17 พฤษภาคม 2547 10:30 น.

มุมหนึ่งของความรัก

น้ำตา_

มีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ 
ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง 
และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น 
แต่สามีเธอก็พยายาม ปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด 
พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น 
ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทาง 
แต่เขาก็ขับรถไปส่ง และไปรับอยู่เสมอ 
จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก 
เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง 
โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม 
นาทีนั้น .. 
เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ 
แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ 
เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง 
จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้ 
วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ 
คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า 
ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ 
เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร 
คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า 
สามเดือนที่ผ่านมา 
ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า 
มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย 
และตามคุณลงรถไป 
และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย 
และตอนเย็นทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ 
และคอยดูคุณจนคุณลงรถ 
พอเธอได้ยินดังนั้น เธอก็นำตาไหลด้วยความตื้นตัน 
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน 
เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด 
เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก 
หวังว่าทุกคนที่อ่านเรื่องนี้แล้ว 
ช่วยกลับไปมองความรักของเราอีกทีว่า 
ทุกวันนี้เรารักเขาหรือเธอแบบไหน 
จงมองความรักด้วยความอ่อนโยน				
14 พฤษภาคม 2547 14:19 น.

อยากให้อ่าน

น้ำตา_

กาลครั้งหนึ่ง... นานมาแล้ว 
มีชายคนหนึ่งหลงใหลในรสชาติของถั่วอบเป็นอันมาก 
แม้ว่าเขาจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้าง ยามเมื่อต้องปล่อยแก๊สออกมา 
แต่เขาก็ยังชอบที่จะกินถั่ว แล้ววันหนึ่งเขาพบหญิงสาวสวยถูกใจมากนางหนึ่ง 
หลังจากใกล้ชิดสนิทสนมกันพอควร เขาก็ตกหลุมรักหล่อน 
และตกลงใจปลงใจที่จะแต่งงาน ตามด้วยการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ 
ที่จะเลิกกินถั่ว!! เพราะขืนยังกินอยู่ ต้องอายสาวเจ้าน่าดู๊... 

หลังจากงานแต่งงานผ่านไป 2-3 เดือนวันหนึ่งระหว่างทางขับรถบ้าน 
หลังเลิกงานรถเจ้ากรรมเกิดเสีย... เนื่องจากบ้านของเขาอยู่ในชนบท 
จึงไม่มีรถประจำทางไปถึง หนทางเดียวที่จะกลับบ้านได้ คือ ต้องเดิน 
เขาจึงโทรศัพท์ไปหาภรรยา เพื่อบอกว่า เขาอาจจะถึงบ้านช้าสักหน่อย 
เพราะรถเสีย และต้องเดินเท้ากลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน 
เขาเดินผ่านร้านมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง แล้วกลิ่นถั่วอบก็โชยออกมายั่วใจเขา 
เขาจึงคิดเข้าข้างตัวเองว่า กว่าจะเดินกลับถึงบ้านก็ต้องใช้เวลา 
และพลังงานมากน่าดู น่าจะหาอะไรรองท้องสักหน่อย 

ว่าแล้วเขาจึงเดินเข้าไปสั่ง ถั่วอบ 3 ถุงใหญ่พิเศษ! 
เพื่อเดินกินระหว่างทางกลับบ้านเขาเดินไปกินไป 
อย่างเพลิดเพลินจนถั่วหมดโดยไม่รู้ตัว และเขาก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ 
ครั้นเมื่อกดกระดิ่งปุ๊บ ภรรยารักเดินออกมาเปิดประตู พร้อมกับพูดว่า 
สวัสดีค่ะ ที่รัก.. 
น้องมีสิ่งจะทำให้พี่ประหลาดใจอย่างที่สุดในอาหารมื้อเย็นวันนี้เลยละค่ะ 
ว่าแล้วเธอ ก็ควักผ้าปิดตามาปิดฉับลงที่ใบหน้าสามี 
และจูงเขามานั่งที่เก้าอี้ที่หัวโต๊ะอาหาร และให้เขาสัญญาว่าจะไม่ใช้แทคติคใดๆ 
แอบมองอย่างเด็ดขาด 
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวในท้องของเขา 
โชคช่วยที่เผอิญมีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น 
ภรรยาที่กำลังจะเอื้อมมือมาเปิดผ้าผูกตา จึงบอกว่า 
ขอเวลาไปรับโทรศัพท์ประเดี๋ยว แต่พี่ห้ามแอบดู ก่อนน้องจะกลับมานะ เธอย้ำ 
แล้วก็ไป... ขณะที่ภรรยาไปรับโทรศัพท์ เขาก็ฉวยโอกาสนี้ ผายลม 
เสียงของมันไม่ดังนัก แต่เหม็นราวไข่เน่าทีเดียว 
จนแม้แต่ตัวเขาเองยังต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกไล่กลิ่น หลังจากรู้สึกว่าดีขึ้น 
ลมระลอกใหม่ก็เริ่มบุกอีก แน่นอน 

เขาเริ่มผายลมระลอกใหม่ เสียงมันดังราวเครื่องยนต์ดีเซลกำลังทำงาน 
กลิ่นแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก...เขาจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกไปมาอย่างรวดเร็ว 
โดยหวังว่า จะทำให้กลิ่นมันจางลงไปบ้าง แต่ไม่ทันไร ข้าศึกชุดใหม่ก็มาถึง 
คราวนี้แย่ยิ่งกว่า 2 ครั้งแรก หน้าต่างสั่นไหวเพราะแรงลม จานบนโต๊ะเขย่า 
และนาทีต่อมาดอกไม้บนโต๊ะก็เหี่ยวเฉา ก็เพราะสัญญาว่าจะไม่เปิดตา 
เขาจึงไปไหนไม่ได้ นอกจากต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะ รอจนกว่าภรรยาจะกลับมา 
เขานั่งรออยู่ราว 10 นาที และเป็น 10 นาที ที่มีกิจกรรมแบบว่าตลอด 
ผายลม.. โบกผ้าเช็ดหน้า.. ซ้ำไปซ้ำมา.. 

เมื่อเขาได้ยินเสียงภรรยาวางโทรศัพท์ เขาจึงรีบพับผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋า 
และยิ้มให้ภรรยาอย่างไร้เดียงสา ราวกับว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
ภรรยากล่าวขอโทษที่คุยโทรศัพท์นานไปหน่อย และถามว่า 
เขาไม่ได้แอบดูแน่นะ... เมื่อเขายืนยัน เธอจึงปลดผ้าผูกตาให้เขา 
พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอันชวนตื่นเต้นว่า Surprise 
เป็นช่วงเวลาอันน่าสะพึงกลัว... ที่เขาพบว่า มีแขกนั่งอยู่รอบโต๊ะกินข้าว 
12 คน เพื่อร่วมงาน Surprise party ในงานวันเกิดของเขานั่นเอง... 

พูดไม่ออก ....................จบแล้วค่ะ................				
14 พฤษภาคม 2547 11:53 น.

เราไม่ได้..ไม่รักกัน

น้ำตา_

บางที.. อาจไม่จำเป็น..เสมอไป
ที่ความรัก..จะต้องจบลง
ด้วยการ..ได้เป็น..คนรัก

*
*
*

บนเตียงเล็กๆ.. ในบ้านอบอุ่น..หลังหนึ่ง
แดดยามเย็น..ทอบางบาง..ผ่านหน้าต่าง

หญิงชรา..อายุราวๆ 70 ปี
นอนซม..อยู่บนเตียง 

เธอรู้ว่า...นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย..ในชีวิตของเธอแล้ว 
..แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ ..เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมด..ที่เธอได้ผ่านมา 

เธอ..ได้แต่งงาน ..มีครอบครัว..ที่อบอุ่น 
แม้จะไม่มีลูก..ก็ตาม 

มีเพื่อนที่ดี ..ผ่านชีวิตการงานที่ดี
ถึงแม้วันนี้..สามีของเธอจะตายไป..ร่วม 10 ปี 

แต่..ในวันสุดท้าย..ของชีวิต 
เพื่อน-ที่เธอรักที่สุด..
ก็มานั่งเคียงข้างเธอ..อยู่ตรงนี้ 
มาส่งเธอ..เหมือนทุกครั้ง..ทุกคราว 

*

หมอบอกว่า..ฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก 
เธอ..เอ่ยบอกกับเขา ...
เพื่อนชรา..ที่รู้จักกับเธอมา..แต่ครั้งยังเด็ก

ฉันรู้ 
ชายชรา..พยักหน้ารับ

เธอมาส่งฉัน..เหมือนทุกทีสินะ
หญิงชรา..มองหน้าชายชรา

ใช่..ก็ฉันส่งเธอ..มาตลอดทั้งชีวิตนี่นา ..ขาดไปอย่าง..คงไม่ครบ 
ชายชราตอบ..ด้วยรอยยิ้มบางๆ

ตอนเด็กๆ..บ้านเรา..อยู่ทางเดียวกัน..เรากลับบ้านด้วยกันทุกเย็น.. 
บ้านฉัน..อยู่เลยบ้านเธอไปมาก.. เธอ..รำลึกความหลัง

แต่ฉัน..ก็ไปส่งเธอทุกวัน
ชายชราบอก

ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้น..ตลอดชั้นประถม..และมัธยม..ที่เราเรียนด้วยกัน 
..จนเพื่อนๆล้อว่า..เราเป็นแฟนกัน หญิงชราพูดขึ้น

สุดท้าย..ก็ต้องเลิกล้อกันไป 
เพื่อนชราของเธอ..ต่อคำ

ตั้งแต่..เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอ..นั่นแหละ 
เธอเย้ายิ้มๆ

แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวัน..อยู่อย่างเดิม... จนต้องเลิกกับแฟน..ไม่ใช่รึ
ชายชรา..ทวนความหลัง

เธอจำได้ว่า..เธอบอกเขาอยู่บ่อยๆ ว่า..ไม่ต้องเดินมาส่งเธอแล้ว..
เดี๋ยวแฟนเขาจะโกรธเอา.. แต่เขาก็ยังดึงดัน..ที่จะมาส่งเธอ

โกรธก็โกรธไป ..ฉันรู้จักเธอ-มาก่อนตั้งนาน ..ยังไงเธอ..ก็ต้องมาก่อน 
นั่น..เป็นคำพูดที่เธอจำได้-ไม่ลืม ..แม้ว่า..มันจะผ่านมาเกือบ 60 ปีแล้ว..ก็ตาม..

เธอยังจำ..วันที่เขาต้องขึ้นรถไฟ..เพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้

วันนั้น..เธอไปส่งเขาที่สถานี ..ร้องไห้จะเป็นจะตาย 
..เขาวุ่นกับการปลอบเธอ..จนไม่เป็นอันได้ร่ำลาพ่อแม่

พอเธอสงบลง..และขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตา..ในห้องน้ำ .. 
พ่อแม่ของเขา..ไปเช็คเที่ยวรถไฟ ...
พอเธอกลับมา..ก็พบเขานั่งร้องไห้คนเดียว..กับกองกระเป๋า...
เงยหน้าขึ้นบอกกับเธอ..ทั้งน้ำตา

กลับบ้านเอง..เดินดีๆ นะ

และนั่น..ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา..อีกรอบ

*
เธอจำได้ว่า..วันที่เขาปิดภาคเรียน..และกลับมาบ้าน..
เธอแนะนำเขา..ให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ 

ตอนแรก..ทั้งสอง..เหมือนจะเข้ากันได้ดี ..แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน 
..มีคนมาบอกว่า..แฟนเธอกับเพื่อนเธอ..ต่อยกัน

มัน..นอกใจเธอ เขาบอกเรียบๆ.. 

แต่..เธอไม่เชื่อ

วันนั้น..เธอเชื่อแฟนมากกว่า..ว่าเขาอิจฉาแฟนเธอ..จึงหาเรื่องชกต่อย 
..เธอว่าเขา..ไปหลายคำ 

อาทิตย์นึงให้หลัง..เธอจึงรู้ว่า..เขาเป็นคนถูก 
..เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน..ก็เจอแต่..พ่อของเขา

มันกลับไป..แต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ..เห็นว่ามีธุระด่วน ..ไม่รู้อะไร
* 

เธอส่งจดหมายไปขอโทษ ..เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ 
..ในจดหมายลงท้าย..ด้วยคำ-คำเก่า

"กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ"

เธอรู้ว่า..ในคำที่เหมือนสั้นๆ นั้น ..เขาพูดอะไรออกมา..มากมายขนาดไหน..

เธอจำได้..ถึงวันที่เธอ..บอกเขาว่า..
เธอจะแต่งงาน.. 

เขา..มองหน้าเธอ..
เธออ่านไม่ออกว่า..มันเป็นความรู้สึกอะไร 
..ดีใจ? 
..เสียใจ? 
และเมื่อเธอถามเขาตรงๆ ..เขาก็ตอบว่า..

..เราใจหาย..
* 

แต่ก่อนหน้านั้น.. ก็เขานี่แหละ..ที่เป็นคนช่วยเธอเลือก..
ช่วยเธอดูว่า..ผู้ชายคนนี้นิสัยดี ..และรักเธอจริง

เรา-ผู้ชายด้วยกัน..เราดูออก

ซี่งเขา..ก็ดูไม่ผิด ..สามีของเธอดี..เหมือนอย่างที่เขาบอก ..

วันแต่งงาน..เธอบอกเขาว่า..

ความเป็นเพื่อนของเรา..ยังเหมือนเดิมนะ ..ไม่ต้องห่วง 

เขามองเธอนิ่งๆ..พยักหน้าน้อยๆ.. ไม่ตอบคำ 

ถึงเวลารดน้ำสังข์ ..เขาอวยพรเธอมากมาย ..แต่พูดกับสามีเธอ..เพียงสั้นๆ ว่า..

ฝากด้วยนะ..
* 

เขาแต่งงาน..มีครอบครัวของเขา 
เธอ..ก็มีครอบครัว..ของเธอ 

มีบางช่วงของชีวิต..ที่ห่างกันไป 
แต่ก็ไม่เคย..ลืมกัน 

เธอ..ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดให้เขา..ทุกๆปี 
ตอนนี้..เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ 59 ใบแล้วล่ะ
เพราะเธอนับของเธอแล้ว..มันได้ 58 ใบ 
น้อยกว่า..อยู่ใบนึง..
เพราะเธอ..เกิดทีหลังเขา 5 เดือน.. 

บางที ..เธอรู้สึกสนิทกับเขา..มากกว่า..คนรักของเธอเสียอีก 

หลายเรื่อง..ที่เขารับรู้..แต่คนรักของเธอ..ไม่แม้แต่ระแคะระคาย.. 

และก็เช่นกัน..หลายความลับ..ที่เขาระบาย 
..ที่เขาฝากไว้ที่เธอ..เธอก็รับ..และเก็บงำมันไว้..ด้วยความเต็มใจ..

*
*

คิดอะไรอยู่? 
เขาเอ่ยขึ้นมา..ทำลายความเงียบ

เรา..กำลังนึกแปลกใจ 
เธอเอ่ย..ด้วยท่าทีครุ่นคิด

ทำไม..เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน?

เขานิ่งไป..เหมือนกำลังคิดเช่นกัน 

เราสนิทกันมาก..มั้ง 
เขาว่า

นั่น..ไม่น่าใช่เหตุผลนี่ 
เธอว่า

เธอ..ถามยากไปนะ 
เขาตอบ..หลังจากนิ่งคิดอีก..อยู่ครู่ใหญ่

ไม่ยากหรอก ..ลองคิดเล่นๆ สิว่า..ทำไมเราถึงไม่รักกันนะ?

แววตาเธอ..มีแววขี้เล่นซุกซน ..เหมือนเด็กหญิง..ครั้งกระโน้น

อืมม..อันนี้..ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย 
เขาพูดขึ้น

เธอมองหน้าเขา.. แปลกใจเธอว่า..เธอไม่ได้เปลี่ยนคำถาม..นี่นะ..

ฉันไม่รู้หรอกว่า..ทำไม-เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน 
เขามองหน้าเธอ..ด้วยสายตาอ่อนโยน

แต่..ถ้าเธอถามว่า..ทำไม-เราถึงไม่รักกันน่ะ 
เขาเว้นช่วง
ฉันก็จะตอบว่า -- ฉันว่า..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย 

เธอหลับตาลง.. คำถามที่ถูกซ่อนไว้..หลายสิบปี..กลับตอบออกมาง่ายๆ..อย่างนี้เอง

นั่นสินะ ..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย 
เธอตอบ..ทั้งๆที่หลับตาลง

ตอนนี้..เธอพร้อมที่จะจากโลกใบนี้ไป..อย่างมีความสุขแล้ว

ในความรู้สึก..ที่เริ่มพร่าและเลือน...เธอสัมผัสได้ถึงมือของเขา..ที่เอื้อมมากุมมือเธอไว้

กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ..

และนั่น..
คือ..คำสุดท้าย..ที่เธอได้ยิน				
14 พฤษภาคม 2547 11:46 น.

เพื่อนผู้อาภัพ

น้ำตา_

แด่แอ๋มเพื่อนผู้อาภัพและโชคร้ายของเรา 
ขอให้เธอพบคนที่ดีในชาติหน้า





***************************************************************
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเราได้ไปงานศพเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน

แอ๋ม



เพื่อนของเราเป็นคนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มเธอไม่เคยมีแฟนเลยตั้งแต่เข้าปี 1
ไม่ใช่ว่าแอ๋มไม่สวย
แต่แอ๋มจะขี้อายมากเพราะแอ๋มมีแต่พีน้องผู้หญิงและพ่อของแอ๋มก็เสียตั้งแต่เล็ก
ก่อนพวกเราจะจบการศึกษา 4-5 เดือนแอ๋มเล่าให้เราฟังว่ามีคนมาสนใจเธอ
เค้าแอบมองเธอมาเกือบ 2 เดือนโดยที่ไม่เคยคุยกันได้แต่แอบมองกันไปมา
เราจึงยุให้เธอส่งไมตรีให้เค้า
ได้ผล..



หลังจากนั้นแอ๋มก็กลับมาเล่าให้เราฟังว่าพวกเค้าได้คุยกันไปเที่ยวกันและเริ่มมี
เพศสัมพันธ์กัน เพราะความอยากรู้ของเราๆ
จึงไม่ห้ามและแอ๋มก็ไม่ปิดบังเธอจะเล่าให้เราฟังทุกระยะ
จนเมื่อพวกเราจบและแยกย้ายกันไป
แอ๋มก็ส่งการ์ดแต่งงานมาให้เรา เธอแต่งเป็นคนแรกของรุ่น
ตอนแต่งแอ๋มอายุประมาณ22 ส่วนแฟนแอ๋มประมาณ 24
ในงานวันนั้นเพื่อนๆ ทุกคนอิจฉาแอ๋ม เจ้าบ่าวหล่อมากๆๆๆ
ทั้งคู่ดูเหมาะสมแอ๋มดูมีความสุขมาก
หลังจากงานวันนั้นเราก็ยังคงติดต่อกับแอ๋ม
เรานัดเจอกันกินข้าวกันเกือบทุกเดือน
บางครั้งแฟนแอ๋มก็ไปด้วย จนเข้าปีที่ 2
เราก็ยังคงได้เจอกับแอ๋มแต่ไม่บ่อยนัก
แอ๋มจะมาเจอเราเพียงคนเดียวโดยไม่มีแฟนมาด้วย แอ๋มดูไม่มีความสุข
เราเจอแอ๋มแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นและแอ๋มก็หายเงียบไป
วันหนึ่ง เราได้รับโทรศัพท์จากแอ๋ม บอกว่าแฟนแอ๋มตายแล้ว
เราตกใจมากสงสารแอ๋ม




เราไม่ทันได้ไปงานศพแฟนแอ๋ม เพราะแอ๋มบอกเราว่าเขาฝังทันทีเย็นวันนั้นตามพิธีของ
ศาสนา วันรุ่งขึ้นเราจึงไปร่วมทำบุญ 3หรือ7วันเราไม่แน่ใจ
แอ๋มดูไม่มีความสุข แต่ไม่มีอาการโศกเศร้ามากนักเราแปลกใจมาก
เพราะแอ๋มรักแฟนมากๆ ทำไมเธอดูไม่คอยเสียใจ
แอ๋มเล่าว่าแฟนเธอเป็นเนื้องอกให้สมองก่อนจะตายเจ็บอยู่เป็นเดือน
เธอว่าแฟนทรมานมากไปนะ ดีแล้วและเธอก็ทำใจได้แล้ว
หลังจากแฟนตายได้ 3 เดือนแอ๋มก็ลาออกจากบริษัทและไม่ทำงาน
แอ๋มบอกว่าแม่สุขภาพไม่ดีจะออกไปดูแลแม่
หลังจากนั้นเราก็คงคงติดต่อกับแอ๋มโทรศัพท์บ้างเจอกันบ้าง 
จนผ่านไป 2 ปี
แอ๋มก็เริ่มเก็บเนื้อเก็บตัว เรานัดออกมาเจอ ก็ว่าไม่สบายบ้าง ยุ่งบ้าง
ชวนไปงานแต่งงานเพื่อนก็รับปากแต่พอจริงก็ไม่ไปอ้างว่าไม่สบาย
จนวันหนึ่งเพื่อนสนิทอีกคนของเราคลอดลูกเราก็ชวนไปเยื่ยม
แอ๋มก็บ่ายเบี่ยงต่างๆนาๆ จนเราสงสัย
และเคยมีเพื่อนบางคนเจอแอ๋มโดยบังเอิญ
มาบอกกับเราว่า แอ๋มผอมมาก เราก็ยิ่งเป็นห่วงแอ๋มมาก
จนมาวันหนึ่งเราทนเก็บความสงสัยไม่ได้จึงแอบไปบ้านแอ๋ม

แทบร้องไห้ เราพบแอ๋มนอนอยู่บนเตียง แอ๋มผอมมากๆ น้ำหนักแค่ 34 กิโล
แอ๋มบอกกับเราว่าเธอป่วยเป็นไวรัสลงปอด
เธอติดมาจากนกพิราปที่ทำรังอยู่บนหลังคา
แม่ของแอ๋มบอกเราว่าแอ๋มไม่ยอมกินข้าววันๆ กินข้าววันละ ช้อน
เรากับเพื่อนสองคนคุยกับแอ๋มไม่ได้มากนัก เพราะแอ๋มดูเหนื่อยมาก
แอ๋มได้แต่ฟังพวกเราคุยกัน
บางครั้งในขณะสนทนาแอ๋มก็ตัดพ้อว่า 
ตัวแอ๋มโชคร้ายไม่สบายร่างกายอ่อนแอ
พวกเราก็ได้แต่ปลอบไปว่า แอ๋มต้องหายอย่าคิดมาก 
แอ๋มบอกว่าในพวกเรา 3 คนเพื่อนเราอีกคน perfect ที่สุด เราเดาว่า perfect 
ของแอ๋มคงเป็นเพราะ
เพื่อนอีกคนของเรามีครอบครัวที่อบอุ่นมีลูกน่าๆ 
ส่วนตัวเรายังไม่แต่งงาน
และแอ๋มแฟนตายไปแล้ว

หลังจากนั้น 3 อาทิตย์
พี่สาวแอ๋มก็โทรมาบอกเราว่า......แอ๋มสิ้นใจแล้ว.....
ให้เราแจ้งข่าวกับเพื่อนคนอื่นๆ

วันงานเราได้คุยกับแม่แอ๋ม
และถามแม่ว่าทำไมปล่อยให้แอ๋มเจ็บหนักขนาดนี้ทำไมไม่รักษา
แม่แอ๋มเริ่มร้องไห้ แล้วบอกกับเราว่า
.....แอ๋มติดเอดส์จากแฟน.....
แม่มารู้ตอนที่แฟนแอ๋มตาย แอ๋มปิดบังแม่มาตลอด 2 ปีหลังจากแต่งงาน

แม่ว่าตัวแฟนก็รู้ว่าเป็นก่อนจะมาแต่งกับแอ๋มแต่แอ๋มรู้หลังจากแต่งแล้ว 1 ปี

เราสงสารแอ๋มมาก ทำไมเธอโชคร้ายแบบนี้
เธอปิดบัง พวกเราถึง 6 ปี แม่แอ๋มว่าตอนเจ็บหนัก 2 ปีหลังก่อนตาย
เวลามีเพื่อนๆโทรมาคุยแอ๋มจะมีความสุขมากกินข้าวได้เยอะ
และเมื่อล่าสุดที่เราไปเยี่ยม
แอ๋มก็เล่าให้แม่ฟังว่าเธอฟังพวกเราคุยสนุกมาก
อยากเจอกับพวกเราอีก


ถ้าเรารู้ว่าเธอจะจากเราไปเร็วด้วยโรคนี้เราคงจะโทรไปคุยกับเธอบ่อยขึ้น
จะไปหาเธอบ่อยๆ
ทำไม่เธอต้องคิดว่าพวกเราจะรังเกียจถ้ารู้ว่าเธอเป็นเอดส์
ทำไมเธอต้องทนทุกข์ทรมานใจ เก็บเรื่องอึดอัด 2 ปีกับแม่-พี่ๆ 
และ กับอีก 6 ปีกับเพื่อนๆ

และทำไม 7 ปีที่แล้วเราไม่ห้ามเพื่อนเรา
หรือป้องกันก่อนที่แอ๋มจะเกินเลยกับแฟน.
ทุกอย่างที่เขียนมาเป็นเรื่องจริง
และเขียนด้วยความรู้สึกที่เสียใจเคร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

PangPond				
14 พฤษภาคม 2547 09:32 น.

ฉันรักเธอ

น้ำตา_

ผมนั่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ผมนั่งมองหญิงสาวข้างๆ ผม
เธอคือคนที่ผมเรียกว่า "เพื่อนรัก"
ผมจ้องมองไปที่ผมยาวราวกับเส้นไหมของเธอและอยากให้เธอเป็นของผม
แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น

ผมรู้....หลังเลิกเรียนเธอเดินเข้ามาหาผม เพื่อจะขอยืมโน๊ตที่เธอจดไม่ทันในวันนั้น
ผมยื่นโน๊ตให้ไป เธอตอบกลับมาว่า "ขอบใจ"
และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

เกรด 11
โทรศัพท์ดังขึ้น ปลายทางของคนที่โทรมาก็คือ "เธอ" นั่นเอง
เธอกำลังร้องไห้และพร่ำบ่นไม่ยอมหยุดว่า คนรักของเธอหักอกเธอเช่นไร

เธอขอให้ผมไปหาเพราะเธอไม่อยากอยู่คนเดียว และผมก็ไป
ผมนั่งอยู่ข้างๆ เธอที่โซฟา จ้องมองไปยังดวงตาที่อ่อนโยนของเธอ
และอยากให้เธอเป็นของผม สองชั่วโมงกับการนั่งดูหนัง
ที่ Drew Barrymore เล่นกับมันฝรั่งอีกสามถุง
เธอก็ตัดสินใจเข้านอน เธอมองมาที่ผมและพูดว่า "ขอบใจนะ"
และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน" 
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ปีสุดท้าย
ก่อนวันของงานพรอม(Prom) เธอเดินมาหาผมที่ล็อกเกอร์
"คู่เดทของฉันมันห่วย" เธอพูดขึ้น
เขาจะไม่ยอมไปงานพรอมกับเธอ
และผมก็ยังไม่มีคู่เดท ซึ่งตอนสมัยอยู่เกรด 7
เราเคยสัญญากันว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งยังไม่มีคู่เดท
เราจะไปงานพรอมด้วยกันในฐานะ "เพื่อนรัก"
และเราก็ตกลงเป็นคู่เดทในงานพรอมด้วยกัน
คืนวันงานหลังจากเลิกงานแล้ว
ผมยืนอยู่ที่บันไดหน้าบ้านของเธอ

ผมจ้องมองเธอเช่นเดียวกับเธอที่ยิ้มให้ผม 
และจ้องมองกลับมาที่ผมด้วยดวงตาสดใสของเธอ
ผมอยากให้เธอเป็นของผม แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
ผมรู้...ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

วันจบการศึกษา
วันเวลาผ่านไป จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน
ก่อนที่ผมจะทันกระพริบตา มันก็เป็นวันจบการศึกษาแล้ว

ผมมองดูเรือนร่างอันสมส่วนของเธอลอยขึ้นไปบนเวที 
ราวกับนางฟ้าเพื่อรับประกาศนียบัตร
ผมอยากให้เธอเป็นของผม แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
ผมรู้...ก่อนที่ทุกคนจะกลับบ้าน
เธอเดินเข้ามาหาผมในชุดครุยและหมวก และเธอร้องไห้เมื่อผมกอดเธอ
จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นจากไหล่ของผมและพูดว่า
"เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน ขอบใจนะ" และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

2-3ปีต่อมา ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวในโบสถ์
เธอคนนั้นกำลังจะแต่งงาน
ผมนั่งมองเธอพูด "ฉันรับค่ะ" และไปสู่ชีวิตใหม่ของเธอ
เธอแต่งงานกับชายคนอื่นไปแล้ว ผมอยากให้เธอเป็นของผม
แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
ผมรู้..ก่อนเธอจะนั่งรถออกไป เธอเดินมาหาผมและพูดว่า
"เธอมางานของฉัน!" และพูดว่า "ขอบใจนะ" และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

งานศพ
หลายปีผ่านไป ผมก้มหน้ามองโลงศพของผู้หญิงที่เคยเป็น "เพื่อนรัก" ของผม

ในงานศพ พวกเขาได้อ่านสมุดบันทึกของเธอทั้งหมด
ที่เธอเคยเขียนไว้สมัยเรียนไฮสคูล และในสมุดบันทึกเขียนไว้ดังนี้ :
ฉันจ้องมองเขาและปรารถนาให้เขาเป็นของฉัน
แต่เขาไม่ได้คิดกับฉันแบบนั้น
ฉันรู้....ฉันอยากจะบอกเขาให้รู้ว่า ฉันไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ฉันรักเขาแต่ฉันก็อายเกินไปที่จะบอก
และฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ฉันปรารถนาให้เขาบอกว่า เขารักฉัน
และฉันก็ปรารถนาอยากจะบอกเขาเหมือนกัน
ฉันคิดกับตัวเองและร้องไห้
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ

รักใครก็บอกเขาไปซะ ก่อนที่เขาจะไม่ได้อยู่ฟังคำนั้นจากเราอีกต่อไป

ใครจะรู้คนที่คุณคิดว่า เขาไม่ได้รักคุณเลย
ใจจริงแล้ว เขาเองอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับคุณก็ได้
ไม่บอกรักแล้วจะรู้ใจกันได้อย่างไร?				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำตา_
Lovings  น้ำตา_ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำตา_
Lovings  น้ำตา_ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำตา_
Lovings  น้ำตา_ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน้ำตา_