20 มิถุนายน 2547 10:00 น.

เกินจะทนไหว

ยโส

เมื่อครั้งที่ผมสอบผ่านเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ สมกับความฝันที่ผมได้ตั้งใจไว้ สิ่งที่ผมคิดไม่ตก แก้ปัญหาไม่ได้ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาเรียน บ้านผมถึงจะไม่มีเงินมากมาย แต่ก็ไม่ได้อดตาย อย่างน้อยก็ยังมีนาให้คราดดำ ไถ หรือหว่าน เลี้ยงชีพมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายในระดับมหาวิทยาลัยที่ผมกำลังเรียนอยู่ในขณะนี้ ช่างแพงมาก เกินกว่าที่ลูกชาวนา และคนที่ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของผมจะสามารถส่งเงินจำนวนนั้นมาให้ผมจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน และค่าจิปาถะอื่น ๆ ได้

    	ผมสอบผ่านในวิชาที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ว่า ถ้าสอบผ่าน ก็ไม่ต้องลงทะเบียนเรียนในรายวิชานี้ได้ ... ใช่ ผมสอบผ่านทั้งหมด ผิดกับเพื่อน ๆ ที่พ่อแม่ของพวกเขามีเงินเหลือเฟือ พอที่จะส่งเสียลูก ๆ ของพวกเขาให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ อย่าว่าแต่ปริญญาตรีกิ๊กก๊อกเลย ปริญญาเอก หรือที่สูงกว่านั้นก็สามารถส่งให้ลูก ๆ ของพวกเขา ซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนของผมได้ ... พวกเพื่อน ๆ สอบไม่ผ่าน มีเพียงผมคนเดียวที่สอบผ่าน ... น่าหัวเราะเยาะกับวาสนาของตัวเองเสียเหลือเกิน มีปัญญาสอบผ่านได้ แต่ไม่มีปัญญาที่จะหาเงินเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองสอบได้ โลกช่างยุติธรรมสิ้นดี ... คิดไปอยากหัวเราะดัง ๆ ในวาสนาตัวเองหลาย ๆ ครั้ง จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคน ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นความหวังของครอบครัว สู้ทนฝ่าฟันอุปสรรค หวังว่าสักวันจะมีงานมีการที่มั่นคง มีเงินเดือน ส่งให้พ่อแม่และครอบครัวที่เคยเลี้ยงดู และเคยส่งเสียให้ได้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย ... น่าสงสารจริง ๆ ชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง ไม่ร่ำรวย ... เคยคุยกับแม่ทางโทรศัพท์ว่า แม่ครับ แม่จะเอาเงินที่ไหนส่งให้ผมเป็นค่าเทอม และค่าใช้จ่ายประจำวัน ... ค่ารถ ค่าอาหาร และ...? แม่จะไปหายืมจากญาติ ๆ และพี่น้อง แม่ตอบผม ผมรู้ว่าแม่ไม่มีเงินมากพอ แม้แต่ค่าเทอมสัก 4,500-9,500 บาทในช่วงเวลา 4 เดือน แม่ไม่ต้องขายควายเพื่อส่งเงินให้ผมหรอกนะครับ ผมอายเพื่อน ๆ และสงสารควายที่ไม่รู้ประสีประสา ชีวิตผมไม่มีค่าแค่ควายหนึ่งตัว .... ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ควายสักกี่ตัว ผมจึงจะสามารถเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้ ... ผมตอบแม่ไปด้วยอารมณ์ขันแกมประชดประชันในโชคชะตาและวาสนาของผมเอง ... แม่เงียบไปสักครู่ ซึ่งผมก็ทราบด้วยสัญชาตญาณว่า แม่กำลังคิดอะไรอยู่ ... สักครู่เดียว ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งผมก็รู้อีกอีกนั่นแหละว่า แม่หัวเราะออกมาอย่างกล้ำกลืน... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าบ้านผมมีโทรศัพท์ หรือว่าแม่ผมมีโทรศัพท์มือถือหรอกนะ เพราะที่บ้านมีโทรศัพท์สาธารณะอยู่หน้าบ้าน ผมใช้เบอร์นี้แหละติดต่อกับแม่ของผมเป็นประจำ ซึ่งนั่นก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมหายคิดถึงแม่ของผม และน้อง ๆ อีกสองคนที่อยู่ที่บ้านเกิดในเวลานี้

   	เกินจะทนไหวจริง ๆ เมื่อผมทราบว่า ค่าใช้จ่ายในขณะเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ต้องใช้เงินถึง 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาท) เงินเล็กน้อยในสายตาเพื่อนร่วมห้อง แต่มากมายสำหรับคนบ้านนอกอย่างตาสียายสาแถวบ้านจะหามาจ่ายให้ได้ ... จะเอาที่ไปจำนองเพื่อเอาเงินให้ลูกไปจ่ายค่าเทอมรึ? จะขายควายที่มีอยู่เพียง 2 ตัวรึ? หรือว่าจะต้องให้แม่ทำงานดายหญ้าในสวน? หรือว่าจะต้องถอนต้นวัชพืชในสวนผักเพื่อแลกค่าจ้างเพียงวันละ 50 บาทรึ? ... น่าหัวเราะในโชคและวาสนาของตัวเองยิ่งนัก ... ทำไมโลกช่างสร้างสิ่งอยุติธรรม! และความอัปยศ! ให้กับครอบครัวของผมนะ? ... 

   	ในตอนนี้ผมจ่ายค่าเทอมไปแล้ว 4,500 บาท ส่วนค่าอาหารและค่ารถโดยสารต้องให้เพื่อน (ที่ฐานะร่ำรวยออกให้) ... ในชีวิต หากไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ต้องอาศัยคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังมีอาการครบ 32 ประการ มันช่างน่าละอายสิ้นดี เรียนก็หนัก ... อ่านหนังสือมากกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกิ๊กก๊อกหลายเท่า ... เพื่อน ๆ อาศัยผมในเวลาที่เรียนได้ ผมเป็นที่ปรึกษาของเพื่อน เป็นคนติวข้อสอบให้เพื่อน ๆ ไม่อยากชมว่าตัวเองเรียนเก่ง แต่ความจริงก็คงยังเป็นความจริงไปไม่พ้น ... ก็ผมเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพื่อนบางคนที่สงสารก็ออกค่าโดยสารเมื่อไปมหาวิทยาลัยให้ผม เพื่อนบางคนเลี้ยงข้าวมื้อกลางวัน ... ดีที่ผมยังมีเพื่อนที่ดี และจริงใจอยู่บ้าง ถึงผมจะจน แต่ผมก็ยังมีศักดิ์ศรีไม่ยอมรับสิ่งที่เพื่อนช่วยเหลือ โดยที่ไม่ตอบแทนเพื่อน ๆ เหล่านั้น ... ไม่ต้องสงสัยว่าผมตอบแทนอะไรเพื่อน ๆ ก็เพื่อนเหล่านั้นรวย มีฐานะทางการเงินดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาด้อยกว่าผมก็คือ ความทรงจำในการเรียน ... ผมไม่ได้เอาเพื่อนมาขายหรอกนะครับ แต่เพราะผมเห็นว่าช่างไม่ยุติธรรมต่อผม และเพื่อน ๆ ของผมเลย ไม่มีความพอดีในสังคมมนุษย์ คนเรียนโง่แต่ร่ำรวย จะเรียนอะไรก็ได้ เพราะพ่อแม่มีเงินส่งเสีย แต่ผมสิ! น่าหัวเราะเยาะตัวเองนัก น่าสงสาร! แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องความสงสารจากใคร ๆ คนจนอย่างผมก็มีศักดิ์และศรีพอ ไม่ยอมลดตัวและศักดิ์ศรีลูกตาสียายสาบ้านนอกกันดารและชนบทเช่นนั้นได้ ยอมไม่ได้จริง ๆ

    	ชีวิตผมยังคงต้องดำเนินต่อไป พร้อม ๆ กับชีวิตของตาสียายสา ที่รอคอยความสำเร็จจากลูก ที่เป็นเพียงความหวังเดียวของครอบครัว ... มันเป็นชีวิตจริงที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นมานาน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ชีวิตของคน ๆ หนึ่ง จะไปคล้ายกับชีวิตของคนอีกหลาย ๆ คนในสังคมไทย ... ไม่อยากคิดเลยจริง ๆ

   	เพียงแต่อยากบอกให้สังคมได้รับรู้ว่า ยังมีคนอีกหลาย ๆ ชีวิต รวมทั้งตัวผมเองด้วย ในโลกเบี้ยวดวงนี้ ที่ยังต้องดำเนิน และสู้กับชะตาชีวิตที่อยุติธรรม! อีกต่อไป จนกว่าวันที่หวังไว้ และวันแห่งชัยชนะจะมาถึง

   	เท่านี้ก็เกินจะรับไหวแล้วครับ


ยโส-โย อริน อริยไตรกุล				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยโส
Lovings  ยโส เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยโส
Lovings  ยโส เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยโส
Lovings  ยโส เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงยโส