29 กันยายน 2548 13:31 น.

บ้านแม่ แคร่ไม้ (กลับบ้าน)

ชลกานต์

เริ่มวันใหม่ใจท่องสู่คลองหนาว
คิดถึงคราวยังเล็กเด็กช่างฝัน
มองใบไม้ไหววับรับตะวัน
มองลมสั่นพู่แดงแกว่งดอกงิ้ว

ถึงศาลาท่าน้ำลมฉ่ำชื่น
ระลอกคลื่นรับเลื่อมกระเพื่อมผิว
เรือเทียบชมร่มไผ่ปลิดใบปลิว
จากยอดทิวสู่ธารละลานตา

ใกล้เรือนแม่แคร่เก่าที่เรานั่ง
มีความหลังทำนองผองปักษา
นั่งฟังเสียงเคียงอกของนกกา
ใต้พุทราลูกดกตกเกลื่อนเต็ม

จากไปนานผ่านเรือนเหมือนจะลืม
มัวหลงปลื้มเปล่าเปลืองเมืองไฟเข้ม
ลืมกลิ่นเกลือเหงื่อหยาดรสชาติเค็ม
กว่ายุ้งเต็มกองข้าวกี่ก้าวใคร

พ่อและแม่หลังแข็งแกร่งเกินงาน
เพื่อเราสานเติมต่อก่อฝันใหม่
ใช่เราหลงดงแสงเมืองแห่งไฟ
ลืมว่าใครยังยากลำบากลำบน

กลับมากราบทาบตักบอกรักแม่
เก็บรวงแคดอกแดงที่แต่งต้น
กลับมาคลุกปลุกดินเริ่มดิ้นรน
ฝึกอดทนจากท้อระย่อทาง				
28 กันยายน 2548 11:03 น.

กลับบ้าน..

ชลกานต์

ในดวงตาว้าเหว่คนเร่ฝัน
เมืองตีบตันเต็มตึกฉันนึกหวาด
คืนเงียบเหงาเฝ้าฟ้าดาราวาด
ไฟเมืองกราดเกลื่อนกลบจนลบดาว

อึกทึกคึกคักชวนหนักเหนื่อย
ลมอับเอื่อยอาภัพห้องหับหนาว
ฉุนกลิ่นขมซมขื่นสะอื้นคาว
มากเรื่องราวรันทดทั้งหมดเมือง

ร้างแววตาหน้าคุ้นให้อุ่นอก
หากตายตกคงไร้ใครรู้เรื่อง
ทนอ้างว้างห่างเหินดำเนินเนือง
คงเปล่าเปลืองเวลาชะตาเรา

อาจแปลกแยกแผกไปจากใครอื่น
เกินจะฝืนความเยียบอันเงียบเหงา
อยากได้ยินหินทรายทักทายเงา
ใช่ความเปล่าผุพังผนังปูน

เก็บชีพน้อยถอยร่นถนนไฟ
ก่อนดวงใจแรงผินจะสิ้นสูญ
กลับสู่บ้านชานป่าที่อาดูลย์
เกิดจำรูญความหวังใกล้รังเรือน

ละอองหมอกดอกฝันจึงพลันหวาน
เมื่อฉันขานรับพรลมอ้อนเอื้อน
เมื่อฉันนอนช้อนตาพบหน้าเดือน
เมื่อชีพเคลื่อนพ้นจากซากเมืองนั้น				
26 กันยายน 2548 14:18 น.

เล็กเล็กน้อยน้อยร้อยเรียง

ชลกานต์

ริ้วตะวันพันแสงทะแยงเส้น
หยาดมาเร้นบนสายระบายสร้อย
กระทบร่างน้ำค้างกระจ่างพลอย
บรรจงร้อยรวงไล้ไว้เบาบาง

ระยิบระยับวับวาวราวดาวฟ้า
แต้มพฤกษาชื่นฉ่ำพรำน้ำค้าง
สร้อยแมงมุมรุมเรียงอยู่เคียงทาง
โลกนี้สร้างอย่างไรไยงดงาม

ไต่ตาลงพงไม้ในสุมทุม
หญ้าชะอุ่มตื่นใบไร้ดงหนาม
ดอกเห็ดขาวราวมุกมณีวาม
ประจำยามหยั่งโยงใกล้โพรงคอน

สายลมป่าพาพัดจนชัดแจ้ง
ความงามแฝงความจริงในสิงขร
จากเล็กเล็กน้อยน้อยร้อยเป็นพร
กล่อมโลกร้อนให้เย็นเช่นฉะนี้ฯ				
11 กันยายน 2548 11:39 น.

เขาและเธอ

ชลกานต์

ดาวน้อยร่วงลมหน่วงไปไกลถิ่น
ใครจะรินน้ำตาคราดาวร่วง
ใครจะเฝ้าเก็บเศษธุลีดวง
ใครจะทวงสัญญาฟ้าลืมดาว

เธอใช่ใหม่ในฝันที่ฉันเห็น
เธอผู้เป็นบุตรชายสายลมหนาว
เธอผู้เป็นธิดาบุปผาพราว
เธอผู้จดเรื่องราวในบทกวี

เธอคงเป็นพันธะวาระจิต
จึงเฝ้าคิดคอยนั่งฟังไผ่สี
เฝ้ารำพันฝันซึ้งถึงความดี
เฝ้าถนอมโลกนี้ด้วยความรัก

ดวงตาหวานเปี่ยมสุขครึ่งหนึ่งเศร้า
ด้วยเธอ-เขา แบกฝันอันหน่วงหนัก
จะเจ็บปวดแทนกรวดช่างง่ายนัก
ใครจะทักว่าบ้าก็ว่าตาม

ทั้งยินดียินร้ายใบไม้หล่น
และดั้นด้นเทียวไปไล่ไต่ถาม
ฝันของเหล่าใบไม้ง่ายงดงาม
หรือเกินคำนิยามของเขา-เธอ

คืนนี้ดาวน้อยร่วงเป็นห่วงไหม
เอาดวงใจเช็ดน้ำตามาเสมอ
คงเสาะหาค้นฝันกันจนเจอ
หรือไผลเผลอหลับไหลไปชั่วกาล..				
9 กันยายน 2548 10:50 น.

ต้อยติ่ง

ชลกานต์

ลมระริกพลิกระริ้วพลิ้วระลอก
น้ำค้างหยอกต้อยติ่งเข้าอิงฝัก
ตลับน้อยพลอยแตกเมล็ดทัก
ดินหญ้าวักตระกองป้องดูแล

เมฆประดับจับคาเวหาหน
เอื้อหยาดฝนฉ่ำรินสินธุกระแส
ไม้ใหญ่กางวางร่มพรมผืนแพร
ห่มดวงแดเมล็ดน้อยต้อยติ่งนั้น

จากแสงวันสู่แสงจันทร์ไออ่อนอุ่น
โลกคอยหนุนความรักเต็มตักฝัน
จากเมล็ดสู่ยอดกล้าท้าประชัน
สู่ช่วงชั้นเติบโตโผล่แข็งแรง

ทดแทนคุณหญ้าดินถิ่นลำเนา
ดอกลำเพาเห่ร่มห่มระแหง
กว่าเมษาจะผ่านด่านแดดแดง
โลกมิแล้งอย่างที่คิดพินิจดู

ใครว่าดอกต้อยติ่งจะต่ำต้อย
คุณค่าด้อยเพียงใดใช่อดสู
ธรรมชาติก่อเกิดเปิดประตู
เราเรียนรู้ตัวเราให้เข้าใจ

แตกตลับฝักน้อยดอกต้อยติ่ง
นี่คือสิ่งที่บางคนทนสงสัย
โลกเพียรสร้างหญ้า-หนาม งามอย่างไร
แล้วเราไยแบ่งชนชั้นชะตาคน..				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชลกานต์
Lovings  ชลกานต์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชลกานต์
Lovings  ชลกานต์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชลกานต์
Lovings  ชลกานต์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงชลกานต์