5 กรกฎาคม 2546 19:26 น.

ดอกไม้ในตะกร้า ดอกหญ้าริมทาง (#2 เปิดเรียน)

ขุนหาญ

     เปิดเรียนวันแรก  ทุกคนพากันวิ่งวุ่นอยู่กับห้องเรียนใหม่  แต่ธิดากลับยืนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าโรงเรียน  เธอกำลังมองหาใครบางคนด้วยใจจดใจจ่อ  สักพักใหญ่ก็เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ
     พี่วิทย์  ทำไมมาสายจังเลยวันนี้
     อ้อคือว่าติดธุระนิดหน่อยนะ
     นี่  ดาไปเที่ยวที่บ้านยายมา  บรรยากาศดีมากเลย
     เหรอ?  พี่ซิแย่เลย  ช่วงปิดเทอมไม่ได้ไปไหนเลย  ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน
     ปีนี้เราก็ขึ้น  ม.5 กันแล้ว  เตรียมตัวเอ็นฯได้แล้วนะ  เล็ง ๆ ไว้ยังว่าจะเลือกเรียนอะไร..?
     ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เรียนต่อหรือเปล่า!
     อ้า.ว  ทำไมล่ะพี่วิทย์ก็ออกจะเรียนเก่งจะตายไป
     วิทย์ทำหน้าละห้อย  พร้อมกับถอนหายใจยาว ๆ  เงยหน้ามองอาคารเรียนด้วยสายตาเศร้า ๆ
     พี่ก็อยากจะเอ็นฯเหมือนกัน  แต่ติดอยู่ที่พ่อแม่ของพี่ท่านอายุมากแล้ว  ก็เลยอยากช่วยดูแลกิจการของท่าน
     บ้านของวิทย์นั้นทำกิจการร้านอาหารเล็ก ๆ  เขาเป็นลูกคนสุดท้อง  จากทั้งหมด 3  คน  แต่พี่ ๆ  ของวิทย์แต่งงานกันหมดแล้ว  ทุกคนก็มีการงานทำกันหมด  ไม่มีใครอยากมาสานต่อร้านอาหารกระจอกอย่างนี้  ในขณะที่วิทย์นั้นเติบโตมากับร้านนี้  เขาไม่อยากปล่อยให้ร้านนี้ต้องมาจบลง  แลกด้วยการได้เรียนมหาวิทยาลัย
---------------

     ในโรงอาหารโรงเรียน  ซึ่งดากับวิทย์มักจะมาทานข้าวด้วยกันเป็นประจำ  วันนี้ก็เช่นกัน  ทั้งสองก็มาทานอาหารกันเป็นปกติ  แต่สักพักก็มีกลุ่มหนุ่ม ๆ  6  คนเดินมาที่โต๊ะของทั้งสอง  ป๋อง  เจี๊ยบ  เก็ก  โอ  บิ๊ก  และกันต์  ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม  ทั้งหกเรียนอยู่ ม. 5/3  แต่วิทย์กับดาอยู่ห้อง  5/1
     น้องดาจ๊ะ  วันนี้ตอนเย็นไปดูหนังกับพี่มั๊ย
     กันต์กล่าวชักชวนดา  วิทย์หยุดทานข้าว  ส่วนดาไม่พูดอะไรได้แต่นั่งเงียบไม่สนใจ
     แหมวันนี้น้องดาน่ารักกว่าทุกวันเลยนะครับ
     กันต์พูดต่อ  หลังจากเห็นดาไม่สนใจ  คราวนี้ดาหันมามองค้อนพร้อมกับพูดกระแทกใส่
     นี่ไอ้คุณพี่กันต์  วันนี้ว่างนักหรือไงฮ่ะ  ถ้าอยากไปดูนักก็พาพวกห้าตัวที่อยู่ข้างหลังไปดูซิ  ดาไม่ว่าง
     ป๋องได้ยินดาเรียกพวกมันว่าตัวก็พาลโกรธขึ้นมา
     อ้าว  อีนางนี่พวกข้าไม่ใช่หมานะเว้ยมาเรียกว่าเป็นตัว
     เหรอ  นึกว่าใช่
     ปากดีนัก  เดี๊ยะ
     กันต์หันไปมองป๋อง    เฮ้ยอย่าพูดคำหยาบใส่น้องดาข้าสิเว้ยไอ้?
     ดาได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับ  ใครน้องดาเอ็ง  อย่าปากพล่อยซิ
     วิทย์ที่นั่งเงียบอยู่นานลุกขึ้นพรวด  ทำเอาพวกไอ้กันต์ขยับถอยไปคนละก้าว  วิทย์มองมาที่พวกไอ้กันต์  ด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก
     ไอ้กันต์  เอ็งก็เห็นแล้วนี่ว่าน้องดาเขาไม่ว่าง  สาว ๆ  อื่นก็มีตั้งเยอะแยะ  ไม่ไปชวนว่ะ
     อาราย ๆ  ไอ้วิทย์  ข้าไม่ได้พูดกะเอ็ง  ยุ่งอะไรด้วยว่ะ
     คนอื่นข้าไม่ยุ่งหรอก  แต่สำหรับดา  ต้องผ่านข้าไปก่อน
     หนึ่งต่อหกน่ะ  ฮ้า. ๆ ๆ  เอิ๊ก.  เอ็งบ้าอะป่าววะ...
     พี่วิทย์คะ  อย่าไปสนใจพวกนี้เลย  ดาว่าเราไปที่ห้องเรียนกันดีกว่านะ
     ดาเห็นท่าไม่ดีรีบดึงมือวิทย์เดินออกไปจากโรงอาหาร  ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงเยาะเย้ยของพวกไอ้กันต์
     ฮ้า ๆ ๆ  ไอ้วิทย์  โธ่เอ้ยแกก็ไอ้ขี้ขลาดล่ะหว้า  แน่จริงมาซิเว้ยฮ้า ๆ ๆ
-----------------------
				
5 กรกฎาคม 2546 18:24 น.

ดอกไม้ในตะกร้า ดอกหญ้าริมทาง (#1 เสน่ทุ่งหญ้า)

ขุนหาญ

     ธิดา  สาววัยแรกรุ่นอายุประมาณ  16  ปี  น่าตาน่ารัก  ผิวขาว  เธอกำลังตื่นเต้นดีใจที่ได้มาพักตากอากาศที่ชนบท  หลังจากช่วงปิดเทอม  ว่าแล้วเธอก็ทิ้งตัวลงนอนบนผืนหญ้า  กางแขนกางขาอย่างสบายอารมณ์
     เป็นไงลูก  พ่อของเธอถาม  แล้วอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
     ปีหน้าหนูอยากจะมาพักผ่อนที่นี่อีกจังเลย
     ได้ซิ.แต่ต้องถามแม่เขาก่อนว่าอยากจะมาหรือเปล่า?
     แหม.อะไร ๆ  ก็ต้องตามใจแม่ทั้งหมดเลยนะพ่อนี่  กลัวแม่หรือไง
     เปล่า  ก็ที่นี่เป็นบ้านเกิดของแม่หนูนี่จ๊ะ
     พ่อตอบพลางเอามือขยำหัวของเด็กน้อยด้วยความหมั่นไส้ในความยอกย้อนของเธอ  ทั้งสองคนวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าด้วยความสนุกสนาน  จนตะวันอัศดงจึงได้พากันกลับที่พัก  
     ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนก็จริง  แต่ที่บ้านของยายเธออยู่ในแถบที่มีป่าปกคลุมเยอะ  จึงทำให้มีฝนตกมาตลอด  ที่หลังหมู่บ้านจะมีทุ่งหญ้าซึ่งกว้างมาก ๆ  บรรยากาศสดชื่นวิวทิวทัศน์ก็ดี  เพราะอยู่ติดกับภูเขา  ดากับพ่อมักจะมาเล่นที่นี่เป็นประจำ
     ณ  ระเบียงบ้านไม้ยามค่ำคืน  ดานอนหนุนตักยายฟังเสียงธรรมชาติรอบ ๆ  บ้าน  บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวระยิบระยับ
     ยายจ๊ะยายอยู่ที่นี่ไม่เหงาเหรอ?
ยายแก่หนังเหี่ยวย่น  อายุประมาณ  80  กว่า ๆ  ยิ้มพร้อมกับลูบหัวหลานเบา ๆ  ด้วยความเอ็นดู
     ดาหลานรัก  ธรรมชาติไม่เคยทอดทิ้งกันหรอกนะ
     ยายหมายความว่าไงจ๊ะ  ดาไม่เข้าใจเลย
     คนเราก็เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ  ยายอยู่ที่นี่มานานแล้ว  อยู่กับธรรมชาติ
     ยายหยุดพักหายใจพักหนึ่งก็กล่าวต่อว่า
     ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายเรา  ธรรมชาติเป็นมิตรกับทุกสรรพสิ่ง
     แล้วที่น้ำป่าไหลหลาก  ทำให้ผู้คนตายเป็นจำนวนมากล่ะยาย  ไม่ใช่ผลของธรรมชาติหรอกเหรอ..?
     ยายยิ้ม  พร้อมกับพูดว่า
     นั่นเพราะว่าคนไปทำร้ายธรรมชาติก่อนไงล่ะ  เป็นเพราะธรรมชาติถูกทำลาย  ผลที่ตามมาจึงเป็นเช่นนั้น
     อืมจริงซินะ
     ความเหงาไม่เคยมี  มีแต่ความต้องการต่างหาก
     ยังไงยาย
     เช่นคนที่มีความรัก  เหงา  เพราะต้องการความรัก  ทั้ง ๆ  ที่แต่ก่อนก็ไม่เคยเหงา
     โอ้  โห่  ยายนี่คมจริงเลย
     ยายยิ้ม  ดาก็ยิ้ม  ทั้งสองคนอยู่ที่ริมระเบียงคุยกันถึงความงามของธรรมชาติ  จนดาหลับคาตักยาย  ยายจึงปลุกให้ไปนอน  เป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน  จนถึงวันสุดท้ายที่จะกลับกรุงเทพฯ
     ตื่นได้แล้วลูกดาสายแล้วนะ  
แม่ของเธอมาปลุกแต่เช้า  เนื่องจากหลายวันมานี้  เธอมักจะวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้าบ่อย ๆ  และฟังยายเล่าอะไร ๆ  ให้ฟังทุกคืน  จึงตื่นสายเป็นประจำ
     ค้.า.แม่.ตื่นแล้วอื้อ
วันนี้เราจะกลับกันแล้วนะ  รีบอาบน้ำอาบท่าเร็วเข้า
     หลังจากทานข้าวเช้ากันแล้วทุกคนก็ร่ำลากัน  ดาโอบกอดยายด้วยความอาลัยแล้วก็ขึ้นรถเก๋งคันงามเดินทางกลับกรุงเทพฯ  ในระหว่างทางก็มีเสียงโทรศัพท์มา
     สวัสดีค่ะ  วิทย์เหรอพ่อค่ะเบา ๆ  หน่อยค่ะหนูจะคุยโทรศัพท์
     คุณพ่อเอื้อมมือไปหรี่เทป  พร้อมกับมองค้อนมาที่ธิดาแว๊บหนึ่งแล้วก็หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป
     ทั้งสองคนคุยโทรศัพท์กันอย่างสนุกสนาน  เพราะเป็นเพื่อนสนิทกันมาก  ตั้งแต่เรียนชั้นประถม  จนบางครั้งก็ดูเหมือนพี่น้องกัน  บ้านก็อยู่ใกล้กัน  จึงไปเรียนด้วยกันเสมอ ๆ
     ดาซึ่งเป็นคนน่ารัก  และสดใสเหมือนดอกไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของ  ตอนนี้เธอกำลังงามสะพรั่ง  เป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ  ในโรงเรียน  แต่กับวิทย์แล้วไม่เคยเลยที่จะจีบเธอเหมือนคนอื่น  เขาให้ความรักความอบอุ่นเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง  เพราะทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน  ครอบครัวทั้งสองก็เห็นเป็นเช่นนั้น.				
25 ตุลาคม 2545 18:36 น.

วิญญาณ+ความรัก+ความรู้สึก.com #1

ขุนหาญ

     E-mail จากวุธ  เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี  ชั้น ม.5  เขียนถึงเพื่อนสาวที่ติดต่อกันทางเน็ต
เธอชื่อณี  อายุ 16 ปี ชั้น ม.5  เช่นกัน  แต่อยู่คนละโรงเรียน  คนละจังหวัดด้วย
เขาและเธอติดต่อกันมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว  โดยวุธเป็นคนเริ่มก่อน  หลังจากรู้จักกัน
ทางเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง  อันที่จริงตอนแรกวุธคบหลายคน  แต่มาระยะหลังเริ่มเบื่อ
กับคนอื่น ๆ  เพราะคุยเข้ากันไม่ค่อยจะได้  จะมีก็แต่ณีเท่านั้น  ที่คุยถูกใจที่สุด
เขาและเธอไว้ใจกันมาก  มีอะไรก็มักจะมาระบายให้กันฟัง  คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
วันเวลาผ่านไปก่อให้เกิดความผูกพันธ์อย่างลึกซึ้ง.......^o^

.....ในห้องสมุดโรงเรียนปทุมวิทยา.....
     ณีเปิดอ่านเมล์ของวุธ  ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"แหม....อารมณ์ดีจังเลยนะวันนี้  มีอะไรพิเศษแน่ ๆ เลย"  ฟ้า เพื่อนของณีแซวมาแต่ไกล
"ก็...ไม่มีอะไรหรอก" ณีทำหน้าค้อนใส่พร้อมกับแอบยิ้มนิด ๆ
"แน้....ยังจะปากแข็งอีก  อีตาวุธส่งคำหวานมาอ้อนแน่เลย  ไหนดูซิ"  ฟ้าก้มหน้าไปจ้องที่คอมฯ
"ไม่เอาเดี๋ยวจะปิดแล้ว  ไปเว็บอื่นแล้ว"  ณีพยายามขยับเมาท์จะกดไปเว็บอื่น  แต่ไม่ทันฟ้าจับไว้ก่อน
"อ้า....พรุ่งนี้จะมีของขวัญส่งมาให้  แหมช่างน่าอิจฉาจังเลยนะ  มีคนคอยห่วงใยเอาใจอย่างนี้
ถ้าเป็นเรานะ  รักตายเลย"  ฟ้าพูดเชิงน้อยใจ  ทำเอาณียิ้มแก้มปริ...

.....ช่วงค่ำวันเดียวกัน  ที่บ้านณี.....
    ในห้องนอนอันแสนเงียบ  เวลาประมาณ  4 ทุ่มเศษ  คนทั้งบ้านนอนหลับหมดแล้ว  แต่ณี....ยัง
ไฟบนเตียงนอนหรี่แสงอย่างเบาสุด  เธอนอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน  พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยม
ด้วยความสุข  ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันที่หนาวเหน็บ  แต่สำหรับเธอ....มันช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน

.....ช่วงค่ำวันเดียวกัน  ที่บ้านวุธ.....
     ส่วนฝ่ายวุธนั้นก็ไม่ต่างอะไรกัน  คงนอนยิ้มพร้อมกับมองดวงดาวบนท้องฟ้า  ที่ดูระยิบระยับ
เหมือนดั่งมีชีวิต  เขาและเธอมีความรู้สึกที่เหมือนกัน  ต่างก็ส่งใจคิดถึงกันตลอดทั้งคืน.........

.....และแล้ว....ค่ำคืนอันแสนอบอุ่นของสองหนุ่มสาว  ท่ามกลางลมหนาวก็ผ่านไป......

4 ม.ค. 44
.....ที่โรงเรียนบัวทองวิทยา.....
     "เฮ้ย....วุธ  มี ส.ค.ส.  ถึงเอง  อะนี่"  นัทเพื่อนของวุธไปหยิบ  ส.ค.ส. จากกล่องหน้าห้อง
มาให้  วุธทำหน้าเฉย ๆ  พร้อมกับพูดว่า  "เออ....ขอบใจเพื่อน  วางไว้นั่นแหละ"  แล้วอ่านหนังสือต่อ
"อะไรวะ  ทำไมเราไม่มีบ้างวะ"  นัทบ่นเพราะหาไม่เจอ  ส.ค.ส. ของตัวเอง  แล้วก็เดินจากไป
พอลับตานัทแล้ว  วุธรีบหยิบ  ส.ค.ส.  ขึ้นมาทันที  พร้อมกับยิ้มด้วยความดีใจ  "ส.ค.ส.จากณี  มีจดหมายด้วย"....?

.....ตอนเย็นเวลาเลิกเรียน.....
     วุธรีบถีบจักรยาน  ด้วยหวังจะได้กลับบ้านเร็ว ๆ  เพราะจะได้กลับไปอ่านจดหมายของณี  ถึงสี่แยก
วุธมัวแต่ดีใจ  จนไม่ทันมองซ้ายมองขวาให้ดีเสียก่อน  เขารีบถีบจักรยานฝ่าไฟแดง.........*=*
เอี้ยด.......โคร้ม.....ม  รถสองแถวซึ่งวิ่งด้วยความเร็ว  ชนร่างของวุธกระเด็น.......
คนมามุงดูร่างของเด็กชายด้วยความสลด........
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด  กระเป๋านักเรียนกระเด็นไปอีกฟากของถนน
สมุดและหนังสือปลิวไปทั่วถนน
... ส.ค.ส. ของณี  ตกอยู่ข้าง ๆ กระเป๋า  กับจดหมายอีกฉบับ ...

   (เนื้อหาในจดหมาย)
   สวัสดี วุธ
   เราได้ส่ง  ส.ค.ส. มาให้เธอแล้วนะ  เธอรู้ไหม  ว่าเธอคือคนที่ทำให้เรามีความสุขมาก
ตลอดเวลาที่คบกันมา  มีอะไรที่เราไม่สบายใจ  เราก็จะได้รับกำลังใจจากเธอเสมอ
วันนี้ก็ครบหนึ่งปีแล้วซินะ  เราไม่รู้ว่าเธอจะคิดกับเรายังไง.....?
แต่...สำหรับเราแล้ว  เธอคือคนที่มีความหมายที่สุดสำหรับเรา
เราอยากจะบอกเธอว่า....
   "เรารักวุธมาก"
   และอยากจะถามว่า  เธอรักเราบ้างหรือเปล่า...?

   หวังว่าคงจะได้รับคำตอบนะ
   วารุณี

(เรื่องมันเศร้า.... T_T  แต่ยังไม่จบนะ  ยังมีต่อ....)				
29 สิงหาคม 2545 21:45 น.

เรื่องของแมลงสาบ

ขุนหาญ

ยังไม่ทันที่คุณหมอจะถามไถ่ คนไข้รายนั้นก็ชิงพูดขึ้นมาด้วยสำเนียงชัดเจน "คุณหมอครับ เมื่อคืนผมเพิ่งพิสูจน์อะไรได้อย่างหนึ่ง"
พิสูจน์อะไรเหรอ" คุณหมอกล่าวอย่างเนือยๆ "คุณหมอรู้มั้ยว่า แมลงสาบมันฟังเสียงด้วยอะไร" "ตามที่หมอได้เรียนมาน่ะ ก็คงตอบได้เลยว่าแมลงสาบย่อมฟังเสียงด้วยหนวด" 

     "ผิดครับหมอ" "อ้าวแล้วมันจะด้วยอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่หนวด" "เดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้คุณหมอดูนะ ว่าแท้จริงแล้วแมลงสาบมันฟังเสียงด้วยอะไร" 
ว่าพลางก็เปิดฝากล่องและหยิบแมลงสาบขึ้นมาตัวนึง พร้อมกับเด็ดหยวดมันทิ้งไปและวางลงบนพื้นห้อง"ไป้..."คนไข้ตรบมือเสียงดัง 
เจ้าแมลงสาบก็วิ่งจู้ดหายเข้าไปในซอกโต๊ะ "

     เห็นมั้ยหมอมันยังคงได้ยินอยู่เลย แล้วก็หยิบแมลงสาบตัวที่สองออกมาจากอีกกล่องนึงแล้วทำการเด็ดขาทั้งหมดทิ้งไป 
และวางบนพื้นเช่นเดิมพร้อมกับปรบมือไล่ "ไป้.." เจ้าแมลงสาบยังคงแน่นิ่งจะมีก็แต่หนวดเท่านั้นที่กระดิกไปมา "

     เห็นมั้ยล่ะหมอว่ามันไม่ได้ยินที่ผมไล่ 
เพราะมันฟังเสียงด้วยขา เมื่อผมเด็ดขามันออก มันจึงไม่ได้ยินอะไรเลย ...คุณหมอ "?????"				
23 สิงหาคม 2545 19:50 น.

ก็แค่คนบ้านนอก

ขุนหาญ

เรื่องราวในสมัยเด็ก ๆ  อาจไม่ค่อยมีใครจดจำมากนัก  แต่สำหรับผมแล้วยังจำได้เสมอ  บรรยากาศสมัยเด็ก ๆ
ใต้ถุนบ้านจะมีกองไฟสำหรับนั่งผิงไฟในยามหนาว  คนเฒ่าคนแก่จะมานั่งผิงไฟในช่วงเย็น ๆ  ผมกลับมาจากโรงเรียน
จะต้องไปปักเบ็ดตามคันนา  ทุ่งนาหน้าหนาวจะมีหมอกบาง ๆ ลอยต่ำ ๆ เหมือนก้อนเมฆ  ผมจะชอบนั่งดูแสงอาทิตย์
ตกดินอยู่ที่ทุ่งนา  มองดูชาวบ้านต้อนควายกับบ้าน  ทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส  รวมทั้งผมด้วย
	ผมกับเพื่อน ๆ จะปักเบ็ดทิ้งไว้  พอตอนเช้าพวกเราก็จะตื่นแต่เช้าไปเก็บเบ็ดที่ปักไว้  บางคนก็ดักมองไว้
"มอง"  คือตะข่ายที่ใช้สำหรับดักปลา  อาหารการกินของพวกเราไม่ต้องไปซื้อที่ไหน  ขยันหน่อยก็ไม่อดตายแล้ว  ที่บ้านของผม
เลี้ยงควายไว้หลายตัวเหมือนกัน  เพราะสมัยนั้นยังไม่มีรถไถ  ต้องใช้ควายไถนา  มีตัวหนึ่งที่สนิทกับผมมาก  มันชื่อเจ้าแรด
เพราะหุ่นมันตันเหมือนแรด  เวลามันเห็นผมมันจะชอบเอาหัวมาดันหลังผม  มันเป็นควายที่ฉลาดมาก  ว่าง่าย  และผม
ชอบขี่มัน  เพราะมันบังคับง่ายด้วย
	ที่บ้านจะทำคอกควายด้วยการเอาไม้มาคั่นห่าง ๆ  และมีประตูทางเข้า  ก็เอาไม้มาวางขวางเท่านั้น  เวลาต้อนควาย
มาถึงบ้าน  มันก็จะเข้าคอกเอง  ไม่ต้องบังคับ
	ตอนเย็น ๆ  หลังจากกลับมาจากปักเบ็ดแล้ว  พวกผมก็จะมารวมตัวกัน  เพื่อเล่นตามประสาเด็ก ๆ  เช่น
เล่นไล่จับ  เล่นซ่อนหา  เล่นรี ๆ ข้าวสาร  และมีกีฬาสุดฮิตก็คือ  เล่นปายาง  การเล่นปายางนี้สนุกมาก  ยางก็ใช้ยางยืด
ที่เป็นวงกลมใหญ่ ๆ  ขนาดใส่ข้อมือได้นั่นแหละ  สมัยนั้นถ้าใครสะสมได้มาก  ถึอว่าสุดยอดชั้นเซียนเชียวละ  กติกา
ก็มีว่า  จะต้องเอายางมารวมกัน  คนละกี่เส้นก็แล้วแต่จะกำหนด  แล้วเอาไปกองไว้บนพื้น  แล้วก็กะระยะห่างจากยาง
ประมาณ 50 เมตร  เอารองเท้าปากัน  ถ้าใครปาโดนก็จะไปดูว่าเส้นไหนแตกกระจายบ้าง  ถ้าอันไหนยังอยู่ติดกันตั้งแต่
2 เส้นขึ้นไป  ก็ไม่ได้  ต้องแยกเป็นเส้นเดี่ยว ๆ  ถึงจะได้  ใครปาเม่นที่สุด  คนนั้นก็มีสิทธิ์ได้มาก
	โทรทัศน์ไม่มีดูหรอก  แต่ถ้าจะดูต้องไปดูที่บ้านเจ๊ก  ซึ่งเป็นคนจีนมาปักรากฐานอยู่ที่หมู่บ้านนี้  แกจะมี TV
ขาวดำอยู่เครื่องหนึ่ง  หวงมาก  ไม่อยากให้ใครดูด้วย  ไฟฟ้ายังไม่มีในตอนนี้  ต้องใช้เบตเตอรี่ถึงจะดูทีวีได้  ถ้าใคร
อยากดูต้องเอาขวดน้ำปลาไปให้แก  จนบางครั้งพวกผมต้องไปขโมยขวดน้ำปลาในห้องครัวมาแลกกับการได้ดูทีวี
ซึ่งขวดน้ำปลานั้นแม่จะเอาไว้แลกขวดเวลาซื้อน้ำปลา  รายการโปรดของผมก็คือ  หนังญี่ปุ่น  ตอนเช้า ๆ วันเสาร์  อาทิตย์
ซึ่งจะเป็นหนังแนวแปลงร่าง  พวกฮีโร่ทั้งหลายแหล่  ไม่ว่าจะเป็นไอ้มดแดง  สกายไรเดอร์  ไอ้มดแอ๊ก  เป็นต้น
	บรรยากาศแถวบ้าน  พอตกเย็น ๆ  จะมีเสียงตำน้ำพริกเป็นประจำ  บ้างก็เสียงตำหมากของคนเฒ่าคนแก่
และก็เสียงกระดิ่งจากปลอกคอควาย  กุง กิ้ง ๆ ๆ  เพราะเขากำลังต้อนควายกลับบ้านกัน  เฮ้อ......ยิ่งเล่ายิ่งคิดถึง
บรรยากาศเก่า ๆ  เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างจะมาเล่าต่อนะครับ  อันนี้แค่เกริ่นบรรยากาศแถวบ้านนอกเท่านั้นเอง  ทำไงได้
ก็ผมมันคนบ้านนอกนี่เนอะ.......!				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟขุนหาญ
Lovings  ขุนหาญ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟขุนหาญ
Lovings  ขุนหาญ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟขุนหาญ
Lovings  ขุนหาญ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงขุนหาญ