8 มกราคม 2553 16:16 น.

เรื่องเล่าของแม่ ตอน ช้าง

ปุยเมจิกา

!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!                   
                          Carabao2524_03477.jpgช้าง

                       จำได้ว่าอายุประมาณ 4-5 ขวบ อยู่ในค่ายทหาร ถนนหน้าบ้านสายเพชรเกษมชุมพร-ระนอง ต่อจากค่ายไปทางระนองก็จะเป็นป่า   จะมีชาวบ้านพาช้างเดินมาครั้งประมาณ 4-5 เชือก เวลาผ่านหน้าบ้านก็จะตื่นเต้นมาก ช้างจะเดินถนนตรงกันข้ามกับบ้าน เราหมายถึงเด็กๆในค่ายทหารก็จะวิ่งตามไปดูตั้งแต่บ้าน ปากก็ร้อง  ช้าง ช้าง ช้าง หู ใหญ่ ตาเล็ก ๆๆๆ     จนถึงสโมสร แล้วก็กลับ มันตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นช้าง กลัวก็กลัว มีความรู้สึกว่าตัวมันโตมาก มากเท่าบ้าน กลัวมันโกรธเวลาไปร้องล้อมัน ควาญช้างก็พาช้างเดินไปเลื่อยๆ ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเขาพาช้างไปไหน แต่ก็ไม่ได้ถามใครเพราะมันตื่นเต้นทุกครั้ง  พอโตขึ้นจึงรู้ว่าเขา พาไปลากไม้ในป่าแถบกระบุรี พวกทำไม้ซึ่งเป็นที่มาของป่าหมดและน้ำท่วม มโหฬารจนทุกวันนี้

                       ช้าง ช้าง ช้าง หู ใหญ่ ตาเล็ก  ต่อมาสักประมาณ ประถม   จึงได้ยินเพลง  ช้าง ช้าง ช้าง  น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา จมูกยาวๆ เรียกว่างวง มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา  มีหูมีตา หางยาว  ไม่ทราบว่าใครแต่ง  ใช้สอนเด็กอนุบาลมาจนถึงทุกวันนี้     มีของเล่นอย่างหนึ่งของเด็กสมัยนั้นคือ รถทำด้วยไ ม้กระดานยาวสัก50ซม.มีกระป่องนมที่ใช้แล้ว วางเรียงอยู่ด้านล่าง เวลาให้เลื่อนก็โยกตัวไปข้างหน้า ไม้จะเลื่อนไป มือก็คอยหยิบกระป๋องที่เลยไป
ข้างหลัง มาใส่รองไว้ข้างหน้า เลื่อนแข่งกันไปเรื่อยๆไม่ได้มีรถใช้แบตเตอรี่
เหมือนสมัยนี้ 

                       ด้านหน้าบ้านเป็นทุ่งนา ป้ามักจะชวนเราไปหาเห็ดโคนบ่อยๆ เดินตามหลังป้าไปจะมีรังนกกระจาบห้อยจากต้นไม้เยอะมาก ความอุดมสมบูรณ์ธรรมชาติยังมีอยู่  เวลาไปไหนไม่ว่าจะไปตลาด ไปหาเห็ดโคน  มีงานที่สโมสร หรือ แม้แต่ไปบ้านญาติลุงที่กรุงเทพฯ  ป้ามักจะพาเราไปด้วยเสมอ  อาจเป็นเพราะเราอายุน้อยที่สุด ในบรรดาลูกและหลานของป้า มันเป็นความผูกพันอย่างหนึ่งนอกจากแม่แล้วก็ยังมีป้า  ป้าเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ก็ยังระลึกถึงเสมอ แม่เล่าให้ฟังว่า ตา ยาย ตายตั้งแต่น้องคนสุดท้องยังเล็กมาก ป้าเป็นพี่สาวคนโตช่วยทวด  ตำข้าว  ทำกับข้าว หาบน้ำเลี้ยงน้องมาจนโต  ป้าแต่งงานกับลุงซึ่งเป็นนายทหารในค่ายและเป็นคนกรุงเทพฯ เราก็สงสัยว่ามาพบป้าได้ยังไง ไม่ได้ถาม แต่รู้ว่า สาวๆ แสงแดดแต่งงานกับนายทหารหลายคน บางบ้าน ลูกสาวถึงสามคน ล้วนแต่งกับนายทหาร ทั้งนั้น  

                       แม้แต่งงานแล้วป้ายังพาน้องๆมาเลี้ยงด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องเกิดในค่ายทหาร ลุงเป็นคนดีรักน้องทุกคน ไม่ค่อยพูด ผอม  ผิวขาว เช้าก็จะถีบจักรยานไปทำงาน เย็นก็กลับบ้าน ด้วยความที่มีลูกถึงเจ็ดคน  หลังบ้านจึงเลี้ยงทั้ง  เป็ด ไก่ หมู  นกพิราบ บ่อปลา และ ขายชา  กาแฟ ทำข้าวเกรียบ ทำสลิ่ม ขนมขาย เป็นรายได้เสริม ป้าก็ทำงานงกๆ ไม่แต่งตัว เป็นคุณนาย เพราะสามีมียศร้อยเอก ทำกับข้าวกับคุณนายผู้การกินหมากปากแดง   ผิดกับภรรยาทหารเดี๋ยวนี้ แค่ภรรยานายสิบ  อยู่วันๆแต่งตัวแข่งกัน ว่างก็เล่นไพ่ หนักใจแทนสามีที่ออกไปรบ
        

                       ตอนมัธยม ที่ด้านหลังเป็นทุ่งนา เนื่องจากขุดดินในนาถมเป็นบ้าน ขุดทุกวันจน บ่อปลารอบบ้านเพื่อเอาดินมาถมตัวบ้านให้สูงขึ้น  หน้าหนาประมาณ เดือนธันวาคม -มกราคม อากาศหนาวและแห้งหมอกลงจัด  หัวค่ำและ เช้ามืดก็จะก่อไฟผิงกัน   ผิดกับปัจจุบันมันร้อนทั้งปี  หน้านี้ข้าวในนาก็จะสุก ชาวนาเขาเก็บข้าวกองไว้ ในนา ที่นี่ทำเป็นเรียงใช้แกะเก็บเอาแต่รวงข้างไม่ให้ติดใบ ผิดกับภาคกลางใช้เคียวเกี่ยวข้าวเป็นมัด ลอมเป็นกองสูง   บ้านเราหญ้าอุดมสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องใช้ฟางข้าวไว้ให้วัว ควาย กินในหน้าแล้ง จึงเอามาเป็นเรียง ฟางเข้าในจึงเหลือมาก กลายเป็นปุ๋ยในดินมากขึ้น  ตอนขนย้ายข้าว เขาจะใช้เชิงลากโดยมีควาย หรือช้างลาก ไม่มีวัวเทียมเกวียนแบบภาคอิสาน  ส่วนใหญ่ก็จะไปกับเพื่อน ลูกของ ลุง น้า ป้า ขาไปก็จะได้นั่งเชิงไป  ขากลับก็เดินกลับ เพราะขนข้าวมาเต็มเชิง ทำอย่างนี้ทุกเที่ยว วันละหลายๆเที่ยวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันสนุกได้นั่ง และวิ่งตามช้าง มันสนุกตอนช้างพาข้าคันนา ขึ้นลง ๆ ต้องคอยจับเชิงให้แน่นกลัวช้างตกมันเหมือนกันเพราะช้างเหนื่อย
	

                      เชิง ทำด้วยไม้ไผ่ต้นใหญ่ 2 ต้น วางคู่กันส่วนปลายจะมีเชือกไปคล้องกับตัวช้าง ส่วนด้านโคน จะมีคล้ายกรง  แคร่   วาง ไว้ใส่เรียงข้าว กั้นด้วยใบจากมุงหลังคา ขนข้าวได้มากกว่าสองสามร้อยเรียง ถ้าคนหาบ ให้เวลานาน เขาจึงจ้างช้างมาลากเชิง ในช่วงนั้นจะมีช้างอยู่ไม่กี่บ้าน


	ที่นี่มีตำนานรักในท้องทุ่งหลายคู่ หลายรุ่น  รุ่นเราที่เห็นก็มี สองคู่ ลูกของน้าและลุง ไปชอบสาวบ้านล่าง ซึ่งไกลมากต้องเดินข้ามทุ่งนา ประมาณสักเกือบสองกิโลเมตร สาวมาทำนาทุกวัน สองคนพี่น้อง  เราในฐานะเป็นทั้งญาติและเพื่อนสนิท(นึกถึหนังเรื่องเพื่อนสนิท)  มีหน้าที่เดินไปเป็นเพื่อน  สาวผิวคล้ำ   หน้าเข็ม ผมยาว ชุดชาวนาใส่หมวกงอบ ขยันขันแข็ง ไม่ได้เรียนหนังสือ  ตอนนั้นอายุ ประมาณสิบแปดสิบเก้าปี เห็นจะได้เขาแก่กว่าเรา สาวดำนา หนุ่มดันนั่งบนหัวนา  (คันนา) นี่จีบกันอยู่ได้ ในใจเรานึกว่าถ้าเป็นลูกสาวเราคงไม่ให้เพราะมันดำนาไม่เป็น ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นั่งคุยจีบสาวอย่างเดียว  ดีที่ต้องไปโรงเรียน ไม่งั้นต้องไปเป็นเพื่อนทุกวัน ไปเฉพาะเสาร์  อาทิตย์  ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว  


                       ถึงวันที่จะไปบ้านสาว เราก็ต้องไปเป็นเพื่อน พ่อสาวชื่อตาพรม ซึ่งแถวบ้านก็มีชื่อพรม หลายคนมีตั้งแต่พรมว่าว พ่อพรมเป็นผู้ใหญ่บ้าน  พรมขี้ควาย  ชื่อคนมีตำนานถึงได้เรียกกัน  บางคนเราไม่รู้  รู้แต่ชื่อนุ้ยซึ่งก็มี นุ้ยฟ้าลั่น นุ้ยพบ นุ้ยขี้ควาย นุ้ยดำริ นุ้ยวาด นุ้ยฟันทอง เพราะแกใส่ฟันทองในปาก ซึ่งคนสมัยก่อนพอมีอันจะกิน เขาจะใส่ฟันทองกัน คงเหมือนเศรษฐีสมัยนี้ ที่เขาทำส้วมทองคำใช้กัน พอฝนตกฟ้าร้องแกต้องรีบหลบเข้าบ้านเพราะกลัวฟ้าผ่าฟันของแก   นุ้ยพบก็คือตาเรายายชื่อพบ เขาก็เลยเรียกไม่ให้ซ้อนกัน นุ้ยขี้ควายก็คงลี้ยงควายฝูงมากๆ    พ่อสาวเขาเรียกกันว่า  พรมขี้ควาย   ไปถึงบ้านสาว  ไกลเลยจากทุ่งนาไปอีก อยู่ติดริมคลอง ซึ่งเป็นท่าน้ำที่เราไม่เคยลงเล่น  ความเบื่อเซ็ง เรื่องที่ต้องมาเป็นเพื่อนก็ค่อยลดลงบ้าง   กะว่าจะเล่นน้ำสักพักหนึ่ง  เขาจะจีบกันก็เรื่องของเขา   เราจะได้เล่นน้ำ   พอไปถึงบ้านพ่อเขาก็ทักทายอย่างดี หาข้าวปลาให้กิน   กินเสร็จ  แกก็ชวนนั่งคุยแล้วก็พูดขึ้นว่า เรารู้ว่าสูมาจีบลูกสาวเรา  แต่เรากับแม่สูเป็นญาติกัน สูไปถามแม่สูดู เราว่าคบกันเป็นญาติน่าจะดีกว่านะ   


                    คงไม่ต้องพูดอะไรอีก เราสามคนก็ลาเดินข้ามทุ่ง  กลับบ้านเงียบๆไม่มีใครพูดอะไรสักคำ น้ำคลองก็ยังไม่ได้เล่น  ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ต้องเดินข้ามทุ่งทุกเสาร์ อาทิตย์อีกเลย  ถึงวันนี้เรายังนึกเลยว่าตาพรมแกเข้าใจนะแทนที่จะไล่พวกเรากลับพูดกันดีๆ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ข่าวคราวลูกสาวบ้านนี้อีกเลย
ตอนเริ่มทำงานใหม่ฤดูเกี่ยวข้าวอีกเหมือนกัน ด้วยความที่รอบบ้านเป็นบ่อปลาแต่น้ำแห้งในหน้าแล้ง  ก็กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่รอบบ้าน    เรานั่งอยู่ข้างบ้าน   พ่อแม่และน้อง   อยู่หน้าบ้าน   เสียงรถไฟเปิดหวูด   เพราะจะเข้าจอดสถานีรถไฟ   นายสถานี โบกธง  


                    เนื่องจากบ้านห่างจากสถานีรถไฟ  ประมาณสองร้อยเมตร  ช้างกำลังลากเชิงอยู่  รถไฟเข้าสถานีก็เปิดหวูด ดังมาก  ช้างตกใจ   วิ่งตรงมาทางบ้าน   ผ่านนาหลายแปลง  ควาญช้างห้ามเอาไว้ไม่อยู่  วิ่งตรงมาทางบ้าน  พ่อ แม่ และ  น้องวิ่งเข้าบ้าน   เราอยู่ข้างบ้านไม่รู้เรื่อง  เรากำลังจะเดินออกมาพอดี  เสียงดังตึกตึกดังมาก ช้างตกบ่อข้างบ้าน  ทำให้มันลุกไม่ขึ้น   ควาญช้างก็เลยคุมอยู่  แม่เรียกเราเสียงหลงว่าอยู่ไหน   นิสัยห่วงลูกไม่มีใครเกินแม่ แต่เราก็ได้จากแม่มาทั้งหมด  พะวงเกี่ยวกับลูกไปทั้งหมด  เมื่อก่อนออกจะรำคาญด้วยซ้ำ  พอมีลูกเองจึงรู้ว่า  ความห่วงลูกเป็นอย่างไร แม่คงตกใจมาก   วันนั้นถ้าไม่มีหลุมหน้าบ้าน และช้างไม่ตกบ่อ  เราคงถูกช้างวิ่งเหยียบตายไปแล้ว

                     เหตุการณ์นี้ทำให้เรานอนนึกถึงช้างตลอด ว่าถ้าวิ่งเข้าบ้านจะพังขนาดไหน  ถ้าช้างไล่จะวิ่งอย่างไร  ผู้ใหญ่บอกไว้ถ้าวิ่งหนีช้าง   ให้วิ่งคดไปคดมา  เพราะช้างตัวใหญ่วิ่งตรงกลับตัวลำบาก   ถ้าวิ่งหนีงู ให้วิ่งทางตรง เพราะงูเลื้อย ซิกแซก แต่เรานึกไม่ออกว่าถ้าถูกไล่ไม่ช้างหรืองูจะหนีพ้นหรือไม่  ความฝันมันตามหลอนเป็นระยะๆ  ทุกครั้งที่ฝันว่าช้างหรือคนวิ่งไล่ จะมีภัยทุกที  รถชน  ผ่าตัด  มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจทุกที  ขณะพิมพ์งานนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะฝันอีกหรือไม่  ในชิวิตจะฝันซ้ำไปซ้ำมาอยู่ 3 เรื่อง


	ฝันว่าพบพ่ออยู่ในบ้านที่สร้างไม่เสร็จซักที  , ฝันเห็นน้ำไหลออกมาจากต้นไม้ที่เป็นหินต้นใหญ่ สวยมาก ลงมาเป็นลำธาร ฝันถึงท่าน้ำที่วัดข้างโรงเรียนมีจระเข้ใต้ท่าน้ำ  มันคงเป็นความรู้สึกนึกคิดที่ฝังในส่วนลึกของจิตทำให้เก็บเอาฝันได้ทุกครั้งอยู่ในภาวะที่สับสนวุ่นวาย อดีตมันย้อนกลับมาไม่ได้ .
 				
7 มกราคม 2553 16:32 น.

เรื่องเล่าของแม่ ตอน ไก่ชน

ปุยเมจิกา

 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                             292681.jpgไก่ชน 

                       เด็กผู้หญิงตัวเล็กผอมผมหยิกหยอย เดินตามหลังชายผิวดำร่างเล็ก ผู้เป็นพ่อ ในมืออุ้มไก่ชน ไปถึงสนามไก่ชน ซึ่งทำแบบง่ายๆ ใช้ตับจาก กั้นล้อมเป็นวงกลมสูงประมาณครึ่งเมตร อยู่ในสวนยายกิ้มห้อง ซึ่งเป็นสวนเงาะ ผู้คนไม่มากไม่ยิ่งใหญ่เหมือนสมัยนี้ มีที่ชนไก่ จุคนเป็นร้อย รถยนต์จอดเต็ม ค่าเดิมพันเป็นหมื่นเป็นแสน   แต่ถ้าไปทำบุญแทบจะนับจำนวนคนได้
                        ด้วยนิสัยเด็กมักชอบตามพ่อแม่อออกจากบ้าน  เมื่อไปถึงบ่อนไก่ เห็นเขาลูบน้ำไก่ ใช้ขนไก่แยงไปในคอไก่ล้วงเอาน้ำลายเหนียวในคอไก่ ลูบน้ำ ลูบขมิ้น (ผู้เป็นแม่มักจะอาบน้ำให้แล้วใช้ขมิ้นกับดินสอพองทา เหลืองไปทั้งตัว เวลาไปโรงเรียนเพื่อนก็ล้อเอาว่าเหลืองเป็นไก่ชน โกรธแม่ไปหลายวัน แต่พอโตขึ้นรู้ว่าขมิ้นรักษาผิว จำได้ว่าไม่เคยเป็นแผล หรือมีผื่นคันตามตัว ผิวเกลี้ยงเนียนไม่มีรอยแผลเป็นเลย ไปทำงานเพื่อนยังถามว่าใส่ถุงน่องหรือเปล่า)
                       ถึงเวลาที่ไก่ของพ่อต้องชน มันจิกตีกันจนหน้าตา ยับเยินเลือดไหล หงอนบิดเบี้ยว คนก็เชียร์โห่กันลั่นไปหมด สุดท้ายมันสู้ไม่ได้ ก็วิ่งหนี เด็กหญิงมองสีหน้าพ่อที่แสดงความผิดหวังที่ไก่แพ้  ต้องเสียเงิน  ในใจนึกสงสารทั้งพ่อและไก่  พ่อเดินคอตก (เหมือนไก่ที่แพ้) อุ้มไก่ที่บาดเจ็บกลับบ้าน เด็กหญิงเดินตามพ่อ ถามตลอดทางว่า  พ่อไก่จะตายไหม เราจะเสียเงินมากไหม     พ่อเดินนำหน้าไม่พูด กลับมาถึงบ้าน เอาน้ำตาลทรายละลายน้ำป้อนให้ไก่กิน  มันก็ไม่กิน  เอานำลูบหน้า อยู่ได้สักพักมันก็ตาย พ่อเอามันไปฝัง ไก่ชนเขาจะไม่กินมัน   ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เห็นพ่อเล่นไก่ชนอีกจนพ่อตาย แต่ไปเล่นปลากัดแทน  เคยถูกตำรวจจับ แม่รู้โกรธพ่อมาก ไม่ไปดูที่โรงพัก ดีนะที่เจ้าของบ่อนปลากัดเขาเสียค่าปรับให้ต่อมาพ่อผ่าตักลำไส้  แม่บอกว่า เวรกรรมมันตามทัน ให้ปลามันกัดจนท้องแตก  จริงอย่างทีแม่บอก จึงมักจะเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะรู้สึกเกรงกลัวต่อบาปทุกครั้งที่คิดว่าทำบาป คนอื่นอาจจะไม่ร่วงรู้แต่ใจตัวเองจะรู้เสมอว่าตัวเองทำอะไร ดั่งคำพูดที่กล่าวว่า  สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ เผาไหม้ทุกวันคืน 


 				
Lovers  0 คน เลิฟปุยเมจิกา
Lovings  ปุยเมจิกา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟปุยเมจิกา
Lovings  ปุยเมจิกา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟปุยเมจิกา
Lovings  ปุยเมจิกา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงปุยเมจิกา