28 พฤษภาคม 2547 09:55 น.

เธอเคยไหม

น้ำตา_

เธอเคยไหม 
เคยไหมที่ต้องอยู่คนเดียวเพียงลำพัง 
เคยไหมที่ต้องต้องนั่งคิดถึงใครๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ..ของเธอ 
เคยไหมที่เหว่ว้าไม่มีใครเคียงข้างกาย....และเธอก็อยากใด้ใครสักคน 
ปลอบโยนในวันที่ท้อแท้.........

เคยไหมที่เสียใจกับสิ่งที่ผ่านพ้นไป 
เคยไหมที่ต้องร้องให้กับความเงียบเหงา.... 
เคยไหมที่ต้องร้องไห้เพราะคิดถึงใคร สักคน 
เคยไหมที่ร้องไห้กับความไกลห่าง 
เคยไหมที่ร้องให้กับความพ่ายแพ้ 
เคยไหม........เธอเคยไหมกับคำว่าเหงา..........เธอเคยไหม 

ไม่ว่า....จะกี่ฝน....กี่ร้อน....กี่หนาว....กี่ฤดู....ผ่านพ้นไป ....... 
ไม่ว่า....เธอจะเหงา...เศร้าเพียงไร....... 
ไม่ว่า...หัวใจที่เคยอ่อนล้า...สับสน.....หมดหวัง...... 

แต่เธอยังมีใจ....ใจของเธอ....ใจที่กล้าแกร่งพอที่จะยิ้มให้กับตนเอง... 
ให้มันผ่านพ้นไป.......แล้วคิดเสียว่าคุณ......มีความเหงาเป็นมิตรแท้ที่ดี.....
เพราะวันใดวันหนึ่งมันต้องหวนกลับมาเยี่ยมเยียนคุณ.....เหมือนกับที่คุณเคยผ่านพ้น .........
บอกกับต้วเองว่า....เรารักเธอความเหงาที่เข้าใจเรา แล้ว 
ยิ้มชะคนดี จะมีวันดีดีที่เป็นของคุณ				
28 พฤษภาคม 2547 09:50 น.

จงฟังเสียงของความรัก..

น้ำตา_

หลายครั้งที่เราเขินอายไม่กล้าแสดงออกซึ่งรักที่เรามี 
เพราะกลัวจะทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นกระดากกระเดื่อง 
เราลังเลที่จะพูดไปตรงๆ ว่า "ฉันรักเธอ" 
เราจึงพยายามสื่อความรู้สึกนี้ออกไปด้วยคำอื่น เช่น 
"รักษาตัวดีๆนะ" หรือ "อย่าขับรถเร็วนัก" หรือ "โชคดีนะ" 
แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่วิธีต่างๆ ในการพูดว่า "ฉันรักเธอ" 
"เธอสำคัญต่อฉัน" "ฉันสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ" 
"ฉันไม่อยากให้เธอบาดเจ็บ" 

คนเรานี้บางครั้งก็ประหลาด 
สิ่งเดียวที่เราอยากจะพูด และเป็นสิ่งที่ควรพูด 
เรากลับไม่พูดออกไป 
กระนั้น การที่เรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆและอยากจะพูดออกไปมาก 
เป็นผลให้เราใช้คำหรือสัญญาณอื่นที่บอกว่าจริงๆแล้วเราหมายถึงอะไร 
แต่หลายครั้งที่ความหมายเหล่านั้นสื่อไปไม่ถึง 
ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่รัก 
ไม่เป็นที่ต้องการเพราะฉะนั้น 
เราจึงต้องฟังเสียงของความรัก ในคำที่ผู้อื่นพูดกับเรา 

บางครั้งคำพูดที่ชัดแจ้งก็จำเป็น 
แต่บ่อยครั้งที่อากัปกิริยาในการพูดนั้นสำคัญยิ่งกว่าคำพูดเหน็บแนม 
ใส่ความรักและชื่นชอบไว้ในความรู้สึกซึ่งแสดงออกมาอย่างไม่จริงใจ 
การกอดเร็วๆ เป็นการบอกว่าฉันรักเธอ 
แม้ว่าคำที่พูดออกมาอาจเป็นอย่างอื่น 

การแสดงออกถึงความห่วงกังวลที่คนหนึ่งมีต่ออีกคนหนึ่ง 
เป็นการบอกว่า ฉันรักเธอ 
แต่บางครั้งก็แสดงออกมาอย่างเงอะงะ หรือแม้แต่ดุร้าย 
บางครั้งเราก็ต้องตั้งใจมองและฟังมากๆเพื่อรับรู้ความรักที่อยู่ภายใน 
มันมักจะอยู่ใต้ผิวที่คลุมอยู่ 

แม่อาจจะบ่นว่าลูกชายบ่อยๆเรื่องผลการเรียนหรือการทำความสะอาดห้อง 
ลูกชายอาจได้ยินแค่เสียงบ่น แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ 
เขาจะได้ยินความรักซึ่งอยู่ใต้เสียงจุกจิกจู้จี้นั้น 
แม่ต้องการให้ลูกทำดี และประสบความสำเร็จ 

แต่น่าเสียดายที่ความห่วงใยและความรักลูกชายออกมาในรูปของการบ่นว่า... 
แต่อย่างไรมันก็คือความรัก 
ลูกสาวกลับบ้านช้ากว่าที่อนุญาต และพ่อมาดุแรงๆด้วยความโกรธ 
ลูกสาวอาจได้ยินแค่ความโกรธ 
แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆจะได้ยินความรักที่อยู่ใต้ความโกรธนั้น 
พ่อกำลังพูดว่า "พ่อเป็นห่วงลูก เพราะพ่อใส่ใจลูก รักลูก 
ลูกสำคัญต่อพ่อ" 
เราบอกรักด้วยวิธีต่างๆ 
ไม่ว่าจะเป็นของขวัญวันเกิด กระดาษโน้ตใบเล็กๆ รอยยิ้ม 
และบางครั้งก็น้ำตา 

บางครั้งเราแสดงออกซึ่งความรักด้วยการนิ่งเงียบและไม่พูดอะไรเลย 
แต่บางครั้งก็พูดออกมา ถึงขนาดห้วนๆ ก็มี 
บางครั้งเราแสดงความรักโดยไม่ได้ยั้งคิด.. 
หลายครั้งเราต้องแสดงความรัก.. 
ด้วยการยกโทษให้คนที่ไม่ได้ยินความรักที่เราพยายามส่งไป 

ปัญญหาในการฟังเสียงของความรักคือ 
เราไม่ค่อยเข้าใจภาษาแห่งรักที่ผู้อื่นใช้ 
เด็กสาวอาจใช้น้ำตาหรือแสดงอารมณ์เพื่อบอกว่าเธออยากจะพูดอะไร 
แต่แฟนของเธออาจไม่เข้าใจ 
เพราะเขาคาดหวังให้เธอพูดภาษาเดียวกับเขา 
ดังนั้นเราจึงต้องบังคับตัวเองให้ตั้งใจฟังเสียงแห่งรัก 

ปัญญหาใหญ่คือคนเราไม่ค่อยฟังกัน เราได้ยินคำพูด 
แต่เราไม่ฟังความหมายจริงๆของคำนั้น หรือไม่ดูการแสดงออกทางสีหน้า 
หรือบางครั้งเราก็ฟังเพื่อจะปฏิเสธและเข้าใจผิด 
เราไม่เห็นความรักที่อยู่ลึกลงไป 
แม้ว่าคำพูดที่ออกมาจะแสดงความโกรธก็เถอะ.. 
เราต้องฟังเสียงของความรักจากผู้คนรอบข้างบ้าง ถ้าฟังดีๆจะพบว่า.. 
เรามีคนรักมากกว่าที่คิด 

ฟังเสียงของความรักเถิด.. แล้วเราจะพบว่า.. โลกนี้น่าอยู่ยิ่งนัก 
ความรักคือสิ่งที่ให้ความสุข.. 
ทำให้เราหัวเราะ.. 
ทำให้เราร้องเพลง.. 
ทำให้เราเสียใจ.. 
ทำให้เราร้องไห้.. 
ทำให้เราหาเหตุผล.. 
ทำให้เราเป็นผู้รับ.. 
ทำให้เราเป็นผู้ให้.. 
นอกเหนือจากอะไรทั้งหมด .....ความรักทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ 

คนอื่นจะอยู่หรือไม่อยู่กับเราไม่ได้แตกต่างอะไรนัก 
เพราะเราไม่เห็นต้องรู้สึกว้าเหว่แม้จะอยู่คนเดียว 
บางครั้งมันก็ดีที่ได้อยู่คนเดียว 
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราโดดเดี่ยว.. 
การอยู่กับใครสักคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ 
การให้คนอื่นรู้ว่ามีเราอยู่ต่างหากที่สำคัญ ดังนั้น จำไว้ว่า 
ถ้าคุณรักใคร.. ก็บอกเขาไปเถิด พูดอย่างที่คุณต้องการ 
อย่ากลัวที่จะแสดงตัว ใช้โอกาสนี้บอกเขา.. 
ว่าเขามีความหมายต่อคุณเพียงใด 
อย่าปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป จะได้ไม่ต้องมาเสียใจ 
สิ่งสำคัญที่สุดคือ อยู่ใกล้ๆ เพื่อนและครอบครัวของคุณ 
เพราะพวกเขาช่วยให้คุณเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 
ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรักและการมานั่งเสียใจคือ... 
ความเสียใจอาจจะคงอยู่ไปตลอด 

ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงแสดงความรัก 
และถ้าคุณอยากมีความสุข ก็จงแสดงความรัก				
28 พฤษภาคม 2547 09:47 น.

รัก

น้ำตา_

"รัก" ไม่มีคำว่าเศร้า ทุกข์ ขมขื่น หรืออะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดี
"รัก" มีแต่สิ่งดีๆ ให้กันและกัน 
สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจาก "รัก" แต่เกิดจากการคาดหวัง
ที่แต่ละคนคิดว่าหากรักกันแล้วต้องทำให้ได้ทุกอย่าง 
ในความเป็นจริงแล้วใช่อย่างนั้นหรือการคาดหวังเกิดขึ้นได้กับทุกคน
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสิ่งที่คาดหวังของคนสองคนไม่ตรงกัน
คุณคงนึกภาพออก
แล้วถ้ายิ่งคุณทำอะไรให้กับคนที่คุณรักแล้วแต่ไม่ตรงกับที่คนรักคุณคาดไว้สิ่งนั้นก็หมดความหมาย

คนทำก็หมดกำลังใจ ทำตั้งเยอะไม่ได้อะไร ตอบแทนเลย 
จึงกลายเป็นการเรียกร้องเกิดขึ้น 
เมื่อคุณเป็นฝ่ายให้แล้วทำไมอีกฝ่ายไม่เป็นฝ่ายให้บ้าง 
โดยคุณอาจลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ได้ให้คุณเหมือนกัน 
เพียงแต่สิ่งนั้นไม่ได้ตรงกับที่คุณคาดไว้ และมันไม่มีความหมายกับคุณเลย
เมื่อคนสองคนคิดไม่ตรงกันที่ต้องการจะเป็นฝ่ายรับ 
หรือเรียกร้องที่จะรับโดยบอกให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายให้
ความทุกข์ต่างๆ ก็จะตามมา 
"รัก" ไม่ต้องคาดหวังทำให้เมื่ออยากทำไม่ต้องรอสิ่งตอบแทน
และรับในสิ่งที่อีกฝ่ายให้เมื่อเขาอยากให้ไม่ต้องเรียกร้อง
เป็นตัวของตัวเองในบางครั้งโอนอ่อนในบางที สิ่งดีๆ ก็จะเกิด "รัก"ก็จะปรากฎ 

ปล. หากคุณรักใครส่งข้อความนี้ให้เขา แล้วทำให้ "รัก"
ของคุณและเขาเป็นรักที่แท้จริง				
27 พฤษภาคม 2547 10:07 น.

หนุ่มเผ่าเต๋า

น้ำตา_

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหนุ่มชาวเขา "เผ่าหนึ่ง" ได้หมั้นหมายกับสาวน้อยแรกรุ่นต่างเผ่า ด้วยความคิดถึงทรวดทรงอันอวบอิ่ม สมวัยแรกสาวบานสะพรั่งของคู่มั่นหมาย...หนุ่มเผ่าเต๋า ตั้งใจว่ารุ่งขึ้นจะออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนคู่หมั้นสาวให้หายคิดถึง เย็นวันนั้นหนุ่มเผ่าเต๋าบอกกับแม่ของเขาว่า กางเกงในที่ใส่อยู่มันเก่ามากแล้วใส่ มา 3 เดือนไม่เคยเปลี่ยนเลยแม่ช่วยไปซื้อผ้ามาตัดให้ใหม่ที แม่ของหนุ่มเผ่าเต๋ารีบรุดออกไปตลาดซื้อผ้าใหม่มา 5 เมตร และตัดเย็บกางเกงในอย่างปรานีตสุดฝีมือให้หนุ่มเผ่าเต๋าของเรา 3 ตัวโดยใช้ผ้าไปหมดไป 2 เมตรยังเหลือเก็บใว้ 3 เมตร รุ่งเช้าหนุ่มเผ่าเต๋าของเรารีบใส่กางเกงในตัวใหม่ แล้วสวมผ้าเตี่ยวทับและออกเดิน ทางไปหาคู่หมั้นสาวทันทีมิรั้งรอ ระหว่างทางเกิดปวดท้องหนักกระทันหัน ต้องแวะต้นไม้ข้างทางเพื่อปลดทุกข์ หนุ่มเผ่าเต๋ากลัวกางเกงในตัวใหม่ จะเปื่อนเสียก่อนจึงถอดแขวนไว้กับกิ่งไม้ แต่ด้วยอารามรีบร้อนอยากพบหน้าคู่หมั้นสาว เมื่อเสร็จภาระกิจก็รีบออกเดินทางในทันที ... อนิจจาหนุ่มเผ่าเต๋าของเราลืมใส่กางเกงในที่แขวนไว้กลับคืน เมื่อเดินทางมาถึงบ้านคู่หมั้นสาวในตอนเย็นว่าที่พ่อตาได้จัดให้มีงานเลี้ยงต้อนรับที่บ้าน โดยทุกคนนั่งล้อมวงรับประทานอาหารเย็น หนุ่มเผ่าเต๋าเลือกนั่งตรงข้ามกับคู่หมั้นสาวเพื่อจะโชว์กางเกงในตัวใหม่ของเขาให้คู่หมั้นสาวดู หนุ่มเผ่าเต๋าพยายามนั่งกางขาเต็มที่เพื่อให้คู่หมั้นสาวได้เห็นกางเกงในตัวใหม่ ของเขาได้ชัดๆ เต็มตา เมื่อคู่หมั้นสาวได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในผ้าเตี่ยว...ก็เกิดอาการช๊อคอ้าปากค้าง ...หนุ่มเผ่าเต๋ากระหยี่มใจคิดว่าคู่หมั้นสาวประทับใจในกางเกงในตัวใหม่ของเขาจึง ลองถามออกไปว่า "ชอบไหมจ๊ะที่รัก..ผมยังมีเหลืออีก 3 เมตรเก็บไว้ที่บ้านนะ" คู่หมั้นสาวเป็นลมหงายหลังตึงในทันที				
27 พฤษภาคม 2547 09:34 น.

ด้ายแดง

น้ำตา_

....ในหลายๆ ความเชื่อเกี่ยวกับความรัก และคู่ชีวิต ..
ความเชื่ออันนึงที่เชื่อว่า.. คู่ชีวิตที่แท้จริง
จะมีด้ายสีแดงผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เชื่อมกันไว้
รอจนวันนึง..ด้ายสีแดงนี้จะนำให้เขาทั้งสองมาพบกัน
และรักกันในที่สุด..


.....หลายๆ คนอาจจะเชื่อ 
แต่คงไม่เชื่อมากเท่าผมแน่ๆ..
เพราะผมเห็น...
เห็นด้ายสีแดงที่นิ้วก้อยข้างซ้ายของผม..
ด้ายที่ผูกติดตัวมาตั้งแต่จำความได้..
ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าปลายอีกข้างนึงของมัน จะผูกติดกับใคร

นั่นแหละคือสาเหตุที่ผมเดินทางหาปลายอีกด้านนึงของมัน..


.....เด็กหนุ่มคนนึงที่ต้องการตามหาสิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา..
ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เค้าตามหาจะอยู่ไกลขนาดไหน..
และไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่..
แต่เค้าก็เริ่มเดินทาง..


การเดินทางไปตามด้ายสีแดงตรงปลายนิ้วก้อย..การเดินทางที่รู้ทางเดิน..
แต่ไม่รู้จุดหมาย..
.....ผมเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ที่ด้ายสีแดงของผมพาดผ่าน. 
ได้พบ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่มีทางจะได้เจอในเมืองของผม
ใจนึงก็คิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดี..
แต่มันก็ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง..
เป้าหมายของผมคือ.. ปลายด้ายสีแดง...
.....และแล้วผมก็ได้เพื่อนร่วมเดินทาง..


เมื่อวันนึงผมพบกันผู้หญิงที่ตามหาปลายอีกด้านนึงของด้ายแดงเหมือนกัน..
แต่เธอคงไม่ใช่ปลายด้ายแดงของผมหรอก..
เพราะด้ายแดงของผมยังไปอีกไกล...
.....เราพบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
และก็ไม่ได้เป็นการพบกันที่ทำให้ผมพอใจมากนัก..
บอกตรงๆ เธอไม่ใช่ผู้หญิงในสเปคของผมเลย..
แถมเราทะเลาะกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
แต่เราก็ร่วมเดินทางด้วยกัน


เพราะด้ายสีแดงของเธอกับของผมมันไปทางเดียวกันน่ะสิ.
.....ก็ยังดีนะ ที่ผมไม่ได้เดินทางคนเดียว
อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง 
ที่เห็นและตามหาปลายอีกข้างนึงของด้ายแดงเหมือนกัน..
....การเดินทางร่วมกันของเราทำให้
ผมเห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนี้มากขึ้น..
เป็นตัวจริงที่น่าเคารพ น่าให้เกียรติในฐานะผู้หญิงคนนึง..
จะว่าไปเธอก็นิสัยดีนะ
ตอนที่ทะเลาะกันครั้งแรกคงเป็นการเข้าใจผิดซะมากกว่า

ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอเริ่มดีมากขึ้นเรื่อยๆ..

มีอยู่ครั้งนึงที่ผมคิดว่าถ้าปลายด้ายแดงอีกข้างนึงของผม
ไปหยุดอยู่ที่นิ้วก้อยของเธอก็คงจะดี..
มันก็ไม่แน่นะ..
ถ้าเป็นจริงผมก็คงมีความสุข.. แต่ถ้าไม่ใช่ ..

ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นผู้หญิงที่วิเศษกว่าเธอคนนี้แน่ๆ ..


ยิ่งผมได้รู้ว่าเพื่อนร่วมเดินทางของผมเป็นผู้หญิงที่วิเศษเพียงใด
ผมก็ยิ่งอยากให้ผมเจอปลายด้ายแดงของผมไวๆ ..
ผู้หญิงที่ดีกว่าผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงที่เป็นเนื้อคู่ของผมจะเป็นยังไงน๊า..

.....นานขนาดไหนก็ไม่รู้ที่เราร่วมเดินทางด้วยกัน..
ผมยอมรับว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ดีที่สุด..
เราช่วยเหลือกันมาตลอด..
แต่มันก็คงจะสิ้นสุดแล้วล่ะ.. เพราะด้ายแดงของผมกับเธอ มันแยกกัน..
ตรงทางแยกพอดี.. 
ทางแยกนี้มันแยกไปสู่เมืองสองเมือง ..
ด้ายของผมแยกไปทางขวา..
มุ่งสู่เมืองบนยอดเขา
ซึ่งผมเชื่อว่าคงเป็นปลายด้ายของผมแล้วล่ะ ..
เพราะเมืองนี้อยู่ยอดเขาพอดี..
ส่วนของเธอแยกออกไปที่เมืองข้างล่าง..
.....เรายืนคุยกันตรงทางแยกซักพักนึง 
เพื่อกล่าวคำอำลาและแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน
เราจะได้เจอจุดหมายของเราซักที..


ข้อตกลงสุดท้ายของเราก่อนจะแยกจากกันคือ
เราจะกลับมาเจอกันที่ตรงทางแยกนี้
ไม่ว่าจะเจอ หรือไม่เจอปลายด้ายแดงก็ตาม..
เราตกลงกันตามนี้..
แล้วเราก็แยกทางกัน....
.....ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องกลับมาเดินทางคนเดียว


ทำให้ผมไม่ดีใจมากนักที่รู้ว่า
ปลายด้ายของผมจะไปสุดตรงที่เมืองตรงยอดเขา
ผมเดินแยกจากเธอไปช้าๆ.. ในหัวมีแต่เรื่องต่างๆ
ที่เกิดขึ้นตอนที่เราเดินทางด้วยกัน..
ความประทับใจต่างๆ
ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง.. ความรู้สึกดีๆ
ที่เรามีให้กัน..
.....และแล้วผมก็หยุดเดิน ..
หยุดห่างจากทางแยกไม่ไกลเท่าไหร่..
แล้วผมก็วิ่งกลับไปยังทางแยกนั้นอีกครั้ง..
ไม่มีเหตุผลที่ผมทำแบบนี้เลย..
แต่ก็ทำ.. ผมกลับไปถึงทางแยกนั้นอีกครั้ง..
ซึ่งเธอก็นั่งอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว..
.....เรานั่งคุยกันซักพัก..


ผมบอกเธอไปว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงกลับมา..
ส่วนเธอ..
เธอบอกว่าเธอกลัว..
กลัวว่าจะไม่มีใครตรงปลายด้ายแดงของเธอ
แล้วเธอก็ร้องไห้.. 
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอร้องไห้..


.....สิ่งที่ผมภูมิใจมากกว่าตัดสินใจการออกเดินทางตามหาคู่ชีวิตของผม
..คือการตัดสินใจครั้งนี้แหละ..
ผมเช็ดน้ำตาให้เธอ .. ตัดด้ายแดงของผม และเธอออก
แล้วผูกเข้าด้วยกัน...
ผมไม่รู้หรอกว่าเธอจะโกรธผมรึเปล่าที่ผมทำแบบนี้..
อยากจะถามเธออยู่หรอก
แต่เธอก็ร้องไห้ไม่หยุด.. และกำลังกอดผมอยู่...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำตา_
Lovings  น้ำตา_ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำตา_
Lovings  น้ำตา_ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำตา_
Lovings  น้ำตา_ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน้ำตา_