มังกรรอนภิรมย์

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=219
**********
ใช่เลย..ครับ
ผมชื่อมังกร..
มังกร..ที่ฟื้นจากนิทรา จากฝันร้ายกรายร่าง
กลางกรุงกรง มุ่งค้นหาเส้นทางแห่งชีวีชีวิต
และราวกับได้มาใช้ชีวิตแสนงามราว*โรบินสัน ครูโซ*
กลางเกาะมหัศจรรย์รักแห่งนี้ ที่เพียงยังมิไร้ร้างถึงอย่างนั้น
ที่ผมเองยังคิดว่าราวฝันไปไม่อยากเชื่อเลยว่า*ชะตาฟ้าดิน*
จะบันดาลชักนำให้ผมได้พบฝั่งฝันอันแสนสุขสงบแห่งนี้


ที่มาตรแม้นทุกวันนี้..
จะมีนักเดินทางมายมายตะกายมาจากทั่วทุกมุมโลก
พยายามหนีโศกสับสนมาค้นหาความสุข 
ปลดเปลื้องเหงาทุกข์ดายเดียวกับ
หาดทราย สายลม สองเราและ
กับแสงอาทิตย์สะท้อนเงาทะเลงามสีมรกต
กับพระจันทร์ดวงโต ที่แทบทุกคนต้องร้องโอ้โฮ
ยามได้พบประสบพักตร์ได้ถูกทักทายทายทักในยามราตรียันสว่าง
กลางโค้งอ่าวกับหาดทรายเนียนนวลนุ่มเท้าราวแป้งเนื้อดี
แถมยังมีอาหารอุ่นอุ่นทะเลสดสดรสเลิศให้อิ่มปากอิ่มท้อง
ราวน้องน้องพระราชา..เลยทีเดียว
ขอแค่มีเงินแลกค่าอาหารและค่าบริการซึ่งก็มิได้แพงหูฉี่
แต่กลับจะได้รับอภิสิทธิ์แสนงดงาม..
มากกว่าคนไทยด้วยซ้ำ น่าช้ำใจเสียจริงๆ


และผมค้นพบความจริงบางอย่างว่า
คนเรานั้นไม่มีวันที่จะหลีกลี้หนีพ้นกระแสบ่าโหมของโลกทุนนิยมได้
ที่กำลังพากันกระหน่ำย่ำเข้ามาทั่วทิศทุกทาง
มิว่างเว้นสักตารางนิ้วในผืนดินไทยแล้ว
บนยอดดอย..กลางทะเล ที่เหว่ว้า
ยังอุตส่าห์มีเครือข่าย
ให้ลืมหน้าปลาชั่วคราว
ได้โทรหาน้องนาง เพียงจ่ายเงินงาม
ก็สามารถพูดๆๆๆๆได้
จนลืมว่าสิ้นเดือนต้องกินลมแทนข้าว ทั้งเช้าเย็นไปตามๆกัน..
ทุกถิ่นที่ ทุกประชาชี ประชากร
ยิ่งเหงางันยิ่งงอกงามค่าโทรศัพท์..นับไม่ถ้วนทุกข์เลยทีเดียวเจียว
เป็นการเวียนว่ายอยู่กับเทคโนโลยี่ ที่แสนเสียดุลย์ชีวิต 
มิรู้คิดผิดหรือถูก
..

และมนุษย์ที่ขี้เหงาทั้งนั้นทั้งนี้มากมีมากมาย
ที่ต่างยากจนกระเสือกกระสน
ทนทำงานก็เพื่อไว้แลกค่าน้ำลายส่วนหนึ่ง
มิใช่ค่าใช้จ่ายจำเป็นไว้ประทังชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว
สโลแกนใหม่ต้องบอกว่า
*อดพูดสิถึงตาย
อดข้าวได้หากได้ยินเสียง..หนุ่ม..เสียงนาง..*


นี่คือโลกสดฉ่ำ ธรรมชาติกำลังจะถูกดูดกลืนหายไป 
ไม่มีเวลาที่จะเสพสุนทรีย์
เพราะมีอันต้องถูกแย่งยื้อถือครอง
จากเครื่องประเทืองสมองกลทั้งสิ้นทั้งปวงในโลกเทคโนโลยี่
ที่มีแต่จอจอจอ..จ่อปากจ่อตาแทบทุกนาที
จนจะกลายกันเป็นมนุษย์เครื่องจักร 
เข้าไปทุกวันกันเข้าไปทุกที..แล้ว


ผม..มังกร..คนช่างฝัน คนช่างคิด คนรักลิขิตรจนา
จะขอข้ามขั้นตอนที่จะก้าวก่าย
การใช้ชีวิตของคนเมืองเรืองรุ่งรุ่นปี2004นี้ไป
เพื่อเคารพสิทธิมนุษยชนคนเดินดินด้วยกัน
ด้วยการต้องเคารพความคิดการเลือกใช้ชีวิต การตัดสินใจ
ที่ยังไม่ทำให้ใครเดือดร้อน 
นอกจากโลกเท่านั้นจะร้อนยิ่งขึ้นทุกวัน
เพราะสารกัมมันตรังสีต่างๆที่ใช้ในโรงงาน..
เพื่อสนองวัตถุเหล่าที่มากมีมากมายที่กลายมาเพื่อบริการพลเมืองโลก
ที่นะวันนี้กลับลอยวนในอากาศ
หรือไม่ก็กลายกลับเป็นกากขยะรกโลก 
หาที่ทิ้งได้ยากลำบากจัง


สำหรับผม..ได้แต่หวังและฝัน
ให้มนุษย์หันมาปลูกต้นไม้
รักษาสายธารน้ำใสไหลเย็นไว้
เพื่อถนอมรักษ์ ถนอมโลกให้อยู่นาน 
ได้เกิดมาพบหวานหวังกันมิรู้สิ้น


มิใช่เกิดมาอีกทีมีแต่ดินแดนทะเลทราย..
ไร้ซึ้ง  ละมุนไพร..ละมุนใจ
แต่ทำไงได้นะ..
นอกจากผมจะรำงับใจ ไม่คิดไกลคิดมาก ไม่ฝากหวังใด
นอกจากใจและตัวผมเองที่เป็นเฟืองตัวน้อยๆ
กระจ้อยกระจิ๊บ หวังจะมีคนสักหยิบมือ
ช่วยกันรักธรรมชาติอย่างจริงแท้
แม้ว่าเราจะแค่มาใช้ชีวิตชั่วครู่ชั่วคราวก็ตามที..
ขอแค่อย่าอยู่แบบขอไปทีตัวใครตัวมัน
ทำอะไรได้ช่างฉัน คือไท..แท้..ก็น่าจะพอเพียงเพียงพอ


เอาเถอะนะ
เพราะแค่ผมคนเดียว ความคิดเดียว
กับคนใกล้ชิดไม่กี่คน 
ก็พาให้ใจผมห่อเหี่ยว เหลียวพบเศร้าจะแย่แล้ว
กับการต้องอดต้องทนได้ในบางสิ่งบางอย่าง
ที่เห็นตรงหน้าที่กำลังถูกกระแสบ่าโหมกลืนกิน


ในวันนี้..
ผม..ผู้ชายชื่อมังกร
จึงได้แต่พาตัวเองมานอนเขลง ราวหนีโลก
อยู่ใต้เงาดาว ร้าวดวงใจ
ให้ฝันไพรงามพร่าง
ท่ามกลางไพรรกโตรกธารละหานห้วย
ที่ยังสวยใสเย็นฉ่ำ
ราวมีม่านบังตา รอเวลาคนมาเปิดบริสุทธิ์


ที่ผมแสนหวงโลกใสพิสุทธ์นี้
ราวอยากหยุดป่าใหญ่ไพรกว้างนี้ให้มีไว้ให้ผมเพียงผู้เดียว
เหลียวหาก็ให้เห็นแค่ เก้งกวางค่างบ่างชะนี และ
ได้ยินเสียงดนตรีไพรจากสรรพสัตว์สรรพเสียงธรรมชาติ
ยามกระซิบกระซาบกัน
ให้ผมฟังราวเสียง
ทิพยดนตรีจากสวรรค์วิมานแมนสรวงก็มิปาน


ในยามค่ำ ..
ผมดีใจจังที่ยังได้ยินเสียงน้ำค้างระริน
ได้ยินเสียงสัตว์ป่าก้องร้องคำราม อยุ่ไกลๆ
ได้ยินเสียงนกไพรดุเหว่าหวานแว่ว
ได้ยินไก่ป่าขันกระชั้นถี่ 
ได้ยินเสียงสายน้ำนิรันดร์ในลำธารสายฝันระรินไหลเอื่อยๆ
จากเทือกสวรรค์ไพรไหลซอนเซาะเกาะแก่ง
ซัดสาดแผ่วๆเหนือชานระเบียงไม้
ที่ยื่นลงไปให้ได้สัมผัสงามในยามราตรี 
พร้อมมวลหมู่ดวงดาริกาพาพลีแสงสุกใส
ในคืนฟ้าหนาว ในคืนที่จันทร์เสี้ยวดวงเศร้าแรมดวง
หรือจันทร์งามดวงโตได้โผล่พ้นขอบฟ้าสีกำมะหยี่มาทายทัก 


ที่แทบทำให้ผมอยากหยุดพักหายใจ..และฝันไกล
ว่ามีดวงใจคนดีมานอนซุกไหล่ยิ้มอิ่มเอมในนิทราในอ้อมกอดดาว
กับพราวเดือนดวงนวลดวงงาม ในทุกยามยลเยือน เลยทีเดียว
ยามที่ผมนี้จะเปิดเพลงบรรเลง*ริมฝั่งฝันเนรัญชรา*
มาคลุกเคล้าให้ยิ่งหวานเศร้าดายเดียวดื่มด่ำ ดิ่งด่ำ ล้ำลึก..เป็นยิ่งนัก


และในยามนั้น...
ผมจะหลั่งน้ำตา มิอายฟ้าดินปล่อยให้งามถวิลพร่างสาย
มิอายลิงค่างบ่างชะนี 
ที่บางทีอาจจะแอบจ้องมองทำตากลมโตด้วยสงสัย
ไยผู้ชายชาติไพรถึงไหวครวญถึงหลั่งน้ำตา นะ


เพราะ
สำหรับผม..ค่าน้ำตา มิใช่เพียงว่าเป็นตัวแทนค่า
แค่ความสูญสิ้นเสียใจ หรือผิดหวัง
เพราะทุกคราที่หยาดน้ำตาผมหลั่งระริน
มันหมายถึงความสงบสุขสุดยอดแห่งงามดวงใจใครจะรู้นี้
เป็นความงามที่ผมยากจะตีแผ่อธิบายพรรณาออกมา
เป็นภาษาพูดภาษารจนาเพียงไม่กี่บรรทัด..
เพราะว่ามันคือภาษาใจภาษาจิตวิญญาณ ที่ต้องผ่านการกรองซึ้งซ่าน
ซึ้งซาบด้วยนวลใจดวงละเมียด..ละมุนไหว..พอกัน


คงต้องใช้ภาษาจรัสมลังค่า 
ที่ตีค่าคำเพียงอักษราแค่ไม่กี่คำ
มิมีวันหมดมิมีวันสิ้นถวิลถึงรู้สึกลึกล้ำนี้ได้
เป็นความงามไหวที่ต้องใจเดิมพันใจ
ใช้ใจเสมอใจ จิตเสมอจิต เพียงนั้น
ให้รับซึ้งถึงงามไหวละออ
แตกช่อละมุนกรุ่นกลีบรักพราย
แตกพรายแสงจรัสพร่างได้กลางใจเนียน..นวล..เพียงนั้น..เพียงนี้ 
..

จะมีสักกี่คนที่เราค้นพบในโลกพิภพ
ที่กำลังจะจบโลกแห่งหวานงามลง ในเนื้อใจเนื้อจิต 
มีเพียงแค่คนที่คอยแต่จะคิดจะติดค่าเงินงาม
ชอบความเป็นอยู่หรูหราอลังการเท้าไม่ติดดิน 
วิญญาณไม่  แม้ รู้จักถวิลไพร
 ไม่เคยพบดิน เพราะอาศัยในป่าปูนปานวิมานหอคอย..น่าละห้อยละเหี่ยใจ


สำหรับผม..ผู้ชายชื่อมังกร
พอใจและแสนสุขใจเคารพการตัดสินใจในทุกสิ่งในวันนี้
ที่ผมยินดีเลือกลิขิตเอง 
มิหวั่นเกรงสิ่งใดไม่หวั่นไหวคำคนคำใครพิพากษา 
เพราะว่า..
..

ผมคือผม..ชื่อว่ามังกร..
หัวใจสะออนเกิดมากับเนื้อใจอย่างนี้
ที่แสนภาคภูมิใจ
ยิ่งเสียกว่าคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาเสียอีกนะครับ


ผมรัก จิตวิญญาณไพร..บ้านภายในของตัวผมเอง
ที่พระเจ้าให้มา
พร้อมกับดวงตาดวงที่สามดวงงาม
ที่ผมให้นิยาม
ให้คำอธิบายไม่ได้..กับทุกดวงใจ..


มีเพียง..หญิงหนึ่งหญิงเดียว ในดวงใจในฝัน
ที่มิมีวันมอดดับ รับไฟฝันผมได้ทุกเรื่องราว
และราวกลับ  มีแต่จรุงพร่างสว่างไสว
นำทางใจผมเสมอไปตราบชั่วกาล..เป็นงามชั่วนิจนิรันดร
ไม่มีวันไม่มีคืนไม่มีตื่นไม่มีหลับ..ไม่มีนานนับกัปป์กาลเวลา


มีเพียงหนึ่งเดียว 
ที่เกี่ยวกระหวัดรัดร้อยถ้อยความได้งามงดทุกแง่มุม
ไม่ว่าผมจะกลุ้มจะฝันจะรัก..
สมกับที่ผมรอคอย
และเพียรตามหามายาวนานแทบชั่วชีวาชีวิต
ดั่งพรหมลิขิตสววรรค์แกล้ง..
และมิเสียแรงรักรอ..
ที่ผมเคยพ้อ..เคยกระซิบบอก*สำหรับผมถือเป็นโชค*


และ..
ไม่ว่าร่างใจผมจะอยู่ที่ไหนในหล้าโลกนี้
ยามที่หัวใจดวงงาม
ยามผมได้สัมผัสธรรมชาติ
และทุกสรรพสิ่ง 
ที่แสนงามหรือแสนโศก 
ที่พาใจผมพบโลกเงียบงามใจนิ่งงัน
พาใจฝันลอยควะคว้างท่ามกลางงามเงียบเรียบง่ายสงบสุข


ผมจะ..คิดถึงเธอ 
อยากกระซิบริมแก้มและบอกความงามนั้นแด่เธอให้เพ้อตาม
ในท่ามกลางดวงดอกไม้ปลิดกลีบหวาน
ที่พากันบานตระการพรั่งพรายสยายกลีบรับฤดูร้อน
ที่มีทั้งชมพูพันทิพย์ ละลิ่วลิบ
ตะแบกม่วงควงพลิ้วพราย


ปาริชาตแดงฉายฉาดแสงแรงก่ำ 
คูนพิร่ำพิไรราวสายฝนสีทองห่มห้อมหอมใจ
ที่พาให้ดวงใจผมดวงฉ่ำซึ้ง
ถึงกับตะลึงลานกับทุกเรียวหวานละมุน
ที่กำลังปลิดกลีบพร่างร่วงควะคว้างตามแรงลมพรมพราย..


ให้ผมต้องแหงนเงยค้างแล้วเงียบงัน
ในขณะที่แทบทุกคนจะพากันเดินผันผ่านเฉย ราวไร้อารมณ์
ไม่รู้ด้วยซ้ำเท้าตัวเองกำลังย่ำบน
พรมลายดวงดอกไม้ละมุนม่วง ควงสายปลิวละล่อง
ราวพรพรหมประทาน  หวานแสนหวาน  เกินจะเปรียบประมาณ..


และดังนี้..ประมาณนี้
เธอ..จึง..เป็น คนดี คนเดียวในดวงใจ
ที่ผมไม่เคยผิดหวัง
ทุกคราที่ร่างเราไกลกันดั่งดวงอาทิตย์ไกลกลางคืน..
ผมก็ยังได้ชื่นได้ฉ่ำใจ
จากหยาดน้ำคำดั่งหยาดน้ำฝนพรมพร่างกลางใจ
หล่อเลี้ยงดวงใจให้หอมใสหอมเย็นเสมอมา..ทุกคราคราว..


และ
แม้กระทั่งฉาก...
ที่ผมพบภาพโหดร้าย สลดใจ 
เมื่อหัวใจผมพบผู้ยากไร้สิ้นหวัง
ที่ทำให้พลังใจผมท้อแท้ ด้วยมิอาจจะแก้ได้..ช่วยได้..ดั่งใจคิดอยากให้เป็น
ผมก็ยังมีเธอ ผู้มีใจดวงงาม 
พลีพร้อมจะเคียงข้างรับรู้ทุกข์ทน
ที่เราสองคน
อยากหยิบยื่นน้ำใจรักหลั่งรินเมตตาตามประสาเพื่อนมนุษย์..ให้.


ผมจึงมีความสุขกับความฝันแสนงาม
กับเธอคนดี ในดวงใจ ที่ผมใฝ่ที่ผมฝัน
และบางครั้ง ผมคิดว่าราว*มหัศจรรย์รักก็มิปาน*..
ที่ผมอาจหาญ กล้าเผชิญความดายเดียวเปลี่ยวเหงาในชาตินี้ 
เพื่อพลีรอ เมตตาจากฟ้าดินในชาติหน้าในภพหน้า ท่ามี


ผมจึงมีความสุขทุกอณูนึก
และในทุกยาม กับความงามเงียบ
กับเสียงธรรมชาติไพรที่ดวงใจเพรียกหา
เสียงใบไม้ป่าร่วงหล่น
เสียงผมย่ำเท้ากรอบแกรบลำพังในราวไพร
เสียงลมพัดไหวเหว่ว้าวู่หวิว..
เสียงดอกไม้ปลิดกลีบปลิว
ลอยตามสายธารแสนสวยแสนใสฉ่ำเย็น


ทุกเสียงที่ระรินจากงามง่ายงามเงียบ
ยามที่ลัดเลาะเลียบไปตามเทือกเขา ลงสู่ห้วยละหาน
ที่หวานสายใสไหลซัดเสาะเกาะแก่งหิน
ที่ทิ้งตัวโยนลงมาจากผาสูง
สีนวลพร่างกระจ่างขาว
ราวสายน้ำนิรันดร์จากสวรรค์สรวง..เลยทีเดียว


ให้เห็นกรวดทราย
ใต้พื้นน้ำงามพราวราวเพชรพร่างราวมณีล้ำค่า
ที่บางครา
ผมต้องพาตัวเองลงแหวกว่าย
รับสายซัดเย็นดับร้อนผ่อนใจ
ได้แย้มย้มกับมวลพฤกษ์ไพรพนา
ที่หลิ่วตาล้อร่างเปลือยเปล่า ของผมยามเหงาใจ 
และต้องรักษาผ้าให้แห้งไว้
ก่อนจะกรายร่างลงไปริมทะเล
เพื่อหาข้าวปลาภักษาหาร
มายังชีพชอบประกอบปากท้อง*นักอยากจะเขียนเพียรรจนา*


ที่บางคนกล่าวขวัญในทางลบ
ที่ผมสยบข่าวลือแบบปิดปากเงียบ 
ราวบุรุษไพรในความคิดทิ้งปริศนาน่าสนใจใคร่รู้
และแนวโน้มดูดูจะพิพากษาแนวเดียวกัน
 *ไม่บ้าก็บ๊องส์ น้องน้องสมทรงเมียฟัก*


เพราะลงมาแค่ขอซื้อกับข้าว
กับข้าวของจำเป็นพอยังชีพได้นานนับเดือนในบางที
ที่จะมีสิ่งขาดไม่ได้นอกจากข้าวสารอาหารสดแห้งแล้ว
ก็คือเทียนกับน้ำมัน


ที่ใครๆพากันบอกว่า 
ทำไมต้องผันตัวเองไปลำบากลางป่าเขาประมาณนั้น
ทั้งๆที่ริมฝังทะเลฝันอีกด้านนั้นแสนเรื่องรุ่ง 
สนุกกันได้ยันรุ่งสว่างหากเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง
โชติช่วงชัชวาลย์
ปานประหนึ่งสวรรค์สรวงที่เลยล่วงด้วยการเต้นๆๆเต้นกัน
อย่างเมามันส์ ดื่มกินมิอั้นมิอิ่มจนอรุณรุ่งอุ่นไอ
ให้เหลือร่างราวอุสภยามหมดแรง..
นอนกอดก่ายเกยกัน..ช่างน่าเวทนานัก


เพราะคิดอย่างนี้ใช่ไหมเล่า...
 ชีวิตผมจึงมิได้ถูกดูดไป
ราวแมลงเม่าบินเข้าไปหลงไฟโลกย์โลกีย์เผาผลาญ 


หากหัวใจดวงหวานดวงดีรู้รำงับได้ 
และใช่...เลย..
ผมทนทุกสายตาที่เป็นคำถามได้เสมอ
หากชีวิตผมยังพอใจสุขใจ
ที่จะเหลือโลกส่วนตัวไว้งามเงียบในใจลำพัง
มิหวังวุ่นวายวนเวียนกับผู้คนกับคำคนคำใคร
ที่ร้อยพ่อพันแม่ทั้งแย่และดีปะปนคนคนคนกันเข้ามา


บางครา..บางราตรี 
ที่มิใช่คืนหมาหอนคืนพระจันทร์เต็มดวง
ผมจะพาร่างไต่เขาลัดเลาะลงมาเสพสุนทรีย์
ที่ชายหาดกว้างไร้ร้างผู้คน
กับเจ้าผักกาด
ที่ชอบอาบน้ำทะเลกลางแสงจันทร์พร้อมกัน


และเราจะพากันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างแสนสนุกสุขใจ
ผมจะมานอนนับดาริกาพรายพร่างกระจ่างดวงสุกใส
ดวงโต  ที่ดูใกล้เสียจนราวจะคว้าไขว่ได้  
ช่างใกล้แสนใกล้  ราวแค่เอื้อม..เสียจริงๆ


และจะก่อกองไฟ เพื่อฟังเสียงฟืนหอมปะทุ
อาจจะมีปลาทะเลเสียบย่าง
เป็นอาหารค่ำอันล้ำรสสดจากทะเล..


ผมจะนอนฟังเสียงเห่กล่อมของคลื่นทะยอยทอยทอดสาดซัดฝั่ง
ฟังเสียงสะอื้นครางครวญของสนซัดส่ายใบ
ฟังเสียงมะพร้าวไหวเล่าเรื่องราวพรานทะเลที่หายสาบสูญไป
ให้นางรอ
ฟังเสียงทรายพ้อต่อว่าคราคลื่น
ที่ซัดสาดหาดทรายคล้ายหันหลังลาลับมิกลับมายืนยาว
เพียงชั่วครู่ชั่วคราวระลอกแล้วระลอกเล่าราวไร้อาวรณ์อาลัย


ดูประภาคารกลางทะเล
ที่เงียบเหงารอนำทางใจผู้หลงทางห่างฝั่งฝัน
ดูทุ่นแห่งความฝันลอยพะเยิบพะยาบ บอกทิศทาง
อย่าได้อ้างว้างเข้าอ่าวอารมณ์ให้ถูกช่อง..ล่องเรือให้ถูกทิศ


ดูดาวเหนือกระพริบดั่งเข็มทิศแด่ผู้พรากฝั่ง
รอนแรมห่างตาเหว่ว้าห่างฝั่งราวดายเดียวเดียวดายปลายโลกร้าง
และจะรอจนกว่าน้ำค้างยามดึกจะกระทบร่างจนหนาวสั่น
ถึงจะหันหลังลากลับกระท่อมไพร..ไปอีกคืนอีกครา
..

ในยามตะวันรอนรอนอ่อนอ่อนแสง
รอเวลาสายัณห์ตะวันลาลับเหลี่ยมเขา
ทิ้งเงาโศกไว้เบื้องหลังในใกล้ค่ำย่ำรอต่อราตรีหนึ่ง


นะที่ผมนั่งอยู่ตรงเนินผาเหมือนเดิม
พลันเห็นควันไฟสีเทาลอยอ้อยอิ่ง
ทิ้งแสงสวยรำไรรำไร
ราวเรียวเมฆหมอกหม่น
โผล่พ้นยอดไม้เบื้องล่างห่างกระท่อมไพรผมไม่ไกลนัก
กับตะวันสีไพลชิงพลบ กับงามสงบสุขแบบทุกวัน


นาทีนั้นผมรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า ..
ผมมีเพื่อนไพรหัวใจดวงคล้ายกันแล้ว
กลางหุบเขาไพรพะงันในยามนี้
ที่หายากยิ่งนักราวงมเข็มในมหาสมุทร


ใจผมตึกตัก ตึกตัก นึกรักเจ้าของกระท่อม
ตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวเสียด้วยซ้ำ
ที่ยอมมาใช้ชีวิตดิบเดิมแบบเดียวกัน..


ที่พลันผมค่อยๆพาตัวเองลัดเลาะป่าละเมาะ
และลำห้วยลงมาทายทักฉันท์มิตร


ผมพาตัวเองมายืนหน้าบ้าน
สีเทอร์ควอยซ์ที่มีเชิงชายเป็นลายลูกไม้อ่อนหวาน
มายืนแอบรับอวลหอมงามของดวงดอกไม้ไทย
ได้กลิ่นปีบหวานใสพร่าง
และท่ามกลางเสียงนกไพรร้องรายรอบ
กับโลกสีไพล
ที่พรายตะวันดวงไสวกำลังหรี่แสงสลัวสลัวเลือนลาง
ร่างงามหนึ่งพลันปรากฏกาย
ดูสว่างกระจ่างพร่างพรายใจแม้นในความมืดมน


เธอ..ผู้งามล้ำล้นราวเทพธิดา นางไม้ นางฟ้า 
ที่พาให้หัวใจผมแทบหยุดเต้น
นิ่งอั้นงึมงำหาคำทายทักเธอเพียงสักคำมิได้เลยแล้ว


เธอ..เป็นฝ่ายส่งยิ้มหวานเศร้าละมุนมาให้
และบอกว่า  มีคนเล่าว่า
ผมมาอยู่ก่อนหน้าแล้วแถวนี้
ที่เธอแสนยินดี และโชคดี 
ที่มีเพื่อนบ้านในท่ามกลางป่าแห่งนี้
ที่ได้รู้จักกันไว้ อย่าง
ผู้รู้รักไพรพงเฉกกัน...


และ
ในท่ามกลางแสงแห่งตะวัน
ที่จับงามพรายใบหน้านวลละออละอองผ่องผุด
ราวภาพวาดอาบทองทา
ผมคิดถึงบทกวีที่อยากอ่านให้เธอฟังว่าดังนี้..
*เหมือนอย่างตอนที่พระรามเห็นนางลอยปลอมมา
แล้วพระรามคลั่งเสียดายเมีย ผวาวิ่งประหวั่นจิต 
เทียบนางสีดาว่า..*
*มาตรแม้นจะหาดวง วิเชียรช่วงเท่าคีรี
หาดวงพระสุรีย์ศรี ก็จะได้ประดุจใจ
หาโฉมให้เหมือนนุช จนสุดฟ้าสุราลัย
ตายแล้วเกิดใหม่ ก็ไม่เหมือนเจ้านฤมล*


เธอผู้งามดั่งหยาดจันทร์เย้ยหล้า
ยิ่งงามกว่างามเมื่อผมได้ยินเสียงเธอ
แว่วหวานระรินสู่ดวงใจอันแห้งผากนี้
ที่ไม่เคยได้ยินเสียงอิสตรีใดมาแสนเนิ่นเกินนับ
หัวใจผมพองโตกับความดีใจในเมตตาที่ฟ้าดินบันดาล
ส่งเพื่อนไพรที่งามดวงใจงามดิบเดิมติดดินมาให้ผมได้รู้จัก


แม้ว่า
ระหว่างเรานั้น
แค่มองตาผมก็รู้ว่า
ผมพบอะไรบางอย่างที่แอบแฝงแรงรักเศร้านะกลางใจ
และแสนน่าแปลกใจ


ว่าไยกันเล่า..
ดวงตาหวานเศร้าคู่นั้น
ราวกับกำลังสะท้อนดวงตาดวงใจของผมเอง..
ที่ชาตินี้
หัวใจดวงหนักแน่นซื่อตรงยังคงยอมบรรเลง
บทเพลงแห่งชีวิตบทเพลงแห่งรักได้แค่บทเพลงเดียว..				
comments powered by Disqus
  • ผู้หญิงไร้เงา

    29 มีนาคม 2547 22:15 น. - comment id 238293

    วันนี้มังกรไม่นิทราแล้วนะค่ะ อิอิ แต่งได้ดีค่ะ มาชื่นชมผลงานนะค่ะ
  • ชัยชนะ

    29 มีนาคม 2547 23:30 น. - comment id 238348

    กระท่อมน้อยกลางป่า ในที่สุดพญามังกรคงจะคาบแหวนเพชรแน่แท้งานนี้
    ก็ไปค้นพบจนได้
    
    เห็นเขียนหลายครั้ง เท่าที่จำได้ มีเพียงนางพญาอยู่คนเดียว
    
    ก็ชอบที่เรื่องราวจบลงที่พระเอกนางเอกได้พบกันสักทีนะครับ
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน