24 สิงหาคม 2552 21:06 น.

21 วิธี ''''' ประหารชีวิต . . . . ในสมัย กรุงศรีอยุธยา

ลุงเอง

21 วิธี ''''' ประหารชีวิต . . . . ในสมัย กรุงศรีอยุธยา

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย
คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไ*่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแห*ผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลง มาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม
แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย				
20 สิงหาคม 2552 23:12 น.

วันนี้ของวันนั้นความเป็นมา….

ลุงเอง

วันนี้ของวันนั้นความเป็นมา…. 

ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อใช้กรรม เป็นวิบากที่เราไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เป็นลิขิตที่เรากำหนดเอง

    ชายคนหนึ่งซึ่งโชกโชนมากับชีวิต บนถนนเส้นทางในดงนักเลงพอตัว  แต่เมื่อชีวิตคู่มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ชายคนนั้นเลิกเดินบนเส้นทางถนนนักเลง เปลี่ยนมาเป็นถนนแห่งการสร้างครอบครัว มีจุดประกายแห่งการสร้างฝันให้เป็นจริง
แต่อาจเป็นกรรมเก่าที่ชายคนนั้นเคยก่อไว้  

    วันที่รอคอยคืนวันที่ภรรยาเขาให้กำเนิดบุตรที่น่ารัก ทุกคนในบ้านต่างยินดีกับสมาชิกใหม่ โดยเฉพาะย่า เพราะเป็นหลานย่าคนแรก แม้จะมีหลานยายมาหลายคน  ทุกคนหลงหลานย่า หลานป้า ครบกำหนดหนึ่งเดือนเตรียมจัดงานโกนผมไฟ ชายคนนั้นกำหนดวันนิมนต์พระ  และก่อนถึงวันโกนผมไฟลูกชายเพียงวันเดียว
แม่ถามว่าบอกป้าหรือยัง ซึ่งเป้นคนเดียวที่ยังไม่ได้บอกด้วยความเกรงใจแม่จึงจำเป็นต้องไปบอกแม้จะเหลือเวลาเพียงวันเดียว

   ชายคนนั้นอยู่ฝั่งธนบุรีเป็นบ้านสวนต้องนั่งเรื่อมาขึ้นที่ท่าช้างวังหลวง และในสมัยนั้นจุดศูนย์รวมขอรถประจำทางคือท้องสนามหลวง  ชายคนนนั้นก็มามาขึ้นรถที่สนามหลวงเพื่อไปบ้านป้าที่หลานหลวง  และวินาทีที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  เมื่อชายคนนั้นถูกกลุ่มวัยรุ่นเข้ามารุมทำร้าย ด้วยสัญชาตญาณชายคนนั้นสู้ด้วยใจแม้สามหนึ่งก็พร้อมรับมือ  

   เหตุการณ์ชุลมุนท่ามกลางผุ้คนมากมาย เสียงใครคนหนึ่งตระโกนบอกตำรวจมา สองในสามวิ่งหนีหายไปทิ้งไว้แต่เพื่อนที่นอนจมกองเลือด และตำรวจมาถึงจับชายคนนั้น  ไปโรงพักส่วนผู้บาดเจ็บถูกส่งโรงพยาบาล  ผลผู้บาดเจ็บคืออริที่เคยพันตูกันมาในอดีตได้รับบาดเจ็บสาหัส  ชายคนนั้นถูกตั้งข้อหาทำร้ายพยายามฆ่า และคงเป็นเวรซ้ำกรรมซัดเจ้าของคดีคืดสารวัตรโรงพักที่เคยติดตามทำคดีของชายคนนั้น  ชายคนนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อญาติทางบ้านเพราะอยู่ในช่วงกฎอัยการศึกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ วันที่ ๒๐ มกราคม คือวันที่เขาสิ้นอิสระภาพ

   ชายคนนั้นถูกส่งตัวเข้าเรือนจำกรุงเทพฯคลองเปรม (สวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าราชินีในปัจจุบัน)  ครบสองฝากถูกส่งตัวไปตัดสินที่ศาลาทหาร (ศาลอาญาปัจจุบัน)  วันนั้นชายคนนั้นดีใจมากเพราะภรรยาของเขาได้รับข่าวจากเพื่อนโดยเพื่อนเป็นชายคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของเรือนจำ เขาดีใจโดยไม่ได้สนใจคำถามของผุ้พิพากษา ชายคนนั้นตอบรับคำเดียวว่า "ครับ ...ๆๆๆๆ...." ผลคำตัดสินของศาล ผู้ต้องหารับสารถาพ ตัดสินความผิดมีโทาจำคุก
 ๑๖ ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ และไม่เคยทำความผิดได้รับโทษมาก่อนพิจารณาลดโทาให้กึ่งหนึ่งเหลือ ๘ ปี  

    หลังจากนั้นชีวิตของชายคนนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น สงสารแต่แม่ที่เจ็บปวดซ้ำใจ แต่แม่มีเพียงอุเบกขา ที่ทำใจกับชะตากรรมของลูกชาย  ต่อมาไม่นานภรรยาของเขาก็นำลูกชายหนีไป หัวใจย่าแทบสลาย

    สี่ปีหนึ่งเดือนยี่สองวัน  ที่ชายคนนั้นต้องตกอยู่ภายใต้นรกแห่งความเจ็บปวด  ตลอดเวลาที่ชายคนนั้นอยุ่ในเรือนจำ แม่เขียนจดหมายถึงลูกชายนับร้อยฉบับฝากของกินที่ลูกชายชอบมาเยี่ยม ทุกฉบับแม่จะลงท้ายว่าอดทนนะลูก แม่ใจไม่แข็งพอที่จะมาเยี่ยม อย่าโกรธแม่นะ  และจดหมายทุกฉบบับจะมีหยดของคราบน้ำตาจากแม่

   วันที่ชายคนนั้นได้รับอิสระภาพแม่เตรียมอาหารเสื้อผ้าชุดใหม่ ได้รอรับลูกชาย อ้อมกอดแรกแห่งอิสระภาพคืออ้อมกอดที่อบอุ่นและจริงใจจากอ้อมกอดแม่
"หมดเคราะห์หมดโศกแล้วลูก และอีกท่านที่มารับขวัลูกชายคือหลวงพ่อ (พ่อผู้ให้กำเนิด ท่านไปบวชเมื่อปี ๒๕๑๖) มาพร้อมความรักความเมตตาเมตตา และหวงหาอาทร

    หลังจากนั้นชายคนนั้นจากไม่เคยดื่มเหล้า หันกลับมาดื่ม ครั้งแรกเป้นเพราะอยากดื่มให้เมาแล้วหลับ ในที่สุดเขากลายเป็นขี้เมาที่ขึ้นชื่อ  เคยรับปากว่าจะบวชหลังรับอิสระภาพแต่ก็ยังไม่ได้บวชทดแทนคุณผุ้ให้กำเนิดทั้งสอง
เขาได้ตามหาลูกชายของเขาที่เห็นหน้าครั้งสุดท้ายเพียงแค่อายุยี่สิบเก้าวัน

    เขาได้พบลูกชายอีกครั้งเมื่อลูกชายอายุ ๕ ขวบ และไม่เคยได้พบอีกเลย
จวบจนเมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ เขาจึงได้ข่าวลูกชาย และได้พบกันเมื่อ๒๒ ธันวาคม ปีเดียวกัน

    หลวงพ่ออาพาธรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ (ท่านเป้นเจ้าอาวาสอยู่วัดหนองไม้ซุง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) วันที่ ๒๐ มันาคม ๒๕๒๐ ชายคนนั้นได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อที่โรงพยาบาล  อาการท่านนั้นยังไม่ปรากฎว่าจะหนักหรือทรุดกว่าเดิม  ก่อนจะกลับหลวงพ่อถามเขาว่า "หากฉันตายแก่จะบวชให้ฉันได้ใหม ๗ วัน" เขาบอกว่าหลวงพ่อไม่ต้องพูดหรอกหลวงพ่อยังอยู่อีกนาน ยังไม่ถึงเวลา "

    เช้าวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลมาที่บ้านอาบอกว่าให้ไปรับศพหลวงพ่อ  ชายคนนั้นใจสั่นระริกรวบรวมสติสัมปัชชัญญะ  บอกแม่ว่าทำใจเย็นๆนะแม่ หลวงพ่อมรณะแล้วหนูจะไปรับศพหลวงพ่อ 

   เมื่อไปถึงโรงพยาบาลได้พบกับอาน้องชายหลวงพ่อ บอกว่ามารับศพหลวงพี่ไปอยุธยา เป็นหลวงพ่อเอ็งก็จริง แต่ท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัด ดังนั้นต้องเอาศพหลวงพ่อไปจัดงานที่วัดหนองไม้ซุง อยุธยา  คำหนึ่งที่อาถามชายคนนั้น "เอ็งจะบวชให้หลวงพ่อเอ็งใหม ??? ส่วนข้ารับปากท่านแล้วจะบวชให้ท่าน ๗ วัน" เขามองหน้าอา แล้วเอ่ยว่า " อายังบวชแล้วฉันจะไม่บวชได้หรือ " 

   เช้าวันที่ ๒๒ มีนาคม ๓๐ แม่และพี่น้องทุกคนพร้อมญาติทางแม่เดินทางจากกรุงเทพฯมาถึงแต่เช้า  ปรึกษากรรมการวัดและญาตทางหลวงพ่อตกลงว่าวันที่ ๒๖ มีนาคม ๓๐ เป็นวันประชุมเพลิง เช้าวันที่ ๒๖ มีนาคม ๓๐ ชายคนนั้น
โกนผมตั้งแต่เย็นวันที่ ๒๕ มีนาคม เช้าวันที่ ๒๖ มีนา หลังทานข้าวต้มเพียงแค่สองช้อน ก็จัดขบวนนำนาคเข้าโบสถ์ เป็นงานบวชที่อมตะ เพราะผู้ร่วมงานแต่งกายด้วยชุดสีดำ และสีขาว ปราศจากโห่ร้องมีแต่ความสงบที่เงียบสงัด

   เช้าวันรุ่งขึ้น ๒๗ มีนา ชายคนนั้นบัดนี้คือพระผู้บวชใหม่  หลังทำบุญช่วงเช้าเสร็จเรีบยร้อย โยมแม่และญาติๆ ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ บวชใหม่บอกโยมแม่ว่า "อาตมาไม่กลับด้วยนะ เพราะวันที่ ๒ เมษายน ๓๐ ก็สึกแล้วขออยู่ที่นี่แหละ" โยมแม่มองหน้าพระใหม่ยิ้มเศร้าๆ พร้อมกับกล่าวว่า "ไม่เป็นไร แต่เสียดายที่บวชทั้งที โยมแม่ไม่ได้ใส่บาตรพระเลย"

   เหมือนน้ำกรดรดใจ ดุจมีใครเอามีดมากรีกแทงใจพระใหม่ " โยมแม่กลับไปถึงบ้านแล้ว ไปบอกอาจารย์ชาญ (อาจารย์ของพระใหม่ที่เคยอยู่กับท่านเมื่อครั้งมาเป็นเด็กวัด ตั้งแต่เรียน ม.ต้นถึง ม.ปลาย) บอกท่านว่าหากุฎีให้ห้องหนึ่งอีกสามวันจะไปอยู่ด้วย ให้โยมแม่ได้ใส่บาตร หนึ่งเดือน "  แม่พระใหม่ไม่ได้ร้องไห้แต่น้ำตาแห่งความดีใจบอกในแว่วตา "

   อดีตสีกาคนใหม่ที่ก่อนนั้นเคยสัญญาว่าจะแต่งงานในเดือนหกมาหาเมื่อพระใหม่มาอยู่ที่วัดพิกุล ใกล้บ้านโยมแม่ พระใหม่บอกกับสีกาว่า "หลวงพี่ขอเวลาหนึ่งเดือนนะ เธอไม่ได้ว่าอะไร แต่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเมื่ออาจารย์ของพระใหม่มามรณะด้วยโรคหัวใจล้มเหลวอย่างกระทันหัน แม้เป็นพระใหม่แต่ความเป็นศิษย์วัดมาก่อน และกรรมการวัดไวยาวัจกรวัดให้ความไว้วางใจพร้อมพระในวัดทุกรูปรู้จักพระใหม่เป็นอย่างดี จึงให้เป็นแม่งานในการจัดงานศพ

   วันเวลาแห่งการสึกของพระใหม่ดูเหมือนต้องเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด  จากเดือนเป็นสองเดือน บวกกับคำสบประมาทของญาติโยมที่รู้จักพระใหม่ ต่างดูแคลนว่าจะบวชได้ไม่นานเห็นเมียดีกว่า อยู่ไม่ได้พรรษาแน่ เป็นการปรามาสอย่างเจ็บปวด สีกาก็แกล้งควงชายมามาให้เห็น ในที่สุดตัดสินใจบวชให้หลวงพ่อหนึ่งพรรษา ให้โยมแม่หนึ่งพรรษา และให้ตัวเอง หนึ่งพรรษา และระเบิดเวลาก็มาลงที่กุฎีพระใหม่ สีกาโกรธพระใหม่มาก วันนั้นเป็นวันพระ สีกาขึ้นมาที่กุฎีพร้อมกับร้องไห้เสียงดังมาก พร้อมกับชี้หน้าพระใหม่ว่า "บวชไปเลยไม่ต้องสึกมาหรอก บวชให่เป็นเจ้าอาวาสไปเลย ส่วนตัวฉันขอสัญญาว่าไม่มีผัวก็อยู่ จำไว้ฉันจะไม่มีใครเด็ดขาด " เธอร้องไห้แล้วก้วิ่งลงกูฎีไป เป็นเหตุการณ์ที่นึกไม่ถึงญาติโยมบนศาลามาดุเหตุการณ์แบบชนิดที่เรียกว่าลิเกอาย  และหลังจากนั้นทุกคนก็คอยดูว่าพระใหม่จะสึกหรือไม่  ส่วนโยมว่าพระใหม่ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่บอกว่าเป็นเรื่องที่ท่านต้องตัดสินใจเอง

   ในที่สุดพระใหม่ไม่ได้สึกเพื่อให้ชาวบ้านดูถูกนินทา และไม่ให้โยมแม่ต้องเสียใจอีกครั้ง หลังจากพระใหม่บวชต่อไปได้สามพรรษาจึงตัดสินใจออกศึกษาหลักธรรมโดยการขอออกธุดงค์  พระใหม่ออกธุดงค์เพียงรูปเดียวในอรัญแห่งภาคอิสาน และภาคเหนือ ใช้ชีวิตด้วยการบิณฑบาตร ปฎิบัติตามหลักพระวินัย
เมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษา ก็ปาวารณาเขตในพนาเป็นเขตอาวาส สามปีที่พระใหม่ปฎิบัติ  หลังออกมาก็กลับวัด  มาเยี่ยมโยมแม่ซึ่งขณะนั้นโยมแม่โยมแม่ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ไม่เคยปริปากเพราะกลัวว่าพระจะสึกมาดูแล และสัจธรรมก็รักษาสัจธรรมไว้ไม่แปรเปลี่ยน ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ท่านก็มาจากไป พระใหม่ซึ่งตอนนี้เจ็ดพรรษาแล้ว มาดูแลโยมแม่ตลอด ๔๕ วันโดยไม่ยอมไปใหนจนถึงวันที่โยมแม่จากไป แต่ก่อนท่านจะหลับไปแล้วไม่ตื่นมาอีกครั้ง  พระท่านได้เช็ดตัวท่าน โยมแม่ดึงจีวรท่านมากอดแล้วบอกว่า " โยมแม่รักผ้าเหลือง " พร้อมหยาดน้ำตาใหลซับจีวร เป้นภาพที่พระรูปนั้นให้สัญญาว่าจะไม่สึกเพื่อโยมแม่ แม้ท่านจะจากไปแล้วก้ตาม

  บัดนี้พระรูปนั้นบวชมาได้ ๒๓ พรรษาในปีนี้ ทำกุศลด้วยการบรรยายธรรม อบรมเยาวชน โดยไม่ยึดติดในอามิส จนถึงวันนี้ และพระรูปนั้น ก็คือ " (หลวง) ลุงแทน " ในวันนี้

   .......ลุงแทน......



  

.				
13 สิงหาคม 2552 21:33 น.

3 สายพันธุ์ใหม่ “แม่จำเป็น-แม่ไฮเปอร์-แม่เชย”

ลุงเอง

3 สายพันธุ์ใหม่ “แม่จำเป็น-แม่ไฮเปอร์-แม่เชย”......

วานนี้ (11 ส.ค.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายครอบครัวจัดเสวนา เรื่อง “แม่ไทยจะเป็นแบบไหน ในอีก 10 ปี ข้างหน้า” โดย ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพผู้ อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวว่า ในอีก 10 ปี ข้างหน้าจะมีคุณแม่สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 แบบ คือ 1.คุณแม่จำเป็นมีลูกเพราะไม่ตั้งใจ จากการศึกษาข้อมูลพบว่า แต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 19มาทำคลอดปีละ 6-7 หมื่นคน โดยในปี 2550 มีมากถึง 68,385 คน เฉลี่ยวันละ187 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอีก 10 ข้างหน้าจะมีแม่กลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่า 7 แสนคนที่ส่วนใหญ่เป็นแม่วัยรุ่นไม่พร้อมจะเลี้ยงลูก ทั้งด้านจิตใจหรือเลี้ยงไม่เป็นเนื่องจากไม่มีความรู้ บางส่วนยังต้องเรียนหนังสือรวมถึงคุณแม่ที่ยากจน ขาดความสามารถที่จะเลี้ยงดูบุตร ซึ่งจะเป็น 10%ของคุณแม่ทั้งหมดทำให้แม่กลุ่มนี้เสี่ยงที่จะติดสุราและบุหรี่และเป็นยุว อาชญากรมากกว่าแม่กลุ่มอื่นๆ ถึงเท่าตัว
      
mom898t778.jpg (116.87 KB)
12-8-2008 11:04

       ดร.อมรวิชช์ กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ คุณแม่ไฮเปอร์จอมเวอร์ เจ้าไฮเทค เป็นกลุ่มหญิงชนชั้นกลางอยู่เมืองใหญ่ๆ มีการศึกษาสูงซึ่งปัจจุบันมีคนที่เรียนต่อปริญญาโท-เอก ประมาณ 2-3 แสนคนและส่วนใหญ่คุณแม่กลุ่มนี้มีรายได้สูง มีกำลังซื้อมากดังนั้นจึงพยายามเป็นผู้อำนวยการสร้างออกแบบชีวิตของลูกสรรหา สิ่งที่คิดว่าที่สุดให้กับลูก จนเกินพอดี เช่นมีสถาบันพัฒนาสมองชั้นเลิศต้องพาไปเรียน ใส่โปรแกรมเรียนพิเศษจนแน่นแย่งกันพาเด็กไปเข้าคอร์สอัจฉริยะทุกด้าน ต้องเก่งดนตรีเหมือนบีโทเฟ่นวาดรูปตามรอยแวนโก๊ะ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องหามาประเคนให้ลูกเพราะมีความคิดว่าลูกต้องไม่ด้อยกว่าเด็กคนอื่น
      
       “คุณ แม่กลุ่มนี้จะมีราว 10-15% ซึ่งตัวแม่นั้นไม่น่าห่วง ที่น่าห่วงคือเด็กเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางการถูกยัดเยียดสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้เด็กรับไม่ไหวจากการถูกเร่งมากเมื่อเด็ก พอโตถึงช่วงวัยรุ่นตอนต้นเด็กเครื่องจะดับบางคนกลายเป็นเด็กมีพฤติกรรมเกเร กลายเป็นแม่ฆ่าลูกด้วยรัก อีกทั้งยังทำให้เกิดช่องว่างในสังคมมากขึ้นทุกทีเพราะเด็กที่เกิดจากคุณแม่ กลุ่มที่ 1 และ 2 จะมีความแตกต่างกันมากกลุ่มแรกด้อยโอกาสอย่างมหาศาล กลุ่มที่ 2 ก็เปี่ยมโอกาสจนล้นผมอยากให้ลองนึกดูว่า สังคมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คนที่มีความต่างกันมากๆจะยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่อง” ดร.อมรวิชช์ กล่าว
      
       ดร.อมรวิชช์ กล่าวต่อว่า กลุ่มที่ 3 คุณแม่ที่ก้าวไม่ทันโลกรู้ไม่ทันลูก ที่เป็นแม่กลุ่มใหญ่ที่สุดราว 75-80%กลุ่มนี้ที่ส่วนหนึ่งอาจเป็นแม่บ้าน แม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ทางไกลที่เป็นหญิงทำงานในเมืองตามตึกสูง ต้องเลี้ยงลูกทางโทรศัพท์ แต่ทันลูกไม่ค่อยรู้เรื่องเทคโนโลยี ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่มีเวลาให้ลูกจนแทบไม่รู้ว่า ลูกของตนทำอะไรอยู่ ขณะที่อีก 10 ข้างหน้าจะอยู่ในยุคของทุนนิยมสุดขั้ว เต็มไปด้วยความเจริญทางวัตถุ อบายมุขสิ่งยั่วยุ มีสิ่งล่อตา ล่อใจ ให้เด็กต้องการ และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาถ้าแม่รู้ไม่เท่าทัน ปัญหาสังคมจะรุนแรงกว่ากรณีเล่นเกมจีทีเอแล้วไปฆ่าคนเสียอีก
      
       “แม่ ที่ดีต้องเป็นแม่แบบไทยผสมกับความทันโลก แม่ต้องเข้าใจโลกของลูกซึ่งต้องอาศัยความเป็นเพื่อนสูง จึงจะซี้กับลูกมากพอที่เขาจะไว้ใจพอที่จะพูดคุยปรึกษากับเราได้ทุกเรื่อง แต่ในความเป็นจริงมีงานวิจัยพบว่ามีแม่เพียง 20% ใช้ประโยคทางบวก พูดชื่นชม ยินดีกับลูก ขณะที่ถึง 80 %พูดคุยกับลูกด้วยประโยคทางลบ เช่น คาดคั้น กล่าวโทษ ว่าร้ายทำให้เด็กหัวใจรวน ซึ่งเด็กปัจจุบันน่าสงสารมาก ถูกยั่วยุ รุมเร้ามากเขาจึงต้องการแม่ที่จะพุดคุยด้วยเพื่อเช็คความคิดและการตัดสินใจ ของเขาว่าถูกหรือไม่”ดร.อมรวิชช์ กล่าว
      
       ดร.อมรวิชช์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม คุณแม่ทั้ง 3 กลุ่มต้องการความช่วยเหลือที่ต่างกัน และสามารถที่จะแก้ไขได้ในกลุ่มกลุ่มซึ่งแม่กลุ่มที่ 1 น่าห่วงที่สุดภาครัฐต้องมีนโยบายชัดเจนที่จะลดจำนวนแม่อายุต่ำกว่า 19 ลงให้ได้พร้อมทั้งช่วยเหลือเด็กที่กลายเป็นแม่ ให้กลับไปเรียนหนังสือส่วนแม่ไฮเปอร์ มีความรู้มากอยู่แล้ว แต่ต้องมีความเข้าใจด้วย ไม่กดดันลูกและรัฐต้องกระจายการศึกษา การพัฒนาต่างๆ ต้องให้เท่าเทียมทั่วถึงลดช่องว่างทางสังคม
      
       ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันรัฐต้องให้ความสำคัญกับนโยบายการพัฒนาสังคมโดยรวมและให้ความ สำคัญกับครอบครัว แก้ปัญหาสังคม ปราบสื่อลามกเพิ่มพื้นที่ดีให้เด็ก เพื่อให้เป็นเบ้าหลอมที่ดีแก่เด็กส่วนใหญ่ในสังคมโดยเสนอให้ใช้ทฤษฎีคนตัว เล็ก เพราะความซับซ้อนทางการเมืองอาจทำให้คนเก่งไม่สามารถทำงานได้มาก และไม่ควรตั้งความหวังกับคนตัวโตแต่ใจใหญ่หันมาสนับสนุน ใส่น้ำ เติมปุ่ยให้กับคนตัวเล็ก อย่างอบต.อบจ.เครือข่ายครอบครัว ให้คนตัวเล็กในพื้นที่เล็กๆ ก็สามารถทำงานใหญ่ๆ ได้
      
       รศ.ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทรผู้ อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวว่าจากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง พบว่า วัยรุ่นไทยอยากเป็นแม่เพียง 20%เนื่องจากเห็นว่าความเป็นแม่ เป็นความทุกข์ยาก ลำบาก เหนื่อยแต่กลับไม่มีอะไรมาตอบแทนโดยเด็กที่มีลักษณะเสี่ยงที่จะเป็นแม่ที่ ไม่มีคุณภาพ คือเด็กที่ไม่มีความสนใจในตัวเอง ไม่คิดอะไรมาก ชอบเที่ยวชอบแต่งตัวมีแต่เพื่อนเที่ยว ซึ่งการเตรียมความพร้อมสู่สังคมยุคต่อไปเยาวชนต้องมีความเก่งเพิ่มขึ้นหลาย เท่าตัว โดยเฉพาะการปรับตัวให้เหมาะกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป การมีทัศนคติที่ดีในการชีวิตขณะที่รัฐบาลต้องมีนโยบายในการแก้ปัญหาครอบครัว อย่างจริงจังโดยจะต้องให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ทำแบบทดสอบว่านโยบายของกระทรวงนั้นๆเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงสู่เรื่องครอบ ครัวและเด็กอย่างไร
      
       ด้านนางทิชา ณ นครผู้ อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่าการเลี้ยงลูกพ่อแม่ต้องเชื่อว่าลูกไม่ใช่สมบัติไม่เช่นนั้นจะทำให้ เกิดการเลี้ยงลูกแบบครอบงำ คาดหวังกับลูกมากเลี้ยงลูกเหมือนตุ๊กตา จับแต่งสิ่งต่างๆโดยตอบสนองความใฝ่ฝันของตนเองที่ขาดหายไปจึงสร้างแรงกดดัน และปัญหาให้กับเด็กมากเมื่อเกิดปัญหาเด็กจะไม่กล่าบอกเล่าหากผิดจากความคาด หวังของพ่อแม่แต่หากเลี้ยงลูกให้เข้ามีชีวิตและพื้นที่ของเขาเองจะทำให้การ เลี้ยงลูกในครอบครัวเป็นแบบสบายๆ
      
       นางทิชา กล่าวต่อว่าครอบครัวไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากครอบครัวขยายมา เป็นครอบครัวเดี่ยว เด็กมีความว้าเหว่า และเหงา ปัจจุบันใครเลี้ยงลูกรอดถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวเนื่องจากกลไกภาครัฐยัง ไม่มีการออกแบบให้มีการรองรับหรือตอบสนองในการแก้ปัญหาครอบครัวตนจึงอยากให้ พรรคการเมืองลุกขึ้นมาประกาศนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับครอบครัวไม่ใช่มีแต่ นโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมหากทำได้จะช่วยให้พื้นที่ความสำคัญของการแก้ปัญหาครอบ ครัวกลับมาได้ส่วนหนึ่ง
      
       นางกนิษฐา ปวีณะโยธินตัว แทนเครือข่ายพ่อแม่ กล่าวว่า หากสังคมต้องการแม่ที่มีคุณภาพต้องปรับทัศนคติให้เท่าเทียมกันทั้งชาย หญิง การจะมีแม่ที่ดีได้ต้องเริ่มสร้าง “พ่อที่ดี” ไปพร้อมๆ กันเพราะการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของเด็ก นอกจากความอยากลองแล้วส่วนใหญ่เกิดจากการใช้กำลัง ข่มขืน อีกทั้งต้องไม่คาดหวังกับเด็กสูงเกินไปจะทำให้พวกเขาต้องเอาตัวรอด ชิงดีชิงเด่น และหากอยากให้เด็กกตัญญูคนในครอบครัวต้องเป็นตัวอย่าง มีความกตัญญูต่อ ปู่ ย่า ตา ยายให้เด็กเห็นเสียก่อน				
13 สิงหาคม 2552 20:24 น.

เมื่อแม่ชีกลายเป็น...สุนัข

ลุงเอง

เมื่อแม่ชีกลายเป็น...สุนัข...???

 จากคอลัมน์ "มองชีวิต" นิตยสารดิฉัน
ผู้เขียน - ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ


เมื่อแม่ชีกลายเป็น...สุนัข เรื่องจริงที่ชวนหดหู่และน่าเห็นใจ

เป็นเรื่องของแม่และลูกสาวคู่หนึ่ง แม่เคยเป็นคนสวย ทำงานเก่ง แต่งงานกับสามีที่รูปหล่อ แต่ขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบ และเจ้าชู้

...แม่มีลูกกับสามีคนนี้คนหนึ่ง เป็นผู้หญิง...

แม่มีชีวิตที่ชอกช้ำซ้ำๆซากๆ จากการที่สามีไม่มีคุณภาพคนนี้ตลอดมา ต้องช้ำใจจากความเจ้าชู้มีเมียหลายคนของเขา เธอเคยตามหึงหวงอาละวาด ก็ไม่ทำให้สามีดีขึ้น

นอกจากนั้นสามียังทำให้ครอบครัวทุกข์ยากจากการใช้เงินโดยไม่ประมาณตน ฟุ่มเฟือยไปกับการเที่ยวเตร่และบำเรอผู้หญิงอื่น สามีไม่ช่วยหาเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่ทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญตลอดมา

...เธอสาปส่งชีวิตรันทดด้วยการขอหย่ากับสามี แยกเอาลูกออกมาเลี้ยงดูตามลำพัง...

เธอเริ่มต้นทำงานสร้างตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของลูกสาว เธอรักลูกมาก ให้การศึกษาอย่างดีในโรงเรียนที่ดีๆตลอดมา ลูกก็เป็นเด็กดี เรียนดี แถมเป็นคนสวยชนิดเตะตาหนุ่มๆ มีคนหมายปองมาจีบอยู่เสมอๆตั้งแต่เริ่มผลิเนื้อสาว

แม่มักจะห้ามลูก ไม่อยากให้ลูกมีแฟน โดยอ้างว่าแม่รักลูก แม่ทำให้ลูกได้หมดทุกอย่างทั้งการเงินและอนาคต แต่ไม่อยากให้ลูกแต่งงานหรือรักผู้ชาย เพราะจะต้องช้ำใจอย่างแม่ เธอพูดถึงความเลวร้ายของผู้ชายในรูปแบบต่างๆให้ลูกฟังอยู่เสมอ

"ทั้งขี้เกียจ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ มักมากในทางกาม เจ้าชู้ ไม่รับผิดชอบ เอาเปรียบผู้หญิง แล้วลูกจะไปรักเขาทำไม ไม่มีใครจริงใจหรอก เชื่อแม่เถอะ รักนวลสงวนตัวเอาไว้ เรียนหนังสือให้ดีๆ ขยันทำมาหากินช่วยตัวเองให้ได้ก็ดีแล้ว ลูกเอ๋ย อย่ามีเลยทั้งสามีหรือครอบครัว ไม่ดีทั้งนั้น" เธอพร่ำบอกลูกอย่างนี้ตลอดมา

ลูกสาวก็เชื่อแม่ อยู่ในโอวาทตลอดมาเช่นกัน แต่ก็ไม่วายมีหนุ่มๆมาเกาะแกะ นั่งคุย นั่งจีบ ซึ่งก็ถูกแม่ขัดขวางจนต้องร้างราไปทุกราย ลูกสาวเคยบอกแม่ว่า " ลูกจะเชื่อแม่ จะเป็นคนดีและจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง ทุกวันนี้รู้ว่าแม่เจ็บปวดกับชีวิตในอดีตและทำงานหนักเพื่อลก เพราะรักลูก ลูกก็จะรักแม่ตลอดไป"

เมื่อลูกสาวเรียนจบมหาวิทยาลัย มีงานทำ เหตุการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกด้าน คือมีคนมาจีบลกสาวมากขึ้น ลูกสาวก็พยายามหลีกหนี หรือปฏิเสธ แต่แม่ก็มักระแวงและคิดว่าลูกจะใจอ่อนรับรักชายหนุ่มคนใดคนหนึ่งแน่ๆในอนาคต แม่จึงหาทางป้องกันโดยปกป้องมากขึ้น พูดจากระแนะกระแหนให้ลูกเจ็บใจ และหว่านล้อมไม่ให้เปลี่ยนใจมากขึ้น รวมทั้งก้าวร้าวกับผู้ชายทุกคนที่มาตีสนิทกับลูก

ลูกสาวอดทนจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจบอกแม่ว่า "ลูก ขอไปบวชเป็นชีดีกว่า เพื่อแม่จะได้สบายใจว่าลูกจะไม่มีแฟน และผู้ชายจะได้ไม่ตามไปจีบ ถ้าบวชแล้วสบายใจดี ลูกจะขอบวชชีไปเรื่อยๆนะแม่"

แม่ก็ยินยอมและยินดี เพราะคิดว่าปลอดภัยดี ลูกสาวลาออกจากงานและไปบวชเป็นชีอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง เธอปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีลธรรมและข้อห้ามต่างๆได้ดี วางตัวได้เหมาะสม กิตติศัพท์ความงามของแม่ชีสาวคนนี้ก็ยังเลื่องลือออกไปไกล

หนุ่มๆที่เคยจีบหลายคนพยายามทำความสนิทสนมหาทางมาหา มาคุย นำของมาถวาย แล้วแต่จะพลิกแพลงหาโอกาสต่างๆเพื่อให้ได้ใกล้ชิด โดยหวังว่าวันหนึ่งเมื่อแม่ชีสึกออกไป เขาจะได้พิชิตใจสาวน้อยคนนี้ แม่ชีก็ปฏิบัติตนเหมาะสม ไม่วอกแวก อยู่ในศีลในธรรม เวลารับแขกก็สำรวมกิริยามารยาท และอยู่ในที่เหมาะสมตลอดมา

แม่รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วยความโกรธ ไม่พอใจเรื่องที่มีคนตามมาจีบแม่ชี และไม่พอใจที่แม่ชียังพูดคุยกับชายหนุ่มเหล่านั้น เธออยากให้แม่ชีไล่ผู้ชายทุกคนออกไปจากวัด แต่แม่ชีก็ทำไม่ได้เพราะไม่สุภาพ เธอบอกแม่ว่าในใจไม่ได้คิดอะไรเชิงพิศวาสกับผู้ชายเหล่านั้นเลย แต่แม่ไม่เชื่อ

วันหนึ่งแม่มาเยี่ยมแม่ชีลูกสาวพร้อมของเยี่ยม พบชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุยอยู่กับแม่ชีที่ระเบียงกุฏิ เธอโกรธมาก กล่าวด่าทอชายหนุ่มคนนั้นและไล่เขาออกไป หาว่าเขาเป็นตัวมาร เลวทรามต่ำช้ามาก เท่านั้นยังไม่พอ แม่ยังหันมาด่าแม่ชีอีกว่า "เธอเองก็เลวมากเช่นกัน ทำตัวเหมือนหมาเดือนสิบสอง อยากมีคู่หรือไงถึงได้ร่านนัก"

ขาดคำที่แม่ด่า แม่ชีสะอึกสะอื้น ร้องไห้โฮใหญ่ ตัวสั่นเทิ้ม เธอส่งเสียงวี้ดดังลั่น ล้มตัวลงนอนราบ แล้วลุกขึ้นมาคลานสี่เท้าเหมือนสุนัข คลานเข้าหาแม่ พร้อมทั้งกัดแม่ตามแขนขา สลับด้วยเสียงเห่าเสียงหอนเหมือนหมาจริงๆ

ตอนแรกแม่นึกว่าลูกแกล้งทำ จึงเอ็ดว่ายิ่งขึ้น แต่ลูกสาวก็ไม่หยุด ยิ่งแสดงพฤติกรรมเป็นหมามากขึ้น สุดท้ายแม่รู้ว่าแม่ชีกลายเป็นหมาไปแล้ว เธอเสียใจมาก ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นที่น่าเวทนา ทั้งสภาพของแม่และลูก

ผม(คุณหมอวิทยา) ได้เห็นสภาพจริงๆที่แม่ชีกลายเป็นหมา คลานสี่เท้า เห่าหอนแบบหมา เพราะแม่ได้ขอร้องคนในวัดช่วยกันจับส่งโรงพยาบาลจิตเวช เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยิ่งสมเพชและอนาถใจยิ่งขึ้น

คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้บ้างครับ ใครควรจะเป็นคนถูกเห็นใจ หรือถูกประณาม?



วิเคราะตามหลักจิตเวช
๑. แม่มีบาดแผลทางใจที่ได้จากสามีไม่ดีและนึกถึงบ่อยๆไม่เคยลืม จึงเกิดความแค้นใจและระแวงผู้ชาย เจ็บใจตลอดมา เกิดเป็นความก้าวร้าวและอคติกับผู้ชายทุกคน

๒. แม่ใช้บทบาทแสดงความรักที่แฝงด้วยความก้าวร้าว (PassiveAggressive) กับลูก ตอนแรกๆเพื่อให้ลูกเชื่อฟัง ไม่คบผู้ชาย โดยแสดงความรักลูก ห่วงลูกมากๆเพื่อคลุมความก้าวร้าวของตนเองเอาไว้

๓. ลูกกลายเป็นคนมีลักษณะสมยอม (Passive Dependent) เธอตามใจแม่ทุกอย่าง แม้แต่การตัดสินใจไปบวชชีเพื่อให้แม่สบายใจ

๔. เป็นเพราะแม่มีความคาดหวังในตัวลกสาวสูงมากว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายยาม บวชชี เมื่อเห็นลูกคุยกับผู้ชายจึงผิดหวังรุนแรง กลายเป็นความโกรธและความก้าวร้าวแบบระงับใจไม่ได้ (Explosive) จึงระเบิดคำด่าว่าที่เกินความเป็นจริง เพื่อยัดเยียดความผิดและต่ำต้อยให้ลูก เพื่อให้ตัวแม่รู้สึกมีค่ามากขึ้นที่ได้ยัดเยียดความผิดให้คนอื่นได้

๕. ลูกสาวแม้จะยอมตามแม่ทุกอย่าง แต่ก็มีความเครียดอยู่ในใจ และต้องการความรักความสนใจจากแม่มากเช่นเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรง เกิดความขัดแย้งในใจชนิดแก้ไขปัญหาไม่ได้ เธอจึงใช้กลไกปรับตัวชนิด Conversion คือเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นคนธรรมดา หรือเป็นแม่ชีกลายเป็นหมาตามคำด่าว่าของแม่ เพื่อให้แม่สมใจ การกระทำเช่นนี้เป็นการถอยหลัง (Regression) ลงไปสู่โลกของความเป็นเด็ก และเป็นอยู่นาน

อาการของแม่ชีที่กลายสภาพเป็นหมา จึงเป็นลักษณะของคนเป็นโรคจิตชนิด Hysterical Psychosis ได้

๖. การรักษามีทั้งการใช้ยา ทำช็อตด้วยไฟฟ้า และทำจิตบำบัดเมื่อมีอาการดีขึ้น

๗. เรื่องนี้คนที่หัวใจสลาย ควรจะเป็นลูก หรือเป็นแม่

และใครควรจะเป็นคนถูกตำหนิ?

ที่มา http://deltadrive.exteen.com/20070117/entry
__________________
ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง (1โครินธ์13:4-7)

เมื่อมีคนยากจน ตายเพราะความหิวโหย มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพระเจ้าไม่ได้ดูแลพวกเขา
มันเกิดขึ้นเพราะทั้งคุณและฉัน ยังไม่แบ่งปันในสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นขาดแคลน				
13 สิงหาคม 2552 18:25 น.

เก้าคำกำกวมของผู้หญิง‏

ลุงเอง

เก้าคำกำกวมของผู้หญิง‏.......!!!!?

NINE WORDS WOMEN USE -เก้าคำกำกวมของผู้หญิง

(1) ดี,โอเค: คำนี้ผู้หญิงใช้ปิดการโต้เถียงตอนที่เธอมั่นใจว่าเป็นฝ่ายถูก และคุณต้องหุบปากซะ
(2) ห้านาทีนะ: ถ้าหล่อนกำลังแต่งตัว นี่จะหมายถึงชั่วโมงครึ่ง แต่ห้านาทีก็คือห้านาทีถ้าเธอเพิ่งยอมให้คุณดูบอลต่ออีกห้านาทีแล้วค่อยไปช่วยเธอทำงานบ้าน
(3) ไม่มีไร: นี่คือความสงบก่อนพายุจะเข้า มันแปลว่า"มีอะไร"แน่ ๆ ขอให้เตรียมตัวได้เลย การโต้เถียงที่เริ่มด้วย "ไม่มีไร" มักจะไปจบลงที่ "ดี,โอเค"
(4) ก็เอาดิ,เอาเลย: นี่เป็นคำท้า ไม่ใช่คำอนุญาต อย่าทะลึ่งทำเป็นอันขาด!
(5) ทำเสียง ชิ,ฮึ,จึ๊ ฯลฯ ออกมาดัง ๆ: มันมีความหมายแน่นอน แต่อวจนภาษามักทำผู้ชายเข้าใจผิด เสียงพวกนี้หมายความว่าเธอกำลังคิดว่าคุณแม่งซื่อบื้อเหลือทน และไม่เข้าใจว่าจะมาเสียเวลายืนเถียงกับคุณเรื่อง"ไม่มีไร"แบบนี้ทำไม (กลับไปดู "ไม่มีไร" ที่ข้อ 3)
(6) ไม่เป็นไร: นี่คือสถานะอันตรายสุด ๆ ที่ผู้หญิงจะมีต่อผู้ชายแล้ว "ไม่เป็นไร"แปลว่าเธอต้องคิดดูก่อนอย่างนานและอย่างหนักว่าคุณต้องชดใช้อะไร อย่างไร และเมื่อไหร่ ในความผิดที่คุณก่อไว้
(7) ขอบคุณ: ถ้าผู้หญิงขอบคุณ อย่ามีคำถาม อย่ามัวทำเฉย ตอบรับคำเขาไปดี ๆ (แต่ขอเพิ่มหน่อยว่า ถ้าผู้หญิงพูดว่า "ขอบคุณมาก" อันนี้ประชดเต็มดอก เธอไม่ได้ขอบคุณอะไรเลย อย่าได้ทะลึ่งตอบรับ ไม่งั้นคุณจะเจอกับ "เออ เอาเหอะ")
(8) เออ เอาเหอะ: เป็นวิธีที่เจ้าหล่อนจะพูดกับคุณว่า ไอ้เหี้ย!
(9) อย่าห่วงเลย,อือ เข้าใจละ: อีกหนึ่งสถานะอันตราย หมายความว่านี่คือบางอย่างที่เธอบอกให้คุณทำมาหลายครั้งละ แต่คราวนี้เธอจะทำเอง ซึ่งเดี๋ยวคุณก็จะถามว่า "เป็นไรอะ" แล้วคุณก็จะเจอกับข้อ 3.
* ส่งให้ผู้ชายทุกคนที่คุณรู้จัก เขาจะได้เลี่ยงอันตรายจากการโต้เถียง ถ้าเขาจำความหมายเหล่านี้ได้.

......แบบว่าลุงแทนเองได้รับจากเพื่อนมา.......				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงเอง