2 กุมภาพันธ์ 2553 02:17 น.

เรื่องเล่าของแม่ ตอน คนเลี้ยงผี

ปุยเมจิกา

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
                                               10382-attachment.jpgตาแดงชายแก่ผิวขาว จมูกโด่งหน้าตาคล้ายฝรั่ง รูปร่างท้วมสูง ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ วันๆนั่งอยู่แต่ในบ้านไม้ที่อยู่ในสวนมืดครึ้ม ด้วยต้นไม้หนาแน่น  บริเวณข้างบ้านหญ้าขึ้นรกรุงรัง  ที่บ้านแกไม่ค่อยมีใครย่างกลายเข้าบ่อยนัก โดยเฉพาะเด็กๆ ต่างกลัวเพราะผู้ใหญ่ห้ามไว้ว่าแกเลี้ยงผีห้ามไปอย่างเด็ดขาด จำได้ว่าเคยผ่านไปครั้งเดียว ไปสองคนกับลูกของน้า พอเห็นแกก็วิ่งกลับบ้าน มันน่ากลัวจริงๆ แม่เล่าว่าแกมีลูกหลายคน ลูกสาวสวยๆทั้งนั้น สูงขาวเหมือนฝรั่ง แต่ผมดำ แต่งงานไปกับนายทหารทั้งสามคน โดยเฉพาะคนที่สามสวยมาก สามีเป็นเสนาธิการทหาร (นึกถึงสาวเครือฟ้าคนสาวสวยมักถูกเลือกจากชายดี มียศศักดิ์)ลูกชายเป็นทหารตามพี่สาวไปอยู่ที่จังหวัดอื่น แกอยู่กับภรรยาและลูกสาวคนเล็ก ซึ่งทั้งอ้วนและผิวคล้ำไม่สวยเหมือนพี่สาว แต่งงานกับชาวสวนธรรมดา แกมีตำรายานัตถุ์ที่เลื่องลือ  ในสมัยนั้นคนส่วนใหญ่มักจะนัดยานัตถุ์ (ผงสมุนไพรสีเหลืองคล้ายดินใส่ขวดแก้วขนาดใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อย ใช้หลอดทำด้วยโลหะโค้งเป็นรูปตัวยูปลายทั้งสองยาวไม่เท่ากัน  เทยานัตถุ์ใส่มือ เกลี่ยให้บางๆ ใช้ปลายหลอดด้านยาววางที่มือถูใส่ยา ประมาณครึ่งหลอด  ปลายหลอดด้านสั้นใส่ปาก แล้วเป่าให้ยาเข้าจมูก สักครู่ก็จะจาม เขาว่ามันทำให้จมูกโล่ง บรรเทาอาการหวัดได้ดี) เป่าไปจนสุดท้ายก็ติด วันไหนไม่ได้เป่าหงุดหงิดหายใจไม่สะดวก  คนเรานี่หนอ หาสิ่งเสพติดให้ตัวเองทุกยุคทุกสมัย พวกทำนาก็ติดกระท่อม มาขอน้ำที่บ้านกินกระท่อมเป็นประจำเวลามาทำนา กินจนหน้าดำ ขี้เขียว อากาศร้อนทนทำงานได้ดี แต่พอฝนตั้งเค้ามาเริ่มสั่น วิ่งเข้าห้างนา(เพิงพักในนา)
                       ภรรยาแกชื่อยายลับ มีหน้าที่นำยาไปส่งตามที่ต่างๆ ร้านขายยา ร้านชำ ตามบ้าน ต่างอำเภอ แกมีตำรายาอายุวัฒนะ  ดูแกแข็งแรง กระฉับกระเฉง แกนุ่งผ้าแปลกไปจากคนอื่น นุ่งผ้าถุงลายไทยดอกพิกุลสีเหลือง พื้นสีน้ำตาล คาดเข็มขัด ด้านข้างดึงขึ้นทั้งสองข้างเรียกว่าหยักรั้ง เหมือนเขมร แกว่ามันทำให้เดินสะดวก สบายทะมัดทะแมงดี หิ้วตะกร้าสานใบใหญ่ ไม่น่าเชื่อคนแก่อายุอายุเจ็ดสิบกว่าเกือบจะแปดสิบ ยังแข็งแรง พูดคุยเก่ง
                      แม่เล่าให้ฟังว่า  ตาแดงแกเป็นคนมีวิชาอาคม  เลี้ยงผีหลายตัว วันดีคืนดีแกก็เอาผีไปปล่อยให้อยู่ตามต้นไม้   ต้นไข่เน่าหน้าบ้านเราก็มี (ไข่เน่าเป็นไม้ยืนต้นใบคล้ายใบยางพารา ลำต้นมีสีขาวโพลน มากเมื่อกระทบแสงจันทร์ กิ่งมีผิวเกลี้ยงคล้ายงาช้าง ลูกกลมๆเล็กเป็นช่อเท่าลูกมะเดื่อ เวลาสุกจะมีกลิ่นเหมือนไข่เน่า ) ด้วยความที่มันเป็นสวนร้างมาก่อน เมื่อมีคนบอกว่าเอาผีมาปล่อย บวกกับกลิ่นลูกไข่เน่า มันก็ทำให้ขนลุก ได้เหมือนกัน  ในตอนกลางคืน มีคนเดินผ่าน ได้ยินเสียงร้องหิวโหย  มีลุงเขยของแม่แกบวชหลายพรรษาเพิ่งสึกออกมาเพราะถูกใจสีกา(ป้าของแม่) แกไม่กลัวผี ก็ชวนผู้ชายในหมู่บ้านหลายคน ไปดูกัน โคนต้นไข่เน่า    จะเป็นโพลงใหญ่ เขาใช้ไม้เคาะดู สักพักก็ขึ้นไปร้องบนปลายยอด พอปีนขึ้นไปที่ยอด ก็ลงมาร้องที่โคนต้น ทำอย่างนี้หลายครั้งก็จับไม่ได้ สุดท้ายก็ถอยกลับไป ไม่นานก็เงียบไป  เขาว่าแกมาเอาผีแกกลับไปแล้ว 
                      คนเลี้ยงผีเขาจะมีกฎของเขาเลยว่าเวลาจะกินข้าว หรือกินอะไรก็ตาม ต้องเชิญเรียกให้ผีกินก่อน  ไม่เช่นนั้นจะโดนผีหักคอ หรือไม่ก็เป็นบ้าไปเลย  เหมือน เช็กนก (คนจีนที่ชื่อว่านก) ที่กินข้าวแล้วเกิด ตาเหลือกเหมือนถูกบีบคอแล้วก็ตายคาสำรับกับข้าว โดยที่ลูกและภรรยาช่วยไม่ทัน  สาเหตุไม่ได้เชิญผีกินก่อน  แกคงจะลืม  ส่วนตาแดงเพียงแค่ผิดปกติไปเท่านั้น เอง ที่แกไม่พูดไม่คุยกับใคร สุดท้ายไม่ได้ข่าวแกอีกเลย แกตายเมื่อไหร่เราไม่รู้  และผีที่แกเลี้ยงไปอยู่ที่ไหนหมด  มีเรื่องอื่นมากมายเข้ามาในชีวิตทำให้เราลืมเรื่องแกไปเลย.
 				
27 มกราคม 2553 23:15 น.

เรื่องเล่าของแม่ ตอน น้าที่จากไป

ปุยเมจิกา

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
                      15561_005.jpg

                       ในช่วงนั้นเป็นฤดูดำนา  เราจะกลับบ้านเกือบทุกอาทิตย์ โดยรถไฟ เพราะสถานีรถไฟอยู่ใกล้บ้านและที่ทำงาน ไปกลับรถไฟสะดวกที่สุด สมัยนั้น ระยะประมาณร้อยกิโลเมตร รถยนต์โดยสารไม่ค่อยมี เวลาจะไปทำธุระในตัวจังหวัด  ต้องไปนอนค้าง รุ่งเช้าจึงจะมีรถกลับ บ้านเราอยู่ใกล้ตัวเมือง จึงไม่มีปัญหาเวลาเข้าไปอบรม  พักที่บ้านได้ 
                       วันนั้นรถไฟ ถึงบ้านประมาณห้าโมงเย็น เดินจากสถานีรถไฟซึ่งห่างจากบ้านไม่มาก เจอป้าบ้านหลังแรก แกก็บอกว่าน้าสะใภ้  ดำนา อยู่แล้วหน้ามืดเป็นลม  เส้นเลือดในสมองแตก หมอผ่าหัวไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง (น้าเป็นความดันโลหิตสูงแล้วไม่เคยไปหาหมอ) เราก็บอกไปว่ามืดแล้วค่อยไปเยี่ยมพรุ่งนี้ แล้วก็เดินกลับบ้าน แม่ก็บอกและชวนว่าไปเยี่ยมวันรุ่งขึ้น น้าคนนี้ที่มีลูกถึงแปดคนและทะเลาะกับสามีตีกันบ่อยมาก  วันดีคืนดีก็วิ่งเลือดอาบหน้าเรียกให้แม่ช่วยประจำ แม่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ได้ แต่ บ่น  ด่าน้องชายตัวเอง แล้วก็ช่วยกันทำแผล น้าชายแกขี้เมาทำงานหาเงินมาได้ก็กินเหล้า นึกถึงโฆษณาของ ส ส ส  จน  เครียด  กินเหล้า ส่วนน้าสะใภ้ ก็ไม่ใช่ย่อย  ชอบเล่นไพ่  โดยเฉพาะไพ่ตอง เล่นได้ทั้งวัน หน้าที่เลี้ยงลูก  หาข้าวกิน   ทำงานบ้าน  จึงตกเป็นของลูกสาวคนโต  ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรา  แม่ว่าเตี่ยวน้อง (อุ้มกระเตงน้องไว้ที่เอว)จนเอวเป็นหนาม ไปไหนก็จะต้องเห็นเตี่ยวน้องตลอด นี่ก็เป็นเพื่อนเราสนิทอีกคนหนึ่งส่วนใหญ่ไปทำงานเช่น ตกปลา และมักจะได้ปลามาบ้านทำกับข้าวให้น้องทั้งเจ็ดกิน  ผิดกับเราตกปลาไม่ค่อยจะได้  บ้างครั้งก็หาปูนามาให้เป็ดกิน เพราะเกือบทุกบ้านเลี้ยงเป็ดเอาไว้กินไข่ บ้านน้าเลี้ยงเป็ดปล่อยไว้ใต้ถุนบ้าน คิดเอาเองก็แล้วกัน  หน้าฝนสภาพบ้านจะเป็นอย่างไร ก็ขี้เป็ดมันเลนแฉะไปทั้งบริเวณบ้านจนเราไม่ค่อยอยากไปเพราะหาทางเข้าบ้านไม่เจอ บ้านเราก็เลี้ยงแต่พ่อทำคอกให้มันอยู่ เช้าก็ปล่อยไปหากินปู ปลาในทุ่งนา ตอนเย็นเรียกไม่กี่คำก็กลับเข้าคอกกันเอง ให้ข้าวเปลือกผสมน้ำกินเป็นอาหาร
                        คืนนั้นน้าว่ายังนอนอยู่โรงพยาบาลหลังผ่าตัด  ไม่รู้สึกตัวเราก็เข้านอนในห้องคนเดียว ประมาณตีสอง กำลังหลับเคลิ้มๆ หูได้ยินเสียงคนร้องไห้ที่หัวเตียง  มันดังขึ้นเรื่อยๆ  เสียงน้าสะใภ้จริงๆเราจำได้ จนถึงทุกวันนี้  แกร้องไห้แล้วพูดว่า  กูยังไม่ตาย เด็กอีกคนตาย อยู่กันดีๆนะ เหมือนแกจะสั่งเสียล่ำลา  เราตกใจเหงื่อแตก  ลุกขึ้นได้วิ่งไปที่แม่นอน  แม่ถามว่าเป็นอะไร ก็เล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ว่าคงไม่มีอะไร ก็เลยนอนต่อ แต่พอรุ่งเช้า น้าชายมาบอกว่าน้าสะใภ้ เสีย ตั้งแต่เมื่อคืน  และมีเด็กชายอีกคนก็ตายพร้อมๆกัน  ฟังเท่านั้นความรู้สึกว่า มันขนลุกและเย็นวาบไปทั้งตัวเหงื่อออกเหมือนจะเป็นลม  มือก็เกาะแขนแม่ แล้วถามแม่ว่าเมื่อคืนมันเป็นอะไรละแม่  แม่ไม่ตอบ ก็คงอธิบายไม่ได้  เราเองทุกวันนี้ก็ยังอธิบายไม่ได้ ว่าสิ่งที่ได้ยินมีตัวตนหรือจิตเรานึกไปเอง แต่ทำไมมันถึงเหมือนจริงมากๆแล้วเด็กที่ตายเราไม่เคยรู้มาก่อน มันคำถามทีถามตัวเองตลอดมาจนทุกวันนี้.
				
22 มกราคม 2553 12:42 น.

เรื่องเล่าของแม่ ตอน หมองู

ปุยเมจิกา

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                                SnakDoc.jpg เสียงเพลงลูกทุ่งดังแว่วมาแต่ไกล น้ำเสียงกังวาลใสทุกวันที่เดินผ่านต้านตาลหน้าบ้าน เพื่อจะออกไปหัวถนน เป็นเสียงของลุงประยูร ดังมาจากกระตอบข้างบ้านของแกเอง  บางครั้งก็ได้ยินเสียงแกเรียกภรรยา แม่ยวนใจจ๋า หิวข้าวแล้ว ขอน้ำ ขออาหาร  ขอเครื่องใช้ อยู่เป็นประจำ ชายผิวขาวซีด ตาบอดทั้งสองข้าง  มือและเท้ากุดหมด ตามตัวเป็นแผล น้ำเหลืองไหล ส่งกลิ่นคลุ้ง ต้องอยู่ในมุ้งตลอดเวลา เพราะต้องกันแมลงวันแมลงวี่ตอมแผลของแก 
                     ลุงเป็นญาติฝ่ายแม่  มีลูกสี่คน ผู้หญิงคนโตรุ่นราวคราวเดียวกับพี่สาวเรา คนรองเป็นผู้ชายเรียนหนังสือรุ่นเดียวกับเรา คนถัดมาเป็นผู้ชาย และผู้หญิง  เกือบทุกวันเรามักจะไปเล่นบ้านนี้เพราะอยู่ใกล้ที่สุด  แกทำงานเป็นคนงานสร้างทางรถไฟ สมัยนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่นอกจากจะทำนา แล้วก็รับจ้างทำทางรถไฟ เขาเรียกล้างหิน เราก็ยังสงสัยว่าล้างหินทำไม  ไปทำเป็นจุดๆ เป็นระยะทางไกลพอสมควร ที่นี่แม่เราก็มักทำขนมข้าวเหนียวไปขายมีทั้งข้าวเหนียวขาวหน้าไข่(สังขยา) ข้าวเหนียวขาวหน้ากาก(มะพร้าวผัดน้ำตาลปี๊บ) ข้าวเหนียวเหลืองหน้าปลา หน้ากุ้ง แม่ทำขนมอร่อยมาก กลางคืนแม่จะแช่ข้าวเหนียวไว้ ตีสาม ลุกขึ้นนึ่ง พ่อจะขูดมะพร้าวคั้นน้ำกะทิไว้มูนข้าวเหนียว เรากับพี่สาว ไม่ได้ช่วยอะไร ช่วยแต่งานบ้านอย่างอื่น เช่นล้างจาน กวดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า  พอตีห้าแม่ก็จะหาบข้าวเหนียว ขึ้นรถไฟที่สถานีแสงแดด ส่วนใหญ่เป็นรถขบวนส่งสินค้า พอถึงจุดที่มีคนงานรถไฟก็จะชลอรถให้แม่ค้ากระโดดลงไปขายของ นึกภาพดูแล้วชีวิตแม่เสี่ยงกับการตกรถไฟแลละโดนรถไฟทับตาย แต่แม่ก็รอดมาได้ ทุกครั้งขายขนมส่งลูกเรียนได้  คติพจน์ของแม่กับพ่อ ตัวเองไม่ได้เรียนหนังสือ ลำบากแค่ไหนก็ทนได้ ขอให้ลูกได้เรียนหนังสือ 
                      ไปทำงานล้างหินได้สักพัก ลุงประยูรแกถูกงูกัดที่เท้าสมัยนั้นยังไม่รู้จักเซรุ่ม ถูกงูกัดก็รักษากับหมอตามบ้าน จำได้ว่าหมอที่มารักษาชื่อหมอเริญ ชายแก่รูปร่างสูง ผิวขาว หลังโก่งค่อมเล็กน้อยตามแบบคนแก่ทั่วไป  ใส่เสื้อหม้อฮ่อม นุ่งโสร่ง ถือย่าม มีดคล้ายมีดปาดตาล หม้อดินใส่ยาต้มซึ่งเครื่องยาไม่รู้เหมือนกัน ว่ามีอะไรบ้าง ลูกหลานแกรับมรดกไปบ้างหรือเปล่า ภูมปัญญาชาวบ้านมักจะหายไปเรื่อยๆ พร้อมกับการล้มหายตายจากไป ของคน การรักษาของแกให้ลุงนอนบนพื้นบ้าน  ปลายเท้าโผล่ เลยพื้นออกมาแค่ข้อเท้า ด้านล่าง มีเตาไฟ ต้มยาหม้อให้ไอลอยขึ้นไป รมเท้าข้างที่ถูกงูกัด ลูกๆมีหน้าที่เติมฟืนใส่เตาให้น้ำเดือดตลอดเวลา เพื่อไอจะได้รมแผล น้ำเหลืองใสๆก็ไหลเยิ้มลงในหม้อ เราไปเล่นกับลูกเขาก็ต้องช่วยใส่ฟื้นให้ เล่นไปสักพัก ลุงก็จะเรียกไปเติมฟืน ทำอย่างนี้อยู่หลายวัน จนแผลแห้งดีขึ้น แกก็ไปทำงานได้ตามปกติ
                      ต่อมาสักประมาณไม่นา แผลแกเริ่ม กำเริบขึ้นมาอีก เนื้อเริ่มเป็นแผลเน่า ข้อนิ้วค่อยๆ หลุดทีละข้อจนกุดหมด  ตามฝ่ามือฝ่าเท้าพุพองเป็นแผลเฟะ เวลาจะเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำยัน อยู่สักพัก งานก็ไม่ได้ทำ ลูกทั้งสี่คนมีป้าของแกซึ่งอาศัยใกล้ๆกัน พอจะมีฐานะอยู่บ้างและแกก็ไม่มีลูก เด็กสี่คนก็เลยได้เรียนหนังสือ ภรรยาแกไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  ลุงแกทนทุกข์ทรมาน กับแผลที่ลุกลามจนกลายเป็นโรคเรื้อน  สุดท้ายตาก็บอด ต้องอาศัยในกระตอบแยกจากบ้านอยู่ในมุ้งตลอดเวลา  แต่วันๆแกก็ฟังวิทยุ ร้องเพลงตามประสาคนมีดนตรีในหัวใจ แกไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย มีชีวิตไปตามอัตตะภาพของแก  มีชีวิตอยู่จนลูกสาวโตเป็นสาวมีงานทำ แต่งงานมีลูกนับเวลาแล้วเกือบสิบห้าปี  
                        ชีวิตลุงผู้น่าสงสาร ถือเป็นบทเรียน บทหนึ่งที่คนเราสามารถมีความสุขได้ตามอัตตะภาพของตนเอง ไม่ท้อแท้ต่อโชคชะตาตนเอง ไม่ว่าจะเลวร้ายสักเพียงไหน ความอดทนของลูกๆที่ขาดหลักของครอบครัว มุมานะเรียนหนังสือจนมีงานทำ คนเราเมื่อมีครอบครัว การสร้างภูมิคุ้มกันให้คนในครอบครัวเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราสี่คนพี่น้องต้องหอบหิ้ว พ่อและแม่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ต่างจังหวัด จนทุกคนซึ่งอยู่ในฐานะกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างครอบครัวพากันลำบากมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ทำให้คิดว่าหากมีโอกาส ควรจะหาเงินเก็บไว้สักก้อนหนึ่ง ไว้รักษาตัวเองเมื่อเจ็บป่วยยามแก่เฒ่า เนื่องจากทุกคนคงหนีวัฏจักรนี้ไม่พ้น  จะได้ไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน  
                      ที่ผ่านมาพ่อกับแม่ก็ทำงานจนตัวเป็นเกลียว ลำบากยากเข็นมาก เพื่อส่งลูกๆเรียนมาถึงทุกวันนี้นับเป็นบุญคุญ อย่างใหญ่หลวงแล้ว ถึงไม่มีเงินเก็บรักษาตัวก็มิได้โทษพ่อแม่ ก็เต็มใจทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด  บางครั้งลูกๆก็มักจะบ่นแม่ว่าเข้มงวดกับการใช้เงิน ละเอียดถี่ถ้วนทุกบาททุกสตางค์ ผิดกับพ่อ อะไรก็เอาเงินไปก่อน จะเอาเท่าไรพ่อให้ กลายเป็นไม่สอนให้ลูกรู้จักใช้เงิน  สิ่งที่สร้างให้กับลูกๆคือความซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะซื้อของอะไร เงินทอนแม้ห้าสิบสตางค์ก็ต้องคืนแม่ ไม่ใช่ให้ไหนึ่งร้อยค่าของห้าสิบบาทอีกห้าสิบบาทไม่ต้องคืน สร้างนิสัยคดโกงตั้งแต่ยังเด็ก โตขึ้นจะมีความรับผิดชอบได้อย่างไร
 				
18 มกราคม 2553 23:11 น.

เรื่องเล่าของแม่ ตอน กองทัพหนูบุกบ้าน

ปุยเมจิกา

!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


       %E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9.jpg


               บ้านที่อยู่ตอนแรกพื้นทำด้วยไม้ แต่เนื่องจากช่าง ทำไม่ชำนาญ  มีรูระบายอากาศน้อย นานไปไม้มันก็ผุ คานที่รองอยู่ยุบตัวลง บ้านทรุด หนูก็ชุมมาก มันกัดพื้นกระดานหนาๆ เป็นรูใหญ่แล้วเข้าไปอยู่ในพื้นบ้าน สร้างครอบครัวมากมาย  นอนกลางคืนทั้งบนหลังคา ทั้งใต้พื้นบ้าน วิ่งสวนสนามกันสนุกสนาน ทำยังกับเป็นบ้านของตัวเอง  เกิดความเครียด ด้วยความที่กลัวว่าหนูจะกัดสายไปไฟฟ้า แล้วไฟฟ้าจะช๊อต ก็หาวิธี กำจัดหนู จะใช้ยาเบื่อก็กลัวตายแล้วกลิ่นเหม็นในบ้าน  มีเพื่อนแนะนำให้ไปซื้อกาวดักหนูมา จะได้ตัวหนูด้วยไปทิ้งด้วย  ในใจคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีดีที่สุด กะไว้ว่าพอหนูติดกับดักกาว แล้วจะเอาใส่รถไปปล่อยให้ไกลบ้าน ฟังดูเหมือนจะรับผิดชอบบ้านตัวเองคนเดียว   ก็จัดการซื้อกาวดักหนูมา เอาอาหารวางในถาดกาวดักหนู ไว้ตรงทางหนูออกจากใต้พื้นบ้าน แล้วเข้านอน 
                ตื่นเช้ามาลูกหนูมาติดสักสี่ห้าตัว  แม่หนูไม่ติด  ตัวมันคงใหญ่วิ่งข้ามจานใส่กาวดักหนูไปได้  เหลือลูกหนูไว้ สิ่งที่ติดตาจนถึงทุกวันนี้  ลูกหนูพยายามตะกายตัวออกจากกาว แต่ยิ่งตะกายก็ยิ่งติด ด้วยความที่สงสารหนู เอาผ้าห่อมือ จับตัวหนูและช่วยดึง ยิ่งดึงก็ยิ่งติด ลูกหนูมันก็ร้อง  ตาก็มองเรา ไม่รู้ว่าอาฆาตหรือขอร้องให้ช่วย  สุดท้ายเห็นเลือดออกมาตามรอยที่ติดกาว  ก็เลยปล่อยนึกในใจไม่น่าทำเลย  นั่งมองอยู่นานไม่รู้ จะทำจะช่วยอย่างไรพอหนูตายหมด ก็เอาไปโยนทิ้งหลังบ้าน ความหวังที่เอาหนูไปปล่อย ก็หมดไป ตั้งแต่นั้นไม่มีความคิดเรื่องกาวดักหนูอีกเลย ใช้วิธีเลี้ยงแมวแทนแม้จะรำคาญขนแมว ขี้แมวไปบ้างก็ยังสบายใจกว่า  พาแมวมาเลี้ยงก็โดนรถยนต์ทับตายต่อหน้าต่อตาอีกสุดท้ายแมวจรจัดที่ไหนมาก็รับหมด มาออกลูกเต็มบ้านก็เลี้ยง ตายบ้าง รอดบ้าง หนีออกจากบ้านบ้างก็เลี้ยงไปเท่าที่เหลืออยู่   
               บางครั้งมันก็น่าน้อยใจ เวลาลูกสาวโทรมามักจะถามหาแต่หมา แมว ของพูดด้วย เราก็ต้องเอาโทรศัพท์ไปแนบหู หมาแมว ให้มันฟังลูกสาวพูด เขาก็ทักทายตามประสาหมาแมวและคน พอต่อว่า ทีกับแม่ไม่ถามบ้างว่าเป็นอย่างไรบ้าง  คำตอบที่ได้ก็เห็นแม่สบายดี ถ้าแม่ไม่สบายคงเล่าให้ลูกฟังแล้ว  เพราะแม่เป็นห่วงรักษาสุขภาพตัวเอง มากกว่าสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว สงสัยจะจริงของลูก
 				
14 มกราคม 2553 00:12 น.

เรื่องเล่าของแม่ ตอน ลูกหมาขี้เรื้อน

ปุยเมจิกา

!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

                          %E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%ลูกหมาขี้เรื้อน

                      บ้านสร้างใหม่ เวลาเข้าไปนอนคืนแรก ให้หาหมาดำเข้าบ้านก่อน เป็นการแก้เคล็ดป้องกันสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง ในบ้านให้ออกไป เจ้าของบ้านก็พยายามหาหมาดำเพื่อทำตามพิธี เพราะบ้านใกล้เคียงที่อยู่ติดกันมีเสียงลือ เสียงเล่าอ้างมากมาย ถึงความแรงของเจ้าที่ ขนาดคนไม่กล้าอยู่ ใครมาก็โดนหลอกจนบางคนต้องหอบลูก ออกจากบ้านกลางดึก นอนไม่ได้ มีเสียงเหมืนคนแขกมาพูดคุยกันที่หัวนอน บางคนพาผู้หญิงมานอน มีความรู้สึกว่ามีคนมาดึงขาทั้งคืน รุ่งเช้าขนของออกแต่เช้ามืด มีหญิงแก่คนหนึ่งแกเล่าว่าหลานเจ้าของบ้าน เขาให้แกมาเลี้ยงลูกให้ เด็กเล็กยังแบเบาะกลางวันพ่อแม่เด็กไปทำงาน แกก็มาเลี้ยงเด็กให้ แกเป็นคนคนเหนือ รื่นเริงพูดไปยิ้มไป  มีความสามารถสูงสามารถอ่านหนังสือนิยายบางกอก แล้วไกวเปลไปก็ร้องเพลงกล่อมเด็กไป เสียงแกเพราะมาก ส่วนใหญ่เป็นเพลงชมสาวเมืองเหนือเพลงเก่ารุ่นสุนทราภรณ์  เด็กจะหลับทั้งวัน คงเมาเปลที่แกไกวหรือไม่ก็เสียงแกเพราะ  วันนั้นหลังจากทำงานบ้านเสร็จ ก็จัดแจงให้เด็กนอนในเปลแล้วก็กล่อมเด็ก  สักพักนอนแกหันหลังให้บันได ได้ยินเสียงเดิน ก็หันหลังไปดู เห็นเท้าผู้หญิง ขาวซีด นุ่งผ้าถุงดำยาว ก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน แกก็ยังนึกในใจว่าขโมย ก็ตามขึ้นไปหาหมดทุกห้องก็ไม่มี เท่านั้นแกเหงื่อแตก มือเท้าอ่อน อุ้มเด็กได้เดินออกมานั่งที่ศาลาทางเข้าบ้าน  จนมีชาวบ้านผ่านมา ทักถามแกมานั่งทำไมตรงนี้ แกไม่ตอบ แต่ถามว่าที่นี่เป็นอย่างไร ชาวบ้าน นั้นช่างเจรจาเหลือเกิน เล่าให้ฟังอาถรรพ์ของบ้าน แถมมีผู้หญิงผูกคอตายที่ต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน นุ่งผ้าถุงดำ เขาเอาศพมาวางไว้ที่ศาลานี้แหละ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ายายแกคิดอะไร ตั้งแต่นั้นมาแกก็ขอยกเลิกสัญญาเลี้ยงเด็กตั้งแต่วันนั้น เวลาแกเล่าเรื่องนี้ ขนแขนแกจะลุกทันที่ นี้เองเป็นเหตุให้เจ้าของบ้านติดกัน ต้องทำพิธีขอขมาเจ้าที่ ตั้งแต่ถมดินสร้างบ้าน  ขุดหลุมลงเสาเอก  ขึ้นบ้านใหม่ สร้างศาลพระภูมิ และแล้วก็หาหมาดำมาได้ เป็นหมาที่คนรับเหมาสร้างบ้านพามาเลี้ยงเฝ้าวัสดุก่อสร้าง เจ้าของบ้านทำแบบนี้ แต่แปลกทำให้อยู่บ้านนี้ได้โดยไม่มีอะไรรบกวน แถมยังถูกหวยเป็นแสนถูกทั้งตัวตรงตัวโต๊ด หลังจากเข้ามาอยู่บ้านนี้  
                     เรื่องมันไม่ได้เกิดที่หมาตัวนี้ มันเกิดที่หมาอีกตัวที่คนเขาใส่รถเบนซ์ มาปล่อยข้างบ้าน คนข้างบ้านเขาไม่เลี้ยง ก็เลยมาอยู่บ้านใหม่แทน จนได้ผสมกับหมาดำนั้นแล้วเกิดลูก ห้าตัว อยู่มาได้ไม่ถึงเดือน แม่หมาถูกรถชนที่ถนนใหญ่ เจ้าของบ้านไปพบและอุ้มมา ในสภาพกระดูกขาทั้งสี่ข้างหัก ทะลุเนื้อออกเนื้อมา เดินไม่ได้ ก็ต้องอุ้มเข้าบ้านอย่างทุลักทุเล สัตวแพทย์สมัยนั้นไม่มี่ อาศัยว่าเจ้าของบ้านเป็นพยาบาล ก็และเข้าเฝือก ทำแผลให้ยากิน มันมองเจ้าของอย่างแสนจะทรมาน คงอยากให้ช่วยและสำนึกในการช่วยเหลือ จนรุ่งเช้าแม่หมาก็ตาย ก่อนตายก็ร้องครางทั้งคืน ทีนี้เหลือลูกหมาห้าตัว อดนมแม่ พ่อหมาไม่ต้องกล่าวถึง ก็ต้องป้อนนมป้อนน้ำกันอย่างวุ่นวาย อยู่ไปสักอาทิตย์ ลูกหมาเป็นขี้เรื้อน ความเป็นพยาบาลมีคนบอกให้ใช้ผงสุพรรณ  ทารักษาให้หายได้ ตนองเคยผสมแป้งเย็นให้สามีทาแก้เกลื้อนหายมาแล้ว  เพราะสามีแพ้เชื้อราทั้งตระกูลเป็นเกลื้อน  รักษาทุกวิถีทางแล้วไม่หายไม่ว่าจะเป็นครีมทาน้ำยาไฮโปล้างรูป มารักษาหายกับผงสุพรรณผสมแป้ง วันที่ไปซื้อผงสุพรรณ ที่ร้านขายยา ในเมืองเจ้าของร้านถามว่าเอาไปทาหมาขึ้นเรื้อนหรือ นึกถึงคำนี้ได้ก็เลยจัดการเอาผงสุพรรณมาลูบตามหน้า ตามตัวให้ลูกหมา โดยไม่ผสมแป้งให้เจือจางก่อน เวลาผ่านไป รุ่งเช้าภาพที่เห็นเหมือนจะเป็นลมทั้งยืน นึกในใจสร้างเวรสร้างกรรมอีกแล้ว ลูกหมาหน้าตาบวมฉึ่ง ตามิด มีเลือดซึม ร้องน่าสงสาร จะเอาผ้าเช็ดให้หรือเอาน้ำล้างให้ก็ไม่ได้เพราะมันเฟะขนาดนั้น ป้อนนมก็ไม่กิน เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวันลูกหมาทั้งห้าก็ตายเรียบ โถ กำพร้าแม่ แล้วยังกรรมซัดเพราะความไม่ตั้งใจของเจ้าของอีก
				
Lovers  0 คน เลิฟปุยเมจิกา
Lovings  ปุยเมจิกา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟปุยเมจิกา
Lovings  ปุยเมจิกา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟปุยเมจิกา
Lovings  ปุยเมจิกา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงปุยเมจิกา