23 มิถุนายน 2548 18:32 น.

เพื่อน...เหมือนนาฬิกา

นายหมึกซึม

มีนาฬิกาปลุกอยู่เรือน 1 
มันทำหน้าที่ของมันทุกวัน 
ทั้งเข็มยาวเข็มสั้น. 
ยังคงเดินทางรอบหน้าปัดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

ตอนเช้าๆๆๆๆๆๆๆๆ 
มันจะส่งเสียงกวนประสาท 
เสียงที่ทำให้เราต้องตื่นจากความฝันแสนหวาน 
เราตอบแทนมันโดยการเอื้อมมือไป ควานหาตบหรือกดมันอย่างแรง 
ด้วยความรำคาญ เพื่อให้มันเงียบ 
ทั้งๆที่มันก็ช่วยให้เราไม่ไปผิดนัดสำคัญๆอยู่เสมอ 
และถ้ามันเผลอปลุกเราในวันพักผ่อน 
บางทีเราอาจจะขวางมันทิ้งเสียด้วยซ้ำ 
ทั้งๆที่เราก็เป็นคนตั้งเวลาเอาไว้เอง 

บ้างครั้งเราก็มั่วทำอย่างอื่นที่เราเห็นว่าสำคัญ มากเสียยิ่งกว่า 
นาฬิกา ที่มันตั้งอยู่ที่เดิมของมันทุกวัน 
เราไม่ใส่ใจมันเท่าไรหรอก จะสนใจมันแค่ตอนเรา 
อยากรู้เวลาก็เท่านั้นเอง 

จนกระทั่งวันนึง 
นาฬิกาเดิมๆเรือนนั่นมันเงียบหายไป 

คุณไม่รู้หรอกว่ามันเงียบไปเมื่อไร 

คุณจำไม่ได้หรอกว่าตอนมันเดินครั้งสุดท้าย คือ ตอนไหน 
คุณได้แต่โทษมันในเช้าวันนั้นว่า 

***นาฬิกา เฮงซวย..ทำไมถึงไม่ปลุก 
ทั้งที่มันเงียบไปเพราะคุณ 

คุณว่าไหม ว่า 
เพื่อนมันเหมือน นาฬิกาปลุกเนอะ 

ทำไมนะเหรอ. 
คุณคิดดูสิ--- ความรักระหว่างเพื่อนก็เหมือนการเดินของเข็มนาฬิกานะ เดินอยู่ที่เดิมๆๆๆๆๆ แต่ก็เดินไปได้เรื่อยๆๆ ไม่เหนื่อยไม่เบื่อ 

บางครั้งเพื่อนก็เตือนเรา 
บอกเรา แนะนำเราไนบางเรื่องที่เราควรจะฟัง แต่เรากลับรำคาญมัน 

พูดทำร้ายน้ำใจเค้า หรือทำให้เค้าเสียใจ 
เพราะคิดว่าคำพูดเตือนของเค้าทำให้คุณรำคาญ 
ถึงแม้บางทีคุณก็ทำไปเพราะไม่ได้ตั้งใจ 

แต่ลองสังเกตสิ 
สิ่งที่เพื่อนๆคุณเตือน(ด้วยความหวังดีนั้น) 
บางทีกลับช่วยคุณได้หลายๆเรื่อง 

หลายครั้งหลายคราว ที่คุณมัวแต่ทำเรื่องอื่น ให้ความสำคัญกับคนอื่นๆๆ และมองข้ามความสำคัญเพื่อน 

เพราะคุณคิดอยู่เสมอว่า.. ความรักของเพื่อน มันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา เช่นเดียวกับ นาฬิกา ที่มันจะเดินไปอย่างนั้นเหมือนทุกๆวัน 

แต่คุณคงลืมไปว่าสักวัน 
ถ่านที่คุณใส่ไว้มันก็ต้องหมด นาฬิกาไม่ได้ละเลยหน้าที่ของมัน 
หากเพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป 

มันจะเอาแรงที่ไหนเดินหากไม่มี แบตเตอร์รี่ 
เช่นเดียวกันกับเพื่อนของคุณ 

แม้เค้าจะรักและปรารถนาดีกับคุณมากแค่ไหนก็ตาม 

หากคุณเองไม่เคยใส่ใจ หลงลืมไปว่ายังมีเค้าอยู่ 

ก็เปรียบเหมือนดังนาฬิกา 
ที่มันไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ของมันหรอก หากแต่เพียงคุณเองที่ไม่เคยจะเอาใจใส่ นาฬิกาเก่าๆเดิมๆเรือนนั้นเลย 

ถึงเวลาหรือยังที่คุณจะหันกลับมามอง มองดูนาฬิกาเรือนเดิม 
ไม่สายไปใช่ไหมที่คุณจะใส่ถ่านให้มันอีกครั้ง และไขลานให้มันเดินดังเดิม เพื่อให้นาฬิกาเรือนเดิม 
กลับมาทำหน้าที่หน้าเบื่อเดิมๆ 
อักสักครั้ง 				
21 มิถุนายน 2548 17:56 น.

...ยางลบ...ที่เคยสอน

นายหมึกซึม

> > สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่า 
> >เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพเราห้ามใช้ยางลบ 
> > ตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่ 
> > รู้เพียงแต่ว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว 
> > ฉันก็อยากแก้ให้มันตรงสวย 
> > แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น 
> > ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ 
> > สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการ 
> > เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป 
> > ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน 
> >แม้ตอนนั้นฉันจะไม่เข้าใจว่า 
> > ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ 
> > และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน 
> > แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า 
> > ฉันสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ 
> > และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง 
> > 
> > เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น 
> > แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ 
> > การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด 
> > 
> > ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน 
> > และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ 
> > 
> > สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น 
> > และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ฉันเข้าใจว่า 
> > ธรรมชาติของความผิดพลาด คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่อย่างถาวร 
> > ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด 
> > แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง 
> > 
> > ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว 
> > การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ 
> > อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ 
> > สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ 
> > และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น 
> > 
> > ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม 
> > แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้ 
> > ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น 
> > และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ 
> > แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ 
> > 
> > ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง 
> > เราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง 
> เพราะถึงอย่างไร ฉันเชื่อว่า 
> > ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ 
> ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้ 
> > โดยไม่ต้องใช้ยางลบ				
20 มิถุนายน 2548 17:14 น.

ความรัก...ของคนตาบอด

นายหมึกซึม

คุณเคยเห็นคนตาบอดไม๊... 

คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่.... 

คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น..ตลาดนัด... 

พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า... คงจะมี คนใจบุญ 

ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง... 


คนสองคน...ที่จับมือกัน...ค่อยๆเดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด... 

เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่... 


นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆเครื่องนึง... 

กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้ 
ก็คือขันอลูมิเนียม... 

อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน.. 

ผมไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก... 

แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน... 

และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน... 


ผมเห็นเขาจับมือกัน... 

วินาทีนั้น... 
ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด... 


คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า.... 

ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ... 

เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า... 

คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร.. 

คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น... 

เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน.... 

ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี 

ให้กังวลใจ...เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้... 

ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน... 

ตาสองข้าง ปิดสนิท....แต่เปิดใจเข้าหากัน.. 

คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย " ใ จ " ล้วนๆ... 

ความรัก....ก็เกิดจากตรงนั้น... 


คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง... 

คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก... 

คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน...และกลับถึงบ้านพร้อมกัน... 

พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ.... ? 


คุณรู้หรือเปล่า.....คนตาบอด จับมือของคนที่เขารักไว้ 
เสมอๆ เกือบ 

ตลอดทั้งวัน... 

คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊... ? 


ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี... 

หลายๆคน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน... 

หลายๆคน ทั้งหล่อ ทั้งสวย...ทั้งรวย ทั้งฉลาด... 

แต่พวกเราหลายๆคนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก... 


หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน....เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น.... 

เอ....พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก....มากเกินไปหรือเปล่านะ... 


อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้... 

ดูเหมือนเขาจะ...สงสัยก็เพียงแต่ว่า... 

วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญซักกี่คน... 

ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข.... 


ตอนที่ผมเขียนข้อความนี้อยู่...พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว... 


ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆในวันนี้.... 


ผมเชื่อว่าครั้งหน้า...ที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น... 

คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น... 

ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ... 

เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้...				
19 มิถุนายน 2548 13:27 น.

♥ เส้นขนานของความรักกับเวลาและระยะทาง ♥

นายหมึกซึม

ผมไม่รู้หรอกว่าความรักของแต่ละคนเป็นยังไง  มันก็มีทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่างกันไป  ก็เพราะเหตุนี้จึงทำให้ความรักดูมีค่า ที่จะพยายามค้นหาความรักในรูปแบบของตัวเอง
    
      บางคนเคยบอกว่า ความรักแปรผกผันกับเวลาและระยะทาง มันเป็นเหมือนเส้นตรงสองเส้นที่ขนานกันชนิดที่ว่ามองไม่เห็นปลายทางที่จะเชื่อมต่อกัน
     
     รัก ยิ่งห่างกันไป ยิ่งนานไปเรื่อยๆ ยิ่งจะทำให้ความเข้มขนของความรักจางลง จางลงไปเรื่อยๆ ก็ยังคงไม่เข้าใจว่า ทำไมความรักถึงเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เคยบอกว่า " จะรักกันตลอดไป " 
     
      แต่ผมว่าเวลาและระยะทางเป็นสิ่งที่จะสามารถวัดได้ว่า ความรู้สึกที่คุณมีอยู่นั้นคืออะไร 
     
     เป็นรักแท้ เป็นแค่ความรักเพียงชั่วครู่ หรือเป็นเพียงความลุ่มหลง
    
      เพื่อที่จะได้ทดลองดูว่าหัวใจของคุณมั่นคงต่อเค้าคนนั้นมากเพียงใด
    
      ผมยอมรับว่า เส้นขนานคู่นี้นั้น มันยังมองไม่เห็นจุดเชื่อมต่อกัน แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเส้นขนานคู่นี้จะไม่มีทางที่จะพบกัน ลองดูอย่างเช่น คนสองคนจะมาเจอกัน ได้รู้จักกัน จนมีความรู้สึกดีๆให้กัน 
     
     เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยรู้จัก ไปเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนสนิท เป็นคนรู้ใจ จนกลายเป็นคนรักกันได้นั้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่คนทั่วๆไปเรียกกันว่า " พรหมลิขิต "
     
     พรหมลิขิต หรือ Destiny นั้น ในความหมาย่ที่ผมเข้าใจนั้นคือ เชือกที่ผูกมัดคนสองคนเข้าไว้ด้วยกัน ถึงแม้จะอยู่ห่างกันสักเพียงไหนสักเพียงไหนก็จะมาเจอกันในที่สุด ต่างกับคนที่ไม่มีพรหมลิขิตต่อกัน แม้จะอยู่ใกล้กันเพียงปลายนิ้ว ก็ไม่อาจได้พบเจอกัน
     
     ชีวิตคนเราก็เหมือนเส้นขนาน เส้นขนานที่มีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงกันไว้ เป็นสิ่งที่จะฉุดดึงเส้นขนานให้มาบรรจบกันในที่สุด
     
     เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่จะช่วยให้เส้นขนานของความรักกับเวลาและระยะทางมาบรรจบกันนั้น ต้องใช้สายใยมาเชื่อมต่อกันไว้ สายใยที่สร้างขึ้นมาจากความรัก สายใยที่คนสองคนต้องคอยถะนุถนอมเอาไว้ ต้องคอยเติมความรักลงไปมิขาด
     
     แม้ในวันนี้ต้องห่างกันไป แต่หากมีสายใยเชื่อมโยงกันไว้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักแค่ไหน จะไกลกันสักเพียงใด ก็มั่นใจได้ว่าสักวัน เส้นสองเส้นนี้จะมาบรรจบกันในที่สุด
     
     เส้นขนานทั้งคู่ หลังจากที่ได้ผ่านอะไรมามากมาย จนได้มาบรรจบกันอีครั้ง จะทำให้กลายเป็นเส้นตรงเส้นใหม่ที่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม และจากนี้ไปจะไม่แยกจากกันอีก...



--------------------------------------------------------------------------------				
13 มิถุนายน 2548 14:48 น.

อำลาสังเวียนมฤตยูดำ

นายหมึกซึม

การแข่งขันชกมวยรุ่นยักษ์ ไฟต์พิเศษระหว่างไมค์ ไทสัน อดีตแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ ที่อายุจะครบ 39 ปีเต็ม ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ กับนักมวยร่างใหญ่ ชาวไอริช เควิน แมคไบรด์ วัย 32 ปี ผู้ซึ่งได้เปรียบไทสันอยู่มาก ด้วยความสูงที่สูงกว่า 7 นิ้ว และน้ำหนักตัวมากกว่าอยู่ 38 ปอนด์ ที่เอ็มซีไอเซ็นเตอร์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เมื่อค่ำวันเสาร์ หรือตรงกับเวลาในเมืองไทย เช้าวันอาทิตย์ที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา 

ไทสันภายใต้การดูแลของเทรนเนอร์ เจฟฟ์ เฟเนซ อดีตแชมป์โลกชาวออสเตรเลีย ขึ้นเวทีด้วยสภาพร่างกายที่ดูดี และยังคงความน่าเกรงขาม ขณะที่แมคไบรด์ ซึ่งรูปร่างใหญ่โตกว่าอย่างเห็นได้ชัด ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่น่าจะต้านทานไทสันได้ และอดีตที่ผ่านมา ไทสัน ยังไม่เคยพ่ายแพ้ต่อนักมวยผิวขาวมาก่อนเลย หลังระฆังยกแรกดังขึ้น ไทสันยังคงใช้สไตล์เดิมด้วยการเดินโยกตัวเข้าทำ หาจังหวะยิงหมัดฮุกซ้ายขวาเข้าใส่ ส่วนแมคไบรด์ที่ใหญ่กว่าแต่เชื่องช้ากว่าอาศัยรูปร่างเบียดตัดจังหวะ สลับกับแหย่หมัดแย็บคอยรบกวน ไทสันเรียกเสียงฮือด้วยฟอร์มที่ดุดัน และชกเข้าเป้าทั้งลำตัวและใบหน้าได้อย่างชัดเจนกว่าในช่วง 4 ยกแรก

ยกที่ 5 ช่วงต้นยก ไทสันยังเดินบดหมายเผด็จศึก แต่ในช่วงปลายยกเริ่มมีสัญญาณออก เมื่อแมคไบรด์ที่เบียดติดใช้รูปร่างไซส์ยักษ์ทั้งบดทั้งดันหาจังหวะอัปเปอร์คัตสั้นๆ และเริ่มจะเข้าเป้าบ้าง ซึ่งก็ทำให้ไทสันหยุดไปดื้อๆเอาแต่ปิดป้องอย่างเสียรูปมวย และออกอาการหมดแรงให้เห็นชัดเจน แต่ก็ยังประคองตัวไปได้ 

ยกที่ 6 เริ่มขึ้น ไทสันเหมือนจะฟื้นเดินรุกไล่ทันที และงัดแท็กติกสกปรกเข้าใส่ ทั้งหนีบแขนดันจังหวะเหมือนต้องการจะหักแขนคู่ชก และเอาหัวพุ่งเข้าใส่ จนแมคไบรด์ ต้องฟ้องกรรมการ โจ คอร์เตส เป็นระยะ ช่วงกลางยกหัวของไทสันก็สัมฤทธิผล ชนเข้าหางตาซ้ายของแมคไบรด์เป็นแผลฉกรรจ์เลือดไหลลงอาบแก้มทันที คอร์เตสเห็นชัดว่าเป็นการใช้หัวชน จึงสั่งตัดคะแนนไทสัน 2 แต้มทันที หลังคัดเลือดเสร็จ แมคไบรด์ก็ออกมาชกต่อ ไทสันพยายามเร่งเผด็จศึก แต่ก็เข้ารอยเดิมช่วงท้ายหมดแรงให้เห็นอีกครั้ง ก่อนหมดเวลาไม่กี่วินาที แมคไบรด์เดินเบียดดันไทสันจนติดเชือก ไทสันทรุดก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นหัวลอดเชือกออกไป แม้ระฆังหมดยกยังลุกไม่ขึ้นอยู่สักพัก ก่อนจะพยายามลุกขึ้นเข้าไปนั่งอยู่ที่มุม กรรมการคอร์เตสมองตามและเดินเข้าไปหา ก็มีเสียงมาจากมุมว่าไทสันไม่ขอสู้ต่อ ซึ่งไทสันก็นั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยา คอร์เตส จึงหันกลับเดินเข้าไปชูมือให้แมคไบรด์เป็นฝ่ายชนะ เทคนิเกิลน็อกเอาต์ไปในยกที่ 6 โดยมีไทสันมองตามอย่างเลื่อนลอย 

หลังเป็นฝ่ายปราชัย ไมค์ ไทสัน ได้เปิดเผยว่า ผมไม่มีความกระหายที่จะชกอีกแล้ว ผมไม่สามารถจะขึ้นชกได้อีกแล้ว จะไม่หลอกตัวเองอีก ไม่สู้กับใครอีก และไม่อยากจะเสียเกียรติกับวงการมวยอันเป็นที่รักด้วยการแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีกต่อไป ผมขอยุติลงแค่นี้ ไทสันกล่าวอีกว่า ต้องขอโทษแฟนมวยที่เสียเงินซื้อบัตรแล้ว ต้องมาเห็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ผมก็หวังจะทำได้ดีแต่ก็ทำไม่ได้ ผมไม่อยากจะลุกขึ้นเลยเมื่อกลับเข้ามุมหลังจบยกที่ 6 มันเหนื่อยเหลือเกิน ไม่เคยมีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจมาก่อน จนกระทั่งวันนี้มาถึง ผมรู้สึกเหมือนคนอายุ 120 ปี 

สำหรับการชกไฟต์นี้ ไทสันได้รับค่าตัว 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 200 ล้านบาท ซึ่งไทสันจะต้องหักใช้หนี้ 2 ล้านเหรียญ หรือราว 80 ล้านบาท ยังต้องจ่ายให้ภรรยาเก่า 750,000 เหรียญ หรือราว 30 ล้านบาท และเป็นที่คาดว่า ไทสันยังคงมีหนี้สิ้นเหลืออยู่เกือบ 40 ล้านเหรียญ หรือเกือบ 1,600 ล้านบาท ส่วน เควิน แมคไบรด์ ได้ค่าตัว 150,000 เหรียญ หรือราว 6 ล้านบาทเท่านั้น 

ด้าน แมคไบรด์ ที่กลายเป็นนักมวยผิวขาวคนแรกที่พิชิต ไมค์ ไทสัน กล่าวว่า ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นความภูมิใจของชาวไอริชทั้งมวล และยังเป็นการพิสูจน์ว่าทุกคนคิดผิด ที่คิดว่าตนไม่มีทางจะชนะไทสันได้ 




..........อนึ่ง วันที่ 12 เดือน 6 คศ. 2005 จบชีวิตบนสังเวียนอันยาวนานของนักมวยที่ได้ฉายาว่า "มฤตยูดำ" ไมค์ ไทสัน.................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนายหมึกซึม
Lovings  นายหมึกซึม เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนายหมึกซึม
Lovings  นายหมึกซึม เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนายหมึกซึม
Lovings  นายหมึกซึม เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงนายหมึกซึม