23 มิถุนายน 2546 10:59 น.

บ้านน้อก บ้านนอก ตอนที่ 2

ทิดโส

ตอนที่ 2 ..ฝนแรก

............ฟ้ามืดมาตอนประมาณบ่าย 3 แล้วฝนแรกของปีก็พรูพลั่งลงมาราวฟ้ารั่ว พี่ชายคนที่ 3 นำเอาตะเกียงแก๊สมาทำความสะอาด ขัดโป๊ะทองเหลือง ซึ่งกรรมวิธีก็ไม่มีอะไรมาก เอามะขามเปียกและขี้เถ้าคลุกผสมกัน นำมาขัด พักเดียวโป๊ะทองเหลืองก็จะเป็นมันวาว ทำให้เวลาส่องไฟจะเห็นได้ไกลขึ้นใช่แล้ว คืนนี้เราจะไปหาอาหารในท้องทุ่งกัน
.............พ่อกลับมาถึงบ้านแล้ว หลังจากกินข้าวกินปลาเสร็จ 3 คนพ่อลูก ถือตะเกียงแก๊สออกจากบ้าน ซึ่งเจ้าตะเกียงแก๊สกรรมวิธีในการใช้ก็ไม่ยาก เตรียมถ่านแก๊ส ลักษณะคล้ายหินตามทางรถไฟก้อนสีเทาอมฟ้าหม่น จัดให้อยู่ในกระป๋องล่าง ส่วนกระป๋องบนจะใส่น้ำไว้ เวลาจะใช้งานก็เปิดวาวล์น้ำให้หยดลงบนก้อนแก๊ส ทำปฏิกริยาออสโมซีส 5555 ทำให้มีแก๊สจุดไฟติด ต้องการสว่างมากน้อยได้โดยการเร่งหยดน้ำ
..............พ่อกับพี่ชายถือฉมวกคนละอัน ส่วนผมยังเล็ก มีหน้าที่สะพายข้องเปล่า 2 ใบ แม่ไม่ลืมเอางอบมาสวมหัวให้ กันฝนหน่อยลูก เดี๋ยวเป็นหวัด.. 
..............เราเดินกันมาพอได้ครึ่งเหนื่อย (ใช้พลังงานไปประมาณ 0.73 กิโลแคลเลอรี่ 555) ก็มาถึงจุดหมาย หนองน้ำขุ่น เสียงกบเขียดร้องระงม พ่อเดินไปตามเสียง โดยลูกหาบทั้งสองเดินตาม ไม่นานเกิน 3 ลมหายใจ กบตัวแรกก็ย้ายบ้านมาอยู่ในข้องเล็กเรียบร้อย อะฮ้า!! ตัวใหญ่ซะด้วย ไข่คงเต็มละ ฮิฮิพอได้ตัวแรกพ่อก็หยุด ไม่ส่องไฟอีกแล้ว แต่กลับปลดข้องจากไหล่ของผมออก นำไปวางไว้ข้างคูนาที่มีน้ำท่วมหลังเท้า พ่อบอกว่าเราโชคดี กบตัวที่เราได้เป็นตัวผู้ (เพราะพ่อจะดูที่คางของกบ จะมีปื้นสีดำอยู่แสดงว่าเป็นตัวผู้) เราไม่ต้องหาให้เมื่อย เดี๋ยวพ่อเสกคาถาเอง ว่าไปนั่นแน่ะพ่อเรา 555 ..
................หลังจากวางข้องกบไว้แล้ว พ่อก็พาเดินขึ้นเนินไปอีกหน่อย จะมีทางน้ำไหลลงมาสู่หนอง เจ้าประคุณเอ๊ย!! ปลาหมอไทย แถกเหงือกกันอยู่เต็มไปหมด พ่อเล่าว่า ปลาพวกนี้มันได้กลิ่นน้ำใหม่ มันจะไปหาที่วางไข่น่ะ ก็สนุกผมสิครับ จับปลาหมอใส่ข้องใบใหญ่ซะเพลินไปเลย ตอนแรกก็เอาหมด แต่หลังจากมากเข้าก็เริ่มไม่เอาตัวเล็กแล้ว หาตัวใหญ่ ๆ ท้องนูน ๆ เลย รับรองไข่ทุกตัว ปลาหมอหรือปลาเข็ง นี่นะครับ ย่างพอน้ำตก สับละเอียดเอาก้างออกก่อนนะ ตำข่าอ่อนใส่ ปรุงเครื่องลาบ เหยาะน้ำปลาร้าสุกเข้าไป สับมะม่วงเปรี้ยวเข้าไป โอ้โห!! ผมว่าเป็นปลาที่ลาบอร่อยมาก มันกำลังดีเลย
.................ได้ปลาหมอมาเต็มข้อง จนผมสะพายไม่ไหว พ่อก็รับหน้าที่นั้นไปโดยดุษณี ช่วยไม่ได้ ก็ผมน้องเล็กนี่ 555 เราเดินกลับมาที่ข้องกบอีกครั้ง โอ้โห!!!!! กบตัวเมีย ตัวอวบอ้วน ไข่เต็มท้องทั้งนั้นเลย มาลอยคออยู่ข้าง ๆ ข้องเต็มไปหมด ได้จับกันสนุกเลยละครับ พ่ออธิบายให้ฟังว่า  กบตัวผู้ที่เราใส่ข้องไว้ตอนแรก มันจะส่งเสียงร้องออกมา ทำให้ตัวเมียที่ได้ยินจะเข้ามาผสมพันธุ์ ดังนั้น เมื่อเราได้กบตัวผู้แล้ว เราก็ไม่ต้องเมื่อยเดินหาตัวอื่นเลย เอาตัวนี้แหละ เป็นตัวเรียกพรรคพวกมันเข้ามา เออ ง่ายดีแฮะเก่งนะพ่อเรา 5555
.................คืนนั้น เรากลับถึงบ้านยังไม่สองยามเลย เพราะไม่มีอะไรจะใส่ได้แล้วทั้งกบและปลา เต็มมาทั้ง 2 ข้อง แม่จัดแจงเทปลาใส่โอ่งเล็กขังไว้ ส่วนกบก่อนจับออกมาจากข้อง ต้องหักขาก่อน (อึ๋ย) ไม่งั้นกระโดดหนีหมด ทั้งสนุกทั้งตื่นเต้น ผมลืมหนาวไปเลย ล้างแข้งล้างขาเสร็จ คลุมโปงหลับสบาย..
.................ฟ้าเริ่มสว่าง มองเห็นลายมือราง ๆ แล้ว ผมตื่นขึ้นมา ถือตะกร้ากับพี่ชายไปด้วยกัน เข้าสวนเก็บมะม่วง เพราะเมื่อคืนลมแรง คงพัดมะม่วงหล่นลงมาโขอยู่ มะม่วงแก้ว อกร่อง และพิมเสน หล่นเกลื่อนเต็มไปหมด เราเลือกเก็บเฉพาะลูกที่ไม่แตก เพราะลูกที่หล่นตอนแรก ๆ จะแตกหมด เนื่องจากดินยังแข็ง แต่ช่วงหลัง ๆ ที่ฝนตกลงมาแล้วดินจะนุ่ม ลูกที่หล่นทีหลังเลยยังไม่แตก
.................เช้านั้น แม่ทำอ่อมกบ แกงปลาหมอหน่อไม้ดอง เราอิ่มกันจนแทบไม่อยากไปโรงเรียนเลย////				
18 มิถุนายน 2546 16:02 น.

บ้านน้อก บ้านนอก

ทิดโส

ตอนที่ 1.ก่อกำเนิด เกิดกาย..

..........แม่คลอดผมออกมาเดือนตุลาคม ซึ่งอยู่ในช่วง "เย็นลมหนาว ลมพัดข้าวเอนไหว" พี่ชายอีก 3 คนกำลังรอลุ้นด้วยหัวใจจดจ่อ..อยากได้น้องสาว.อุแว้ อุแว้ อุแว้..555 ชายอีกแล้วครับผม 

..........พ่อผมนั่งเหงา ด้วยความผิดหวัง..มั้ง ที่พ่อตั้งใจอยากมีลูกสาวไว้เชยชมสักคน เพราะทะโมนที่เกิดมาก่อนหน้าก็ลูกชายสุดสวาทกันทั้งนั้น เอาเป็นว่า 4 คน ชายล้วน ๆ แต่ไอ้เจ้าคนที่ออกมาดูโลกคนใหม่นี่ ทำไมมันถึงได้ดำจังเลย ด๊ำดำ ประมาณนั้นแหละ คิดดูสิว่า มีอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ผมไม่สบาย ไม่สามารถให้นมลูกได้ เอาไปฝากกับเพื่อนแม่ซึ่งคลอดลูกในช่วงไล่เรี่ยกัน เพื่อให้ช่วยป้อนนมแทนให้ด้วย แกยังไม่เต็มใจจะให้ผมกินนมของแกเลย แหมมันช่างดำน่าเกลียดอะไรปานนั้น.บักมืดเอ๊ย 555

..........ผมเติบโตขึ้นมาด้วยความฟูมฟักของครอบครัวใหญ่ มียาย พ่อ แม่ น้าสาวอีกหลายคน รวมทั้งพี่ชายอีก 3 พระหน่อ สำหรับเด็กช่างพูด นาน ๆ เข้า ไอ้เจ้าความด๊ำดำก็ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป พ่อผมบอกว่า ตอนเกิดใหม่ กลัวผมพูดช้า แกเลยเอากบมาตีปากผม แล้ววันนั้นพ่อไปหากบได้มาหลายตัว ก็เลยจับทุกตัวมาตีพร้อม ๆ กันซะเลย นี่คงเป็นอานิสงฆ์อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมพอจะพูดคุยได้แบบน้ำไหลไฟสว่าง 555 

..........ยายผมเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมีอยู่ร้านเดียวนั่นแหละ ขายสารพัดชนิด เท่าที่จะหามาขายได้ เจ้าประคุณเอ๊ย! กว่าจะเอาของมาขายนี่นะ นั่งรถสองแถวบุโรทั่งจากตลาด เข้ามาประมาณ 4 กม. แล้วต้องหาบของเดินตัดทุ่งนาอีกประมาณ 2 กม. กว่า ๆ เพราะที่บ้านผมไม่มีถนนหรอกครับ เมื่อปีนั้นยังเป็นดงช้างป่าเสืออยู่เลย น้ำแข็งเราไม่เคยรู้จัก เพราะหากหาบเข้ามาก็คงละลายหมดพอดี

..........พ่อผมมีควายอยู่ 10 กว่าตัว ไว้ให้ชาวบ้านเช่าทำนา พอได้ค่าเช่าเป็นข้าวไว้หุงกิน ที่บ้านผมไม่มีที่นาครับ พ่อก็เป็นครูประชาบาลจน ๆ เงินเดือน 480 บาทถ้วน. สมัยนั้นยังขี่ม้าไปสอนหนังสืออยู่เลยนะครับ พี่ชายไปเรียนหนังสือชั้นประถม ผมก็ติดไปด้วย ได้หัดเรียนเขียนอ่านตั้งแต่ยังเล็กนั่นแหละครับ พ่อซื้อกระดานชนวนให้ 1 แผ่น แหมมันดูโก้เก๋ไม่หยอกเชียวนะ เวลาเขียนผิด ครูก็จะให้เอาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ลบออก แต่ทะโมนตัวด๊ำดำ ไม่ทำหรอกครับ เชยอย่างผมต้องถ่มน้ำลายปริ๊ด เอามือถู ๆ แฮะ แฮะ เรียบร้อย

..........บ้านเราเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ใต้ถุนสูง มีนอกชานกว้าง เวลากินข้าวเย็นเราก็จะมารวมกันเป็นวงใหญ่ กินไปพูดคุยกันไป ส่วนมากก็ผมนี่แหละครับ ตัวพูดมากประจำวง แต่ไม่มีใครว่าครับ เพราะตอนนั้นถือว่า เป็นลูกหล้า (ลูกคนเล็ก) เวลาแกงปลาที่มีไข่ หรือพุงปลา ก็เสร็จผมละครับ แม่จะเก็บไว้ให้ เวลาพี่ ๆ จะกินมั่งแม่ก็จะบอกว่า เอาให้น้องเถอะลูก น้องยังเล็ก

..........แสงสว่างภายในบ้านโดยมากก็จะเป็นตะเกียงน้ำมันก๊าด แต่เวลาเราอยู่พร้อมหน้า พ่อจะจุดตะเกียงเจ้าพายุ สว่างไสวมาก ในสมัยนั้นนะ กรรมวิธีการจุดก็ไม่ยาก มันจะมีท่อสูบลมเล็ก ๆ เราก็อัดลมเข้าไปให้เต็ม แล้วภายในโป๊ะจะมีถ้วยเล็ก ๆ ไว้ใส่แอลกอฮอล์ เพื่อจุดเป็นไฟล่อ พอลมเต็มเราก็จะจุดไฟล่อ แล้วปล่อยลมให้ดันน้ำมันมาเบา ๆ จนสว่างโร่ไปทั่วผมยังจำได้ดี เราใช้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน เค้ามีมอตโต้เด็ด ๆ ที่ผมยังจำไม่ลืมคือ ."ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน ส่องแสงแทนสุริยาในราตรี". โอ้โห!! สุดยอดการใช้ภาษาไทยเลยนะเนี่ย จำได้สนิทเลยชอบมาก

..........หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็จะนั่งฟังนิยายทางวิทยุกัน ซึ่งช่วงนั้นมีคณะละครที่ฮิต ๆ ก็ กันตนา, นีลิกานนท์ (ขออภัยหากสะกดผิด), เกษทิพย์.ซึ่งเป็นคลื่น เอ เอ็ม ผมชอบมากอยู่เรื่องหนึ่งแบบฝังใจเลยนะ ฟังไปก็อินตามไปด้วย น้ำตาไหลเวลาเศร้า สงสารนางเอกน่ะ เรื่อง"จันทน์กะพ้อร่วง" โอ้โห!! ชอบมาก โดยเฉพาะเพลงประกอบละครนะ ชื่อเดียวกับเรื่อง ขับร้องโดยอาจารย์มัณฑนา โมรากุลพอได้เวลาก็ ดอกจันทน์กะพ้อร่วงพรู เจ้าไม่ใช่ร่วงสู่ แผ่นดินแห่งไหนโดยง่าย ลมพา เอากลีบกระจาย ร่วงปลิวพราวพลิ้วพราย ไม่มีที่หมายใด ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้/////				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิดโส
Lovings  ทิดโส เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิดโส
Lovings  ทิดโส เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิดโส
Lovings  ทิดโส เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงทิดโส