17 ตุลาคม 2548 09:07 น.

ชีวิตหาบเร่...

ปีกนางฟ้า

ชีวิตหาบเร่...
 

 ไม่รู้เหมือนกันว่า ราชบัณฑิตยสถานเค้านิยามอาชีพหรือกริยาของคนๆหนึ่งที่แบกไม้คานยาวๆ โดยที่ปลายทั้งสองข้างเป็นหวายอีกหลายเส้นมัดห้อยลองมาเพื่อโอบอุ้มตะกร้าหวายข้างละหนึ่งใบ แล้วในนั้นก็บรรจุอาหารหลากหลายอย่าง. . . แบบนี้ว่าอะไร?

 

แต่ หาบเร่ เป็นคำนึงที่ใช่เอ่ยถึงอาชีพและกริยาดังกล่าวได้อย่างเห็นภาพ ฟังแล้วชวนให้นึกถึงพ่อค้าแม่ค้าที่ตลอดทั้งวัน ต้องเอาบ่าของตัวเองแบกรับน้ำหนักของหาบนั้นไว้ แล้วก็เที่ยวออกเดินขายของที่อยู่ในหาบนั้นเลี้ยงชีพไปวันๆ 

 

หาบเร่ จึงเป็นได้ทั้งกริยาและนามในตัวเดียวกัน เพราะเราเรียกคนที่ทำกริยาแบบนี้ว่าหาบเร่ แล้วเราก็เรียกกริยาที่คนเหล่านี้ทำว่าหาบเร่อีีกเหมือนกัน 

 

*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

 

ถ้าการรวมกลุ่มกันของคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีจุดประสงค์เดียวกันคือการ ขายของ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งโล้งแจ้ง. . .  เราเรียกมันว่า ตลาดนัด งั้นฉันก็จะขอถือวิสาสะเรียกพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ที่มาตั้งหาบขายของรวมตัวกันที่ถนนเส้นนี้ว่า ตลาดนัดหาบเร่ ก็คงไม่แปลก 

 

ป้าเจียมขายข้าวหลาม  พี่นกกับลูกชายตัวจ้ำม่ำช่วยแม่ขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ลุงผินขายไข่ปิ้ง+ปลาหมึกแห้งย่าง+ข้าวเหนียวปิ้ง ลุงชิดขายถั่วลิสงต้มสุก ป้าละมัยขายขนมจีนน้ำยา  พี่จิตขายขนมไทยชนิดต่างๆ และอีกหลายต่อหลายคนที่แวะเวียนกันมานั่งขายของที่ถนนเส้นนี้อยู่เสมอ แต่ที่เห็นเป็นประจำก็เห็นจะเป็นลุงผิน ที่ขายไข่ปิ้ง ฯ คนนี้เท่านั้น

 

ลุงผิน เป็นชายวัยกว่า 57 ปี (ฉันคิดเอาเอง) ตัวค่อนข้างใหญ่ ผิวหนังแกกรำแดดเกรียมไหม้ จึงแลเห็นแกเป็นคนผิวคล้ำ มีหนวดเคราพอเป็นพิธี ที่เห็นชัดที่สุดก็ดวงตาขมขื่นของแก. . .ที่ทำให้พอจะเดาออกว่า ลุงผินแกคงผ่านจุดวิกฤตในชีวิตมานักต่อนักแล้ว. . .หรืออีกทางหนึ่ง อาจจะหมายถึง แกอยู่กะวิกฤตแบบนี้มาตลอดเวลาไม่ได้ผ่านไปไหน ลุงผินมีเสื้อผ้ากะชาวบ้านเค้าอยู่ 2 ชุดถ้วน อาศัยสลับสับเปลี่ยนกันเอา พร้อมหมวกและรองเท้าคู่ใจ

 

ฉันไม่รู้ว่าก่อนพลบค่ำ ลุงผินแกจะเที่ยวหาบไข่ปิ้ง ปลาหมึกปิ้งของแกไปขายถึงที่ไหนมาบ้าง แต่ทุกเย็นย่ำ ราว 1 ถึง 2 ทุ่ม ลุงผินจะมานั่งแหมะที่ที่ประจำของแกตรงนี้ ที่ถนนปากซอยเข้าหอพักที่ฉันเช่าอยู่ เบื้องหน้าแกมีเพียงหลอดไฟนีออนสีส้มเล็กๆ ผูกติดไว้่กับปลายข้างหนึ่งของไม้คานสำหรับหาบเร่เพียงเท่านั้น ที่พอจะให้แสงสว่างแก่ลุงผินได้บ้าง แม้จะดับๆ ติดก็ตาม

 

ลุงผินเป็นคนต่างจังหวัดหรือที่เราเรียกกันอย่างเคยชินติดปากว่า คนบ้านนอก แกเข้ามาทำงานที่กรุงเทพตั้งแต่อายุ 15 ปี ทำมาทุกอย่างแล้ว ทั้งก่อสร้าง เด็กเสริฟ ช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า แบกข้าวสาร . . .  และอีกหลายต่อหลายอย่าง ซึ่งเหมือนกันอยู่อย่างเดียวคือ ใช้แรงงาน แลกเงินเพียงไม่กี่สตางค์ จนสุดท้ายลุงผินมามีบั้นปลายชีวิตเป็นพ่อค้าหาบเร่ขายไข่ปิ้งแบบนี้

 

ลุงไข่ปิ้งขายไง? ฉันถาม ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้ยังไงก็ต้องชื้อ 

ก็ 3 ฟอง 10 บาท ลุงผินตอบ แววตาระรื่น

งั้นหนูเอา 20 บาท 

 

ลุงผินยื่นถุงกระดาษที่ทำมาจากกระดาษข้อสอบของเด็กประถมคนหนึ่ง พร้อมซีอิ้วเครื่องเคียงให้ฉัน

 

ลุงแถมปลาหมึกให้เอ็งไม้นึง อ่ะ...อร่อยนะ ลุงผินพูดพลางย่างปลาหมึกที่อยู่บนเตา

แถมทำไมอ่าลุง... ลุงเก็บไว้ขายเหอะ ว่าแต่เอาตรงหนวดเกรียมๆหน่อยนะลุงนะ 

 

ลุงผินจัดแจงเอาปลาหมึกตัวจ้อย 3 ตัวใส่ถุงให้ฉันอีก

 

ลุงชื่ออะไรอ่ะจ๊ะ วันหลังหนูมาอุดหนุนอีก จะได้เรียกชื่อถูก 

ผิน เท่านั้น. . . แต่ลุงไม่ยักกะถามชื่อฉันแฮะ

อืม. . . แล้วลุงผินมานั่งขายตรงนี้ทุกวันเลยเหรอ หนูเดินกลับบ้านตอนค่ำๆ เจอลุงนั่งอยู่ตรงนี้ทุกวันเลย

เออ..ลุงก็ขายตรงนี้ละ ไกล้บ้าน ขายเสร็จตอนดึกจะได้เดินกลับบ้านไปเลย ลุงตอบ พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าขึ้นมาซับเหงื่อ

ลุง. . . แล้วลุงไม่เหนื่อยเหรอ แบกของมาเดินขายแบบนี้ทุกวันอ่ะ?

ก็เหนื่อยซิ แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร เราก็แก่แล้ว ไปสมัครงานที่ไหนก็คงไม่มีใครเค้ารับหรอก ความรู้ก็ไม่มี ลูกลุงเค้าก็มีผัวไปหมดแล้ว ไปอยู่ไหนมั่งก็ไม่รู้ ไม่ได้ติดต่อมาเลย เคยเจอไอ้อ้อย(ลูกสาวแก) มันเดินผ่านมาเจอลุงนั่งขายไข่ปิ้งอยู่ตรงนี้แหละ มันก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าจะอุดหนุนพ่อมันซัก 50 บาท

 

ฉันถึงได้รู้ว่า สาเหตุหนึ่งที่ลุงผินแกต้องมานั่งขายไข่ปิ้งแบบนี้ ก็เพราะลูกๆ ของแกทิ้งแกไป มีผัว หมดแล้ว และไม่ได้กลับมาดูดำดูดีผู้ชายคนนี้ที่สร้างและเลี้ยงดูพวกเขามาเลย

 

อ้าว..แล้วลุงอยู่กะใครอ่ะ?

ลุงก็อยู่คนเดียว บางวันก็อยู่กะไอ้พวกนี้ ลุงผินชี้ไปที่ชายเร่ร่อนสองคนที่กำลังเอามือล้วงหาของกินที่คนอื่นเค้าทิ้งไปในถังขยะแถวนั้น 

บางวันขายไม่ได้ ก็เอาให้พวกนี้กิน สงสารมัน วันๆมันมีแต่เดินแบกอะไรก็ไม่รู้ น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ กินก็ไม่ได้กิน ลุงผินพูด พลางโบกมือทักทายชายเร่ร่อนสองคนนั้นอย่างสนิทสนม

เอ้า... แบบนี้ไม่ขาดทุนแย่เหรอลุง ฉันถามลุงทั้งๆ ที่ปลาหมึกตัวสุดท้ายยังอยู่ในปาก

โอ้ย...เอ็งเอ้ย...ลุงเลิกคิดไปนานแล้วหละเรื่องนั้นหนะ ทุกวันนี้เอาแค่ให้พอมีกินไปวันๆ ก็พอ ไม่ได้หวังกำไรอะไรแล้ว แบบนี้สบายใจกว่า แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

 

ลิงผินเป็นหาบเร่คนหนึ่งที่ฉันนับถือ ต่อให้ฝนตกถ้าไม่หนักมาก แกก็จะัยงนั่งขายอยู่อย่างนั้น ถ้าซื้อไข่ปิ้งของแกไป แล้วเกิดซีอิ๊วไม่พอ แกก็ยินดี service เต็มที่ ไม่มีปริปาก อยากจะได้อีกซักกี่เหยาะก็เชิญได้ตามสบาย ที่สำคัญถ้าใครซื้อแล้วมานั่งิกินข้างๆ หาบ แกก็จะมีบริการครวญเพลงให้ฟังเพลิน ๆ ปอกไข่ไป จิ้มซีอิ๊วไป ฟังเพลงไป บังเทิงใจเชียวหละ

 

แต่ติดแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้. . . ถูกทอดทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียวในวัยที่ไม้ใกล้ฝั่งขนาดนี้ ขาดคนดูแล ลูกๆ ของแกจะรู้บ้างไมนะ ว่าพ่อตัวเองต้องมามีชีวิตแบบนี้ ฉันไม่ได้แช่งนะ แต่หวังไว้ลึกๆว่า ในบั้นปลายชีวิตของลูกลุงอาจจะเป็นแบบเดียวกะลุงหรือร้ายกว่านี้ก็ได้ โทษฐานที่สนิทชิดเชื้อกับคำว่า อกตัญญู ดีนัก

 

*~*~*~**~*~**~*~*~*~*~*~*~*

 

 

หาบเร่ ไม่มีที่ขายแน่นอน มั่นคง ถาวร แน่นหนา หาบเร่ ไม่ต้องเสียเวลาจัดหน้าร้าน ไม่มีค่าเช่าที่ ไม่ต้องปัดกวาดเช็ดถู ตรงนี้หละที่ต่างจากการขายของทั่วไป มีแต่เพียงอาณาจักรน้อยๆ กินเนื้อที่แค่ตะกร้าหวายสองใบ แค่นี้ ง่ายๆ ชิล ชิล. . . 

 

แต่นี่หละคือความลำบากอย่างยิ่งยวดของหาบเร่ เพราะไม่มีโอกาสได้ตั้งขายเป็นหลักเป็นแหล่งอย่างใครเค้า อาศัยเพียงสองเท้าเดินไปเรื่อยๆ ตามทาง เหนื่อยตรงไหนก็หย่อนก้นลงตรงนั้น ซึ่งบางครั้งก็ดันเป็นบริเวณเดียวกะที่กทม.เค้าหวงห้ามไว้ ดังนั้นหลายครั้งเราจึงเห็นบรรดาพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ทั้งหลายต้องแบกหาบเร่ วิ่งหนีเหล่าตำรวจเทศกิจเหล่านั้น ที่วิ่งไล่พวกเค้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พาลให้นึกสงสัยไปว่า แทนที่พวกเมิงจะมาวิ่งไล่จับคนที่เค้าหากินสุจริต ทำไมเมิงไม่เอาเวลาไปไล่จับพวกขายยาบ้า พวกที่มันทำผิดกฎหมายอ่ะ ปังยาอ่องเจงๆ !!!!				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟปีกนางฟ้า
Lovings  ปีกนางฟ้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟปีกนางฟ้า
Lovings  ปีกนางฟ้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟปีกนางฟ้า
Lovings  ปีกนางฟ้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงปีกนางฟ้า