10 เมษายน 2548 11:19 น.

คำสัญญา ตอนที่2

ผู้ชายบนดวงจันทร์

บทที่2 จุดเริ่มต้น(2)

เมื่อทั้งคู่ สบตากันก็ต่างพูดออกมา "สวัสดีสาว" "สวัสดีเจ"
"ไปไงมาไงอ่ะ ไม่เจอกันตั้งนาน"  
"มาเที่ยวกับเพื่อนอ่ะ"
"เหรอ ไหนๆล่ะเพื่อนเธอ"
"กี๋ นี่พี่เจ เพื่อนพี่เอง"
"สวัสดีค่ะพี่เจ"  "สวัสดีครับน้องกี๋"
(น้องกี๋เป็นคนที่น่ารักมากด้วย)
"เฮ้ยเจแล้วแกมากับใคร"
"เรามากับเวส"
"สวัสดีเจ๊สาว"  "เออสวัสดีอีเวส"
"เป็นไงอีเวสได้ข่าวว่าควงสาวไม่ซ้ำหน้าเลยนิ"                             
"อ้ายเจแกหลังหลังข้าเหรอ"
"ป่าวๆๆๆแค่เล่าสู่กันฟังเอง"
 น้องกี๋ก็ได้แต่ยิ้ม..และเจก็ยังคงแอบมองน้องกี๋ตลอดเวลา
และหลังจากนั้นทั้งกลุ่มก็ได้ชวนกันไปเที่ยวต่อแถวๆย่านรัชดาโดยเวสเป็นคนพาไป
"เจ๊สาว อ้ายเจเดี๋ยวผมมานะ"
"จะไปไหนอีเวส"
"มันเมื่อยๆอ่ะเจ๊ ไปให้น้องๆช่วยนวดหน่อย"
"อีนี่เห็นสาวๆทีทิ้งเพื่อนเลยนะเอ็ง"
"เดียวพี่มานะครับน้องกี๋"
"ไปไกลๆเลยอีเวส คนนี้ห้ามยุ่ง รีบไปหาน้องๆของแกเลยไป"
"โห่เจ๊ อย่าพูดดังอายน้องกี๋เค้า"
"อีเวสหน้าอย่างแกอายเป็นด้วยหรือ"
"เออๆๆไปก็ได้"
หลังจากที่เวสไปทั้ง 3 คนก็ตกลงว่าจะไปที่ไหนกันดี เพราะทั้ง 3 คน ก็ไม่ค่อยชอบสถานที่แบบนี้ เท่าไหร่ 
"พวกเราไปที่อื่นกันดีกว่า เดี๋ยวเวสเสร็จค่อยโทรบอกให้มันตามไป"  
"ก็ดีนะเจ น้องกี๋ว่าไง"
"ดีค่ะพี่สาว"
เมื่อตรงลงกันว่าจะไปที่ไหน ทั้ง 3  คน ก็นั้งรถไฟฟ้าใต้ดินไปที่ เซ็นทรัสลาดพร้าว  ไปดูหนังกัน ช่วงที่รอก่อนจะเข้าโรง ก็มีเสียงโทรศัทพ์ดังขึ้น "ว่าไง ...อืมๆ"
"เจ เดี๋ยวเรามา โทรศัพท์แป๊บหนึ่ง ฝากน้องกี๋ด้วยนะ"
"ได้ๆๆ เดี๋ยวดูให้"
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ 2 คน เริ่มรู้จักกันมากขึ้น และได้พูดคุยกัน  โปรดติดตามตอนต่อไป				
8 เมษายน 2548 10:59 น.

คำสัญญา

ผู้ชายบนดวงจันทร์

บทที่ 1 จุดเริ่มต้น
ณ. สังคมเมืองกรุง ที่มีผู้คนมากมายเดินกันไปมามากมาย  อีกทั้งท้องถนนก้เต็มไปด้วยรถที่แสนจะติดยาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่เช้าจดเย็น และพระอาทิตย์ก็หายไปจากท้องฟ้า พระจันทร์ก็เข้ามาแทนที่   ผู้คนก็ยังเยอะเหมือนเดิม ในหมู่ผู้คนในนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านขายอาหารแล้วสั่ง
"พี่ครับผัดกระเพราหมูสับไข่ดาวจานหนึ่งครับ"
สงสัยช่ายไหมว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร เค้าก็เป็นพระเอกของเราเองครับ พระเอกคนนี้ชื่อ เจ  อายุ 26 ปี ยังโสด ทำงานธุรกิจส่วนตัว(เปิดร้านอินเตอร์เน็ต)  ชีวิตเป็นยังไงเหรอ เจเค้าเป็นประเภทรักสันโดน ไปไหนก็จะไปคนเดียว แต่ที่ชอบมากที่สุดก็คงจะชอบฟังเพลง  มีเวลาว่างก็จะไปไหนคนเดียว และจะชอบไปดูหนังคนเดียวมาก...
และในเวลาต่อมาก้มีผุ้ชายอีกคนเดินเค้ามาในร้าน "เจ๊ ข้าวหมูทอดจาน เอาไข่ดาวด้วยนะ" และก็เดินเข้ามาที่โต๊ะของเจ "สวัสดีเวส"  "สวัสดีโว้ยอ้ายเจ"  "เป็นไงบ้างว่ะ"  อยากรู้อีกช่ายม่ะว่าเวสเป็นใคร  เวสเป็นเพื่อนสนิทของเจ  แต่การดำรงชีวิตต่างกับเจสินเชิง เวสมันเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ดวงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ชอบเที่ยวกลางคืน แต่มันก็เป็นคนที่รักเพื่อนมาก คนหนึ่ง
"ไงว่ะอ้ายเจ เมื่อไหร่เอ็งจะมีเมียกับเค้าซ่ะ"
"ใครจะไปเหมือนแกล่ะ ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า"
"ข้าก็สนุกไปอย่างนั้นล่ะไม่มีอะไรมากหรอก"
"แล้วเมื่อไหนแกจะแต่งงานว่ะเวส"
"อย่าพูดเรื่องแต่งงานโว้ยม๊ากับป๊าก็พูดอยู่ ข้ายังไม่อยากให้ใครมาผูกมัด"
"ใครจะไปโครตสุภาพบุรุษเหมือนแกล่ะว่ะไอ้เจ ผู้หญิงก็ไม่เที่ยว"
และสองคนก็คุยอย่างสนุกสนานเหมือนคนที่ไม่เคยเจอกันมานาน ...
"ข้าวที่สั่งไปยังไม่ได้เลย ผมสองคนหิวจะตายอยู่แล้วนะเจ๊"
หลังจากที่ออกจากร้านอาหาร เจกับเวสออกมา ก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาชนเจ และล้มลงไป  
เจลุกขึ้นมาแล้วถามว่า "เป็นอะไรหรือป่าวครับ"  "ไม่เป็นไรค่ะ"
แล้วทั้งคู่ก็สบตากัน  ..... โปรดติดตามตอนต่อไป				
7 เมษายน 2548 12:04 น.

เรื่องของคนเจ้าชู้

ผู้ชายบนดวงจันทร์

หลายๆคนคงสงสัยกันว่า "เพราะอะไรผู้ชายไทยถึงเจ้าชู้" ตอบง่ายๆก็คือ มันเป็น "สันดาน" เพราะผู้ชายไม่ได้เพิ่งเริ่มเจ้าชู้ แต่มันเป็นมานานมากแล้ว แต่ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้ชายเป็นอย่างนี้ ก็คือความได้เปรียบทางสังคม  เพราะความที่ผู้ชายต้องเป็นผู้นำทางสังคม เช่น กษัตริย์ก็ต้องเป็นผู้ชาย ผู้นำก็ประเทศก็ต้องเป็นผู้ชายเป็นผู้ชาย (ในวงเล็บต่อไปอาจมีผู้นำที่เป็นผู้หญิง) แต่จะมองผู้ชายคนไหนบ้างล่ะที่ว่าเจ้าชู้ ไม่ต้องไปมองหาครับ เพราะผู้ชายเจ้าชู้ทุกคน อย่าบอกว่าไม่ช่าย คุณมองผุ้หญิงคนหนึ่งแล้วคิดในใจว่าคนสวยดีนะ นั้นล่ะความเจ้าชู้ในตัวคุณเริ่มออกมาแล้วแต่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครเห็น บางคนเห็นสวยหน่อยก็เข้าไปคุยไปทักทาย และไม่มีทางไหนที่จะหยุดความเจ้าชู้ของผู้ชายได้ แต่การเจ้าชู้ก็มี 2อย่าง การเจ้าชู้ทางแววตา กับเจ้าชู้แบบการกระทำ ไม่ต้องอธิบายก้พอรู้กันนะครับ แต่ๆๆยุดสมัยนี้ไม่ใช่ผู้ชายเท่านั้นนะครับที่เจ้าชู้ ผู้หญิงก้เริ่มเจ้าชู้แล้ว เพราะการที่ผุ้หญิงเข้ามามีบทบาททางสังคมมากขึ้นและบางครั้งอาจแซงหน้าผุ้ชายไป อย่าเถียงอีกนะว่าผุ้หญิงไม่เจ้าชู้ เป็นไปไม่ได้  เพราะด้วยผุ้หญิงมีมากขึ้นจนมากกว่าผุ้ชาย และความเท่าเทียมกันทางสังคม แต่สมัยนี้ก้ต้องยอมรับนะครับว่าผู้หญิงใจกว้างมากกว่าผู้ชาย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำว่ากิ๊กขึ้นมาหรอก คำๆนี้ก้เหมือนกับว่าผุ้หญิงไม่ปิดโอกาศให้กับตัวเอง แต่ก้ไม่ปิดโอกาสให้กับผุ้ชายที่จะเลือกคบใครก็ได้  เห็นไหมล่ะว่าผุ้หญิงสมัยนี้ฉลาดมาก เข้าใจหาวิธีมาและก้ได้ผลจนเกิดคาด (จากกิ๊กศู่ชู้) แต่ไม่ว่าใครจะเป็นยังไง ผุ้หญิงหรือผุ้ชายเจ้าชุ้ก้ไม่ได้แปลว่าเป็นคนไม่ดี แตะมันเป้นความสุขที่เค้าอยากทำ ขอเพียงแต่เราเป้นคนดีก็ แต่ขออย่างเดียวว่าใครจะคบใครจะยังไงก็เถอะ แต่ถ้ามีครอบครัวแล้วขอให้หยุดนะครับ ถือว่าความสุขช่วงนั้นคุณได้หมดลงแล้ว และมาใช้ความสุขกับครอบครัวคุณเอง  *ก่อนจากศีล5 อยุ่ที่ว่าคุณจะรักษาขอไหน แต่ที่ควรรักษามากที่สุดก็คงจะเปฌนศีล ข้อ "กาเม" หวังว่าคงทำกันได้นะ				
4 เมษายน 2548 16:41 น.

เรื่องนี้เกี่ยวกับความคิดถึง..

ผู้ชายบนดวงจันทร์

คงไม่เคยมีใครหรอกนะที่จะไม่คิดถึงใคร อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยไม่คิดถึงใคร ก็แสดงว่าคุณคิดถึงแต่ตัวเอง (คนเห็นแก่ตัวดีๆนี่เอง)  แล้วเวลาที่คุณคิดถึงใครคุณทำยังไงล่ะ บางคนอาจจะหยิบรูปคนที่คิดถึงขึ้นมาดู หรือเปิดเพลงฟัง แต่ถ้าถามเรื่องเพลงที่เกี่ยวกับความคิดถึง คงมีเพลงที่โดนใจผมจริงๆแค่ 3 เพลง ได้แก่                                                                                           1.ไกลเหลือเกิน ของ บอย ที่ร้องว่า  ...อยากจะขอให้ได้พบ อยากจะขอให้ได้พบ อยากจะรู้ว่าตัวเธอเองเป้นเช่นไร เธอจะคิดถึงฉันหรือป่าว เธอจะเหงาบ้างหรือป่าว จะรู้สึกสึกแตกต่างกัยฉันบ้างไหม เพราะว่าเราห่างไกลกันเหลือเกิน คิดถึงแต่เธอนั้น เฝ้าแต่นับให้ถึงวันที่เรานั้นได้พบกัน เพราะเราช่างห่างไกลกันเหลือเกิน..ฉันเองก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พบ                                                                                2.คิดถึงเหลือเกิน มาลีวัลย์ ที่ร้องว่า แต่ความห่างไกลไม่เคยห้ามใจที่มันคิดถึง ส่งไปให้ถึงใจเธอ อยากจะบอกเธอคิดถึงเธอเหลือเกิน                                                                                                                                                                                                3.ภาวนา โก้ มิสเตอร์เซ็กโฟน เพราะว่าห่างเหลือเกินเพราะเธออยู่แสนไกล บอกตรงๆหัวใจฉันยังหวั่น...

เห็นไหมล่ะเพลงโดนใจขนาดไหน แต่ฟังเพลงยังไงก็คงจะสู้ได้ยินเสียงไม่ได้ หลายคนคงเลือกได้ยินเสียง มากกว่ามานั้งฟังเพลง ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ติดต่อกันได้ เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และก็คงปฎิเสธไม่ได้ ว่าคุณยังไม่มีโทรศัพท์ เพราะเดี๋ยวนี้แทบทุกคน จะมีโทรศัพท์เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์บ้าน มือถือ แต่ที่ฮิตสุดตอนสมัยเรียน ก็คงเป็นตู้หยอดเหรียญสาธารณะ ซึ่งตัวคุณเองก้ปฎิเสธไม่ได้ว่าไม่เคยใช้  ไอ้คนรอก็รอไปไอ้คนคุยก็ช่างสัญหาเรื่องคุยไม่รู้มันจะคิดถึงอะไรกันนานดนั้นคงประมาณว่า "เธอวางก่อนสิเธอนั้นล่ะว่างก่อน" สุดท้ายพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันอยู่ดี ถ้าเทียบกับสมัยนี้ตู้โทรสาธารณะเต็มไปหมด แถมเอาใจวัยรุ่นที่ชอบคุยนานๆด้วยการทำที่นั้ง ประมาณ(ว่าฉันคุยอยู่ที่บ้าน) แต่ขอโทษวัยรุ่นไทยยุคใหม่มีโทรศัพท์มือถือกันหมดแล้ว ใช้ตู้หยอดเหรียญไม่เอาอายเค้า เดี๋ยวจะถูกหาว่าไม่มีมือถือ บางคนมี2เครื่อง เครื่อง นี้แฟน เครื่อง นี้กิ๊ก บางคนมันคิดถึงทั้งวันโทรหากันตลอด ไม่เจอกัน5นาทีก็คิดถึงแล้ว มันจะเวอร์ไปไหมน้อง(พลานเงินพ่อแม่เล่นไปวันๆ)  บางทีก็ส่งข้อความ คิดถึงมากๆเลยนะ กับพ่อแม่มันจะคิดถึงหรือป่าว ถ้าพูดถึงข้อความ  หลายๆคนรุ่นๆผมคงจำ เพจกันได้ เมื่อก่อนผมก็ใช้ สมัยผมใครพกเพจเท่ห์สุดๆ คุณว่าจริงไหมล่ะแต่ถ้าไม่มีข้อความเข้าเครื่องก็เหมือนก้อนหินก่อนหนึ่งขนาดหมามันยังไม่เห่าเลย ที่น่าสงสารสุดๆและน่าชมเชยสุดๆก็น่าจะเป็นพนักงานที่รับข้อความส่งเพจ ข้อความบางข้อความแทบอ๊วก(บางคนโดนแซวว่าน้องๆไปท้องกับใครมาเพราะอ๊วกทั้งวัน) ยิ่งช่วงวันที่14กุมภา ไม่ต้องพูดระบบเพจติดยากมากๆขอบอก พนักงานก็จะเตรียมกระโถนมาทุกคนคนล่ะใบไว้ใส่อ๊วกเพราะข้อความแต่ละข้อความล้วนแต่ หวานๆเน่าๆ สุดยอดความเน่าก็มี แต่มันก็เป็นสิ่งที่บอกความคิดถึงได้คุณว่าจริงไหม  ...นอกเรื่องมาเยอะแล้ว ... ผมว่าเดี๋ยวนี้มันทำให้คนคิดถึงแบบไม่มีเหตุผลกันง่ายขึ้น เพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น โทรศัพท์ อีเมล์ ระบบคุยทางเน็ตทั้งหลาย ต่างกับสมัยก่อน คิดถึงใครมันจะทรมาณมาก ไหนจะต้องเขียนจดหมาย ไหนจะต้องไปส่งจดหมาย ไหนจะต้องรอให้จดหมายถึง ไหนจะให้เค้าตอบกับมา ดูสิว่ามันใช้เวลามากขนาดไหน กว่าที่ใครซักคนจะส่งผ่านความคิดถึงถึงกัน คนสมัยก่อนถึงรักกันยืนนานไงครับ เพราะต้องอดทนใช้เวลา แต่สมัยนี้แค่กดโทรศัทพ์หากันได้เร็วทันใจ พอนานๆก็เบื่อสุดท้ายก็เลิกกัน ผมยังอยากลองเลยเวลามีแฟนแล้วส่งจดหมายคุยกัน ผมว่ามันคงจะรู้สึกดีมากๆเลย เพราะเราเขียนจดหมายหาคนรักมันจะออกมาจากใจ  ดีกว่าคำพูดบางคำที่ไม่จริงใจ เช่น "รู้ไหมตัวเองเราคิดถึงตัวเองมากที่สุดในโลกเลยนะ" มันบอกกับคุณได้มันก็บอกกับคนอื่นได้เหมือนกัน    แต่ถ้าเป็นจดหมาย มันจะเขียนลงท้ายว่า" รักและคิดถึง " เห็นไหมว่า "การเขียนจดหมายยังได้บอกรักไปในตัวอีก" อิอิ  ไม่ใช่บอกว่าคิดถึงอย่างเดียว ถ้าผมมีแฟน ผมจะส่งจดหมายติดต่อกับแฟนผม จะใช้โทรศัทพ์ให้น้อยที่สุด  แต่ไม่ว่าคุณจะคิดถึงใครแต่ก็อย่าลืมคิดถึงตัวเอง แตก็่ไม่ใช้มากเกินจนเป็นจนกลายคนเห็นแก่ตัวนะครับ....				
3 เมษายน 2548 12:15 น.

เรื่องนี้เกี่ยวกับน้ำตา

ผู้ชายบนดวงจันทร์

คงไม่มีใครหรอกนะครับที่ไม่เคยร้องไห้ เพราะคนเราเกิดมาก็ต้องร้องไห้ทุกคน  และสาเหตุการร้องไห้มันก็คงย่อมมีสาเหตุ  สาเหตุของการร้องไห้มันมีเยอะมากๆ คุณว่าไหม แล้วผมล่ะเคยร้องไห้ เคยครับ แต่ไม่บ่อย สาเหตุที่จะทำให้คนเราไห้มี 2 สาเหตุ ใหญ่ๆคือ ดีใจ กับ เสียใจ คุณว่าจริงไหม อีกข้อก็คือ เเสียใจ แต่ตรงเสียใจนี้มันจะมีสาเหตุให้ร้องไห้มากกว่าดีใจ เพราะคนเราทุกคนล่ะคิดว่าเวลาเสียใจมันต้องร้องไห้ คงไม่มีใครเสียใจแล้วหัวเราะ แบบนั้นเค้าเรียกว่าบ้า แล้วอะไรล่ะทำให้คนเสียใจ เรามาดูกันเลย
ปอ ทำไมร้อง "แฟนปอบอกเลิกกับปอ"
สาว ร้องไห้ทำไม "ที่บ้านจะจับเราแต่งงาน"
เวส ร้องไห้ทำไมว่ะ "กูโดนผู้หญิงหลอกหมดตูดเลยว่ะเพื่อน"
อ้อม ทำไมมานั้งร้องไห้ล่ะ "อ้อมเบื่องานอยากเปลี่ยนงานนะ"
ออย ร้องทำไม "ออยสอบเข้ามหาลัยไม่ได้อ่ะ"
เจี๊ยบ ร้องไห้ทำไม "หมาที่บ้านเจี๊ยบตาย"
กี๋ร้องไห้ทำไม "คิดถึงพี่เอิร์ธค่ะ"
แป้ง ร้องทำไม "หนูปวดท้องค่ะ"
เอิร์ธ ร้องร้องทำไมเป็นอ่ะเรา "ผงเข้าตาเราอ่ะขอน้ำมาล้างตาหน่อย"
และอีกมากมาย..........นับไม่ถ้วน
เห็นม่ะว่าคนเราจะมีสาเหตุการร้องไห้ มาจากความเสียใจ มากกว่าดีใจ แต่ที่ร้องไห้กันยอดฮิต น่าจะเป็นแฟนบอกเลิก เสียใจมากกว่าใครตายอีก หรือว่าไม่จริง คนเราทุกคนนะ ถ้าทำให้จิดใจตัวเองเข็มแข็ง โอกาสที่จะเสียน้ำตายาก เพราะคนเราอ่อนแอไงถึงต้องเสียน้ำตา ต้องคิดว่าน้ำตาตัวเองมีค่านะครับ โดยเฉพาะผู้หญิงนะ เวลาแฟนบอกเลิก อย่าไปร้องไห้นะ คิดเสียว่าน้ำตาเรามีค่ามากกว่าผู้ชายหมาๆบางคนที่บอกเลิกเรานะ เก็บน้ำตาไว้ดีกว่า เพราะถ้าครั้งแรกเราทำได้ ครั้งต่อไปก้ง่ายสำหรับเรา เราจะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับผุ้ชาย  เปลี่ยนไปเสียน้ำตาสำนึกผิดกับตัวเราเองดีกว่า ว่าเรามองข้ามคนที่รักเรามากที่สุด ก็คือ พ่อกับแม่เราไง เพราะเราทุกคนจะมองข้ามความรักของท่านไป คุณว่าจริงไหม เพราะคุณมองความรักของท่านว่าเป็นการขี้บ่น มาจู้จี้จุกจิกกับตัวคุณ แต่ที่ไหนได้ สิ่งที่คุณคิดว่าท่านขี้บ่น จุกจิก น่ารำคาญ แต่สำหรับท่านแล้ว มันคือความรักความห่วงใยที่ให้มีให้คุณมาตั้งแต่คุณเกิดจนมาถึงทุกวันนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่จะมาเทียมเท่าความรักของพ่อแม่ได้  ถึงจุดเล้กๆตรงนี้จะเป็นที่คุณมองไม่เห็น แต่จุดนี้ล่ะมีความสำคัญมากกับชีวิตของคุณ พ่อแม่ ด่าว่าคุณไม่เคยเสียใจร้องไห้ คิดว่ามันเป้นสิ่งที่น่ารำคาญ แต่พอแฟนคุณด่าว่า คุณร้องไห้เสียใจจะเป็นจะตาย เพราะคิดว่าแฟนคุณไม่รัก  ...สุดท้ายถ้าพ่อแม่เป้นอะไรไปคุณก็จะมาเสียใจภายหลัง แต่ก่อนน่านั้นไม่ยีกจะคิด  ผมคิดว่าถ้าใครได้อ่านข้อความนี้ ผมขอให้รักพ่อแม่มากๆนะครับ เพราะไม่มีใคร รักคุณเท่าท่านอีกแล้ว  และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการเสียใจร้องไห้ คือการที่พ่อแม่ร้องไห้ เพราะจากการกระทำของตัวคุณเอง  น้ำตามีค่ากับคนที่เรารักไม่ใช่ไปเสียน้ำตาให้กับคนที่ไม่รักเรา  ...........				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผู้ชายบนดวงจันทร์
Lovings  ผู้ชายบนดวงจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผู้ชายบนดวงจันทร์
Lovings  ผู้ชายบนดวงจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผู้ชายบนดวงจันทร์
Lovings  ผู้ชายบนดวงจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงผู้ชายบนดวงจันทร์