12 กันยายน 2552 17:17 น.

หวัดใหญ่ 2009 ยังอยู่ภัยกลายพันธ์

ลุงเอง

http://news.impaqmsn.com/imagelib/092009/6b68fb17c37a656.jpg>


สถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเมืองไทย กระแสข่าวเริ่มจะเบาลงไป แต่ลึก ๆ แล้ว จริง ๆ แล้ว การป้องกัน-เฝ้าระวัง ทั้งโดยรัฐ และประชาชน ยังต้อง  เข้มข้นกันต่อไป   
    
ด้านหนึ่ง...ต้องระวังการระบาดใหญ่อีกระลอกหนึ่ง
    
อีกด้านหนึ่ง...ก็ต้องระวังการ กลายพันธุ์ ด้วย !!
    
ทั้งนี้ กับประเด็นการกลายพันธุ์ของ เชื้อหวัดใหญ่ นั้น ก็อย่างที่  สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์ เคยนำเสนอไปแล้ว กล่าวคือ... มีรายงานว่าในแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อหวัดใหญ่ทั่วโลกราว 10-15% ของประชากรโลก ขณะที่การระบาดเฉพาะในท้องถิ่นมักเกิดทุก 1-3 ปี และการระบาดใหญ่ทั่วโลกจะพบทุก 10-40 ปี จากการที่เชื้อมีวิวัฒนาการ มีการผสมกันของไวรัสในคนและในสัตว์หลายชนิด เช่น หมู สัตว์ปีก ม้า จน กลายพันธุ์  
    
มนุษย์ควรต้องกลัวการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสหวัดใหญ่ เพราะแม้แต่ไวรัสหวัดชนิดพื้น ๆ ธรรมดาที่มีอยู่แล้ว เมื่อมันคุกคามสู่ร่างกายมนุษย์จนป่วย มนุษย์ก็ยังทำอะไรมันไม่ได้มาก ต้องรักษาผู้ป่วยแบบแก้ตามอาการ ดังนั้น กับเชื้อไวรัสหวัดใหญ่ และโดยเฉพาะหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มนุษย์จึงประมาทมันไม่ได้เด็ดขาด
    
ที่สำคัญ...เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวที่ประเทศแคนาดา  อาร์เจนตินา และออสเตรเลีย พบสุกรหรือ หมู ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แบบที่ระบาดอยู่ในคน และยังมีการพบ ไก่งวง ติดเชื้อไข้หวัดแบบที่ระบาดในหมูหรือไข้หวัดหมู ที่ประเทศชิลี ซึ่งนี่ก็เป็นเสมือน สัญญาณ   เตือนภัย ไม่ให้ประมาท
    
ในเมืองไทยก็จำเป็นต้องระวังไข้หวัดใหญ่ 2009 กลายพันธุ์
    
และการกลายพันธุ์ผ่านหมูหรือสุกรก็ต้องป้องกันให้ดี !!
    
กล่าวสำหรับมาตรการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 กลายพันธุ์ผ่านทางสัตว์นั้น จากข้อมูลทางวิชาการพบว่าสุกรหรือหมูมี ตัวรับ ที่สามารถจับกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ของคนและสัตว์ปีกได้ ซึ่งอาจทำให้สุกรกลายเป็น ตัวผสม ระหว่างเชื้อไข้หวัดใหญ่ของคนและสัตว์ปีก ส่งผลให้เชื้อไวรัสมีโอกาสกลายพันธุ์ได้ และอาจกลับมาติดต่อสู่คนได้ในที่สุด ซึ่ง ณ ที่นี้ก็มิใช่จะมากระพือให้คนไทยกลัวหมู เป็นแต่เพียงทำความเข้าใจ
    
อย่างไรก็ตาม การป้องกันไม่ให้สถานการณ์อันไม่พึงประสงค์นี้เกิดขึ้น หน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการปศุสัตว์ เกษตรกร ประชาชน จำเป็นต้องใส่ใจป้องกัน-ให้ความร่วมมือ ไม่หย่อนยานไปตามกระแสไข้หวัดใหญ่ 2009 ในไทยที่เบาลงไป เพราะอันตรายนี้ยังอยู่ และในประเทศจีนที่อยู่ไม่ไกลไทย  ภัยนี้ก็กำลังน่ากลัวมากขึ้น
    
ในส่วนของหน่วยงานรัฐ จากข้อมูลที่เปิดเผยโดย นายสัตวแพทย์ ยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ ว่าที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น หลังจากในต่างประเทศมีข่าวไข้หวัดใหญ่ 2009 แพร่สู่สัตว์ ทางกรมปศุสัตว์ก็มีการหารือเพื่อจัดทำแผนรับมือ เพื่อป้องกันและควบคุมให้เป็นขั้นเป็นตอนและชัดเจนให้มากที่สุด 
    
มีการร่วมมือระหว่างกลุ่มสัตวแพทย์ ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร นักวิชาการ ทั้งภาครัฐและเอกชน คณะทำงานโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จากกรมปศุสัตว์ และผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตสุกรทั้งระบบ จัดประชุมสัมมนาระดมความคิดหาแนวทางที่อิงหลักวิชาการ เพื่อรับมือและเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ 
    
รวมทั้งกำหนดแนวทางการป้องกันโรคในฟาร์ม การปฏิบัติของบุคลากรในฟาร์ม การเฝ้าระวังโรคในฟาร์ม ซึ่งจะช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จาก รังโรค ชนิดต่าง ๆ
    
การดำเนินการของภาครัฐ โดยกรมปศุสัตว์ ซึ่งร่วมมือกับส่วนงาน  อื่น ๆ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่กำลังทำอยู่แล้ว ก็เช่น... ป้องกันเชื้อปนเปื้อนจากต่างประเทศ, ติดตามการเคลื่อนย้ายสุกร, จัดตั้งวอร์รูมวิเคราะห์สถานการณ์และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, ส่งเสริมการเลี้ยงสุกรอย่างถูกสุขลักษณะ มีความปลอดภัยทางชีวภาพ และลดการเลี้ยงสัตว์ปีกในบริเวณที่เลี้ยงสุกรเพื่อลดโอกาสการรวมพันธุกรรมเชื้อหวัด, เก็บตัวอย่างสุกรที่มีอาการผิดปกติเพื่อตรวจสอบ รวมถึงจะกำหนดแล็บตรวจสอบเป็นเครือข่าย เป็นต้น
    
ส่วนแนวทางในการเฝ้าระวังโรคในสุกร สำหรับฟาร์มและผู้เกี่ยวข้อง คือ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในการเข้า-ออกฟาร์ม ยานพาหนะ และวัสดุอุปกรณ์ อย่างเข้มงวด หมั่นดูแลสังเกตอาการป่วยของสุกร หากพบว่ามีอาการป่วย นอนซม ซึม ไข้สูง ตัวแดง หายใจลำบาก ไอ จาม ให้กักไว้ดูอาการ ห้ามเคลื่อนย้ายสุกรออกจากฟาร์มโดยเด็ดขาดอย่างน้อย 7-14 วัน ให้ยาปฏิชีวนะ ยาลดไข้ และวิตามิน เพื่อลดการติดเชื้อแทรกซ้อน และที่สำคัญคือแจ้งสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มและเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที ...อธิบดีกรมปศุสัตว์ระบุไว้อย่างนี้
    
ขณะที่ นายสัตวแพทย์ นิรันดร เอื้องตระกูลสุข ในฐานะผู้อำนวยการสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ ก็ให้ข้อมูลไว้ว่า... ทางสำนักควบคุมฯได้เฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการ โดยเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกสุกรและตรวจโมเลกุล เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมว่ามีความสัมพันธ์กับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ โดยเบื้องต้นสุ่มเก็บตัวอย่าง 16,824 ตัวอย่าง จาก 200 จุด ยังไม่พบสุกรที่แสดงอาการผิดปกติ ทางระบบทางเดินหายใจแต่อย่างใด และยังไม่พบสุกรที่ให้ผลบวกต่อไข้หวัดสุกร 
     
เป็นเรื่องดี...ปศุสัตว์ในไทยไม่มีปัญหา ไข้หวัดใหญ่ 2009
    
จะให้ดีไปตลอด...ทุก ๆ ฝ่ายจะต้องร่วมกันป้องกันจริงจัง
    
กลายพันธุ์ นั้น อันตราย ไม่กลัวไม่ได้...เด็ดขาด !!.				
11 กันยายน 2552 16:27 น.

ลองดู

ลุงเอง

Impossible http://share.psu.ac.th/file/sathaya.b/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89.jpg >				
11 กันยายน 2552 10:09 น.

~ ๐ ใครที่ชอบกินลูกชิ้นปลาฟังทางนี้ ๐ ~ *

ลุงเอง

~ ๐ ใครที่ชอบกินลูกชิ้นปลาฟังทางนี้ ๐ ~ *

เรื่องจริงจากประสบการณ์สาวออฟฟิต

คนที่ชอบทานลูกชิ้นปลาต้องอ่านนะคะ
ดิฉันทำงานที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ที่ราษฎร์บูรณะส่วนใหญ่คงเคยไปทานลูกชิ้นปลานายสอาดไร้สาร
ที่อยู่เยื้องบี๊กซี ราษฎร์บูรณะกันแล้ว
ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ลองมา 2-3ครั้งแล้วซึ่งยอมรับว่า ประทับใจอร่อยมาก
ถึงแม้ราคาจะแพงไปสักหน่อยบังเอิญวันนี้ทานแล้วอยากซื้อกลับไปทานที่บ้านด้วย
จึงซื้อลูกชิ้นกลับบ้านคนละครึ่งกิโลกรัมกับเพื่อนอีก 2 คน(กิโลละ 180 บาท)พอถึงบ้าน ถือถุงลูกชิ้นเข้าบ้าน
โดยยังไม่เปิดไฟในบ้าน....ไสยศาสตร์มีจริง ! ตกใจมาก !!! ลูกชิ้นเปลี่ยนไป
กลายเป็นลูกชิ้นเรืองแสง !!!...เหมือนนีออนหลอดไฟ
จึงรีบโทรให้เพื่อนที่ซื้อลูกชิ้นไปเหมือนกันทดสอบดู .... โป๊ะเชะ!!!ได้ผลเหมือนกันเลยจริง ๆ แล้วเป็นวิทยาศาสตร์ค่ะ
คือลูกชิ้นใส่สารเรืองแสง/สารฟอกขาวเพื่อให้ลูกชิ้นขาวน่ากิน
แต่อันตรายมากเลยไม่ต้องเชื่อก็ได้ค่ะ แต่อยากให้ลองทดสอบดู
สารเรืองแสงหากมนุษย์บริโภคเข้าไป จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรค และยังเป็นตัวเร่งกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเติบโตเร็วขึ้น
ถ้าใครมีเพื่อนอยู่ สคบ. (สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค)
ก็ลองเชิญมาท้าพิสูจน์ดูก็ดีค่ะ แต่ก็อาจทำให้ต้องอดกินลูกชิ้นร้านนี้อีกก็ได้
หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนชื่อร้านเป็นลูกชิ้นนายสอาดเรืองแสง แทนคำว่า ไร้สาร 



.......ขอบคุณคุณหมอคนดี ที่ส่งมาให้อ่านเพื่อป้องกันสุขภาพ......				
10 กันยายน 2552 19:59 น.

11 ก.ย.วันนี้ในอดีต

ลุงเอง

11 กันยายน:

กลุ่มควันลอยจากอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หลังเครื่องบินพุ่งชน

    * พ.ศ. 1840 (ค.ศ. 1297) - วิลเลียม วอลเลซ นำชาวสกอตสู้รบจนได้ชัยชนะเหนือทหารอังกฤษใน ยุทธภูมิสะพานสเตอร์ลิง
    * พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - พลเอก เอากุสโต ปีโนเช ก่อรัฐประหารและก้าวขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาลทหารในชิลี
    * พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544: ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินโดยสาร 3 ลำ เพื่อโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ อาคารแฝดในนครนิวยอร์ก และอาคารเพนทากอน ที่ตั้งกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ในวอชิงตัน ดี.ซี. เครื่องบินลำที่ 4 ตกในมลรัฐเพนซิลเวเนีย มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้เกือบ 3,000 คน (ในภาพ)				
10 กันยายน 2552 17:21 น.

กินยาลดอ้วน เกินขนาด ตายอืดคาห้อง

ลุงเอง

กินยาลดอ้วน เกินขนาด ตายอืดคาห้อง 

  สาวกิฟฟารีน กินยาลดความอ้วนเกินขนาด นอนเสียชีวิตภายในห้องพัก ใน ต.สามเรือน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อนสนิท เผย หาซื้อได้ง่าย กินแล้วลด 10 กิโลกรัม ต่อสัปดาห์ หน้าซองเขียนระบุ เร่งเผาผลาญ...

เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ ( 25 มิ.ย.) พ.ต.ท.ยุทธจักร วรรณคีรี สารวัตรเวร สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตภายในหอพัก มานิจ โซน4 เลขที่ 399/7 หมู่บ้านสินทิวาธานี หมู่ 2 ต.สามเรือน จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.กรเอก เพชรไชยเวส รอง ผบก.ภ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.ธงชัย สายไหม ผกก.สภ.บางปะอิน แพทย์เวร รพ.บางปะอิน และหน่วยกู้ภัยอยุธยารวมใจไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณชั้น 2 ห้องที่ s202 ภายในห้องพบศพนางสาวสมจิตร ตรีชิต อายุ 29 ปีอยู่บ้านเลขที่ 29/1 หมู่ 8 ต.ห้วยทราย อ.หนองแค จ.สระบุรี นอนหงายขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นอยู่บนที่นอน สภาพศพใส่กางเกงผ้าร่มขาสั้นสีขาว มีเลือดเปื้อนที่เป้ากางเกงสวมเสื้อเชิ๊ต แขนลายโดเรม่อน มีเลือดออกที่ปากตามร่างกายไม่พบบาดแผลการถูกทำร้าย เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 วัน

แพทย์ชันสูตร ไม่พบร่องรอยการถูกข่มขืน จึงส่งไปพิสูจน์อย่างละเอียดที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์รพ.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อหาสาเหตุการตายอีกครั้ง ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดไม่พบร่องรอยการต่อสู้ พบขวดเบียร์จำนวน 2 ใบ ขวดน้ำ 1 ใบ บุหรี่ 1 ซอง โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ไพ่ป๊อก 1 สำรับ กระเป๋าสตางค์ภายในมีเงินสดประมาณ 1,000 บาท นามบัตรสาวกิฟฟารีน 1 กล่อง และ พบยาลดความอ้วนเป็นแคปซูน สีเหลือง เหลืออยู่ 1 เม็ดบรรจุในซองยาเขียนหน้าซองว่า เร่งเผาผลาญ กินวันละ 1 ครั้ง 1 เม็ด ก่อนอาหาร ตอนเย็น จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

นายอนันต์ พิลึก อายุ 55 ปี ผู้ดูแลหอพัก บอกว่า แม่บ้านทำความสะอาดหอ บอกว่ามีคนงานที่พักอยู่หอ ห้องตรงข้ามกับผู้ตายเปิดประตูด้านหลังไว้และเห็นนอนหลับอยู่บนที่นอนมา 2 วันแล้ว จึงสงสัยว่าจะเกิดเหตุ จึงมาบอก จากนั้นตนจึงใช้บันไดปีนขึ้นไปจึงพบว่า นางสาวสมจิตร นอนเสียชีวิตแล้ว จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ ทั้งนี้ น.ส.สมจิตร พักอยู่ห้องคนเดียว ชอบกินเหล้าสูบบุหรี่ มีเพื่อนหญิงและทอมมาหาบ่อยครั้ง ต่อมานางสาวศศิธร ขาดสะอาดวิไล อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 168/8 ต.บ้านกล้วย องเมือง จ.ชัยนาท เพื่อนสนิทบอกว่าน.ส.สมจิตร ทำงานอยู่ที่บริษัท เอ.จี.ซี. อาร์ซาฮี(ประเทศไทยจำกัด)ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ อ.อุทัย เป็นคนสวยรูปร่างหน้าตาดี ร่าเริงมีหนุ่ม ๆและสาวทอมมาติดมากมาย ระยะหลัง น.ส.สมจิตร ได้สมัครเป็นสาวกิฟฟารีน แต่มีรูปร่างอ้วนน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม จึงได้ไปซื้อยาลดความอ้วน จากร้านขายยา มากินอย่างจริงจังประมาณ 2 สัปดาห์ น้ำหนักลดเหลือ 50 กิโลกรัม ภายใน 1สัปดาห์ จะลด 10 กิโลกรัมจึงได้เตือนให้หยุดกินยาลดความอ้วนได้แล้ว

น.ส.ศศิธร สาวโรงงาน บอกต่อว่า ลักษณะยาลดความอ้วนจะเป็นเม็ดแคปซูนสีเหลือง สีชมพู สีฟ้า จัดเป็นชุดๆ เพื่อนสาวโรงงานมักจะนิยมไปซื้อกินเพื่อลดความอ้วนซื้อกัน ในครั้งละมากๆ จะได้ในราคาถูกและล่าสุดได้โทรศัพท์คุยกับ น.ส.สมจิตร เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ชวนไปเที่ยวบ้านและมาทราบอีกครั้งว่าเสียชีวิตแต่อย่างไรตนยังไม่เชื่อว่า เพื่อนจะตาย เพราะยาลดความอ้วนเพราะได้เลิกกินแล้ว

พ.ต.อ.กรเอก เพชรไชยเวส รอง ผบ.ก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า สาเหตุการตายยังสรุปไม่ได้ยังต้องรอผลพิสูจน์อย่างละเอียดจากแพทย์ก่อนใน เบื้องต้นผู้ตายอาจกินยาลดความอ้วนเกินขนาด และนั่งดื่มเบียร์อยู่ในห้องแอลกอฮอล์ อาจมีผลข้างเคียงทำให้เสียชีวิต


  .........*** อุทาหรณ์ผู้ที่อยากผอม ***.........				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงเอง