนำเสนอ ถ้าจะเรียกว่าเพื่อชีวิตก็ไม่ใช่เพื่อรับใช้อะไรแบบตรงไปตรงมา คือเป็นเพื่อชีวิตในลักษณะที่มีศิลปะในการนำเสนอ แล้วมันก็สะท้อนยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยลักษณะการเขียนที่ฉีกไปจากกระแสวรรณกรรมในยุคนั้น กนกพงศ์จัดตัวเองเข้าพวกงานเขียนแบบที่เรียกว่า อัตถนิยมมายา (Megical Realism) ไม่ว่า แม่มดแห่งหุบเขา หรือ น้ำตก (ใน แผ่นดินอื่น) ปาฏิหาริย์ในเรื่องราวเหล่านี้ก็คือเรื่องเล่าขานต่างๆ นานาในวิถีของสังคมเก่าที่เขาได้สัมผัสและเติบโตมา เขามักจะพูดถึงตัวเองในลักษณะที่เป็นอัตถนิยมมายา ในแง่ของเนื้อหา รูปแบบ ดูเหมือนเขาจะชื่นชมไปในทำนองนั้น แต่ผมคิดว่าเขาเป็นตัวของเขาเอง ถ้าจะเป็นอัตถนิยมมายามันก็เป็นลักษณะของพื้นถิ่นภาคใต้ สะท้อนปัญหาของชุมชน ของคนพื้นถิ่นภาคใต้ที่เขาเติบโตมา สุชาติกล่าว
    news7.jpg ต้นฉบับลายมือบทกวี "บันทึกถึงคนเดินทาง"
    หุบเขาฝนโปรยไพร เทือกเขาหลวง อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มั่นสุดท้ายของการผลิตงานแห่งศรัทธาและความรัก แม้จะผันตัวเองไปเป็นบรรณาธิการ ไรเตอร์ นิตยสารทางวรรณกรรมที่เข้มข้นอยู่พักหนึ่ง (๒๕๔๐-๒๕๔๑) แต่จิตใจฝักใฝ่ในการเขียนก็ยังพรั่งพรูผ่านแป้นพิมพ์ดีดในบ้านเล็กๆ กลางป่าเขา บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร (๒๕๔๔) คือบทบันทึกตัวตนของนักเขียนคนหนึ่ง ในห้วงยามแห่งการฝนตัวเอง ณ สถานอันลี้ลับ เรียกได้ว่าเป็นอีกภาคของ ถนนนักเขียน ทว่ามิใช่นักเขียนใหญ่แบบคอลด์เวล หลายปีมานี้ผมเกิดความรู้สึกว่างานหนักของนักเขียนไม่ได้อยู่ที่การนั่งตอกพิมพ์ดีดหามรุ่งหามค่ำ ทว่ากลับอยู่ที่การพยายามทำความเข้าใจชีวิตและสังคมเป็นสำคัญ การทำความเข้าใจดังกล่าวดำเนินควบคู่ไปกับการจัดระบบชีวิตตนเอง ประสานความคิด ความเชื่อ และศรัทธาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับกระบวนแห่งพฤติกรรม... ในเมื่อเบื้องหลังของงานเขียนคือชีวิตทั้งชีวิต เบื้องหลังวรรณกรรมคือตัวตนสัมบูรณ์ของนักเขียน สัมฤทธิผลของงานเขียนย่อมมีรากฐานมาจากศักยภาพของชีวิต นี่คือบางถ้อยคำใน แผ่นดินอื่น และถ้าหากเรื่องสั้นซีไรต์เล่มนี้คือการปลดปล่อยพลังทั้งมวลในวัยหนุ่มออกมา รวมเรื่องสั้น โลกหมุนรอบตัวเอง (๒๕๔๘) ก็อาจเปรียบได้กับคนหนุ่มเจนโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่อีกช่วงชีวิตหนึ่ง อาศัยเวลาเกือบ ๑๐ ปีในการกลั่นกรองมุมมองต่อชีวิตและสังคมออกมาเป็นเรื่องเล่าของประเทศนี้ กนกพงศ์กล่าวไว้ว่า เขายังหวัง ให้วรรณกรรมแนวเนื้อหาสาระเช่นนี้ยังคงมีที่อยู่ที่ยืน เบียดแทรกอย่างสอดคล้องกับยุคสมัย และไม่ตาย แม้ซีไรต์จะประดับชื่อของเขาบนทำเนียบนักประพันธ์เรืองนาม แต่จะมีความหมายใดเล่า ทุกวันที่ผ่านมา กนกพงศ์ก็ยังคงเขียนเฉกเช่นที่เคยเขียน ยังคงเดินป่ากรุงชิง แบกฟืนก่อไฟ เป็นวัตรปฏิบัติเฉกเช่นที่เคยทำ ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ เฉกเช่นวิถีของนักเขียนผู้เคร่งครัด เพราะสิ่งนี้เองที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ยกให้เขาเป็น ของจริง ผมพยายามค้นหาสิ่งที่เรียกว่า ของจริง และผมก็พบสิ่งนี้ในตัวเขา คำว่าศิลปินมันคงจะต้องมองตรงนี้ คือวิถีชีวิตกับวิธีปฏิบัติจะต้องไม่ขัดแย้ง จะต้องสอดประสานไปด้วยกัน เพื่อที่จะหลอมละลายสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต กับ ศิลป เข้าด้วยกัน ผมเชื่อแล้วนะว่าเขาฝังจิตวิญญาณของเขาไว้กับงานประพันธ์ ผมคิดว่าถ้าเขายังอยู่ เขาคงจะ ก้าวไปมากกว่าที่เห็น เขาอาจจะเปลี่ยนจากเรื่องสั้นมาเขียนนวนิยาย หรืออาจจะก้าวไปเขียนบทละคร ตรงนี้แหละที่เราเสียดายเพราะว่าเรายังไม่รู้ แต่เส้นทางของจิตวิญญาณที่มุ่งมั่น อุทิศทุ่มเทเพื่อการประพันธ์เชิงคุณภาพ ตรงนี้มันจะไม่เสียเปล่าแม้นว่าเขาจะอายุสั้นก็ตาม กนกพงศ์เริ่มมีอาการป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่มาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครินทร์ จ. นครศรีธรรมราช หลังจากกลับมารักษาตัวที่บ้านได้ไม่กี่วันอาการก็ทรุดลงอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งและพบว่ามีปัญหาติดเชื้อในปอดร่วมด้วย กระทั่งสิ้นลมเมื่อเช้าวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เนื่องจากมีอาการน้ำท่วมปอด โดยที่แพทย์มิอาจยื้อชีวิตไว้ได้ รอยจารึกที่เหลืออยู่คือผลงานที่ไม่มีวันตาย นอกจากรวมเรื่องสั้น โลกหมุนรอบตัวเอง เล่มล่าสุดที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ยังมีรวมเรื่องสั้น คนตัวเล็ก และ นิทานประเทศ มรดกทางการประพันธ์ ๒ ชิ้นสุดท้าย รอการพิมพ์เป็นรูปเล่ม ...ความตายนั้นบางเบาดุจขนนก หากหนักแน่นดั่งภูผา... ขอให้ดวงวิญญาณกนกพงศ์ลอยล่องสู่ทิพยสถาน และวิญญาณแห่งการประพันธ์ของเขาสถิต ณ ยอดเขาหลวงชั่วกัลป์
    หยาดน้ำค้างอำลาป่าน้ำค้าง (คารวะ-อาลัยนักเขียนหนุ่มตลอดกาล กนกพงศ์ สงสมพันธุ์)     หยาดน้ำค้างพรมหญ้าเป็น ป่าน้ำค้าง   หยาดหนึ่งหยดลงกลางป่าอักษร วาวแววแล้วจู่จู่ก็จากจร   ราวเร่งร้อนสู่วิมุต-ความหลุดพ้น     เป็นตำนานเพื่อชีวิตคนสุดท้าย   ค้นความหมายคนและโลก ขลังและข้น ทุกอักษราจึงคงค่าและคงทน   บำเรอคนอ่านอิ่มอารมณ์ปอง     ทา ปกากะญอร้องว่า   นกกาฮังตายตัวหนึ่งไทรเจ็ดต้นหมอง เจ็ดเทือกเขาสร้อยเศร้าเมื่อคราวต้อง   สิ้นเสียงร้องของหนึ่งชะนีไพร     รู้ข่าวนักเขียนคนหนึ่งจาก   เปรียบได้ยากเศร้าจะคลุมไปถึงไหน ปลุกไม่ฟื้นจึงทำใจและเข้าใจ   ชีวิตใครก็เปราะบางดั่งน้ำค้าง     อ่านกวีส่งพี่สู่ แผ่นดินอื่น   นึกอยากคืนก็กลับมาถ้าว่าว่าง ระหว่างนี้ท่องสวรรค์ไปพลางพลาง   เทือก บรรทัด คอยนำทางอยู่นั่นแล้ว

    เคียวจันทร์ คมแสงไท ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙

    This article comes from Sarakadee สารคดี http://www.sarakadee.com/web The URL for this story is: http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=516 น่าดีใจแค่ไหน ที่วันนี้เรายังมีศรัทธา... ที่ผ่านมาจะเป็นเช่นไร...ช่างเถอะ ! สิ่งสำคัญคือวันเวลาที่เหลือ เรายังคงเขียน...เพราะนั่นเป็นทั้งภาระและพันธะของการมีชีวิต เช่นเดียวกับที่เราต้องหายใจ ชีวิตคือสิ่งมหัศจรรย์ และเราหาได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งเราไม่ได้ตายไปพร้อมความว่างเปล่า... ศรัทธาต่อการเขียนชักนำไปสู่ศรัทธาต่อชีวิต และเพราะมีศรัทธาต่อชีวิตนั่นเอง ทำให้เราเขียน กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เขียนไว้ในคำนำ โลกหมุนรอบตัวเอง รวมเรื่องสั้นเล่มสุดท้ายที่ตีพิมพ์ก่อนเขาจะจากไป... แม้ว่าวงวรรณกรรมได้สูญเสียประพันธกรคนสำคัญแห่งยุคสมัย แผ่นดินได้สูญสิ้นคนดีไปอีกหนึ่ง พื้นถิ่นแดนใต้ได้สูญเสียนักอุดมคติ ตัวจริง ไปอีกคน กระนั้น ความสูญเสียก็เพียงร่างและลมหายใจที่ลาลับ หากรอยเล็กๆ ที่เขาทิ้งไว้แก่โลก หาได้สิ้นสูญตามไปไม่ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์, ชาตะ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๙, มรณะ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ สิริอายุได้ ๔๐ ปี ๔ วัน เทือกเขาบรรทัด ที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เด็กชายกนกพงศ์เกิดและเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความคุกรุ่นของสงครามเย็น หมู่บ้านของเขาถูกกำหนดเป็นเขตพื้นที่สีแดงภายใต้บรรยากาศการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่รุนแรงยิ่ง อัตชีวประวัติในวัยเด็กนี้ถูกเล่าผ่านเรื่องสั้น สะพานขาด (๒๕๓๒) และ บ้านเกิด (๒๕๓๖) กนกพงศ์เคยให้สัมภาษณ์ถึงแรงผลักเบื้องลึกของงานหลายชิ้นของเขา ใน ไฮคลาส (ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๔๙ กันยายน ๒๕๓๙) ตอนหนึ่งว่า ยุคของเขาเป็นยุคที่รัฐใช้นโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ขั้นเด็ดขาด คือติดอาวุธให้อันธพาล ก่อตั้งหน่วยทหารพรานขึ้นมาสู้กับคอมมิวนิสต์ หมู่บ้านที่เขาอยู่ก็เป็นพื้นที่เป้าหมายที่ทหารพรานเข้าไปและก็มีการปะทะกันอย่างรุนแรง ไม่ต่างกับยุค ถีบลงเขา เผาลงถังแดง ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง แทบทุกเหตุการณ์ใน บ้านเกิด มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง อย่างเหตุการณ์จริงในงานศพในหมู่บ้าน ทหารพราน ๓-๔ คนเมาเข้าไปแล้วเอะอะโวยวาย เจ้าภาพก็ไล่ให้ไปนอนเสีย เขาก็ไม่พอใจ ในที่สุดก็ไปจับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายกชูขึ้นแล้วเอาเอ็ม ๑๖ จ่อหัวเด็ก...เช้าวันนั้นเขาขนศพ ๘ ศพใส่รถเข็นเป็นแถวยาวไปกลางทุ่งนา... เหตุการณ์ทำนองนี้ละครับที่ผมพบเห็นอยู่เป็นปรกติในวัยเด็ก ด้วยสภาพเช่นนี้ วัยเด็กของเขาจึงถูกบังคับให้ตั้งคำถามกับสังคมรอบตัวและความหวาดกลัวรอบบ้าน บวกกับได้รับอิทธิพลการอ่านที่เข้มข้นจากผู้เป็นพ่อมาแต่เล็ก ไล่มาตั้งแต่ ชัยพฤกษ์, วิทยาสาร, วิทยาศาสตร์น่ารู้, หนังสือของเฮมิงเวย์, ร้อยป่า ของ อรชร พันธุ์บางกอก ไปจนถึงวรรณกรรมเพื่อชีวิตอย่าง ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์, ฟ้าบ่กั้น ของ ลาว คำหอม, จนกว่าเราจะพบกันอีก ของ ศรีบูรพา ฯลฯ เนื้อนาดินเหล่านี้ส่งให้กล้าอ่อนค่อยๆ แทงยอดขึ้น ผมนึกอยากเขียนกวีขึ้นมาหลังจากอ่านหนังสือ ๓ เล่มซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ในการอ่านของผม ได้แก่ ก่อนไปสู่ภูเขา ของ พนม นันทพฤกษ์, ทางเลือกและฟ้าหม่น ของ คมสัน พงษ์สุธรรม, ในอ้อมกอดของภูผา ของ สำราญ รอดเพชร ผมรู้สึกตกใจที่เนื้อหางานทั้ง ๓ เล่มนี้พูดถึงสิ่งที่ผมเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน นั่นคือที่มาของกวีบทแรก ความจริงที่เป็นไป ตีพิมพ์ใน สยามใหม่ (๒๕๒๓) ขณะที่เขาเรียนอยู่ชั้น ม. ๒ โรงเรียนพัทลุง บทกวีชิ้นนี้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำทารุณของทหารพรานอย่างถึงพริกถึงขิง ระหว่างนี้กนกพงศ์ยังส่งผลงานไปตามที่ต่างๆ และเรื่องสั้นเรื่องแรก ดุจตะวันอันเจิดจ้า ได้ตีพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ขณะเรียนชั้นมัธยมปลาย (๒๕๒๗) นอกจากนั้นยังได้ร่วมก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมสานแสงทองกับพี่ชาย (เจน สงสมพันธุ์) เมื่อปี ๒๕๒๒ ก่อนรวมตัวเป็นกลุ่มนาคร กลุ่มศิลปวรรณกรรมที่โดดเด่นของภาคใต้นับเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถ้าจะมีจุดพลิกผันในชีวิตสำหรับกนกพงศ์ก็คงเพราะหนังสือเล่มที่ชื่อว่า ถนนนักเขียน ของ เออร์สกิน คอลด์เวล (แปลโดย สิทธิชัย ธาดานิติ) ผมว่ามันเป็นพลังอย่างมากที่ทำให้ผมหลงใหลใฝ่ฝันในรูปแบบชีวิตของเขา ผมเริ่มรู้สึกอยากที่จะเป็นนักเขียน และคิดว่าหนทางเดียวที่จะเป็นนักเขียนได้ก็คือต้องทำงานหนัก ต้องเอาจริงเอาจัง หนังสือเล่มนี้เป็นเหตุให้กนกพงศ์หันหลังเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ มาดำเนินรอยตามคอลด์เวล ใช้ชีวิตเป็นนักเขียนเต็มตัว เขียนหนังสือตั้งแต่เช้าไปจรดค่ำ เช้าไปจรดค่ำทุกวัน แล้ววันหนึ่งความฝันก็บรรลุ... เมื่อเขาสามารถแจ้งเกิดในวงการวรรณกรรมด้วยเรื่องสั้น สะพานขาด ซึ่งได้รับรางวัลช่อการะเกดเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๒ และ โลกใบเล็กของซัลมาน ก็ได้รับการประดับช่อการะเกดในปีถัดมา กนกพงศ์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตอนได้ซีไรต์ยังตื่นเต้นน้อยกว่าเมื่อครั้งได้ช่อการะเกดครั้งแรก ซึ่งถือเป็นใบเบิกทางสู่ถนนนักเขียนที่เขาใฝ่ฝัน สุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตบรรณาธิการ ช่อการะเกด ในขณะนั้นย้อนความทรงจำว่า เรื่องสั้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องสั้นคุณภาพที่ผมก็แปลกใจ เพราะขณะนั้นเขายังเป็นนักเขียนใหม่ แต่เขียนเรื่องสั้นได้มีคุณภาพแล้วผ่านเกิดเลย แต่สำหรับนักเขียนช่อการะเกด ผมคิดว่ามันยังไม่ได้พิสูจน์อะไรจนกว่าเขาจะทำงานต่อเนื่อง และกนกพงศ์ก็ได้พิสูจน์สิ่งนี้แล้วจากเรื่องสั้น โลกใบเล็กของซัลมาน ซึ่งผมถือว่าในแง่พลังสร้างสรรค์มีสูงกว่าเรื่องแรก ถ้า สะพานขาด (๒๕๓๔) เป็นงาน สด เปี่ยมไปด้วยพลังในวัยหนุ่ม รวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น (๒๕๓๙) ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นงานตกผลึกของคนหนุ่มที่เติบโตทางวุฒิภาวะเต็มที่ ผ่านการเคี่ยวกรำ ครุ่นคิดทำความเข้าใจชีวิตและสังคมอย่างจริงจัง กนกพงศ์ฝังตัวเองอยู่ในหุบเขาหลวง นครศรีธรรมราช ลงพื้นที่เก็บข้อมูลราวทำวิจัยในรูปเรื่องสั้น เพื่อจะสะท้อนปัญหาของสังคมภาคใต้ทั้งหมด ว่าแท้จริงแล้วนี่คือสังคมที่เราไม่เข้าใจมันเลย นี่คือ แผ่นดินอื่น สำหรับเราที่อยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน และในแผ่นดิน (อื่น) นี้เองที่เรา จะสอนให้เด็กๆ รักสันติได้อย่างไร ในเมื่อเพียงหันหน้าออกนอกห้องเรียน พวกเขาก็เห็นผู้ใหญ่ถือปืนอยู่เต็มสนาม ในขณะที่ความตายของฮารานใน แมวแห่งบูเก๊ะกรือซอ หมายถึงความหวังที่จะทลายกำแพงแห่งความแตกต่างได้ดับสลายลง วิกฤตความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับยิ่งตอกย้ำว่าเราจำเป็นต้องมีคนอย่างฮารานมากขึ้น และนี่เองคือพันธกิจที่กนกพงศ์ยึดมั่นและกระทำผ่านงานของเขา คือการพยายามเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้คนที่ถูกทำให้แตกต่างทั้งทางสภาพเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เขาประกาศว่า มันเป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิตแบบยุคเก่าทีเดียวละ จะต่างก็ตรงที่ว่าลงลึกถึงจิตวิญญาณของผู้คน ลงไปให้ถึงที่เป็นน้ำเนื้อของชีวิต สุชาติ สวัสดิ์ศรี ให้ความเห็นว่า ผมคิดว่ากนกพงศ์ไม่ใช่เพื่อชีวิตในความหมายเก่า เพื่อชีวิตในสมัยรุ่นบุกเบิก รุ่นกุหลาบ สายประดิษฐ์ รุ่นนายผี หรือแม้แต่รุ่น ๑๔ ตุลาแล้ว เขาเป็นเพียงแรงเฉื่อยของคนกลุ่มก่อนหน้านี้ ลักษณะของเพื่อชีวิตก่อนหน้านี้กับเพื่อชีวิตในยุคของเขามันค่อนข้างแตกต่างกันมาก สิ่งที่ผิดไปจากงานรุ่นก่อนก็คือว่าเขามีวรรณศิลป์ในการนำเสนอ ถ้าจะเรียกว่าเพื่อชีวิตก็ไม่ใช่เพื่อรับใช้อะไรแบบตรงไปตรงมา คือเป็นเพื่อชีวิตในลักษณะที่มีศิลปะในการนำเสนอ แล้วมันก็สะท้อนยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยลักษณะการเขียนที่ฉีกไปจากกระแสวรรณกรรมในยุคนั้น กนกพงศ์จัดตัวเองเข้าพวกงานเขียนแบบที่เรียกว่า อัตถนิยมมายา (Megical Realism) ไม่ว่า แม่มดแห่งหุบเขา หรือ น้ำตก (ใน แผ่นดินอื่น) ปาฏิหาริย์ในเรื่องราวเหล่านี้ก็คือเรื่องเล่าขานต่างๆ นานาในวิถีของสังคมเก่าที่เขาได้สัมผัสและเติบโตมา เขามักจะพูดถึงตัวเองในลักษณะที่เป็นอัตถนิยมมายา ในแง่ของเนื้อหา รูปแบบ ดูเหมือนเขาจะชื่นชมไปในทำนองนั้น แต่ผมคิดว่าเขาเป็นตัวของเขาเอง ถ้าจะเป็นอัตถนิยมมายามันก็เป็นลักษณะของพื้นถิ่นภาคใต้ สะท้อนปัญหาของชุมชน ของคนพื้นถิ่นภาคใต้ที่เขาเติบโตมา สุชาติกล่าว ต้นฉบับลายมือบทกวี "บันทึกถึงคนเดินทาง" หุบเขาฝนโปรยไพร เทือกเขาหลวง อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มั่นสุดท้ายของการผลิตงานแห่งศรัทธาและความรัก แม้จะผันตัวเองไปเป็นบรรณาธิการ ไรเตอร์ นิตยสารทางวรรณกรรมที่เข้มข้นอยู่พักหนึ่ง (๒๕๔๐-๒๕๔๑) แต่จิตใจฝักใฝ่ในการเขียนก็ยังพรั่งพรูผ่านแป้นพิมพ์ดีดในบ้านเล็กๆ กลางป่าเขา บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร (๒๕๔๔) คือบทบันทึกตัวตนของนักเขียนคนหนึ่ง ในห้วงยามแห่งการฝนตัวเอง ณ สถานอันลี้ลับ เรียกได้ว่าเป็นอีกภาคของ ถนนนักเขียน ทว่ามิใช่นักเขียนใหญ่แบบคอลด์เวล หลายปีมานี้ผมเกิดความรู้สึกว่างานหนักของนักเขียนไม่ได้อยู่ที่การนั่งตอกพิมพ์ดีดหามรุ่งหามค่ำ ทว่ากลับอยู่ที่การพยายามทำความเข้าใจชีวิตและสังคมเป็นสำคัญ การทำความเข้าใจดังกล่าวดำเนินควบคู่ไปกับการจัดระบบชีวิตตนเอง ประสานความคิด ความเชื่อ และศรัทธาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับกระบวนแห่งพฤติกรรม... ในเมื่อเบื้องหลังของงานเขียนคือชีวิตทั้งชีวิต เบื้องหลังวรรณกรรมคือตัวตนสัมบูรณ์ของนักเขียน สัมฤทธิผลของงานเขียนย่อมมีรากฐานมาจากศักยภาพของชีวิต นี่คือบางถ้อยคำใน แผ่นดินอื่น และถ้าหากเรื่องสั้นซีไรต์เล่มนี้คือการปลดปล่อยพลังทั้งมวลในวัยหนุ่มออกมา รวมเรื่องสั้น โลกหมุนรอบตัวเอง (๒๕๔๘) ก็อาจเปรียบได้กับคนหนุ่มเจนโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่อีกช่วงชีวิตหนึ่ง อาศัยเวลาเกือบ ๑๐ ปีในการกลั่นกรองมุมมองต่อชีวิตและสังคมออกมาเป็นเรื่องเล่าของประเทศนี้ กนกพงศ์กล่าวไว้ว่า เขายังหวัง ให้วรรณกรรมแนวเนื้อหาสาระเช่นนี้ยังคงมีที่อยู่ที่ยืน เบียดแทรกอย่างสอดคล้องกับยุคสมัย และไม่ตาย แม้ซีไรต์จะประดับชื่อของเขาบนทำเนียบนักประพันธ์เรืองนาม แต่จะมีความหมายใดเล่า ทุกวันที่ผ่านมา กนกพงศ์ก็ยังคงเขียนเฉกเช่นที่เคยเขียน ยังคงเดินป่ากรุงชิง แบกฟืนก่อไฟ เป็นวัตรปฏิบัติเฉกเช่นที่เคยทำ ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ เฉกเช่นวิถีของนักเขียนผู้เคร่งครัด เพราะสิ่งนี้เองที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ยกให้เขาเป็น ของจริง ผมพยายามค้นหาสิ่งที่เรียกว่า ของจริง และผมก็พบสิ่งนี้ในตัวเขา คำว่าศิลปินมันคงจะต้องมองตรงนี้ คือวิถีชีวิตกับวิธีปฏิบัติจะต้องไม่ขัดแย้ง จะต้องสอดประสานไปด้วยกัน เพื่อที่จะหลอมละลายสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต กับ ศิลป เข้าด้วยกัน ผมเชื่อแล้วนะว่าเขาฝังจิตวิญญาณของเขาไว้กับงานประพันธ์ ผมคิดว่าถ้าเขายังอยู่ เขาคงจะ ก้าวไปมากกว่าที่เห็น เขาอาจจะเปลี่ยนจากเรื่องสั้นมาเขียนนวนิยาย หรืออาจจะก้าวไปเขียนบทละคร ตรงนี้แหละที่เราเสียดายเพราะว่าเรายังไม่รู้ แต่เส้นทางของจิตวิญญาณที่มุ่งมั่น อุทิศทุ่มเทเพื่อการประพันธ์เชิงคุณภาพ ตรงนี้มันจะไม่เสียเปล่าแม้นว่าเขาจะอายุสั้นก็ตาม กนกพงศ์เริ่มมีอาการป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่มาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครินทร์ จ. นครศรีธรรมราช หลังจากกลับมารักษาตัวที่บ้านได้ไม่กี่วันอาการก็ทรุดลงอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งและพบว่ามีปัญหาติดเชื้อในปอดร่วมด้วย กระทั่งสิ้นลมเมื่อเช้าวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เนื่องจากมีอาการน้ำท่วมปอด โดยที่แพทย์มิอาจยื้อชีวิตไว้ได้ รอยจารึกที่เหลืออยู่คือผลงานที่ไม่มีวันตาย นอกจากรวมเรื่องสั้น โลกหมุนรอบตัวเอง เล่มล่าสุดที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ยังมีรวมเรื่องสั้น คนตัวเล็ก และ นิทานประเทศ มรดกทางการประพันธ์ ๒ ชิ้นสุดท้าย รอการพิมพ์เป็นรูปเล่ม ...ความตายนั้นบางเบาดุจขนนก หากหนักแน่นดั่งภูผา... ขอให้ดวงวิญญาณกนกพงศ์ลอยล่องสู่ทิพยสถาน และวิญญาณแห่งการประพันธ์ของเขาสถิต ณ ยอดเขาหลวงชั่วกัลป์ หยาดน้ำค้างอำลาป่าน้ำค้าง (คารวะ-อาลัยนักเขียนหนุ่มตลอดกาล กนกพงศ์ สงสมพันธุ์) หยาดน้ำค้างพรมหญ้าเป็น ป่าน้ำค้าง หยาดหนึ่งหยดลงกลางป่าอักษร วาวแววแล้วจู่จู่ก็จากจร ราวเร่งร้อนสู่วิมุต-ความหลุดพ้น เป็นตำนานเพื่อชีวิตคนสุดท้าย ค้นความหมายคนและโลก ขลังและข้น ทุกอักษราจึงคงค่าและคงทน บำเรอคนอ่านอิ่มอารมณ์ปอง ทา ปกากะญอร้องว่า นกกาฮังตายตัวหนึ่งไทรเจ็ดต้นหมอง เจ็ดเทือกเขาสร้อยเศร้าเมื่อคราวต้อง สิ้นเสียงร้องของหนึ่งชะนีไพร รู้ข่าวนักเขียนคนหนึ่งจาก เปรียบได้ยากเศร้าจะคลุมไปถึงไหน ปลุกไม่ฟื้นจึงทำใจและเข้าใจ ชีวิตใครก็เปราะบางดั่งน้ำค้าง อ่านกวีส่งพี่สู่ แผ่นดินอื่น นึกอยากคืนก็กลับมาถ้าว่าว่าง ระหว่างนี้ท่องสวรรค์ไปพลางพลาง เทือก บรรทัด คอยนำทางอยู่นั่นแล้ว เคียวจันทร์ คมแสงไท ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
  • -ร้อยแปดพันเก้า-

    11 มีนาคม 2554 10:00 น. - comment id 1187256

    ขอบคุณมากคุณแทนฯ 1.gif
  • โคลอน

    11 มีนาคม 2554 10:19 น. - comment id 1187257

    น่าดีใจแค่ไหน ที่วันนี้เรายังมีศรัทธา... 
    
    ที่ผ่านมาจะเป็นเช่นไร...ช่างเถอะ ! สิ่งสำคัญคือวันเวลาที่เหลือ เรายังคงเขียน...เพราะนั่นเป็นทั้งภาระและพันธะของการมีชีวิต เช่นเดียวกับที่เราต้องหายใจ 
    
    ชีวิตคือสิ่งมหัศจรรย์ และเราหาได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งเราไม่ได้ตายไปพร้อมความว่างเปล่า... ศรัทธาต่อการเขียนชักนำไปสู่ศรัทธาต่อชีวิต และเพราะมีศรัทธาต่อชีวิตนั่นเอง ทำให้เราเขียน 
    
    ^
    ^
    ^
    29.gif29.gif29.gif29.gif29.gif29.gif29.gif
  • ดอกไม้ ใบหญ้า ลำธารใสไหลเย็น

    11 มีนาคม 2554 10:26 น. - comment id 1187259

    กวีก็คือกวี..จริงๆๆ
    
    แต่คนที่เขียนกวีได้..
    
    ต้องมีทั้งอารมณ์สุนทรีย์...
    
    และจิตใจที่ดีงาม....
    
    ...ซึ่งรวมทุกสิ่งแล้วก็คือตัวคุณ(คุณแทน)
    
    เป็นคนอ่อนโยนและอ่อนไหว...
    
    แต่อย่าให้ความอ่อนแอ..
    
    มาทำร้ายนะ...
    
    เคยออกมายืนมองท้องฟ้าเวลาค่ำไหม
    
    ผืนฟ้าก็ผืนเดียวกัน...
    
    แต่ทำไมคนแต่ละคนบอกความรู้สึก
    ออกมาได้แตกแต่งกัน
    
    บางคนบอกเศร้าเหลือเกินไม่มีแม้ดวงดาว
    
    บางคนบอกชั่งงดงามดังกำมะหยี่
    
    เหมือนการมองความรัก..ช่างงดงาม
    
    คุณก็จะได้ความงดงามจากความรัก
    เช่นกัน
    
    เมื่อคุณมองว่าวันนี้มีความสุขจริงๆๆ
    
    คุณก็จะได้รับความสุข
    
    เมื่อใดที่คุณคิดว่าแสนเศร้าเหลือเกิน
    
    คุณก็จะได้รับความทุกข์
    
    รองใช้หัวใจตัดสิน...
    
    ว่าจะรับสิ่งไหนให้เข้ามาในชีวิต
    
    แล้วชีวิตคุณก็จะได้รับสิ่งนั่นกับมา....
    
    เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ
    
    
    
    
    
    16.gif16.gif16.gif16.gif
  • din

    11 มีนาคม 2554 11:05 น. - comment id 1187270

    แล้วใบไม้ ก็ปลิดปลิว ละลิ่วหล่น
    เสียดายคน เป็นกวี ศรีสยาม
    กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ชื่อลือนาม
    จะงดงาม  ดำรงอยู่ คู่แผ่นดิน
    
    ถึงหุบเขา ฝนโปรยไพร จะเปลี่ยวร้าง
    ป่าน้ำค้าง ยังแข็งแกร่ง ดังแผ่นหิน
    รอยอาลัย คงเหลือไว้ ให้ยลยิน
    และถวิล ค้างอยู่ คู่วงวรรณ
    
    
    
  • แก้วประเสริฐ

    11 มีนาคม 2554 13:06 น. - comment id 1187285

    36.gif16.gif36.gif
    
       งานที่เขียนฝากฝันกำนัลฝาก
    แม้นตัวจากงานยังกระจ่างใส
    ดุจมธุรสหวานซ่านผ่านพลิกใน
    สร้างสิ่งไว้คุณค่ายากหาปอง.
    
             คนเราก็เท่านี้ ดีนะยังมีงานเขียนที่
    คนยกย่องไว้เป็นอนุสรน์แห่งความหลัง
    
                16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แทนคุณแทนไท

    11 มีนาคม 2554 22:20 น. - comment id 1187323

    ใครชอบฟังเพลง ผมฝากไว้สักเพลงสองเพลงครับ ด้วยระลึก
    
    http://www.youtube.com/watch?v=kaSWq2ituxc (โดยคาราบาว)
    
    http://www.youtube.com/watch?v=5jx8Wk0ZP5I&NR=1
    
    http://www.youtube.com/watch?v=B5OVCjGbhqM (ฝนโปรยไพร โดยมาโนช)
    
    
    ผมชอบจินตนาการจากกการอ่านและการฟังครับ แถมเพลงที่คิดว่าให้ความรู้สึกเปิดจินตนาการได้ไปอีกแบบเช่นเพลงนี้ คิดถึงใครบางคนที่รอคอย
    
    http://www.youtube.com/watch?v=9VrBMZy3GCM&playnext=1&list=PL8D8FE4C4584BABC5 (15 กรรนิการ์ คอนเสิร์ตระบำสยาม มาลีฮวนน่า)
    
    ผมขอบคุณทุกท่านที่แวะมาระลึกถึงกวีผู้ล่วงลับไปก่อนวัยครับ
    
    ด้วยใจคารวะ
  • love

    12 มีนาคม 2554 13:02 น. - comment id 1187428

    16.gif
  • White roses

    12 มีนาคม 2554 20:47 น. - comment id 1187511

    แวะมาร่วมระลึกถึงบทกวีที่ไม่มีวันตายค่ะ...11.gif36.gif
  • ฉางน้อย

    13 มีนาคม 2554 12:26 น. - comment id 1187621

    อ่านกระทู้กลอนนี้ครั้งแรก แค่กวาดสายตาผ่าน
    
    ต่อมาก็ใช้ใจอ่านอย่างละเอียด
    
    เคยอ่านงานของนักเขียนท่านนี้อยู่เหมือนกัน
    
    แต่ระยะหลังๆ เวลาและหลายๆอย่างไม่อำนวย
    
    ทำให้ห่างหายเรื่องสั้น ห่างหายจากการเอ่าน และการเขียน
    
    แต่ชอบผลงานการเขียนของคุณกนกพงศ์
    ชอบที่เล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษร ผ่านชีวิตวัยเด็กในชนบท คิดถึงตัวเองเนอะ....
    
    ขอบคุณข้อมูลและเรื่องราวดีๆที่นำมาแบ่งปันกันนะคะ
    
    ขอบคุณมากๆนะคะคุณแทนคุณฯ   11.gif36.gif11.gif
  • แทนคุณแทนไท

    13 มีนาคม 2554 14:33 น. - comment id 1187662

    ...๑...
    ความรู้สึกนึกคิด ตีบตัน หาทางไหนก็มิเจอ
    ได้แต่เวียนวนอยู่ใน มโนภาพ และสำนึกอันสุดลิ่มนั้นต่อไป
    
    ห้องหับ 
    รกชื้นไปเสียถนัดใจ
    เพียงไม่กี่รัตติกาลที่จ่อมจมอยู่กับ ความมีอะไรซักอย่าง ที่มิรู้จะหาทางออกเจอ
    
    ฝุ่น ฟุ้งจากชั้นวางหนังสือ
    ฟ้องสถานะ อันถูกละเลยได้ดียิ่งกว่าคำสารภาพไหน
    
    แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อย
    เผยม่านหยากไย๋บนเรือน เทวรูปบูชา
    แทนที่นาฬิกาบอกเล่าวันเวลาที่ล่วงเลย... ถึงมิเนิ่นนาน แต่คงหลายทิวาและราตรีที่พ้น
    เนิ่นช้า อยู่ ณ มโนรู้สึกอันมิอาจก้าวข้ามได้
    
    วินาทีของความเงียบ 
    ถูกแทนที่ลงได้บ้าง เมื่อลมพัดลอดผ่านตีนประตู ที่ใช้อำพรางคฤหาสน์สำหรับซุกหัวนอน  วู่ วูบ...
    แต่ความรู้สึกเหว่หวาดและว้างมิตรสหาย ยังสัตย์ซื่อต่อหน้าที่ ต่อไป
    
    ฝืนตัดความว้างดายนั้น
    หยิบ จดหมายจากนักเขียนหนุ่ม มาเสพย์ถ้อยรสที่คุ้นชิน
    
    บทกวีอีกเล่ม น้อยใจในโชควาสนา
    ตกคว้างลงไปดิ้นทุรน ราวว่าเด็กน้อย ที่ร้องหาความใส่ใจ
    
    ความรู้สึกหล่นหายไปในซอกลึก
    ซบหน้า สะอื้นไห้ สะเทือนใจกับโชคชะตาอันบัดซบ
    
    ซ้ำเติม และ ย่ำเหยียบ ฤทัยน้อย ราวศัตรูที่มาดร้ายหมายให้แหลกยับเป็นธุลีผงไปเสีย
    
    ข้อจำกัด และการไกลเกินของ กายภาพ  ยากจะเยียวยาและประโลมขวัญ รู้สึกนั้น
    
    ทอดถอน 
    ปล่อยให้ความน้อยเนื้อต่ำต้อย  สะอื้นไห้... ร่ำหาเพียงลำพังไปสักชั่วระยะห่าง
    
    พิศเพ่ง
    ฝูงปลาที่เพียรลัดล่องตัดสายน้ำ
    อยู่ภายใต้กรอบรูปซึ่งฉาบทับด้วยแผ่นแก้ว ที่เคยมันวาวของจิตรกรจีน ผู้ไร้นาม
    
    ราชรถดวงแดงกำลังจะลาขอบฟ้า
    สาดทแยงแสงรัศมีสีทองจับกองกระดาษที่ขะยุ่มทิ้งเมื่อหลายวันก่อน
    ความรู้สึกนึกคิดอันไม่ใคร่มีระเบียบ คงวิ่งเล่นอยู่ ในขย่ำกระดาษกำใดสักกำหนึ่งนั้น เป็นแน่
  • ผีเสื้อตัวไม่น้อย

    13 มีนาคม 2554 20:06 น. - comment id 1187741

    เด็กน้อยคนนี้ขี้แยจังเลย....
    
    รอคอยใครอยู่เอย??
    
    บทเพลงมาลีฮวนน่า..
    
    เสียงมีอำนาจและพลังมากเลย..
    
    ต้องสามารถสื่อสารให้คนที่คุณแทน..
    
    ต้องการฟัง...รับรู้และรับฟัง
    
    แน่นอนความหมายของเพลง
    
    คงบอกอะไรได้..แน่ๆๆ
    
    และคงใช้หัวใจอ่านด้วย..
    
    เพราะคุณแทนใช้หัวใจส่งให้เขา
    
    ใช้หรือเปล่า..จ๊ะ
    
    ไม่ต้องร้องไห้แล้วน่า...
    
    โอ๋...โอ๋...
    
    นิ่งเตะ...นิ่งเตะ...นิ่งเตะ....อิอิอิ
    
    (นี่คือการปลอบนิ่งซะ..นิ่งเตะ...555)
    
    
    
    
    
    
    
    46.gif46.gif46.gif
  • ดอกไม้ ใบหญ้า

    14 มีนาคม 2554 09:48 น. - comment id 1187759

    ย้อเย้นกันนะอย่าโกรธ...
    
    ใครจะกล้า.....
    
    เห็นเครียดๆจะได้ขำ ๆ
    
    อารมณ์ดีไงจ๊ะ...
    
    ยิ้มไว้นะ.....
    
    อย่าลืมนะ...
    
    ศรัทธาและเชื่อมั่นในรัก
    
    ไม่มีสิ่งไหนสำคัญ..
    
    มากไปกว่าหัวใจ..ของคนสองคน
    
    ไม่ว่าวันนี้..หรือพรุ่งนี้
    
    จะไม่มีความหมาย...เลย
    
    ถ้าปราศจากความเข้าใจกันและกัน
    
    
    
    
    16.gif16.gif16.gif16.gif
  • วุ้นเส้น

    17 มีนาคม 2554 23:10 น. - comment id 1188170

    "กวียังคงเป็นกวี"
    
    41.gif
  • ไม้หอม

    19 มีนาคม 2554 17:23 น. - comment id 1188273

    มาร่วมระลึกถึงกวีที่ไม่มีวันตายค่ะ
    งานเยี่ยมมากเลยค่ะคุณแทนฯ  กวีไม่มีวันตายจากโลกใบนี้จริงๆค่ะ
  • แทนคุณแทนไท

    27 มีนาคม 2554 20:56 น. - comment id 1188890

    ผมแทนคุณแทนไท
    
    ขอบคุณน้ำใจทุกมิตรภาพที่แวะมาเยือนและระลึกถึงกวีผู้ไมมีวันตาย
    
    ปล. อยากจะตอบเป็นรายท่าน แต่สังขารช่วงนี้ไม่ไหวครับ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน