29 กันยายน 2547 10:54 น.

มังกรร่ายไหว้พระจันทร์...พระจันทร์ยิ้ม...คุรุแห่งมณี

มณี ปัทมะ ตารา

เจ้ามังกรฉะอ้อนเลาะเหาะสอดแนม
แม้เดือนแรมแจ่มส่องจ้องคุมหนา
ใครให้เจ้าเฝ้าส่องจ้องจันทรา
รู้ไหมว่าข้านี้ก็มีอาย

หากมัวแอบหลับไหลไม่พินิจ
เจ้าจักพิศจักยลค้นข้าหรือ
เจ้ามังกรเหาะเลี้ยวเที่ยวฝึกปรือ
เพียรเฝ้าสื่อส่งสารสานแสงจันทร์

หนึ่งมังกรหนึ่งเสี้ยวจันทร์พลันกวัดแกว่ง
นำสู่แหล่งแอ่งน้ำอมฤตหนา
หยดรวมธารกระแสหลากจากธารา
เชื่อมศรัทธาคล้องคลึงถึงจิตใน

เจ้ามังกรไม่อ่อนล้านิทราหรือ
ข้าตาปรือหูอื้อมืออ่อนไหว
ข้ารับปากฝากส่งจันทร์ให้ผู้ใด
ข้าขอไปไหว้พระจันทร์ท่านเมตตา

คืนนี้คืนดีศรีพระจันทร์
ขอให้ท่านนอนฝันจรัลฉาย
ขอให้ท่านสุขขีดีใจกาย
ขอให้ท่านผ่อนคลายไร้โรคา

พระจันทร์ยิ้ม + มณี  ปัทมะ  ตารา
ขอธรรมะคุ้มครองคุรุผู้ประเสริฐ   คุรุผู้เมตตาธรรม...พระจันทร์ยิ้ม...คุรุแห่งมณี 				
25 กันยายน 2547 17:53 น.

รักษ์เซน

มณี ปัทมะ ตารา

 แสงจันทร์สาดส่องไร้จุดหมาย 
สายลมโชยแผ่วมาแล้วจากไป 
ต้นไผ่ยังโอนเอนพริ้วไหวไปมา 
เสียงขลุ่ยไผ่ยามนี้มีผู้ใดสดับฟัง 
ราตรีเงียบสงัดจิตใจกลับดังก้อง 
ยิ่งดังก้องยิ่งไร้ศรัทธาไร้เหตุผล 
หนทางช่างไกลแสนไกลเหลือเกิน 
ไม่ว่าภายนอกหรือภายใน...ฤา ไร้จุดจบ 

...คุรุรักษ์...

จันทร์งามยามสาดรัศมีส่อง 
พิศมองตรองไร้หมอกเมฆาหมาย 
สว่างทั่วท้องนภาราตรีกาย 
คืนนี้ไม่เต็มดวงห่วงชื่นชม 

ดุจดั่งแรงดูดดึงพึงชวนพิศ 
ซับดวงจิตติดตรึงอยู่มิรู้หาย 
มิแปรเปลี่ยนเวียนสลับไม่กลับกลาย 
จันทร์ส่งหมายให้รู้ตลอดกาล 

ลมโบกโบยโชยชื่นรื่นดวงจิต 
กระแสชิดติดแนวแถวสันหลัง 
รักษ์อวลเย็นเซนซาบอาบพลัง 
กระซิบดังดั่งแนบข้างมิห่างกาย 

พัดคราใดใยจับกระแสผ่าน 
นานเท่านานปราณคงดำรงหมาย 
กระแสคลื่นกลืนเกลียวเดียวมิคลาย 
แทรกในกายสลายรูปพลังครอง 

ไผ่โอนพริ้วลิ่วพรมลมแรงไหว 
ทั้งนอกในไวรับจับกระแส 
สัมผัสพื้นยืนรากไผ่ไม่ผันแปร 
ยินขลุ่ยแลกระแสใกล้ไกลแต่กาย 

...มณี   ปัทมะ  ตารา...

ขอธรรมะคุ้มครองคุรุผู้ประเสริฐ   คุรุผู้เมตตาธรรม...คุรุรักษ์เซน...				
25 กันยายน 2547 17:37 น.

แสงแห่งจันทร์...คุรุรักษ์เซน...

มณี ปัทมะ ตารา

สองตาสองจับจ้อง หมายแสง จันทรา 
หนึ่งจิตหนึ่งใจจัก นำพา ลอยล่อง 
ดาวน้อยดาวใหญ่ล้อม รวมแสง ส่องกาล 
ณ แห่งใดในจักรวาล ฤา ณ ใจเรา 

หากจุดหมายปลายทางคือความว่างเปล่า ดับสูญ 
ขอมีเพียงความรักความเมตตาตลอดการเดินทาง 
แสงแห่งจันทร์นี้ก็ยินดีจักสาดส่องทางให้เจ้าตลอดไป... 

...รักษ์...

 ดวงสุริยะยังคงดำรงแสง 
สาดแรงแปลงทุกข์สุขศรี 
จันทราพานวลอวลชีวี 
รัศมีพลีอาบซาบซึมกาย 

โยงใยใสจิตพิศเช้าค่ำ 
อวลพลังคงอยู่รู้หมาย 
ไร้ละทวิลักษณ์จักกลาย 
สู่สายปลายทาง.....สัจจธรรม 

...มณี   ปัทมะ  ตารา

 ระยิบระยับสลับพริ้วไหวให้จับจิต 
แสงจันทร์พิศสายธารประสานไข 
ราตรีกาลคร้านมืดมิดวิจิตรนัย 
ดั่งดวงฤทัยใฝ่อิสระธรรม

...รักษ์...

จากแอ่งแก่งลำน้ำเหนือ 
ไหลเอื้อเฟื้อแยกแตกสาย 
ยอดภูพรูหลั่งฝั่งปลาย 
มิสลายสายธารมหานที 

สัตผ่อออ...พอได้รู้ในทุกสิ่ง 
ด้วยเห็นจริงจากบริสุทธิ์พิสุทธิ์หนา 
ทอเตาซีพง...ไร้ขอบเขตแห่งธรรมนา 
หลั่งเมตตา กรุณา อมฤตใน 

...มณี  ปัทมะ  ตารา

ขอธรรมะคุ้มครองคุรุผู้ประเสริฐ   คุรุผู้เมตตาธรรม...คุรุรักษ์เซน...				
30 สิงหาคม 2547 19:24 น.

ไภรวภาวะ

มณี ปัทมะ ตารา

ดุจห้วงห่วงหาอาวรณ์
หุบเหวเปลวร้อนจรถึง
ไร้ซึ่งตรึงตราพาคนึง
ลึกซึ้งพึงอันตรธานปลาย

ห้วงเหวเปลวซึ้งถึงรัก
จงตระหนักรักแท้แปรสลาย
ไภรวภาวะจะกลาย
ดำรงหมายปลายจุดสุดทาง

ยามใดใจจมตรมรัก
อุบัติหนักหักห้ามตามห่าง
ตื่นตระหนกอกขมซมนาง
ไร้ร้างต่างดำรงปลงรูปกาย

แม้ร่างจางคลายมลายสูญ
กอบกูลพูนผลยลหมาย
รักแรกแทรกซึมซับพราย
สูญสลายหมายปลาย...สัจจธรรม

กายเธอนั้นมีเพียงฉันดำรงอยู่
เฉกเช่นรู้กายเธออยู่สถิตย์ล้ำ
อมตะรักนิรันดร์หนาค่าครวญคำ
ดำรงย้ำพร่ำรักแท้แน่นักเอย

...ไภรวสภาวะ  คือ  ภาวะแห่งความรักอันบริสุทธิ์    ที่ไม่มีการหวนกลับอีกต่อไป   แต่จะดำรงอยู่ ณ จุดสุดยอดนั้นตลอดไป...

ขอธรรมะคุ้มครองคุรุผู้ประเสริฐ  คุรุผู้เมตตาธรรมทุกท่าน
ขอธรรมะคุ้มครองสรรพสัตว์ทุกชีวิตในโลกมายามนุษย์นี้ด้วยเถิดหนา   สวัสดี

มหะศักติ   กาลิ 

..........

บทกลอนไภรวภาวะบทนี้กล่าวถึง   การปฏิบัติตันตระที่ลิขิตไว้ด้วยภาษารัก

เพราะความรักเป็นอุบายขั้นแรกสุดสำหรับถ่ายทอดพุทธิปัญญาของตันตระ   

ไภรว   คือศัพท์เฉพาะในทางตันตระสำหรับเรียกขานบุคคลที่สามารถก้าวล่วงแล้วจากทวิภาวะทั้งปวง

ซึ่งเป็นการยากดังที่ท่านผู้เฒ่ากล่าว   ด้วยเหตุเพราะว่า   ต้องลงมือฝึกปฏิบัติและต้องละทิ้งกายเนื้อโดยสิ้นเชิงในขณะที่มีชีวิตอยู่    

ซึ่งเป็นการปฏิบัติในขั้นอุกฤษ   เหลือเพียงพลังทางจิตวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนๆ    จึงจะเข้าใจในอุบายคำสอนที่ลึกซึ้งดังกล่าว

ตันตระ  ในศัพท์สันสกฤต  หมายถึง  หัวข้อ   คำสอน  หรือสิ่งสำคัญ   ซึ่งเป็นเพียงอุบายวิธี (อุปายะ)  หรือเทคนิคเท่านั้น

ในทางมหายานหรือวัชรยานนั้น   อุปายะ คือ  หลักการที่ทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวด    กล่าวคืออาศัยอุบายวิธีเป็นพลังหนุนนำไปสู่มรรคผลที่พึงประสงค์   ซึ่งอุบายวิธีบางอย่างอาจดูแปลกประหลาดสำหรับชาวพุทธเถรวาทอย่างเรา

บทกลอนข้างต้น  กล่าวถึงสภาวะธรรมของบุคคลสองคน   ที่ใช้ความรักเป็นอุบายในการก้าวล่วงจากทวิภาวะ   ซึ่งบางท่านอาจไม่เคยพบหน้ากันเลย

ร่างกายยังคงเป็นสอง   หากแต่พลังทางจิตวิญญาณที่พ้นจากร่างกาย    ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว  ซึ่งไม่ใช่เรื่องของกามารมณ์แต่อย่างใด

แต่ทว่า   อันตรายอย่างยิ่งถ้ามัวไปติดตรึงอยู่กับมัน    ต้องก้าวล่วงให้พ้น   และแปรเป็นความรัก   ความอบอุ่น   ความเมตตา  ให้ได้ในที่สุด

ไร้ซึ่งสัมผัสทางกาย
ไร้ซึ่งรูปหมายให้รู้
ไร้ซึ่งคำพรรณนาพรั่งพรู
ไร้ซึ่งตัวตนกู ของกู เช่นกัน

มณี   ปัทมะ  ตารา				
20 สิงหาคม 2547 16:50 น.

คือดรรชนีแห่งชีวิต

มณี ปัทมะ ตารา

มวลหมอกลอยลอกซอกเขา
เคลื่อนเนาว์เขาสนปนหิน
อวลตลบซบพฤกษ์ผลึกจินต์
จรุงดินกลิ่นอายสายใย

ยินลมผสมแตะแซะซอก
คละหมอกออกเสียงเพียงไหว
ดุจพิณยินยามทรามวัย
พริ้วไหลในดรรชนีนาง

ดีดขยับสลับสายปลายเสียง
ไล่เรียงเพียงเส้นสายใส
ส่งสะเทือนเรือนกายภายใน
สลายใยเอ็นเส้นเช่นกายา

พรมนิ้วพริ้วล้ำน้ำไหล
สว่างในไหวเกลียวเดียวหมุน
จากเกศาพาโล้โลมาดุล
นขาจุลพรุนทันตาตโจ

ธรรมะสวัสดีทุกท่านค่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมณี ปัทมะ ตารา
Lovings  มณี ปัทมะ ตารา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมณี ปัทมะ ตารา
Lovings  มณี ปัทมะ ตารา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมณี ปัทมะ ตารา
Lovings  มณี ปัทมะ ตารา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงมณี ปัทมะ ตารา