9 เมษายน 2550 23:45 น.

ผู้หญิงแปลกหน้า

พีรเดช นวลสาย

5 นาทีก่อน
ผมเพิ่งเดินออกมาจากห้องพักเล็กๆ แคบๆ ของบังกะโล พร้อมเบียร์เย็นเจี๊ยบสองขวดเล็ก  มานั่งแหมะลงบนผืนทรายสีขาว เพื่อรอดูดวงอาทิตย์ตก
มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเมาทั้งที่เวลาเพิ่งจะขยับมาได้แค่ห้านาที  และเบียร์
ก็พร่องไปแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง  หรือต่อให้ดื่มหมดทั้งสองขวดนี่ก็ตามทีเถอะ ผมกล้ารับประกันเลยว่ามันยังห่างไกลคำว่าเมา  ผมอาจจะไม่ใช่นักดื่มประเภทคอทองแดง  แต่ก็จัดว่าเป็นพวก ฝึกมาดี  ไอ้เรื่องจะมาเสียท่ากับอีแค่เบียร์ขวด - สองขวดนี่นึกกี่ทีมันก็ไม่สมเหตุสมผล
ในเมื่อผมไม่ได้เมา  แล้วทำไมตาผมถึงได้เห็นนางฟ้ากำลังเดินอยู่บนชายหาด?!
เป็นนางฟ้าที่ดูเรียบง่าย พรางตัวด้วยเสื้อกล้ามสีขาว ทับด้วยกางเกงเลหลวมๆ  สวมกำไรที่ข้อมือและข้อเท้า    อย่างละพอเหมาะพอเจาะ
นั่งด้วยคนได้ไหมคะ?  รู้ตัวอีกทีเท้าเปลือยเปล่าของเธอก็มายืนอยู่บน
ความประหม่าของผมเรียบร้อยแล้ว
รังเกียจรึเปล่าคะ ถ้าจะขอนั่งตรงนี้ด้วยคน  เธอต้องเอ่ยขอเป็นครั้งที่สองเพราะผมเอาแต่นิ่งอึ้ง
ไม่...เอ่อ  ได้-ครับ  ผมอึกอัก  พลางผายมือเชื้อเชิญ
ขอบคุณ  เธอยิ้มกว้างก่อนหย่อนตัวลงนั่ง  เป็นรอยยิ้มแปลกตาที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
-  เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ?
นั่นเป็นคำถามงี่เง่าที่ผมพอจะนึกออกในเวลานี้  ...แล้วไงล่ะ ถ้าไม่เคยรู้จักผม
จะไม่อนุญาตให้เธอนั่งด้วยงั้นหรือ  ผมไม่ใช่เจ้าของหาดนี้สักหน่อย
- คุณเป็นนางฟ้าใช่ไหมครับ?
นั่นเป็นคำถามงี่เง่ากว่า  ที่สมองของผมนึกขึ้นมาได้อีกในเวลากระชั้นกัน 
บุหรี่ไหม?  เธอหันมาพร้อมยื่นซองบุหรี่สีเขียวมาทางผม
...ผม ไม่สูบ  ผมรีบโบกมือปฏิเสธ
งั้นคงไม่รังเกียจนะคะ ถ้าฉันจะสูบ  เธอยิ้มแบบเดิม  มันคงเป็นรอยยิ้ม
ในแบบฉบับของเธอที่ไม่มีใครเลียนแบบหรือขโมยไปจากเธอได้
ตามสบายครับ  ผมอยู่ท่ามกลางวงบุหรี่จนชินแล้วล่ะ  เผลอๆ  ผมนี่แหละที่
อาจจะตายก่อนๆ เพื่อนๆ ที่รวมหัวกันรมควันใส่อยู่แทบทุกวัน
หญิงสาวส่งบุหรี่เข้าปากและจุดไฟสูบด้วยท่วงท่าที่เป็นธรรมชาติ  เดาเอาว่าเธอคงทำใช้ท่าทางที่ว่านี้มานับร้อยนับพันครั้งแล้ว จนไม่รู้สึกขัดแม้กระทั่งกับคนที่เพิ่งจะเคยผ่านตาครั้งแรกอย่างผม  เธอพ่นควันสีขาวออกมาทางปากและจมูกพลางค่อยๆ เหยียดขาออกไปข้างหน้าอย่างผ่อนคลาย
เบียร์ไหมครับ?  ผมยื่นเบียร์ขวดที่เหลือให้เธอ  เธออมยิ้ม
จะเสียมารยาทไหม ถ้าฉันรับเบียร์คุณ  ในขณะที่คุณไม่รับบุหรี่ฉัน  
ไม่หรอก  ผมไม่สูบเองนี่นา 
ขอบคุณ  เธอรับขวดเบียร์ไปจากมือผม  ยกขึ้นดื่ม 2-3 อึก และใช้หลังมือปาดเช็ดริมฝีปาก  ท่วงท่านั้นอาจจะดูเป็นธรรมชาติน้อยกว่าตอนที่เธอจุดบุหรี่สูบ  
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นท่าทางที่น่าสนใจและน่าดูไม่น้อยไปกว่ากัน
- เธอเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ   ใช่! เธอเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ  อยู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชายหาดและตอนนี้เธอมานั่งอยู่ข้างผม  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล
คุณชอบทะเลไหม?   เธอถามขึ้นหลังปล่อยควันบุหรี่ออกไปจนหมด
ผมเหรอ?...ชอบสิ  ทำไมเหรอ?  ผมงงกับคำถาม
เปล่า  ไม่มีอะไร  ก็แค่อยากรู้น่ะ  ฉันเคยเห็นบางคนทนอยู่กับสิ่งที่ตัวเอง
ไม่ชอบเกือบทั้งชีวิต  โดยอ้างเหตุผลต่างๆ นานา  ฉันไม่เห็นความสำคัญกับ
การที่เราต้องมานั่งหาเหตุหาผลให้กับสิ่งที่เราไม่ชอบเลย  ฉันก็เลยอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณชอบทะเลรึเปล่า  หรือคุณแค่ไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาทะเล  แววตาเธอดูจริงจังกับคำพูดอยู่ไม่น้อย
ผมชอบทะเล  จริงๆ  ผมยืนยันด้วยสัตย์จริง  ผมชอบทะเลเสมอมาไม่ว่าเธอ
จะเกรี้ยวกราดหรือเงียบสงบ  และไม่ว่าผมจะกำลังทุกข์หรือลิงโลด
ฉันเชื่อคุณ  เธอยิ้มกว้าง(อีกแล้ว)  ฉันเองก็ชอบทะเล  เรียกว่าหลงเลยล่ะ  ฉันจะมานั่งมองเธอบ่อยเท่าที่ฉันมีโอกาส  ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ฉันก็จะนึกถึงทะเลเป็นอันดับแรก  ไม่มีที่ไหนที่ฉันไปแล้วสบายใจเท่ากับการมานั่งมองทะเล  
แต่ก็แปลก  ในขณะที่คนอื่นชอบที่จะดำผุดดำว่าย ล้อเล่นกับลูกคลื่นกันอย่างสนุกสนาน  ฉันกลับต้องการแค่นั่งมองดูเฉยๆ    ...คุณเชื่อรึเปล่าว่าบ่อยครั้ง
ฉันกลับไปโดยที่ไม่เปียกน้ำทะเลเลยแม้แต่นิดเดียว
อืม...จะว่าไปก็แปลกดี  ตรงข้ามกับผมเลย  ผมชอบลงเล่นน้ำทะเล  โดยเฉพาะตอนฝนตก
ฝนตก?  เธอร่นหัวคิ้วเข้าหากัน
ใช่  ตอนที่ฝนตกน่ะ  ทุกคนจะรีบเผ่นขึ้นจากน้ำหนีเข้าที่พักเพื่อหลบฝน  
นั่นล่ะ  คือเวลาที่ทะเลสงบที่สุด  คิดดูสิผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตากลายเป็นของเราเพียงคนเดียว  ผมกางแขนเป็นวงกว้างแสดงท่าทางประกอบ
ก็แปลกดีเหมือนกัน  เธอหันมายิ้ม  ถ้ามีโอกาสฉันจะลองดูบ้าง  เผื่อจะได้เป็นเจ้าของทะเลเหมือนอย่างคุณ
รอยยิ้มของเธอทำให้ผมทึกทักเอาเองว่าเราสนิทกันแล้ว  ทั้งที่ความจริงผมเพิ่งเจอเธอไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ  แต่บางสิ่งบางอย่างบอกกับผมว่า  หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้มีอะไรหลายๆ อย่างน่าสนใจดี  บางทีความแปลกหน้าก็เป็นแค่เงื่อนไขฉาบฉวยที่เราสมมุติขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกตัวเราออกจากคนอื่นๆ  เราเรียกคนที่เราเพิ่งเคยเจอครั้งแรกว่าคนแปลกหน้า  ทั้งที่คนเดียวกันนั้นอาจจะเป็นคนสนิทของคนอื่นๆ เราเรียกคนที่เราพบหน้าบ่อยๆ ว่าคนรู้จักหรือมากกว่านั้นในฐานะคนสนิทคนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ และพร้อมจะมอบความจริงใจให้  แต่คนสนิทคนนั้นก็พร้อมจะกลายเป็นแค่คนแปลกหน้าได้หากวันหนึ่งคนๆ นั้น
เกิดทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่เรามอบให้  ในขณะที่คนแปลกหน้าก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปเป็นคนสนิทหากเราพร้อมที่จะมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้
- เธอจะเห็นผมเป็นแค่คนแปลกหน้ารึเปล่านะ?
ที่นี่...ดวงอาทิตย์ตกสวยที่สุดเลยรู้ไหม?  เธอพูดขึ้น  สายตามองออกไปสุดเส้นขอบฟ้า  ฉันจะมานั่งตรงนี้ทุกครั้งเพื่อดูดวงอาทิตย์ตก  มันเป็นจุดที่เห็นชัด
ที่สุด  และสวยงามที่สุดด้วย...ฉันคิดว่านะ
เอ่อ...ผมแย่งที่คุณรึเปล่า ผมพูดขึ้นอย่างเกรงใจ
เปล่าๆ  เธอรีบโบกมือ  คุณมีสิทธิ์บนหาดนี้พอๆ กับฉัน อย่าคิดมากสิ  ดีซะอีก
ที่เจอคุณฉันจะได้ไม่ต้องนั่งเหงาคนเดียว
เอ่อ...ผมค่อนข้างจะเป็นคนน่าเบื่ออยู่สักหน่อย  ผมรีบออกตัวไว้ก่อน
ความจริงน่าจะรีบมากกว่านี้หน่อย
ไม่หรอก  ฉันว่าคุณเป็นเพื่อนคุยที่ใช้ได้เลยแหละ  ปกติฉันไม่เคยคุยกับ
คนแปลกหน้าได้นานขนาดนี้เลยนะ  ความจริงฉันไม่ค่อยชอบคุยกับใครเลยด้วยซ้ำ  แต่วันนี้ฉันไม่อยากนั่งเงียบอยู่ลำพังเพียงคนเดียว  ขอโทษนะที่วิสาสะใช้คุณเป็นเพื่อนคุยน่ะ  ถ้ารำคาญก็บอกฉันตรงๆ ได้  ฉันยินดีจะอยู่เงียบๆ 
หรือจะให้ฉันไปก็ได้นะ...ถ้าคุณรำคาญ
เปล่าๆ ผมไม่ได้รำคาญอะไรสักหน่อย  ผมอยากให้เธออยู่ต่อโดยไม่มีเหตุผลอะไรรองรับทั้งสิ้น  ผมแค่อยากฟังเสียงเธอ  ฟังเรื่องราวที่พรั่งออกมาจาก
ริมฝีปากเรียวบางที่พร้อมจะสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ คือรอยยิ้มอัน
ลึกลับที่ราวกับกุมความลับสำคัญแห่งชีวิตทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้  - ผมแค่อยาก
จะเห็นมันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขอบคุณ  เธอยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ผมทึกทักเอาเองอีกทีว่าไม่น่าจะใช่รอยยิ้มสำหรับคนแปลกหน้า(แน่ๆ)
ดวงอาทิตย์เริ่มหย่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆ คะเนด้วยสายตาน่าจะห่างจากผิวน้ำทะเลอีกแค่ไม่กี่คืบ  แสงสีทองยังคงแผ่ออกไปฉาบทาทั่วทั้งแผ่นฟ้าและเต้นระริก
อยู่บนผืนน้ำที่เกลื่อนด้วยระลอกคลื่น  ปรากฏการณ์ที่เห็นเบื้องหน้า-งดงาม
ราวภาพฝัน  ผมอาจจะกำลังฝันไป...ว่ากำลังนั่งอยู่บนชายหาดแห่งสรวงสวรรค์  และพูดคุยอยู่กับนางฟ้า...
บ่อยไหม? 
ผมหันไปมองเธอด้วยสีหน้างงๆ  ไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพูดกับผมอยู่รึเปล่าเพราะน้ำเสียงนั้นเบาและเจือความสลดอยู่ในที บางทีเธออาจจะแค่พูดอะไรขึ้นมาลอยๆ
...คุณมาที่นี่บ่อยไหม? เธอหันมาทางผมเพื่อแสดงให้รู้ว่าคำถามนี้สำหรับผม และคงต้องการคำตอบด้วย
ครั้งแรกน่ะ  ผมยิ้มเขินๆ ความจริงไม่มีเหตุผลที่ต้องเขินเลย
ครั้งแรกกับหาดนี้?
ครั้งแรกกับทั้งเกาะนี่แหละครับ  ความจริงผมตั้งใจจะมาที่นี่ตั้งนานแล้วล่ะ  เพื่อนที่เคยมาเล่าให้ฟังว่าที่นี่คือสวรรค์สำหรับคนที่หลงรักทะเล  และบอกว่า
ผมน่าจะหาโอกาสมาให้ได้สักครั้ง  แต่หลายต่อหลายครั้งผมก็ต้องล้มเลิกการ
เดินทางด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป  แต่คราวนี้เหมือนมีความพิเศษบางอย่างอยู่ในตัวมันเอง อยู่ๆ ผมก็สะพายกระเป๋าออกมา หยิบได้เสื้อผ้าไม่กี่ชุด  แถมไม่ได้บอกใครเลยสักคนว่ามาที่นี่  และคงไม่มีใครรู้หรอกเพราะผม
ปิดมือถือทิ้งไว้ที่ห้อง
ยินดีต้อนรับสู่สรวงสวรรค์  เธอยื่นมือมาขอจับมือ
ขอบคุณครับ  ผมเขย่ามือกับเธอเบาๆ  ...รู้สึกหัวใจมันกำลังเต้นผิดจังหวะ
รู้ไหม...ฉันมาที่นี่  เวลานี้ทุกๆ ปี เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  ท่าทางเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ราวกับเธอได้ชักม่านแห่งความเป็นส่วนตัวลงมาโอบคลุมตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนภายนอกเข้าไปจุ้นจ้านในอาณาเขตส่วนตัวอันลึกลับนั้น
คุณจะหัวเราะเยาะไหม...ถ้าฉันจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง?  เธอแง้มม่านออกมาถามผม
ไม่รู้สิ  มันก็ขึ้นกับเรื่องที่คุณจะเล่านะ  ถ้ามันขำผมก็อาจจะหัวเราะแต่รับรองได้เลยว่ามันจะไม่ใช่การหัวเราะเยาะ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องหยาบคาย
อย่างนั้นกับคนที่เราเพิ่งจะรู้จักเป็นครั้งแรก  โดยส่วนตัวผมเกลียดการหัวเราะเยาะอยู่แล้ว  ผมบอกเธอตามที่รู้สึก
ฉันเชื่อคุณ  เธอดึงขาเข้ามาชิดลำตัวและโอบรัดไว้ด้วยวงแขน  จากนั้นค่อยๆ วางคางเล็กแหลมลงบนหัวเข่า
หลายปีก่อน ฉันได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง เป็นครั้งแรก...ที่นี่  สายตาเธอมองออกไปยังผืนน้ำที่กำลังกระเพื่อมไหวอย่างเลื่อนลอย
ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ และกำลังร้องไห้...
ร้องไห้?
ใช่...ฉันเพิ่งจะอกหัก  เธอหัวเราะในลำคอ  จากคนที่ฉันแอบรักมานาน  
เราอยู่ใกล้กันมาก มากซะจนฉันไม่กล้าที่จะสารภาพความรู้สึกจริงๆ ที่มีให้เขารู้  จนกระทั่งวันที่เขายื่นการ์ดแต่งงานใส่มือฉันพร้อมกับคำเชื้อเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงาน...วันนั้นฉันสารภาพความจริงออกมาจนหมดเปลือก
แล้ว...เขาว่าไง?  ผมสนใจอยากรู้จริงจัง
เขาไม่อยู่แล้วล่ะ...ตอนที่ฉันพูดน่ะ  เธอกระชับวงแขนแน่นขึ้น  ฉันไม่กล้าพอที่จะพูดต่อหน้าเขาหรอก ฉันพูดกับถังดับเพลิงที่ผนังต่างหากล่ะ  ความจริงฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดมันไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว  และฉันก็ไม่อยากสร้างความกังวลใดๆ  ให้กับเขา  ตราบเท่าที่เขายังไม่เคยได้ยินมันฉันเชื่อว่าเรา
น่าจะเป็นเพื่อนกันต่อไปได้
สรุปคือคุณไม่กล้าพอที่จะบอก?  ผมแทรกขึ้น
จะว่ายังงั้นก็ได้  เธอขยับตัว ดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบอีกมวน  หรือถ้าจะมองอีกด้านอาจเป็นเพราะฉันไม่กล้าพอที่จะรับรู้ความรู้สึกจริงๆ ที่เขามีต่อฉัน  ถ้าเขาพูดออกมาในสิ่งที่มันตรงกันข้าม...ฉันคงรับมือกับมันไม่ไหว
อือ...ผมว่า  ผมเข้าใจ   ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มหลายอึกติดๆ กัน
ฉันไม่ได้ไปงานแต่ง
แต่มานั่งร้องไห้อยู่ที่หาดนี้แทน?
ใช่  เธออมยิ้ม ก่อนป้อนบุหรี่เข้าปาก  และระบายควันออกมาเป็นสายสีขาว
ล้อเล่นกับสายลมที่คอยไล่ต้อนให้ม้วนหายไปอย่างรวดเร็ว  ฉันนั่งร้องไห้เหมือนเด็กผู้หญิงขี้แยคนนึง  เด็กผู้หญิงที่ต้องทนเห็นโลกทั้งโลกของเธอ
ล่มสลายลงไปต่อหน้า โดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย  ...และในวินาทีที่คิดว่าชีวิต
ไม่หลงเหลืออะไรสักอย่าง  ผู้ชายที่น่าทึ่งคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามายืนท่ามกลางความว่างเปล่านั้น พร้อมๆ กับผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนเล็ก
เธอหลับตา  คล้ายต้องการปล่อยมโนภาพเกี่ยวกับชายคนนั้นให้เป็นอิสระ
เขาปลอบโยนฉันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน
มาก่อน  แต่ไม่ว่าใครก็เริ่มต้นจากตรงจุดนี้ไม่ใช่หรือ  เราล้วนเป็น
คนแปลกหน้าต่อกันก่อนจะกลายเป็นคนรู้จักและกลายเป็นอย่างอื่นที่ล้วน
แล้วแต่เราจะนิยาม  ฉันรู้สึกประหลาดใจจนบอกไม่ถูกที่คำพูดจากปากของคน
ที่ฉันไม่เคยรู้จักกลับมีความหมายต่อฉัน คุณเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังพูดไหม?
ผมพยักหน้ารับ  ดวงตาของผมกำลังยืนยันกับเธอว่าผมเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
นั่นแหละ  วินาทีนั้นฉันรู้สึกว่าได้พบกับสิ่งที่เฝ้ารอและค้นหามาตลอดชีวิต  ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ ราวกับมีใครคนหนึ่งเขียนบทเอาไว้ล่วงหน้า  คุณจะหาว่าฉันงมงายยังไงก็เอาเถอะ  ถึงฉันจะไม่ค่อยเชื่อในเรื่องพรมลิขิตอะไรนัก  แต่ฉันก็ยังหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ได้  เอาเป็นว่าคุณเคยเจอคนแบบที่...คุณหลงรักในทันทีได้เลยไหม?
เคยสิ...คนแบบนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก  แค่เห็นครั้งแรกเราก็อยากโยนกฎเกณฑ์การเป็น
คนแปลกหน้าทิ้งไปเลย   แต่ส่วนใหญ่ผมมักจะเป็นฝ่ายรู้สึกอย่างนั้นไปเอง
อยู่ข้างเดียว  ผมหัวเราะขื่นๆ   แล้วยังไงต่อ  เรื่องของคุณกับชายคนนั้น?
...ฉัน  กับเขานั่งคุยกันจนดึกดื่น  ส่วนใหญ่จะเป็นฉันที่เป็นฝ่ายพูด  ฉันเล่า
ให้เขาฟังทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวฉัน  รวมทั้งสาเหตุที่ฉันต้องมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้  ส่วนเขานั้นเอาแต่นิ่งฟัง  แม้จะพูดน้อยมากแต่ถ้อยคำปลอบโยนอันเต็ม
ไปด้วยความหมายก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาเขาตลอดเวลา  คืนนั้น...ฉันแอบภาวนาในใจขอให้เวลาหยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้  ...พอแล้ว  ชีวิตฉันไม่ต้องการเดินทางแสวงหาสิ่งใดอีกแล้ว  ฉันว่าฉันค้นพบทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ  อาบด้วย
ไออุ่นจากแสงแดดอันอ่อนโยน  และปลอดภัยพอที่ฉันจะล้มตัวลงนอนพัก
ได้อย่างไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องอื่นใดในชีวิต 
เธอหยิบขวดเบียร์ที่เหลือเกือบครึ่งขวดขึ้นดื่ม  แล้วส่งมาให้ผม
เอาสิ  ของคุณหมดแล้วนี่
ไม่เป็นไร  ผมรีบโบกมือปฏิเสธ
เอาไปเถอะน่า  ฉันดื่มได้ไม่เยอะหรอก  หรือว่าคุณรังเกียจ?
เปล่าๆ  ผมรีบรับขวดเบียร์จากเธอมาดื่มเพื่อเป็นการพิสูจน์
ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะ...อ้อ  ฉันอยากให้เวลาหยุดอยู่เพียงแค่คืนนั้น  แต่นั่น
ก็เป็นเพียงมโนภาพเพ้อฝันของฉันเอง  สุดท้ายเราสองคนก็ถึงเวลาที่ต้องเอ่ย
คำล่ำลา  เขายกผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นให้ฉัน  บอกว่าเป็นที่ระลึกสำหรับการ
พบกัน แล้วเราก็ต่างเดินกลับห้องพักของตัวเอง  คุณเชื่อไหมว่าฉันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน  ฉันเปิดไฟหัวเตียงเอาไว้และนอนยิ้มให้เพดานห้องจนเช้า...บ้าไหมล่ะ?
ผมเคยลุกขึ้นมาเต้นรำกลางดึก  เพราะนอนไม่หลับด้วยเหตุผลคล้ายๆ กับคุณ
นี่แหละ  แล้ว  คุณกับเขาได้เจอกันอีกไหม?  ผมอยากรู้เรื่องของเธอต่อ
เจอสิ  เราเจอกันอีกในเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ  ฉันตั้งใจออกมาเดินเลาะริมหาดและก็มานั่งรอเขาอยู่ตรงนี้  แล้วเขาก็มาจริงๆ  เดาว่าเขาเองก็คงนอนไม่หลับ
ทั้งคืนเหมือนกัน  เรานั่งยิ้มให้ทะเลโดยไม่รู้จะคุยอะไรกัน  ที่จริงฉันอายนิดๆ ด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองให้เขารู้จนหมด  ทั้งๆ เพิ่งเจอกันแค่ครั้งแรก  แต่เช้านั้นก็เป็นเช้าที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิต  ฉันอยากล้มตัว
ลงนอนหนุนตักเขา  อยากให้เขาลูบผมฉันและจูบลงบนหน้าผากของฉัน
ผมแอบเห็นหน้าเธอแดงเรื่อ ด้วยความเขินอาย ไม่ก็เพราะเบียร์ที่ดื่มเข้าไป
อย่าเพิ่งเข้าใจว่าฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายเลยนะ  เพราะฉันต้องการแค่นั้นจริงๆ แค่สัมผัสอันอ่อนโยนที่จะโอบกอดหัวใจฉันให้รู้สึกอบอุ่น ฉันไม่ได้คิดเกินเลยไปถึงเรื่องการมีเซ็กส์กับเขา  มันอาจจะเกิดขึ้นแต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต 
เมื่อเราทั้งคู่พร้อมกับมันจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้
คุณสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยหรือ?
อือ...ก็คุยอยู่บ้างแหละ  แต่รู้สึกมันกระท่อนกระแท่นจนฉันแทบจำไม่ได้  อ้อ!  เราเพิ่งจะถามชื่อกันด้วยแหละ  คิดดูสิ คุยกันทั้งคืนโดยไม่มีใครคิดจะถามชื่อ
กันเลย  มาถามเอาตอนเช้า  ฉันขำตัวเองจนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่  เขาเอง
ก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน  ฉันมีความสุขมาก รู้สึกผ่อนคลายและลืมเรื่อง
เลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรต่อไปอีก  ...แต่เวลาก็ไม่เคยปราณีกับความสุข  ที่สุดเราก็ต้องเอ่ยคำร่ำลาและหันหลังกลับไปยังชีวิตของตัวเอง
แล้วคุณได้เจอกันอีกไหม?  ผมหันไปมองเธอ  พร้อมๆ กับยกเบียร์ขึ้นดื่ม
เจอสิ  เราเจอกันอีกหลายครั้งหลังจากนั้น  รวมทั้งที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่ทะเล  ทุกครั้งเรามักจะหามุมสงบนั่งดื่มด่ำความสุขด้วยกันคล้ายต้องการหลบเร้นจากโลก
แห่งความจริงอันแสนวุ่นวาย  และทุกครั้งเขาก็เป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่แตะต้องหรือล่วงเกินฉันในแง่ที่เกิดจากแรงปรารถนาด้านเซ็กส์  เรียกว่า
อดกลั้นก็น่าจะได้ เพราะบางครั้งบรรยากาศมันก็พาเราเตลิดไปไกลจนเกือบก้าวข้ามพรมแดนที่ไม่อาจจะย้อนกลับมายืนอยู่ยังจุดเดิมที่เคยเป็นได้  แต่เชื่อเถอะว่าเราต่างก็ช่วยกันประคับประคองมันเอาไว้ และก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง
ผมไม่เห็นว่าการมีเซ็กส์กับคนที่เราพร้อมจะมี มันจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย  ผมเคยนอนกับผู้หญิงโดยปราศจากความรัก  เพียงแต่เราทั้งคู่ต่างมีความปรารถนาต่อกัน  และเปิดใจยอมรับมัน...ก็เท่านั้นเอง  บางทีความรักกับเซ็กส์มันก็
แยกขาดจากกันได้ - ไม่ใช่เหรอ?  ผมบอกถึงบรรทัดฐานความคิดของตัวเอง
นั่นก็ใช่  ฉันเองก็เคยผ่านเซ็กส์ทำนองนั้นมาแล้ว  แต่กับผู้ชายคนนี้ฉันไม่ต้องการให้อะไรๆ มันเกิดขึ้นบนความฉายฉวย  ฉันไม่อยากให้เรื่องเซ็กส์มาปะปนกับความรู้สึกอันบริสุทธิ์ที่เราต่างคนต่างมีให้กัน  ฉันบอกแล้วว่าเราจะมี
ต่อเมื่อมันถึงเวลาที่เราพร้อมแล้วจริงๆ
หมายถึงการแต่งงานเหรอ?
เปล่า...ฉันไม่เคยคิดว่าการแต่งงานคือประตูเปิดสู่การมีเซ็กส์อย่างถูกต้อง
ตามทำนองครองธรรมหรอก  ฉันเป็นผู้หญิงสมัยใหม่กว่านั้น  แต่ก็ไม่ได้
หมายความว่าฉันพร้อมจะมีเซ็กส์กับใคร  ที่ไหนก็ได้  เพียงแค่เกิดความ
ต้องการขึ้นมา   ฉันยังคงเป็นผู้หญิง มีผิวเปลือกอันเปราะบาง  มีความละอาย
ต่อการกระทำอันละเมิดต่อกรอบที่คนอื่นตีเอาไว้ให้  ฉันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ  เราเป็นเพศที่ไม่ได้รับการปล่อยให้มีอิสระนักหรอก  
ในขณะที่เพศชายได้รับอภิสิทธิ์หลายๆ อย่าง  ฉันกลับต้องขังตัวเองอยู่
บนริมฝีปากของคนอื่น  น้ำเสียงเธอฟังเหมือนกำลังตัดพ้อ
ความจริงเราไม่มีความจำเป็นต้องแคร์คำพูดคนอื่นมากมายขนาดนั้น  ผมพูดในสิ่งที่คิดค้านกับคนอื่นมาโดยตลอด  ชีวิตเรา-เราควรจะเป็นคนที่มีสิทธิ์กำกับมันมากที่สุด ว่าจะทำอะไรหรือจะไม่ทำอะไร  คนอื่นก็เป็นเพียงแค่คนนอก
ที่ไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตพิเศษส่วนตัวของเราได้  เพราะฉะนั้นเสียงสาปแช่งต่างๆ ก็เป็นแค่ลมปากเหม็นเน่าที่ไม่สามารถระคายความเป็น
ส่วนตัวอันหนาแน่นของเราได้
ฉันก็อยากคิดอย่างนั้น  แต่ในชีวิตจริงๆ เราต้องมีลมหายใจอยู่ท่ามกลางผู้คน ท่ามกลางลมปากอันเน่าเหม็นเหล่านั้น  ถึงเราจะไม่แคร์มัน แต่บางทีก็จำเป็นต้องเงี่ยหูฟังบ้าง  ...ฉันว่าเราชักจะออกนอกเรื่องกันมาไกลแล้ว  คุณยังอยาก
ฟังเรื่องของฉันอยู่รึเปล่า?  เธอหันมาถาม
อยากสิ  ถ้าคุณยังอยากเล่าต่อ...  ผมพยักหน้า
ฉันกับเขา  เราต่างเปิดใจเข้าหากัน  เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน
ภายในเวลาอันรวดเร็ว  และไม่นานนักฉันก็ได้รับรู้ความจริงอันแสนเจ็บปวดจากปากของเขา  เธอสูดหายใจลึกยาวและเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะ
เล่าต่อ  เขาสารภาพกับฉันว่า เขามีครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว  ก่อนที่จะมารู้จัก
กับฉัน  เขามีภรรยาที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีลูกสาววัยสามขวบที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดู  เขารักคนทั้งคู่  และที่ยากยิ่งกว่านั้น - เขารักฉัน
ผมได้แต่นิ่งเงียบปราศจากความคิดเห็นต่อความจริงที่เธอเล่า  นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม  ก่อนจะมาถึงวันนี้ครั้งหนึ่งผมเคยหลงรักผู้หญิงที่มีคนรักอยู่ก่อนแล้ว  ด้วยความปรารถนาที่รุนแรงเกินกว่าจะปิดกั้นเอาไว้ได้ทำให้ผมกับเธอลักลอบมีเซ็กส์กันเป็นเวลาเกือบปี  กระทั่งความจริงอันชั่วร้ายของเราหลุดรอด
ลงจากเตียงไปติดอยู่บนริมฝีปากของคนอื่น  นั่นจึงเป็นเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราร่วมกันก่อขึ้นเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด  เราแยกจากกันโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
คุณเลิกคบกับเขาไหม?  ผมถามเธอ
เปล่า  เรายังคงเจอกันอยู่  ฉันเจ็บปวดกับความจริงที่ได้รับแต่ฉันก็ไม่อาจจะอยู่โดยไม่มีเขาได้ในเวลานั้น  ฉันรักเขา  รักแม้จะต้องทนอยู่ใต้ภูเขาเลากา
ของความจริงอันแสนเจ็บปวดก็ตาม  เรามีขอบเขตอันแน่นหนาในการที่จะรักษาสถานภาพระหว่างเราเอาไว้  ฉันไม่เคยโมโหใส่ในวันที่เขาบอกว่าต้องอยู่กับ
ที่บ้าน  แม้ว่าจะต้องการเขามากแค่ไหนฉันก็ยินดีที่จะอดทนรออย่างเงียบเชียบจนกว่าเขาจะว่างมาเจอฉันโดยไม่ต้องเบียดเบียนเวลาที่ต้องให้กับครอบครัว  เขาเคยบอกฉันว่ายินดีที่จะละทิ้งครอบครัวเพื่อมาอยู่กับฉันถ้าหากนั่นเป็น
ความต้องการจริงๆ ของฉัน  เพราะสำหรับเขาในเวลานั้น  ครอบครัวได้
กลายเป็นเสมือนสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ  แต่ฉันคือคนที่เขารัก  เขาอยากตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นใบหน้าฉันอยู่ข้างๆ   บนเตียงนอนทุกๆ เช้า  ...แต่ฉัน ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ฉันไม่อยากเห็นเขาละทิ้งครอบครัวเพื่อผู้หญิงเห็นแก่ตัวอย่างฉัน 
น้ำเสียงเธอสลดและเบาลงจนผมเกือบไม่ได้ยิน
เท่าที่เล่ามา ผมก็ไม่เห็นว่าคุณจะเห็นแก่ตัวตรงไหนเลยนี่  ผมแย้งเธอ
ไม่จริงหรอก ถ้าไม่เห็นแก่ตัวฉันต้องเลิกคบกับเขาทันทีที่ได้รู้ความจริงจากปากเขา ไม่ใช่ลักลอบคบกับเขาอย่างที่ยังทำอยู่ในตอนนั้น  แม้จะไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่าการพบและพูดคุยกันก็ตามทีเถอะ  มันจะแตกต่างจากการสมสู่กัน
ตรงไหนในเมื่อทุกครั้งที่พบกันนั้น เราต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกถึงไฟปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายในตัวของอีกฝ่าย  เราห้ามการกระทำได้แต่เราไม่สามารถสะกดกั้นความคิดที่เลยเถิดได้หรอก  และในที่สุดความเห็นแก่ตัวของฉันก็บังคับให้ฉันเอ่ยปากชวนเขา  ให้เดินทางมาเที่ยวด้วยกันที่นี่  เขาโกหกภรรยาว่าต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนฉันใช้สิทธิลาพักร้อน ที่สุดเราทั้งคู่ก็ได้โบยบินสู่อิสรภาพ
ที่ต่างก็โหยหามาเป็นเวลานาน  และในคืนนั้นเองฉันก็ได้อยู่ในอ้อมกอด
อันอบอุ่นของเขาบนชายหาดแห่งนี้ บนความต้องการอันสุกงอมของเรา
เธอเป่าปาก เหมือนต้องการระบายความอึดอัดจากภายใน
เราไม่อาจปฏิเสธต่อความต้องการที่เรียกร้องกึกก้องอยู่ภายในได้ เขาเริ่มบดจูบริมฝีปากฉัน  มันเป็นรสชาติอันซาบซึ้งที่ฉันปรารถนาจะได้รับมานาน  ฉันจึง
โต้ตอบเขาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน  แต่ในท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งความปรารถนาอันร้อนแรงที่กำลังจะหลอมละลายตัวฉันให้แหลกเหลวนั้น  กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่เร้นตัวอยู่อย่างลี้ลับยังก้นบึ้งแห่งจิตสำนึก  ฉันเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งยืนจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ยืนจ้องมองฉันอยู่ท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนแรง  ภาพนั้นทำให้ร่างฉันกระตุกอย่างแรง  ฉันถอนริมฝีปากออกมาจากริมฝีปาก
ของเขา  และผลักเขาออกไปสุดแรง
เล่าถึงตรงนี้เธอก็นิ่งเงียบไปเฉยๆ จนผมรู้สึกอึดอัด
ความมืดเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเรา  แสงไฟสีต่างๆ ถูกเปิดขึ้นเพื่อแต่งแต้มสีสันให้กับร้านอาหาร ผับ - บาร์ต่างๆ ที่เรียงรายอยู่
หน้าชายหาด  เสียงดนตรีเร้กเก้เบาๆ ดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ถ้าจำไม่ผิดมันเป็นบทเพลงสำเนียงโหยหวนของเจ้าพ่อเร้กเก้  BOB MARLEY
ฉันทำไม่ได้! เธอเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง  ฉันไม่อาจจะฉุดเขาให้ลงมายังจุดต่ำ
ที่สุดร่วมกับฉันได้ ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น คือฉันรักเขา  สิ่งที่ควรจะทำคือฉันต้องส่งเขากลับคืนให้ครอบครัวเขา  ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด  แม่ลูก
คู่นั้นก็ต้องการตัวเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉัน  ฉันร้องไห้ออกมาเป็นการร้องไห้
ที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตของฉัน  พร้อมกันนั้นฉันก็เอ่ยปากขับไล่เขาให้ออกไปให้พ้นจากชีวิตของฉัน  แต่ผลเป็นยังไงคุณรู้รึเปล่า?
ผมส่ายหน้า
เขาไม่ยอมไป  นอกจากไม่ยอมไปแล้วเขายังโผเข้ามากอดฉัน  แล้วจากนั้นทุกอย่างก็อยู่เหนือการควบคุม  เพลงกามกำหนัดที่เรากระทำร่วมกันอย่าง
หนักหน่วงทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่นอีกทีในตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น  เขายังคง
นอนหลับสนิทเหมือนเด็กซนที่เหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งเล่นทั้งวัน  ส่วนฉันตื่น
ขึ้นมาเพื่อรับความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้าใส่จนไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้  ฉัน
ตัดสินใจทิ้งเขาไว้บนเตียงที่เราร่วมหลับนอนด้วยกัน  มันจะเป็นครั้งสุดท้าย
ที่เราเข้าใกล้กันมากขนาดนี้  และนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปฉันกับเขาจะ
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรา  นั่นคือ การเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน  
ตอนแรกฉันตั้งใจจะเขียนจดหมายบอกลาเขา  แต่ฉันคิดว่าการที่เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดนปราศจากฉัน  - เขาก็คงจะเข้าใจความต้องการของฉันได้ไม่ยาก  
แต่มันก็ไม่ง่ายเลยกับการที่จะตัดใครสักคนออกไปจากชีวิต  โดยเฉพาะ
เมื่อเราได้เจอกับคนที่เชื่อว่าใช่  เขาไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นที่ฉันเคยคบ
มาก่อนหน้านี้  คนอื่นๆ เป็นเสมือนส่วนตอบสนองความต้องการพื้นฐานทาง
ร่างกาย  หรืออย่างมากก็แค่เติมเต็มในความเป็นมนุษย์เพศหญิงของฉัน
เท่านั้น  แต่กับเขา  เขาเป็นมากกว่านั้น เขาเป็นส่วนเติมเต็มจิตวิญญาณ
ของฉัน  เป็นส่วนที่ฉัดขาดและเฝ้าโหยหามันมาตลอดชีวิต  คุณเข้าใจความคิดเพ้อเจ้อของฉันหรือเปล่า?
คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม  ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดทุกอย่าง  ผมเองเคยมีความคิดแบบนี้  ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว  ผมได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เราแลกเปลี่ยนกันในสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับจากการคบกับผู้หญิงคนอื่น  สิ่งที่เรากระทำและรู้สึก
ร่วมกันมันเป็นเสมือนการเติมเต็มให้กับจิตใจที่เคยแบกรับแต่ความรู้สึกขาด  ผมคิดเอาเองว่าผมได้ค้นพบสิ่งที่ต้องการแล้ว  นั่นคือเธอ  และเธอเองก็คงคิดอย่างเดียวกัน นับจากนี้เราคงจะใช้ชีวิตร่วมกันแบ่งปันสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างขาด
ให้แก่กันมันจะเป็นชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด  แต่ผมคิดผิดถนัด  แค่ปีเดียว
เท่านั้นเธอก็หันหลังให้ผม  ผมคงไม่ต้องอธิบายให้คุณฟังว่ามันเจ็บปวด
แค่ไหน  ผมเหม่อมองออกไปยังผืนน้ำที่ถูกปกคลุมด้วยม่านมืดผืนใหญ่
ทำไมชีวิตคนเราต้องเลือกด้วยนะ  ทำไมเราไม่สามารถอยู่กับสิ่งที่เรารักพร้อมๆ กันได้  การเลือกคือการเผชิญหน้ากับความจริงที่แสนเจ็บปวด 
เหมือนฉันในวันนั้นที่เลือกจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเพียงลำพัง  อย่าเพิ่งคิดว่าฉันเป็นคนมีมโนธรรมอะไรนักหนาเลย ถ้าฉันมี  ฉันคงไม่ปล่อยให้เรื่องเลยเถิดมันเกิดขึ้นหรอก  แต่ฉันแค่ถามตัวเองว่าฉันจะทนได้หรือทุกครั้งที่
ร่วมหลับนอนกับเขาแล้วต้องเห็นภาพแม่ลูกคู่นั้นมายืนจ้องด้วยสายตาถามหาความเป็นธรรม  คำตอบก็คือ ฉันทนไม่ได้  ฉันยอมเจ็บปวดที่สุดแค่ครั้งเดียว
ดีกว่าที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิดที่จะเกาะกินฉันไปทั้งชีวิต
แล้ว...เขาไม่ตามหาคุณหรือ?
ตาม  แต่ฉันไม่ยอมให้เขาเจอฉัน  ฉันหนีเท่าที่จะสามารถทำได้  มีบ้าง
เหมือนกันที่เขาตามหาฉันจนเจอ แต่ความเฉยชาที่ฉันแสดงก็ผลักไสเขา
ให้กลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิดหวัง  คนที่เจ็บปวดไม่น้อยกว่าเขาก็คือตัว
ฉันเอง  แต่ฉันก็ใจแข็งพอที่จะทนอยู่กับมัน  เธอจุดบุหรี่สูบอีกมวน  ผมยกเบียร์ขึ้นดื่ม - แต่มันหมดขวดไปแล้ว
ฉันกลับมาที่นี่ทุกปี ในช่วงเวลานี้  โดยไม่เคยบอกให้เขารู้  ฉันต้องการแค่
มานั่งดูทะเล ดูดวงอาทิตย์ตก  และรำลึกถึงความทรงจำดีๆ บางตอนที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต  สำหรับเขาถึงตอนนี้ ฉันคงเป็นแค่ปรากฏการณ์พิเศษที่ฝังลึกอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องแห่งความทรงจำอันลึกลับ  เขาอาจจะจำรายละเอียดทุกอย่าง
เกี่ยวกับฉันได้อย่างแจ่มชัดหรืออาจจะจำมันไม่ได้เลย  แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุด 
คือฉันไม่เคยลืมเขาได้เลย  แม้เรื่องราวของเราจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
ไม่แปลกหรอกที่คุณไม่เคยลืมเขา  ผมว่าเขาเองก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ 
เพียงแต่ความจริงที่เขาต้องยอมรับนั้น มันได้ขีดเส้นแบ่งอาณาเขตชัดเจน
และคอยตะโกนออกคำสั่งว่าเขาสามารถทำอะไร ได้แค่ไหน
อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าก็ได้  เธอหันมายิ้มให้ผม  มันยังคงเป็นรอยยิ้มลึกลับ 
ที่ทำให้ผมประหลาดใจทุกครั้งที่ได้เห็น
ผมว่าจะเดินไปซื้อเบียร์  คุณจะไปด้วยกันไหม?  ผมถามพร้อมยกขวดเบียร์เปล่าขึ้นมาตรงหน้า
ไม่ล่ะ ฉันนั่งรอตรงนี้ก็แล้วกัน  เธอค้อมตัวลงกอดเข่าอีกครั้ง
...คุณจะเอาอะไรไหม?
ไม่ล่ะ ขอบคุณ
งั้น...เดี๋ยวผมกลับมา  เราคงได้คุยกันต่อถ้าคุณไม่รีบไปไหน  คำถามนี้ของผมเหมือนเป็นคำเชื้อชวนอยู่ในที
รีบกลับมาละกัน
โอเค  ผมจะรีบกลับมา  ผมรับปากเธอก่อนจะรีบเดินไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งตรงหน้าหาด  ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีผมก็เดินกลับมาพร้อมกับเบียร์เย็นเจี๊ยบในมือสองขวด  แต่...
ที่นั่งที่เธอเคยนั่งอยู่ข้างๆ ผมนั้นเหลือแค่รอยบุ๋มของทราย  และความว่างเปล่า  ไม่มีแม้แต่เงาของหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งจะพูดคุยกันอย่างออกรสเมื่อครู่  
เธอหายตัวไปแล้ว  หายไปท่ามกลางความมืดและความงุนงงของผม   ผมพูดอะไรผิดจนทำให้เธอไม่พอใจหรือ  เธอถึงแอบหนีไปโดยไม่กล่าวลากันสักคำ
ใกล้กับรอยบุ๋มที่เธอนั่งผมเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งวางอยู่  ผมเดาเอาว่า
มันน่าจะเป็นผืนเดียวกับที่เธอได้รับมาจากชายคนนั้น ชายคนที่เธอหลงรัก
จนยากที่จะถอนความรู้สึกออกมาจากเขา - หรืออาจจะไม่ใช่เลยก็ได้
ผมก้มหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมากำไว้แน่นในอุ้งมือ  สายตามองออกไปยัง
ผืนน้ำอันมืดมิดและลึกลับเบื้องหน้าพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
- เธอจะไปที่ไหนนะ  หญิงสาวผู้ทนแบกรับความรู้สึกผิดและความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ในเวลาเดียวกัน  ผมจะได้พบเธออีกไหม จะได้เห็นรอยยิ้ม
อันลึกลับนั้นอีกหรือเปล่า?  คงไม่มีใครตอบได้  

เพราะเธอ...เป็นเพียงแค่หญิงสาวแปลกหน้า  ที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพีรเดช นวลสาย